Deen Diary
บทแทรก : แกน
ผมกับไอ้ดีนเหมือนน้ำกับน้ำมัน มันไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ มันปฏิเสธกันและกัน พอมาคิดทบทวนดูแล้วในตอนมัธยมผมกับมันก็ไม่สามารถเป็นเพื่อนกันได้ พูดให้ถูกคือผมในตอนนั้นไม่อยากอยู่ร่วมกับมันมากกว่าโดยไร้ซึ่งเหตุผลในการกระทำแบบนั้น แต่ครั้งหนึ่งในช่วงวัยหัวเลี้ยวหัวต่อใครๆ ก็ทำผิดกันได้นี่หว่า
พอเข้าสู่รั้วมหาลัยเหมือนฟ้าเล่นตลก ผมกับไอ้ดีนต้องมาเจอหน้ากันอีกแต่ทุกอย่างเปลี่ยนไป ผมเองก็เปลี่ยน ไอ้ดีนก็เปลี่ยน ผมยังจำแววตาตกใจเมื่อครั้งแรกที่มันเห็นผมอยู่ในสายตาได้ ผมก็ไม่ต่างกัน ไม่คิดว่าชาตินี้จะได้เจอหน้ามันเร็วแบบนี้ ตั้งแต่มันลาออกไปผมคิดไม่ตกเรื่องของมัน เป็นความรู้สึกที่ค้างคาเหมือนเป็นการติดค้างต่อมัน
หรือจะเรียกว่าผมกำลังรู้สึกผิดมากกว่า
ผมกับไอ้ดีนไม่ลงรอยกันตั้งแต่แรก สาขาศิลปศาสตร์แบ่งพวกออกเป็นสามก๊วนใหญ่ แน่นอนว่าก๊วนของผมกับมันไม่ถูกกันและมีพวกเป็นกลางอยู่ประปราย คนอื่นๆ เข้าใจกันไปเองว่าผมกับไอ้ดีนไม่ถูกกันเพราะเรื่องการชิงประธานรุ่นและกลายเป็นผมที่ได้รับเลือก นั่นทำให้ไอ้ดีนแทบไม่มองหน้าผม ผมกับมันต่างกันแต่กลับเป็นเด็กกิจกรรมทั้งคู่ เป็นแกนนำกลุ่มต่างๆ ทั้งของสาขาและคณะ
แต่บางครั้งบางอย่างกลับสวนทางกัน คนสองคนเหมือนผลักออกจากกัน แต่ทว่าก็คล้ายดึงดูดเข้าหากันอย่างเลี่ยงไม่ได้
ผมตามเรื่องของไอ้ดีนอยู่นานว่าหลังจากที่มันย้ายออกมันไปทำอะไรอยู่ที่ไหนมา เรื่องของไอ้ดีนติดอยู่ในใจผมตลอดเวลา มันต่างจากเรื่องไอ้ท็อปเพราะมันเคยเป็นเพื่อนผม แต่เรื่องของไอ้ดีนมันตรงกันข้าม กลับกันด้วยซ้ำ
แทบไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน…
ผมเดาใจมันไม่ออกไม่รู้ว่าภายในใจมันคิดอะไรอยู่ ต้องการอะไรบ้าง และนั่นแหละที่ผมอยากจะรู้ถึงได้ตอแยมันอยู่แบบนั้น ตลกนะว่าไหม กลายเป็นผมคนอย่างไอ้แกนที่ใครๆ ก็ชื่นชมนับหน้าถือตากลับต้องมาคอยตื๊อไอ้ดีนอยู่แบบนั้น
พักหลังๆ ผมกลับสนใจ ‘ตัวตนของมัน’ มากกว่าเรื่องราวของอีกฝ่าย มันเปลี่ยนไปเป็นคนละคน คนที่ผมเข้าไม่ถึงและ ‘อะไร’ ทำให้มันเปลี่ยนไปได้ขนาดนั้น
