ตอนที่ 24
“โทษทีว่ะพี่ที่ต้องรบกวน ผมมองไม่ออกเลยว่านอกจากพี่แล้วใครจะช่วยได้”
น้ำเสียงและสีหน้าเกรงอกเกรงใจนั้นทำให้คนถูกรบกวนลอบถอนหายใจ ปกปิดอารมณ์หงุดหงิดในอกของตัวเองให้ได้มากที่สุดเพื่อไม่ให้รุ่นน้องใจเสียยิ่งกว่าเดิม
ที่หงุดหงิดไม่ใช่เพราะต้องมาช่วย แต่เป็นเพราะจะไม่ได้กินเมียในวันที่ตั้งใจ!
ระหว่างสอนแทบมีเพียงเรื่องเดียวที่อยู่ในหัว วาดฝันเอาไว้ว่าหลังจากผ่านพ้นเที่ยงคืนไปแล้วจะจัดการกับคนขี้ยั่วแสนเจ้าเล่ห์ยังไง แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ต้องจบลงเนื่องจากสายที่โทรเข้ามาอย่างร้อนรน
อยากจะบ้าตาย
“เอาเถอะ หนักเลยสิมึงถึงได้โทรตามกู”
“ก็พอควรเลย ไอ้ซานเข้าโรงบาลกะทันหัน ผมไม่รู้จะหาใครมาช่วยให้งานได้ส่งทันเวลาแล้วนอกจากพี่จริงๆ”
“เออ ถ้าใช้งานกูหนัก จบงานก็ต้องเลี้ยงหนัก เข้าใจ?”
คิ้วเข้มเลิกขึ้น ไม่มีความล้อเล่นหรือท่าทางที่บ่งบอกว่าเพียงเอ่ยกระเซ้าเย้าแหย่อยู่ในทั้งแววตาและน้ำเสียง
แลกกับการไม่ได้กินแฟน ต้องเลี้ยงหนักแน่นอน...
“แค่พี่ยอมช่วยผมก็พร้อมปิดประเทศเลี้ยงแล้ว”
หินส่ายหัว พ่นลมหายใจแห่งความหนักอึ้งออกมาอีกครั้งก่อนจะเดินตามรุ่นน้องขึ้นไป พร้อมความรู้สึกเหนื่อยหน่ายในอก
--
ขณะที่อีกด้านหนึ่งก็มีคนที่รู้สึกเหนื่อยหน่ายไม่แพ้กัน...
ดวงตาคู่สวยจับจ้องโทรศัพท์ซึ่งวางอยู่บนโต๊ะตรงหน้า ขาเรียวถูกยกขึ้นมากอดด้วยแขน โทรทัศน์ถูกเปิดเอาไว้เป็นเพื่อนคลายเหงา
หลังจากหินโทรมาบอกว่าต้องไปช่วยงานรุ่นน้อง คืนนี้อาจไม่ได้กลับ อีกคนก็ไม่ได้ติดต่อมาอีก
ความคิดถึงกำลังกัดกร่อนฟอร์มที่ตั้งไว้เนื่องจากยังไม่ครบสองวันดี เพราะอย่างน้อยก็เหลือเวลาอีกสี่ชั่วโมงถึงจะล่วงพ้นวันใหม่ ทว่าสุดท้ายแล้วความรู้สึกในอกก็ถูกพรูระบายออกทางจมูก มือบางเอื้อมหยิบเครื่องมือสื่อสารนั้นขึ้นมาแล้วกดโทรออกด้วยความอดรนทนไม่ไหว
แค่ต้องนอนคนเดียวก็แย่แล้ว...
เสียงสัญญาณดังไปพร้อมกับหัวใจที่เต้นด้วยจังหวะแห่งการรอคอย นานจนเกือบถอดใจว่าปลายสายคงยุ่งจนไม่มีเวลาจับโทรศัพท์หินจึงกดรับ
(ฮัลโหล)
“...” เพราะสายถูกกดรับโดยไม่ทันตั้งตัว คนที่โทรไปจึงลืมเสียงตัวเองในลำคอกะทันหัน ได้แต่เงียบตอบรับการทักทาย เนื่องจากไม่ได้คิดเอาไว้ว่าตัวเองจะพูดอะไร
(แฟน?)
“อะ อืม...มึงยุ่งหรือเปล่า” ต้องกระแอมไอเรียกเสียงและสติของตัวเองก่อนเอ่ยคำถามออกไป
(ก็พอสมควร แต่คุยได้ ว่าไง)
คำตอบของหินดูไม่ค่อยสอดคล้องกับความเป็นจริงนักเมื่อความวุ่นวายของการทำงานปรากฏอยู่ตรงหน้า แต่ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็ไม่คิดสนใจเมื่อวินาทีนี้คนในสายสำคัญกว่าสิ่งอื่น
“เปล่า โทรมาถามเฉยๆ”
(คิดถึงกูหรือไง?)