“มึงไม่คิดจะทำอะไรหน่อยเหรอวะ จะนั่งซังกะตายจนเป็นง่อยไปเลยหรือไงวะ” ไอ้พตเดินมาหาผมที่กำลังขัดนวมคู่โปรดอย่างอารมณ์เสีย อีกฝ่ายจ้องผมเหมือนโกรธมาสิบชาติได้ ผมขำหึ
“อือ กูเบื่อ” ผมกระแทกเสียงก่อนจะโยนนวมไปข้างๆ อย่างไม่ใส่ใจ
ตอนนี้มันไม่มีความหมายอะไรแล้ว การที่ผมมาชกมวยก็เพราะอยากหาอะไรทำแก้เซ็ง แม้ว่าตอนนี้ผมกำลังเซ็งอย่างสุดขีดแต่การชกมวยมันทำให้ผมสงบลงไม่ได้ ที่ผมเซ็งคือหลังจากวันที่ไอ้ดีนมาที่ห้องผมมันก็หายหัวหายหน้าไปจากคณะ เข้าใจว่ามันกำลังปั่นงานแต่ไม่ค่อยได้เจอที่สตู พอนึกถึงเรื่องวันก่อนผมแปลกใจที่มันขอโทษผมแบบนั้น คงจะเรื่องที่มีส่วนให้ผมจบช้า ผมไม่ถือว่าเป็นความผิดมันหรอก แต่ผมเหมือนบางอย่างมันยังไม่ลงรอย ผมเองก็ไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร หลังจากที่มันกลับออกไปผมเหมือนคนเมายา ทุกอย่างดูเบลอๆ
มันไม่ได้ตอบคำถามของผมและผมก็ไม่รู้ว่าทำไมมันต้องสักชื่อผมไว้กันแน่
ในเมื่อมันไม่อยากบอกผมก็ไม่คาดคั้น ผมอยากรู้เรื่องราวของมันมากกว่านี้จากปากของมันเองด้วย และคิดว่าต้องมีสักวันที่มันจะเล่าให้ผมฟัง ก็อย่างที่ไอ้ดีนพูดมันกับผมถือว่าดีขึ้นมามากแล้ว ไอ้พตถอนหายใจก่อนจะเอาส้นเท้ามาเตะเข้าที่เอวผมสองสามทีให้ความรู้สึกจั๊กจี้ชอบกล
“หาอะไรทำสิวะ กูบอกให้มึงไปลงชกกับเด็กๆ มันสักยกหนึ่งก็ได้” มันว่าก่อนจะส่ายหน้าระอา
“ไม่เว้ย กูเลิกแล้ว” ผมพูดก่อนจะลุกขึ้นยืนเก็บนวม
“แล้วเอายังไง หนี้ที่มึงติดเฮียไว้น่ะ” ไอ้พตเตือนความจำผม
“เออน่า กูไม่ได้ขัดสนขนาดนั้น” การที่ผมมาขึ้นสังเวียนมันก็แค่กีฬา แต่หลังๆ ผมใช้มันสำหรับสั่งสอนคน พอมาย้อนคิดดูแล้วมันโคตรงี่เง่า
“ตามใจมึง” ไอ้พตมองผมอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะเดินไปวอร์มร่างกายตัวเองต่อ
ผมเดินกลับไปที่ห้องเปลี่ยนเสื้อเก็บนวมเข้าที่ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาเช็คข่าวไอ้ดีน เพราะผมมีน้องสองสามคนอยู่แถวนั้นมันคอยเป็นหูเป็นตาให้ ผมกังวลเรื่องไอ้ดีน เป็นห่วงมัน
ในตอนนี้ผมไม่คิดจะทบทวนว่ากำลัง ‘คิด’ อะไรกันแน่
สายข่าว : เพิ่งออกมากินข้าว
ผมอ่านข้อความจบก็เหลือบไปมองเวลา นี่มันบ่ายสามโมงแล้วมันเพิ่งโผล่หัวออกจากห้องพัก ทำตัวเป็นพวกซอมบี้ไปได้ ผมรู้ว่ามันคงยังสับสนเพราะที่ผ่านมามันสะสมความเกลียดที่มีต่อผมไว้เยอะ พอทุกอย่างกำลังจะดีขึ้นมันคงต้องการเวลาหรืออะไรก็ช่าง แต่ผมเป็นคนใจร้อนไม่ชอบรออะไรนานนักหรอกผมถึงได้ตามตื๊อมันไม่เลิกจนสุดท้ายมันยังยอมให้ผมจนได้
เอาวะ ในเมื่อมันก็รำคาญผมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แค่ไปเพิ่มให้มันรำคาญมากขึ้นไปอีกคงไม่เสียหายอะไร
ในตอนนี้ผมรู้ว่าต้องการอะไรผิดกับมันที่ยังเคว้งคว้างไม่อยู่กับร่องกับรอย เห็นทีต้องไปกระตุ้นมันดูซะหน่อย ผมเก็บของก่อนจะออกจากค่ายมวย จุดหมายก็คือหอพักไอ้ดีน
ผมหยุดที่อยู่หน้าห้องของมัน ได้ยินเสียงแอร์ภายในห้องดังแผ่วๆ ในมือของผมมีผลไม้หลายอย่าง ซื้อมาแบบไร้เหตุผล ผมเองก็ไม่ได้หิวแค่ซื้อมาแก้เก้อ
ก๊อก ก๊อก
ผมเคาะเบาๆ สองครั้ง รออยู่ไม่นานเสียงปลดโซ่ก่อนที่ประตูจะถูกเปิดออก ไม่คิดว่ามันจะล็อกสองชั้นอะไรแบบนั้น ไอ้ดีนเปิดประตูออกมาสีหน้ามันดูแปลกใจชัดเจนที่เห็นผม
“มึง” อีกฝ่ายดูมึนงง คำพูดที่หลุดจากปากมันมีแค่นี้ ผมไม่สนใจมัน
“ขอเข้าไปหน่อยดิ”
“มาทำไม” ไอ้ดีนขวางไว้ก่อน ผมทำเสียงไม่พอใจอย่างลืมตัวก่อนจะผลักมันออกไปให้พ้นๆ ทาง มันสู้แรงผมไม่ได้หรอก ไอ้ดีนยื้ออยู่ไม่นานนักก็ปล่อยให้ผมเข้าไปในห้องจนได้ ได้ยินเสียงมันสบถ
“แค่มาเยี่ยม” ผมบอกขณะที่เดินเข้ามาอยู่กลางห้อง สภาพในห้องมันทำให้ผมนิ่งอึ้งไปบ้าง ข้าวของกระจัดกระจายเหมือนไม่ได้ทำความสะอาดมานาน จำได้ว่าครั้งสุดท้ายไม่ได้รกขนาดนี้ แบบนี้มันเหมือนคนกินๆ นอนๆ แล้วทิ้งขยะเอาไว้ในทุกพื้นที่ที่ว่างอยู่ ไอ้ดีนยืนมองผมหน้านิ่วคิ้วขมวด
“ถ้าจะมาก็ต้องบอกก่อนสิวะ”
“มึงพึ่งแดกข้าวเช้าเวลานี้เหรอ” ผมไม่สนใจประโยคก่อนหน้านี้ของมัน ไอ้ดีนจ้องหน้าผมไม่ละสายตา มันคงคิดว่าผมรู้ได้ยังไง
“เรื่องของกูเหอะ” อีกฝ่ายทำเป็นไม่แยแส ผมถอนหายใจ รู้สึกว่าไอ้ดีนช่างดื้อดึงเหลือเกิน
“นึกว่ามึงจะลดอคติลงบ้าง” ผมพูด
“เปล่า แต่กูคิดแบบนี้จริงๆ” ไอ้ดีนพูดห้วนจ้องตาผมไม่หลบไปไหน
“กูเป็นห่วง” ผมพูดเสียงดังให้มันได้ยินชัดๆ สายตามองสำรวจทุกอิริยาบถของอีกฝ่ายที่ดูไม่อยากเชื่อในสิ่งที่หลุดจากปากผมไป มันนิ่งก่อนจะทำตัวไม่ถูกเพราะสังเกตจากแขนทั้งสองข้างของมันเปลี่ยนไปไว้ด้านหลัง