น้ำเสียงคนพูดเจือความหยอกเย้า ใบหน้าเครียดเคร่งก่อนหน้าผ่อนคลายลงไม่ต่างจากความปวดหนึบที่บีบอัดอยู่ตรงขมับ
“ใครคิดถึง แค่โทรถามเฉยๆไง” แฟนปฏิเสธเสียงแข็ง ไม่ยอมรับโดยง่ายให้อีกฝ่ายได้ใจ
แค่โกรธไม่ถึงสองวันก็ได้ใจมากแล้ว
(ไม่คิดถึงก็ไม่คิดถึง แล้วทำอะไรอยู่) หินยอมเออออเปลี่ยนเรื่องเนื่องจากไม่อยากเสียเวลาในการคุยกันมากไปกว่านี้
“ไม่ได้ทำอะไร ดูทีวี”
ตอบออกไปอย่างนั้นหากแต่ความเป็นจริงแล้วสายตากลับเพิ่งเลื่อนขึ้นมองหน้าจอโทรทัศน์เมื่อไม่กี่วินาทีก่อน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเปิดบอลเอาไว้ทั้งที่ดูไม่เป็น
(กินข้าวรึยัง)
“กินแล้ว มึงล่ะ”
(ยัง คงอีกสักพัก)
“อย่าลืมกินด้วย”
(เป็นห่วงกูใช่ไหม) อีกครั้งกับคำหยอกเย้า
“ก็พูดไปงั้น ตามมารยาท” และเป็นอีกครั้งกับความปากแข็งของแฟน
(หึ แต่กูเป็นห่วงมึง...กินข้าวแล้วก็รีบอาบน้ำเข้านอน) เสียงหัวเราะดังขึ้นเพียงไม่กี่วินาทีก่อนจะถูกแทนที่ด้วยความจริงจังซึ่งเจือมากับความเป็นห่วงเปี่ยมล้น
รู้ดีว่าไม่มีอะไรน่าห่วง ระบบความปลอดภัยของคอนโดเป็นเลิศ แต่สำหรับคนที่เรารักแล้ว การอยู่ห่างกันเท่านี้ก็เพียงพอแล้วกับการจะเป็นห่วง
“อืม...มึงก็เหมือนกัน ถ้าดึกมากก็ไม่ต้องกลับห้อง นอนที่นั่นเลย”
ความเป็นห่วงที่ไม่แพ้กันถูกแสดงออกผ่านทางคำพูดและน้ำเสียง โดยไม่อาจปกปิดความห่วงใยได้อีก
เป็นห่วงเรื่องนี้ที่สุด ไม่อยากให้ขับรถตอนเหนื่อยเลย
(น่าจะนอนนี่แหละ เดี๋ยวกูต้องวางแล้ว ไว้พรุ่งนี้จะโทรหา)
“อืม...สู้ๆ”
(ครับ ฝันดีล่วงหน้า)
อีกคนรอเสียงตอบรับ เมื่อแฟนรับคำและตอบกลับสายจึงถูกตัดไป ทิ้งความอิ่มเอมใจและโหยหาไว้ในคราเดียวกัน
คำว่าครับจากหิน กี่ครั้งก็ไม่เคยชิน แค่ได้ยินก็เหมือนรู้สึกจะร้อนๆที่แก้มแล้ว
ครืด
Farm : ดูซิ ใครไม่รู้เปิดฟังได้ทั้งวัน
ขณะกำลังเหม่อลอย โทรศัพท์ในมือก็สั่นครืดคราดเนื่องจากผู้เป็นน้องที่ส่งคลิปและข้อความมาให้
นิ้วเล็กสไลด์หน้าจอเปิดดูก่อนเสียงดนตรีแว่วหวานจะดังขึ้นให้ได้ยิน ยามภาพคือพ่อของตัวเองซึ่งกำลังนั่งฟังเพลงที่ไม่มีเนื้อร้องอย่างเคลิบเคลิ้ม
Farm : ชมพี่หินใหญ่ว่าเก่งอย่างงู้นอย่างงี้
Farm : แต่ก็เก่งจริงๆนั่นแหละ พี่เขยผมสุดยอด!