“หึ”
“กูซื้อผลไม้มาตั้งหลายอย่างกินซะสิ” ผมบอกก่อนจะยื่นถุงผลไม้สองสามถุงไปให้มันเอาไปจัดการใส่จานเอง ก่อนจะเดินไปนั่งบนเตียงของมันก่อนได้รับอนุญาตเพราะเมื่อย มันไม่ได้ว่าอะไรคงคิดว่าห้องนี้คงไม่มีที่นั่งที่ดีไปกว่าเตียงนอนของตัวเอง ไอ้ดีนแค่เอาไปแช่ตู้เย็น
“อิ่มแล้วไว้กินทีหลัง” มันงึมงำบอก
จำได้ว่าที่ผมถามว่าทำไมถึงสักชื่อของผมไว้ มันไม่ได้ให้คำตอบ เป็นใครก็อยากจะรู้เหตุผลสำหรับการสักชื่อของเราไว้นี่หว่า ที่สำคัญผมแกล้งมันมาก่อน จะจำผมไว้จนวันตายด้วยการสักก็ถือว่าใจกล้าบ้าบิ่นจริงๆ
“มีอะไรอีก” ไอ้ดีนหันมาถามผม มันยังคงยืนอยู่บริเวณตู้เย็น ผมไหวไหล่มาถึงทั้งทีจะให้มาแล้วกลับเสียเวลา ผมไม่รู้จะไปไหน
“ไม่มี แต่ยังไม่อยากกลับ” ผมพูดไปตามตรง สิ่งที่คนอื่นๆ ชอบในตัวผมคือความตรงแต่ก็เป็นข้อด้อยเพราะสาวๆ ไม่ชอบผมซะเท่าไหร่ การพูดตรงๆ แบบนี้คงคิดว่ามันกระด้างเกินไปล่ะมั้ง ผมเอนหลังไปพิงหมอนของไอ้ดีน สายจับจ้องไปที่โต๊ะลิ้นชักข้างๆ เตียงแบบเรื่อยเปื่อย
ไอ้ดีนยังไม่ขยับไปไหนมันคงอึดอัดทำตัวไม่ถูก
“บอกเหตุผลไม่ได้เหรอที่สักชื่อกูไว้” ผมแค่อยากรู้ บางทีผมอาจจะกลับไปนอนเล่นที่หอตามเดิมก็ได้
“ไม่มีอะไรมาหรอกก็แค่สักๆ ไปเท่านั้น” มันตอบห้วนๆ ปฏิกิริยาแย่กว่าวันที่มันมาที่ห้องพักของผมเสียอีก
ผมมองมันอย่างสนใจ เท่าที่รู้เรื่องราวของมันหลังจากลาออกไปรู้สึกว่าจะไปอยู่กับเด็กอาชีวะหรือไม่ก็พวกสายอาชีพแถวๆ ในเมือง ฟังจากที่เด็กๆ มันเล่าดูเหมือนจะมีวีรกรรมพอสมควร หรือเป็นสาเหตุให้มันกลายเป็นคนแบบนี้ด้วย แข็งกระด้างก็ไม่ใช่ซะทีเดียว ตอนอยู่ที่คณะมันก็มีคาแรกเตอร์อีกแบบ หรือจะเป็นเพราะปมจากผมกันแน่
“ให้กูสักชื่อมึงไว้บ้างสิ” ผมลองหยั่งเชิงมันดู แน่นอนว่ามันตกใจมองหน้าผมเขม็ง
“มึงจะบ้าเหรอ” มันถอยห่างออกจากผมมองด้วยสายตาไม่ไว้ใจ
“เออ แล้วมึงบ้าหรือไงวะที่สักชื่อกูน่ะ” ผมหัวเราะเบาๆ ใช่ไหม มีใครที่ไหนทำแบบมันบ้าง
“ก็คงงั้น” มันยังคงบ่ายเบี่ยงเดินออกไปมองหน้าต่างบานเกล็ดตรงระเบียง
“อือ เพราะกูหรือเปล่าที่ทำให้มึง...”