เห้อ~ โดนหินซื้อไปทั้งบ้านแล้วจริงๆ
--
วันต่อมา“สภาพนี้ผมว่าอย่าขับรถกลับเลยพี่ เดี๋ยวผมไปส่งดีกว่า”
ใบหน้าของคนพูดเต็มไปด้วยความเป็นห่วง สภาพอิดโรยจากการโหมงานมาตลอดทั้งคืนจนถึงค่ำของอีกวันทำให้ไม่อาจวางใจปล่อยให้อีกฝ่ายขับรถกลับเองได้
หินนอนไปเพียงไม่กี่ชั่วโมง จากนั้นก็เร่งทำงานยาวกระทั่งทุกอย่างเสร็จเร็วกว่าที่คิด
“สภาพมึงต่างจากกูมากมั้ง...งั้นเดี๋ยวกูฝากรถไว้ที่นี่แล้วนั่งแท็กกลับแล้วกัน”
มือหนาหยิบกระเป๋าเป้ที่ใส่เสื้อผ้าและของจำเป็นขึ้นมาสะพาย เตรียมตัวพร้อมกลับ
“แบบนั้นก็ยังดี ขอบคุณพี่มากจริงๆ ถ้าพี่ไม่ช่วยนี่ผมตายแน่”
“เก็บคำขอบคุณของมึงไว้เลี้ยงกูเถอะ ไปแล้ว กูจะไปหาเมีย”
เส้นผมยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงถูกเสยขึ้นไปลวกๆอย่างไม่ใส่ใจ เปลือกตาหนักอึ้งจนแทบหลับลงตรงนี้ ทว่าหัวใจกลับเรียกร้องจะกลับห้องตัวเองให้เร็วที่สุดเนื่องจากมีใครบางคนรออยู่
แฟนมารอเพราะไม่อยากให้คนทำงานเหนื่อยเดินทางกลับไปคอนโดนซึ่งระยะไกลกว่า
“คร้าบๆ ไว้ไงผมจะโทรหาอีกที กินเด็กให้อิ่มนะพี่ ขอบคุณอีกครั้งครับ”
รุ่นน้องยกมือขึ้นไหว้อย่างนอบน้อม ก่อนคนอื่นๆจะทำตามกันให้คนถูกไหว้ทำเพียงรับคำในลำคอก่อนจะเดินออกจากห้องไปด้วยความเร่งรีบ
เกือบหนึ่งชั่วโมงต่อมาร่างสูงก็พาตัวเองมาหยุดอยู่หน้าห้อง คีย์การ์ดถูกยกขึ้นแนบกับแท่นเซนเซอร์เร็วๆ จากนั้นประตูจึงถูกเปิดเข้าไปพร้อมกับที่คนข้างในซึ่งได้ยินเสียงเดินตรงมาหา
“ได้นอนบ้างรึเปล่า” ประโยคเอ่ยทักดังขึ้นทันทีเมื่อแฟนเห็นสภาพของหินเต็มตา
ความอิดโรยส่งผลให้ใบหน้าคมคายดูโทรมกว่าเคย ดวงตาแดงก่ำบ่งบอกความล้าของร่างกาย อีกทั้งผมด้านหน้ายังถูกเสยขึ้นไปแบบขอไปที
หายไปสองวัน เหมือนหายไปสองอาทิตย์
“นิดหน่อย”
หินเอ่ยตอบคนที่เดินมาหยุดยอยู่ตรงหน้า ร่างเล็กพาความหอมอ่อนแสนชื่นใจเข้ามาใกล้ ก่อนท่อนแขนแกร่งจะรั้งต้นกำเนิดของกลิ่นนั้นเข้ามาในอ้อมกอด ปลายจมูกโด่งซุกซบเข้าหาซอกคอบางพลางปิดเปลือกตาลงอย่างเหนื่อยล้า
เหมือนเดินทางในทะเลทรายแล้วได้กลับมาบ้าน...บ้านซึ่งคือคน ไม่ใช่สถานที่
“กินข้าวมารึยัง ถ้าจะนอนก็กินข้าวก่อนสักหน่อย”
คนเหนื่อยถูกปลอบประโลมด้วยคำพูดเอาใจและสัมผัสบางเบาจากมือเล็กที่ไล้ไปตามแผ่นหลังกว้าง
ท่าทางราวกับไม่มีเรื่องใดๆเกิดขึ้นเมื่อไม่ไม่กี่วันก่อน ทุกอย่างจางหายไปโดยรวดเร็ว
“ยังไม่ได้กิน แต่เดี๋ยวกูไปอาบน้ำก่อน”
ความเหนียวเหนอะหนะจากการทำงานและการเดินทางก่อเกิดความรู้สึกไม่สบายตัวจนอยากชำระร่างกายก่อนเป็นอันดับแรก
“งั้นเอาเป้มา เดี๋ยวกูเอาไปเก็บให้”
แฟนผละออกห่างพลางเลื่อนสายสะพายออกจากไหล่ของคนตัวสูงแล้วถือกระเป๋าไว้ในมือ
หินมองคนตรงหน้าด้วยรอยยิ้มบาง อิ่มเอมกับการถูกดูแลแม้เรื่องเล็กๆน้อยๆก่อนแฟนจะได้รับจูบบนแก้มเป็นรางวัล