“เรื่องผ่านมาแล้วมึงจะไปสนใจทำไม อยากให้กูลืมหรือว่าจำเรื่องแย่ๆ ของมึงกัน” มันตัดบทผมไม่ให้ได้พูดอะไรต่อ ผมคงไปจี้จุดตายมันเข้าจริงๆ
“มึงก็ไม่มีทางลืมอยู่แล้วนี่” ไอ้ดีนดูจนปัญญากับการพูดกับผม มันเงียบ
“มึงต้องการอะไรกันแน่” อีกฝ่ายดูสับสนมาก มากกว่าทุกครั้ง ไม่รู้ว่าอะไรทำให้มันเป็นแบบนี้
“ไม่รู้ บอกไม่ถูก แต่ไม่ได้จะมาก่อกวน กูแสดงความจริงใจตั้งแต่แรกแล้วนี่” ผมเองก็เหนื่อยที่จะยืนกรานในคำพูดแบบนี้ แบบที่ผมทำมาตลอดหลายเดือน
“ทำไมต้องทำแบบนี้” คราวนี้ไอ้ดีนมันเดินเข้ามาหาผมก่อนจะหยุดลงที่บริเวณปลายเตียง ผมมองไปทางมัน บางทีมันช่างอ่อนแอจริงๆ คงอย่างนั้นเพราะมันอ่อนแอไงมันเลยเป็นแบบนี้และสับสนมากจริงๆ จนผมกลัวว่ามันจะบ้าตายซะก่อน ทำไมมันไม่ระบายออกมาบ้างนะ
“ก็แค่อยากให้เราสนิทกัน”
“แล้วไง” มันเหมือนไม่ยินดียินร้ายอะไร ผมยิ่งเป็นห่วง
“ไม่รู้ จะยังไงก็ได้ แบบนี้มันก็ดีไม่ใช่เหรอวะ” ผมพูดก่อนจะขยับตัวลุกจากเตียง มันหันมาสนใจความเคลื่อนไหวของผม
“ไม่รู้”
“มึงเคยสำรวจใจตัวเองบ้างไหมว่าต้องการอะไรไม่ใช่อยู่ไปวันๆ ใครจะคิดยังไงก็ไม่สนใจปล่อยให้ผ่านไปแบบนั้น” ผมพูดอยากให้มันลองคิดในมุมนี้บ้าง
“มึงพูดถึงอะไร”
“กูพูดเรื่องพี่กัสของมึง เห็นว่าไปส่งพี่แกที่สนามบิน” ผมเห็นว่าบุคคลนี้มีอิทธิพลต่อมันมาก มากกว่าผมเสียอีก แต่ผมไม่เข้าใจพฤติกรรมของไอ้ดีนเท่าไหร่ ผมเองพอจะรู้เรื่องราวของพี่กัสของมันมาบ้าง
“มึงมายุ่งอะไรกับกูวะ” มันโกรธผมจริงๆ เหมือนผมไปแตะถูกแผลเก่าของมัน แววตามันแข็งกร้าวจ้องผมเหมือนอยากจะเข้ามาต่อย
“...”
“ออกไป” มันพูดเสียงดังแต่ผมยืนนิ่ง
“ไม่เว้ย จนกว่าจะรู้เรื่อง” ผมเสียงแข็ง ไอ้ดีนเหมือนหงุดหงิดจนทำอะไรไม่ถูก หวังว่ามันจะไม่โมโหจนออกจากห้องไป
“เลิกปั่นหัวกูเหอะ” สงสัยมันอารมณ์ไม่ดีล่ะมั้ง คราวก่อนยังจากกันด้วยดีอยู่เลย
“มึงก็เลิกผลักไสกูเสียที” ผมไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้พูดแบบนั้นออกไป
“อะไรนะ”
“มึงเคยเสียดายอะไรบ้างไหม ถ้าผ่านวันนั้นมาแล้วมานั่งคิดเสียดายทีหลังมันไม่คุ้มกันเลย” ผมพูดช้าๆ ผมเข้าใจความรู้สึกนี้ดี มันโคตรแย่ที่ทำอะไรไม่ได้ทั้งๆ ที่มีหนทางที่ดีกว่านี้
“ไม่หรอก ไม่มี” มันบอกส่ายหัวไปมาแทบไม่ได้คิดด้วยซ้ำ “มึงรู้เรื่องของกูได้ยังไง” มันหันมาโจมตีผม
“ไม่ยากหรอกถ้าจะตามสืบเรื่องใครจริงๆ มึงเป็นสายลับหรือไงถึงจะตามเรื่องเก่าๆ ไม่ได้”
“แล้วยังไงอีก รู้แล้วต้องการอะไร” ผมเงียบ ผมแค่อยากรู้ไม่ได้ต้องการอะไรอีก ไอ้ดีนมันเดินเข้ามาหาผมในระยะประชิด มันกำลังเสียการควบคุม
“กูเป็นห่วงเท่านั้นจริงๆ มึงกำลังจะเรียนจบไม่อยากให้มึงต้องพลาดพลั้ง เกรดมึงก็กลางๆ เกือบๆ จะโดนไทร์... ไปรีเกรดเหอะ”
“ว่าไงนะ” ไอ้ดีนทำหน้าเหมือนเพิ่งเคยได้ยินสิ่งที่ตลกที่สุด
“ไปรีเกรดซะช่วงซัมเมอร์ กูรู้ว่ามึงเก่งแต่เกรดมึงแย่ที่ไหนๆ เขาก็ต้องดูว่าเกรดระดับนี้ควรจะรับเข้าทำงานไหม” ผมบอกมันเหมือนเป็นผู้ปกครองมันซะเอง ไอ้ดีนส่ายหน้าท่าทางมันคงอึ้งที่ได้ยินแบบนี้
“มึงพูดจริงเหรอ” มันหัวเราะแห้งๆ ไม่มีอารมณ์ขันสักนิด ผมเป็นห่วงมันจะให้ผมทำยังไงดีนะ ผมรู้ว่าผมกำลังก้าวก่ายไอ้ดีนมากเกินจำเป็น แต่ผมก็ปล่อยวางเรื่องของมันไม่ได้จริงๆ ถ้าไม่ใช่ผมที่คอยรังควานมันจะมีใครที่มาสนใจมันบ้าง ไอ้ติเพื่อนมันน่ะเหรอ ไอ้ดีนแทบไม่เปิดใจให้เพื่อนมันเท่าไหร่
“ใช่ ฝึกงานจบก็สมัครเรียนซะ”
“....”
“ดีน” ผมเรียกชื่อของมัน รู้สึกไม่ชินปากนัก
“ทำไม” คราวนี้อีกฝ่ายหันมามองหน้าผม
“พอเถอะ กูรู้มึงเหนื่อย” ผมบอกมันด้วยน้ำเสียงปลอบประโลม ในเวลานี้ไม่ควรสาดน้ำมันใส่กองไฟอารมณ์ของไอ้ดีน เป็นแบบนั้นเหมือนกองไฟที่กำลังสุมเตรียมมอดไหม้ขึ้นมาอีกระลอกได้ ผมเป็นห่วงจิตใจของมัน
มันอ่อนแอจริงๆ ทำไมมันถึงอ่อนแอแบบนี้นะ
ไอ้ดีนมองหน้าผมอยู่นาน แววตาทั้งสองข้างดูตื่นตระหนกไปวูบเดียว มันหลับตาถอนหายใจไหล่ทั้งสองข้างของมันดูแบกรับอะไรหนักหนาไว้เกินไปและท้ายที่สุดไอ้ดีนก็หมดแรง มันเหมือนโครงกระดูกที่ไม่มีจิตวิญญาณ
“ทำไมวะ ทำไมมึงต้องมาทำดีกับกู” มันพึมพำน้ำเสียงแหบแห้งยืนนิ่งกำมือแน่น
“กูว่ากูพูดไปหมดแล้วนะ ไม่มีอะไรอย่างอื่นแอบแฝง” ผมบอก ผมอดทนกับมันมาตลอด
“แล้วทำไมมึงถึงไม่พอซะทีล่ะ” มันพูดเหมือนเหนื่อยล้า ไม่มีความแดกดัน ไม่มีความฉุนเฉียว
“กูว่ามึงต่างหากที่ต้องหยุดตั้งคำถามได้แล้ว ไอ้ดีน มึงดูตัวเองบ้าง” ผมลากคอมันเข้าไปในห้องน้ำ ไอ้ดีนโวยวายลั่นเหมือนว่าผมไปทำให้มันเจ็บปวดมากมายเพราะผมไปจับเนื้อต้องตัวมันน่ะสิ
“ไอ้แกนปล่อยกู ปล่อย” มันดิ้นแต่ผมจับมันยืนให้หันหน้าไปทางกระจกมันจะได้เห็นตัวเองซะบ้างว่ามีสภาพเป็นยังไง
“มึงแหกตาดูซะ” ผมบอกมัน ไอ้ดีนแค่จ้องสะท้อนแววตาโกรธเคืองมาให้ผมก่อนจะเบนสายตามามองกระจกที่สะท้อนเข้าหาแววตาของมันเอง ไอ้ดีนนิ่ง ผมมองมันแอบเห็นรอยสักที่โผล่ออกมาจากคอเสื้อ ชื่อของผม GAN อักษรแบบโกธิคดูมีพลังบางอย่าง มันคงโกรธแค้นผมจริงๆ
“กูแค่อยากให้กูจำ จำไม่ลืมว่าไอ้คนชื่อนี้ทำให้กูต้องมาลงเอยแบบไหน” มันพูดเพราะเห็นว่าผมจ้องรอยสักของมัน ผมมองตามันผ่านกระจกเงา “มันก็มีสองด้านนะ เหมือนเหรียญด้านนึงก็เกลียดมึง อีกด้านก็ขอบคุณมึง ไม่งั้นกูก็ไม่มีวันนี้ได้หรอก กูอาจจะตายไปแล้วก็ได้ แต่การที่สักชื่อมึงไว้มันก็แค่สักเหมือนเป็นสัญลักษณ์ล่ะมั้ง หึ... คงจะอย่างนั้น” แบบนี้เรียกว่าเครื่องยึดเหนียวได้ไหมนะ เอาความเกลียดเป็นที่ยึดเหนียว แต่ตอนนี้มันลดความเกลียดลงแล้วเท่าที่ผมสัมผัสได้ แล้วตอนนี้อะไรล่ะที่ยึดเหนี่ยวของมัน