“เมียใครทำไมน่ารัก” คำเอ่ยชมกลับได้รับแรงซัดบนหน้าอกจากฝ่ามือของแฟนเป็นรางวัล
“รีบไปอาบน้ำเลย”
เสียงหัวเราะทุ้มดังอยู่ในลำคอ ยุติการหยอกล้ออีกคนไว้เพียงเท่านี้เพราะสติใกล้ถูกความง่วงพรากให้ปลิวหาย
แฟนได้แต่มองตามแผ่นหลังของหินไปด้วยความอ่อนใจ แต่ถึงอย่างนั้นบนใบหน้ากลับมีรอยยิ้มประดับอยู่
การได้อยู่ด้วยกันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดจริงๆ
หลังจากอาบน้ำกินข้าวเรียบร้อยก็เป็นเวลาเข้านอน ความจริงแล้วแฟนยังไม่ง่วงนักเพราะเพิ่งเป็นเวลาสามทุ่มกว่า แต่ด้วยรู้ดีว่าหินเหนื่อยแค่ไหนจึงเข้านอนพร้อมกัน
ร่างเล็กทรุดตัวนั่งลงบนขอบเตียง กดเช็กโทรศัพท์เล็กน้อยก่อนจะวางมันไว้บนโต๊ะแล้วเอนตัวลงนอน
พรึบ
“หมดโควตาโกรธกูแล้ว”
คนที่พลิกตัวมาคร่อมด้านบนเอ่ยพูดด้วยดวงตาเป็นประกาย ท่าทางเริงร่าขัดกับร่องรอยความเหนื่อยล้าบนใบหน้าจนแฟนถอนหายใจแผ่ว
“ตกใจหมด”
“ครบสองวันแล้ว” อีกคนเอ่ยย้ำ ดูเหมือนในหัวจะมีเพียงเรื่องเดียว
“แล้วทำไม?” แฟนแกล้งทำไขสือ
“หมดเวลาโกรธแล้วนั่นหมายความว่ากูกินมึงได้”
“เหนื่อยขนาดนี้ยังจะหื่น”
คำตอบที่ไม่ได้แตกต่างจากที่คิดเอาไว้ทำให้คนฟังกลอกสายตามองบน
“เหนื่อยก็ส่วนเหนื่อย”
หินตอบกลับหน้าตาเฉย แม้ร่างกายจะประท้วงจนดวงตาแทบปรือปิดทว่าความต้องการของร่างกายและหัวใจกลับชนะสิ่งอื่นใด
นานมากกับการไม่ได้ทำอะไรแฟน
“เหนื่อยก็นอน ค่อยตื่นมากินกูก็ยังไม่สาย พรุ่งนี้ไม่ได้เข้าบริษัท”
ได้ยินดังนั้นดวงตาของคนตรงหน้ายิ่งเป็นประกายวาววับอย่างน่าหมั่นไส้ คล้ายกับหมาตัวใหญ่ตอนเห็นเจ้าของวางเนื้อชิ้นโตลงบนถาดอาหาร
“ทำไมถึงไม่ต้องเข้า”
“ก็ไม่ได้มีงานอะไรสำคัญ มีแค่เอกสารที่ต้องเซ็น”
คราวนี้ไม่เพียงแค่ดวงตาที่ทอประกาย หากแต่ความระรื่นยังถูกแสดงออกผ่านทางรอยยิ้มมุมปาก
“เป็นเรื่องที่ดี”
“งั้นตอนนี้ก็นอนซะ ตามึงจะลืมไม่ขึ้นอยู่แล้ว”
นิ้วเรียวๆไล้ไปมาแผ่วเบาตามใต้ตาดำคล้ำ ก่อนมือหนาจะเอื้อมมารั้งให้หยุดเอาไว้แล้วจรดริมฝีปากลงบนหลังมือ กดจูบซ้ำๆไปทั่วพลางพยักหน้าตกลง
“จะตื่นสักตีสี่”
“เกินไป”
แฟนดึงนิ้วออกจากการเกาะกุมมาเคาะลงบนปลายจมูกโด่งหลายครั้งเพราะประโยคที่บ่งบอกความหื่นอันแรงกล้า ขณะที่หินหลุดหัวเราะ ดึงนิ้วของคนใต้ร่างออกจากจมูกตัวเอง จากนั้นจึงโน้มใบหน้าลงไปใกล้แล้วทาบทับริมฝีปากเข้าหาส่วนเดียวกัน
แฟนตอบสนองสัมผัสนี้โดยไร้ซึ่งเงื่อนไข ปลายลิ้นสัมผัสหยอกเย้าจนเกิดเสียงดังคลอกับลมหายใจอุ่นร้อน ยามที่มือบางไล้ไปตามหลังคอของคนด้านบนแผ่วเบา
“กูเปลี่ยนใจแล้ว...จะตื่นตีสาม”
หินกระซิบชิดริมฝีปาก หยุดสัมผัสวาบหวามอ่อนหวานเอาไว้ก่อนทุกอย่างจะเลยเถิดไปถึงจุดที่ไม่อาจหักห้ามใจ
“ไอ้หื่น นอนสักทีเถอะ”
คนถูกว่ายิ้มรับไม่สะทกสะท้าน ซ้ำยังกดจูบลงมาแรงๆทิ้งท้ายก่อนจะยอมผละออกไปนอนฝั่งตัวเองให้เรียบร้อย
“ฝันดีตีสามเจอกัน”
เสียงถอนหายใจดังขึ้นอย่างจงใจให้เจ้าตัวได้ยิน แฟนทำเป็นหูทวนลมกับคำว่าตีสามในประโยคจากนั้นจึงตอบกลับเพียงสั้นๆ
“ฝันดี”
--
07.03 น.คนตื่นก่อนทอดสายตามองคนที่ลั่นวาจาว่าจะตื่นตีสามซึ่งกำลังหลับลึกไม่แม้แต่จะรู้สึกตัว ใบหน้าสวยส่ายไปมาน้อยๆพร้อมทั้งหลุดเสียงหัวเราะ เมื่อปลายนิ้วซุกซนเขี่ยเล่นตรงรูจมูกของอีกฝ่ายแล้วเจ้าตัวทำเสียงฮึดฮัดเบี่ยงหน้าหนี ทว่าการแกล้งเป็นอันต้องหยุดชะงักเมื่อเสียงนาฬิกาที่ตั้งปลุกเอาไว้ทุกวันดังขึ้นให้ต้องรีบขยับตัวไปข้างเตียง
แปลกที่เมื่อได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกวันนี้กลับไม่รู้สึกรำคาญ ซ้ำยังอยากฟังอีกซ้ำๆไม่อยากกดปิด
เสียงเตือนที่ตั้งไว้เป็นเสียงเพลงที่หินแต่งให้ เมื่อวานก็ฟังไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ
เพลงที่ไม่มีเนื้อร้อง...ชอบจนตั้งทุกอย่างเป็นเพลงนี้ เปิดฟังในรถระหว่างไปทำงานอยู่เพลงเดียวซ้ำๆ
กริ๊ง~
มือที่ถือโทรศัพท์เอาไว้ชะงักกึกเมื่อเสียงกริ่งซึ่งเป็นสัญญาณว่ามีคนมาดังขึ้นให้ได้ยิน คราแรกแฟนยังไม่แน่ใจกระทั่งมันดังขึ้นอีกครั้งจึงวางโทรศัพท์ลงที่เดิม
หันไปเหลือบมองคนที่ไม่มีวี่แววว่าจะตื่นอย่างใช้ความคิด จากนั้นจึงตัดสินใจเดินออกไปยังหน้าประตูด้านนอก แนบดวงตาเข้ากับตาแมวเพื่อส่องดูคนที่มาหาเจ้าของห้องแต่เช้า และเมื่อได้เห็นว่าเป็นใคร คิ้วได้รูปก็ขมวดเข้าหากันยิ่งกว่าเดิม
เจ้าของอพาร์ตเมนต์งั้นเหรอ...ตีกระบังลม ใส่สร้อยทองทั้งคอ มือ และแขน ชุดไหมสวยงาม พร้อมทั้งกระเป๋าถือเสร็จสรรพ
หรือว่าหินจะลืมจ่ายค่าห้อง
แกร๊ก
“มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ”
คนในห้องเปิดประตูไปถาม ขณะที่ผู้มาใหม่ขมวดคิ้วหนักกว่ายามกวาดสายตามองคนตรงหน้าขึ้นลงตั้งแต่หัวจรดเท้า
“นี่ห้องของหินหรือเปล่า”
“ครับ”
แฟนตอบกลับ เพียงเท่านั้นสีหน้าอีกฝ่ายก็เปลี่ยนไป ประตูที่เพียงเปิดแง้มเอาไว้ถูกดันมาจนต้องขยับถอยหลัง ก่อนมันจะถูกปิดลงหลังจากผู้มาเยือนเข้ามาในห้องแล้วเรียบร้อย
“คุณเข้ามาทำไม!”
“หน้าตาผิวพรรณ...ไม่น่ามาเอาคนอย่างหินเลย มันหลอกอะไรหนูหรือเปล่าลูก”
คนฟังชะงักไปกับประโยคที่ได้ยิน สมองทำการประมวลผลซ้ำอีกกรอบ ค่อยๆคิดตามคำพูดของคนตรงหน้า
ลูก? เรียกเขาว่าลูกงั้นเหรอ
“มีเมียแล้วแต่ยังคงอยู่ห้องเล็กๆเท่ารูหนู ฉันล่ะจะเป็นลม พาเมียมาลำบากด้วยกันได้ยังไง”
“...”
“ดูซิ โอ๊ย ทำไมสวยจังเลย เป็นลูกเต้าเหล่าใคร พ่อแม่ทำงานอะไรหืม”
แฟนขยับถอยหลังเพราะอีกฝ่ายจู่โจมเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่อาจพ้นมือที่วาดมาจับหน้าแล้วพลิกสำรวจไปมา ดวงตาเป็นประกายปลื้มปริ่ม
เดี๋ยวนะ หรือว่าจะเป็น...