“มึงก็ไม่ได้มีความหมายมากมายไปกว่านี้หรอก” ไอ้ดีนพูด ก่อนจะผลักผมออก
“เลิกทำร้ายตัวเองสิ”
“ดีน” ผมเรียกชื่อมันอีกครั้ง ยังคงไม่ชินปาก ผมคิดว่าคนฟังก็รู้สึกแบบเดียวกัน
“ไม่ต้องพูด” อีกฝ่ายเอ่ย มองผมด้วยแววตานิ่งเฉย
“รู้เหรอว่ากูจะพูดอะไร”
“พล่ามเรื่องเก่าๆ ไงวะ” ไอ้ดีนพูดอย่างหงุดหงิด คิ้วขมวดเข้าหากกัน
“ไม่ใช่” ผมตอบ อีกฝ่ายหันมามองหน้าผมด้วยความแปลกใจ
“อะไร...”มันถามเบาๆ
“เมื่อไหร่จะเข้มแข็งซะที” ผมบอกมันชัดๆ อย่างหนักแน่น ให้มันฟังแล้วเก็บเอาไปคิด ไอ้ดีนเหมือนอึ้งไป เพราะมันนิ่งงัน ผมเห็นว่าอีกฝ่ายหลบหน้าผม คงเพราะขอบตามันแดงก่ำ ผมไม่คิดว่ามันจะร้องไห้ แต่พอทบทวนดูแล้วมันคงอัดอั้นไว้นาน “มึงร้องไห้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่”
“ทำไมต้องมาสนใจอะไรแบบนี้ด้วยวะ” มันพูดห้วนๆ บังคับให้ตัวมันเองไม่สั่น มันนั่งลงกับพื้นเห็นกระดูกที่โผล่ตรงไหล่ มันผอมลงมาก
“เลิกตั้งคำถามแล้วเปิดใจเถอะ กูขอร้องว่ะ” ผมพูดเสียงดังให้มันได้ยินเต็มๆ หูอีกสักครั้ง มันเงียบผมเม้มปากก่อนจะตัดสินใจนั่งลงตรงหน้ามัน “กูอยู่เป็นเพื่อนมึงได้... ไม่ต้องไล่กู”
“มึงไม่ไปอยู่แล้ว” ไอ้ดีนพูดก่อนจะเงยหน้ามองผม ขอบตามันแดงท่าทางดูอดหลับอดนอนมาด้วย มันนิ่งนั่งกอดเข่าเหมือนคนไม่มีแรงก่อนจะซบหน้าลงกับแขนตัวเอง “กูมันอ่อนแอ ความจริงของกูที่ไม่เปลี่ยนไปเลย ทำไมวะ ทำไมกูถึงเป็นแบบนี้” มันพึมพำ ผมลังเลก่อนจะเอื้อมมือไปแตะแขนมันเงียบๆ มันไม่ตอบสนองอะไร ไม่ได้ผลักออก ไอ้ดีนแค่เงียบ มันคงน้ำตาไหลเงียบๆ
“มึงร้องไห้ออกมาดังๆ ได้นะ” เราทุกคนต่างมีแผล ผมเป็นคนเลวคนนึง ผมอาจไร้เหตุผลและผมมีบาดแผลน้อยกว่ามัน ไอ้ดีนมันไม่เคยเข้มแข็งขึ้นเลย
“มึงออกไปก่อนกูขอร้อง” มันพูดโดยไม่มองหน้าผม ผมเลยลุกขึ้นก่อนจะเดินออกจากห้องน้ำปล่อยมันไว้คนเดียวแบบนั้นน่าจะดีกว่า ผมกดดันมันมากเกินไปสินะ