“แม่ทำอะไรแฟนผม”
เสียงทุ้มงัวเงียดังมาจากอีกทางรั้งให้คนทั้งสองหันพรึบไปมอง แขกของเช้านี้จึงผละออกห่างก่อนจะเดินตรงไปหาเป้าหมายใหม่เดินอาดๆตรงมา
“เหอะ มีแฟนแล้วแต่ก็ยังพาเขามาลำบาก ฉันบอกกี่ครั้งแล้วว่าให้ซื้อบ้าน”
คนถูกว่าตั้งแต่ประโยคแรกกลอกสายตามองบน เสยเส้นผมไปทางด้านหลัง พลางสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อตั้งสติ
ยังไม่ทันหายงงกับการที่แม่มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าก็ต้องมึนงงกับสิ่งที่ได้ยินยิ่งกว่า
“แล้วนี่ไปหลอกน้องมาอีท่าไหนเขาถึงได้ตกลงปลงใจกับแก ถ้าเป็นฉันสภาพแบบนี้ฉันไม่เอาหรอกนะ”
“พ่อนี่ดูดีกว่าผมมากเลยใช่ไหม”
หินตอบกลับด้วยเสียงเหนื่อยหน่าย ท่าทางเหมือนสองแม่ลูกกำลังจะตีกัน แต่ทั้งสองรู้ดีว่าเป็นเพียงการพูดคุยปกติ
“ก็ดีกว่าแกตอนนี้ล่ะ...เอาล่ะๆ ฉันมีเวลาไม่มาก ต้องไปธุระต่อ ตั้งใจว่าจะแวะมาดูแกสักหน่อยก็เท่านั้น”
“แล้วแม่มาทำอะไร ไม่เห็นบอก”
“ฉันมาไหว้พระทำบุญกับเพื่อนๆ อ้อ แล้วก็อีกเรื่อง ไอ้รถเส็งเคร็งนั่นแกยังไม่เปลี่ยนใช่ไหม”
“...” คนถูกถามนิ่งเงียบ ทำเป็นเบือนสายตาหนีไปทางอื่นอย่างไม่ตอบคำถาม
ขี้เกียจฟังคำบ่น
“เสาร์อาทิตย์นี้บินกลับบ้านไปเคลียร์เรื่องนี้ด้วย...มีแฟนแล้วจะมาปล่อยให้แฟนนั่งอะไรเสี่ยงๆแบบนั้นด้วยได้ยังไง”
“ก็เห็นมันนั่งได้” พึมพำตอบเสียงเบา
“ยังจะเถียง ฉันตีสักทีดีไหม! ถ้าแกมีลูกแล้วแฟนลูกขับมอ’ไซด์เข้ามาหาคงอยากจะยกลูกให้เขาหรอกมั้ง แค่ความปลอดภัยในชีวิตยังไม่มีเลย”
“ครับๆ รู้แล้วครับ” คนเป็นลูกทำได้เพียงถอนหายใจเนื่องจากไม่อาจเถียงคำใดได้
ความจริงก็คิดถึงเรื่องนี้มาสักพักเพียงแต่ยังไม่มีเวลาจัดการให้เป็นกิจจะลักษณะก็เท่านั้น
“กลับบ้านเลยนะอาทิตย์นี้ พาน้องแฟนกลับไปด้วย”
สรรพนามซึ่งแบ่งชนชั้นชัดเจนทำให้หินถอนหายใจใส่คนเป็นแม่อีกครั้ง ก่อนสุดท้ายต้องยอมรับคำอย่างจำยอม
ทางด้านน้องแฟนนั้นได้แต่ยืนนิ่งงัน มองคนที่คิดว่าเป็นเจ้าของอพาร์ตเมนต์สลับกับหินไปมาพร้อมทั้งเรียบเรียงสิ่งที่ทั้งสองคุยกันอยู่เงียบๆ
คนตรงหน้านี้คือแม่ของหิน...
“น้องแฟนจ๊ะ แม่ต้องไปแล้ว ยินดีที่ได้เจอหนู แล้วเจอกันที่ขอนแก่นนะลูก”
คนที่ยังคงยืนนิ่งถูกจู่โจมด้วยคำพูดและอ้อมกอดอันรวดเร็ว ได้ยินอีกฝ่ายพูดกับหินต่ออีกเล็กน้อย จากนั้นจึงเดินออกจากห้องไปโดยที่คนมึนงงได้แต่เดินตามหินไปส่งด้วยความเลื่อนลอย ไม่รู้ตัวแม้กระทั่งตอนยกมือไหว้ลา
“กูนึกขึ้นได้แล้วว่ามีอีกเรื่องที่ยังไม่ได้บอกมึง...”
หินเอ่ยพูดเมื่อหันกลับมาแล้วเห็นใบหน้ามีคำถามมากมายจากแฟน
--
“หึ เอาเบาะรองนั่งไหม”
คนถามเอ่ยด้วยเสียงกลั้วหัวเราะเมื่อคนข้างตัวขยับยุกยิกไม่หยุดตั้งแต่ขึ้นเครื่องมา
อย่าว่าแต่นั่ง เดินยังไม่สะดวก!
แฟนส่งสายตาเขียวปั๊ดไปให้ตัวต้นเหตุที่ทำหน้าระรื่นถามพลางขยับให้ได้จังหวะที่ทรมานตัวน้อยที่สุด
“ที่กูเป็นแบบนี้ก็เพราะใครล่ะ”
หลังจากแม่ของหินกลับไป เจ้าตัวก็เล่าเรื่องที่บ้านให้ฟังคร่าวๆจากนั้นจึงสานต่อความตั้งใจที่มายหมาด ตั้งหน้าตั้งตากินกันตลอดทั้งวันชนิดที่แทบไม่ให้พัก หนักหน่วงจนสะโพกล้า เสียงแหบแห้ง ปวดเนื้อปวดตัวไปทั้งร่าง ก่อนเช้าวันต่อมาจะพาขึ้นเครื่องกลับขอนแก่นด้วยสภาพเปื่อยๆ
“เอาน่า”
“ไม่ต้องมาเอาน่า เรื่องที่บ้านมึงกูก็ยังไม่ได้หายเคืองนะ”
เรื่องที่ได้เห็นและรับรู้บ่งบอกว่าบ้านของหินไม่ธรรมดา ทั้งฐานะและอะไรหลายอย่าง แต่เจ้าตัวไม่ได้บอกว่าไม่ธรรมดาแค่ไหน บอกเพียงไม่รู้จะอธิบายอย่างไรจึงพาไปให้เห็นเอง
“กูไม่ได้โกหกมึง กูไม่ได้รวย อันนั้นคือเรื่องจริง แต่พ่อกับแม่ก็...ไม่รู้เหมือนกัน” หินทำหน้ายุ่งยากอย่างอธิบายไม่ถูก
สำหรับแฟนแล้ว รวยคือระดับไหนเขาไม่แน่ใจ อีกอย่างสมบัติพ่อแม่ถือว่าไม่เกี่ยวกัน ฉะนั้นเรื่องที่ว่าตัวเองไม่ได้รวยจึงเป็นเรื่องไม่ได้โกหก
“อะไรคือการไม่รู้เหมือนกัน”
“เอาเป็นว่าก็พอมีพอกินแต่ไม่รวยเท่ามึงหรอก”
คนรวยกว่าเบ้ปาก ไม่สานต่อบทสนทนาเรื่องนี้เนื่องจากความเจ็บแปลบตรงสะโพกยามขยับตัว
“ไหวไหม”
คราวนี้น้ำเสียงที่เอ่ยถามเจือความเป็นห่วงจริงจัง ไม่มีแววเย้าหยอกเช่นก่อนหน้าเนื่องจากความทรมานที่ได้เห็นผ่านทางสีหน้าของแฟน
“แค่เจ็บตอนขยับตัวนิดหน่อย”
“บินไม่นานหรอก ค่อยไปพักที่บ้านกู”
มือหนาเอื้อมมากุมมือปลอบประโลม ดวงตาคมทอความรู้สึกผิด ขณะที่แฟนพยักหน้ารับแล้วเอนหัวพิงกับไหล่กว้าง ไม่นึกโกรธเคืองอีกฝ่ายเนื่องจากตัวเองก็ให้ความร่วมมือด้วยความเต็มใจ
ระหว่างบนเครื่องแฟนทำเพียงแค่หลับตาอยู่นิ่งๆ ไม่ทันจะหลับดีเครื่องก็แลนดิ้งถึงที่หมาย แรงกระแทกสำหรับคนร่างกายไม่ปกติทำให้สะดุ้งเล็กน้อย รอกระทั่งผู้โดยสารคนอื่นลงไปเกือบหมดจึงค่อยลุกขึ้น
ป้ายชื่อท่าอากาศยานขอนแก่นเด่นหรานำพาความรู้สึกแปลกใหม่มายังผู้ที่ไม่เคยมา
แฟนเริ่มรู้สึกถึงความตื่นเต้น ภาษาถิ่นดังอยู่รอบตัว บรรยากาศทุกอย่างแปลกไปจากกรุงเทพอย่างชัดเจน
“ใครจะมารับเรา” เอ่ยถามคนข้างตัว
“พี่สาวกู”
เนื่องจากเอาของมาเพียงสำหรับสองวันจึงมีเพียงเป้สะพายข้างคนละใบ เมื่อเข้าสู่ตัวอาคารและเดินออกมากระทั่งถึงบริเวณซึ่งมีคนยืนรอเรียงรายผู้หญิงคนหนึ่งก็โบกไม้โบกมือส่งให้และมองตรงมา
โดยไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคือพี่สาวของหินเนื่องจากใบหน้าที่คล้ายคลึงกับคนเป็นแม่
ดูต่างจากคนเป็นน้อง เหมือนว่าหินจะคล้ายพ่อมากกว่า
“เป็นไง โดนตามตัวด่วนเลยสิเรา” หินยกมือไหว้พี่ของตัวเองพร้อมทั้งถอนหายใจเป็นคำตอบ
“ไม่รู้ไปโผล่ที่นั่นได้ยังไง แถมยังไปถูกวันด้วย”
“เซอร์ไพร์สชุดใหญ่เลยไหมล่ะ แล้วนั่น...”
หางเสียงลากยาวพลางปรายตามองสิ่งที่หมายถึง ได้โอกาสให้แฟนยกมือขึ้นไหว้แล้วกล่าวสวัสดีอย่างมีมารยาท
“สวัสดีครับ แฟนครับ”
วารินส่งสายตาหาคนเป็นน้องวิบวับขณะยิ้มรับและรับไหว้คนตัวเล็กตรงหน้า
แฟนมีรูปร่างผอมเพรียวแม้แต่ผู้หญิงยังอาย ไหนจะใบหน้าซึ่งทุกส่วนประกอบกันอย่างลงตัว ผิวพรรณแบบลูกคุณหนู
ทุกอย่างล้วนทำให้เจ้าตัวดูน่ามองจนไม่อยากละสายตา
ใช้คำว่าสวยทั้งที่เป็นผู้ชาย...สวยเหมือนที่แม่เล่าไว้จริงๆ
“สวัสดีจ้ะ พี่ชื่อน้ำนะ เป็นพี่สาวของหิน”
แฟนยิ้มรับเมื่อเห็นท่าทางอ่อนโยนใจดีของอีกฝ่าย ความอบอุ่นทางน้ำเสียงส่งผลให้อาการตื่นกลัวเล็กๆปลิวหาย
“ยังไงก็รีบกลับบ้านกันดีกว่าเนอะ จะได้ไปพักให้หายเหนื่อยกัน”
หินหันมองคนข้างตัว พยักหน้าให้เล็กน้อยแล้วกุมมือแฟนให้เดินตามพี่สาวไปด้วยกัน
ระหว่างทางคนไม่เคยมาตื่นตากับทุกอย่างที่ได้เห็นแต่ยังคงพยายามระงับอาการ รถเก๋งญี่ปุ่นคันเล็กเคลื่อนเข้าสู่ตัวเมืองภายในเวลาไม่นานนัก เนื่องจากระยะทางจากสนามบินมาไม่ถึงสิบกิโล ยามเห็นความครึกครื้นและการจราจรคล้ายกรุงเทพดวงตาโตก็เบิกขึ้นน้อยๆ
คนเยอะเหมือนกันนะ
“ไปส่งที่บ้านหินนะ”
“ฮื่อ แบบนั้นแม่ได้โวยวายตาย” คนเป็นพี่ส่งเสียงในลำคอเมื่อจินตนาการถึงภาพของผู้เป็นแม่
“บอกว่าแฟนไม่ค่อยสบาย ขอเวลาพักก่อน”
“อ้าว น้องแฟนไม่สบายเหรอ”
วารินเหลือบตามองกระจกหลัง ส่งสายตาถามน้องสะใภ้ด้วยความเป็นห่วง
“ก็...นิดหน่อยครับ”
คนไม่สบายเอ่ยตอบเสียงอ้อมแอ้ม แม้ไม่เข้าใจว่าบ้านของหินคือที่ไหนแต่ต้องตามน้ำไปก่อน
“โอเค งั้นเดี๋ยวบอกแม่ให้”
หินพยักหน้ารับยามหันกลับไปมองคนที่กำลังสนใจอย่างอื่นอยู่ด้านหลัง พลันใบหน้าคมจึงประดับด้วยรอยยิ้มบาง
บ้านของเขา...พื้นที่ส่วนตัวที่จะได้เปิดรับแฟนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง ให้ทุกอณูไม่ได้มีเพียงกลิ่นอายแบบดิบๆแต่จะมีความอ่อนหวานของแฟนมาเติมเต็มสิ่งที่บ้านไม้ขาดหาย
TBC.
มาแล้ววววว หายไปนานเลยเพราะชีวิตยุ่งกับการเรียนมากจริงๆค่ะ><
อ๊ะๆ ใครที่หวังรออ่านตอนพี่กินน้องต้องเสียใจด้วยน้าเพราะเราวาร์ปข้าม เนื่องจากมีเรื่องที่สำคัญกว่า อิอิ
แม่พี่หินเจอน้องแฟนแล้ว แค่นี้ก็รู้แล้วเนอะว่าคุณแม่ทีมใคร
พูดกับลูกเสียงหนึ่ง พูดกับน้องแฟนเสียงสิบเลย55555555555 แต่ละบ้านต่างโดนซื้อไปอีกฝั่ง^^
ตอนหน้ามาดูน้องแฟนอินขอนแก่นกันนนนน จะเป็นประเด็นสุดท้ายที่พี่หินไม่ได้เล่าให้น้องฟังแล้วค่ะ
หายไปนานหวังว่ากำลังใจจะไม่หาย~ อ่านแล้วคอมเมนต์หรือมาพูดคุยในแท็ก #พี่หินคนห่าม ด้วยน้า/อ้อน
ปล.เรื่องนี้ดำเนินมาเกินครึ่งเรื่องแล้วนะคะะะ บวกลบไม่เกินประมาณสามสิบตอนจบค่ะ(จะจบลงตรงนี้ไหม หรือจะออกทะเล5555555)
แฟนเพจ : https://www.facebook.com/writerexsoull/
Twitter : https://twitter.com/exsoull_ ฝากติดแท็ก #พี่หินคนห่าม ด้วยนะคะ