❀ Moon's Embrace : บทที่ 5 ... ครึ่งแรก ❀
ใกล้ยามเซิ่นแล้ว ฮ่องเต้หยวนสือเจิ้งก็ยังไม่ขยับพระวรกายออกจากห้องพระอักษร ฎีกาฉบับแล้วฉบับเล่าถูกพู่กันสะบัด พร้อมประทับลายพระราชลัษจกรอย่างไม่ทรงเหน็ดเหนื่อย จวบจนหลีกงกงต้องไปขอเติมแท่นฝนหมึกใหม่ กระนั้นถึงได้รู้ว่า มีบุรุษร่างสูงใหญ่รอเข้าเฝ้าอยู่หน้าประตู กงกงคนสนิทจึงรีบนำความไปทูลเจ้าแผ่นดิน
“ฝ่าบาท องครักษ์ซุนไป่หานขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้สือเจิ้งเงยพระพักตร์ขึ้นมา แววพระเนตรเป็นประกายครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะรับสั่งอนุญาต หลีกงกงถอยเท้าหายไปครู่หนึ่ง ไม่ช้าก็กลับมาพร้อมบุรุษในเสื้อเกราะเต็มยศ
ซุนไป่หานรีบคำนับ ก่อนคุกเข่าลงข้างหนึ่ง พลางใช้กำปั้นยันพื้นเอาไว้ เป็นท่าเคารพแบบทหาร
“เจ้ามีอะไร เมื่อคืนหลับสบายดีหรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้ามีเรื่องอะไรหรือ”
“ฝ่าบาท กระหม่อมได้รับบัญชาให้ถวายจดหมายฉบับหนึ่งกับพระองค์”
ฮ่องเต้สือเจิ้งขมวดพระขนง
“ทำไมถึงไม่ให้ข้าตั้งแต่เมื่อวานเล่า”
“ท่านอ๋องประสงค์ให้กระหม่อมถวายเป็นการส่วนพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
ที่จริงก็นึกสงสัยยังไม่คลาย แต่พอได้ยินองครักษ์ซุนพูดเช่นนี้ ก็พานให้นึกถึงใบหน้าของจวิ้นอ๋อง
จิวหรงช่างอาภัพนัก ตั้งแต่เด็กเขาต้องเติบโตท่ามกลางสงครามวังหลัง แลกด้วยเลือดแลกด้วยเนื้อ ถึงเขาจะพยายามปกป้องเด็กคนนี้ด้วยทุกวิถีทาง แต่ทั้งเล่ห์และอุบายชั่วต่างๆ นานา ทำให้บางครั้งต้องสำเร็จโทษตามเนื้อผ้า เขาจะเป็นเสาหลักที่โอนเอียงไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะเป็นจักรพรรดิที่เที่ยวธรรมได้อย่างไร ถึงจะปวดใจนัก แต่ความผิดที่เกิดขึ้นคราวก่อน การเนรเทศจิวหรงจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
หลีกงกงตรงเข้าไปรับจดหมายฉบับหนึ่งจากซุนไป่หาน ก่อนนำมาถวายฮ่องเต้ หยวนสือเจิ้ง คลี่จดหมายออก พระเนตรหรี่ลงอ่านตัวอักษรด้านในเดี๋ยวนั้น
เนื้อหาด้านในไม่มีอะไรมาก หลักๆ แล้วจิวหรงแค่ต้องการหมอ นอกนั้นเป็นเรื่องสารทุกข์สุขดิบของตัวเอง ทั้งยังถามไถ่สุขภาพด้วยความเป็นห่วง และแนะนำให้เขาผ่อนคลายความเครียดด้วยการอ่านหนังสือ
เด็กคนนี้ช่างรู้ใจเขานัก จิวหรงแนะนำหนังสือบทกวีดีๆ มากมายให้กับเขา หนึ่งในนั้นมีหนังสือกวีของซุ่ยล่อหลาน
ความเงียบเข้าปกคลุมชั่วครู่หนึ่งได้ แต่ไม่นานนักพระจักรพรรดิก็ทรงวางจดหมายของจิวหรงลงแล้วถอนลมหายพระทัย
“เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่เห็นจะต้องมอบเป็นการส่วนตัวเลย รัชทายาทควบคุมกองวังชั้นนอกอยู่ ข้าจะรับสั่งให้เขาคัดหมอมากฝีมือให้อ๋องจิวเอง”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
ไป่หานรีบก้มหัวขานรับไม่มีคำคัดค้านใดๆ ก่อนสือเจิ้งจะพูดขึ้นอีก
“เจ้าจะเดินทางกลับเมื่อไร”
“กระหม่อมจะให้ทหารจำนวนหนึ่งกลับไปก่อนวันนี้ ส่วนตัวกระหม่อมได้รับสั่งว่าให้พาหมอจากวังหลวงกลับไปด้วย”
เขากล่าวรายงานไปตามจริง ฮ่องเต้สือเจิ้งพยักพระพักตร์ทราบ
“เช่นนั้นข้าจะเร่งเรื่องนี้ให้เจ้า วันนี้ก็พักที่วังหลวงชั้นนอกไปก่อน ขาดเหลืออะไรก็บอกกับหลีกงกง”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท กระหม่อมทูลลา”
♦♦♦♦♦♦♦
บ่ายวันเดียวกันนั้นรัชทายาทหยวนอี้หมิงได้ขึ้นเกี้ยวแล้วเสด็จไปที่ตำหนักรุ่ยอันของพระมเหสีหลิวจู เนื่องด้วยฮองเฮามีพระประสงค์อยากเรียกตัวเขามาปรึกษาเรื่องสำคัญ ส่วนเรื่องสำคัญที่ว่าหยวนอี้หมิงกลับรู้ดีว่าคงหนีไม่พ้นเรื่องเดิมๆ
หลังจากที่ขายาวก้าวข้ามธรณีประตูไปแล้ว ก็เห็นหญิงสูงศักดิ์ในชุดผ้าแพรสีแดงสด ปักลวดลายด้วยนกยูงรำแพนดูงดงามวิจิตร ไม่แพ้กับปิ่นปักผมหยกที่อยู่พระเศียรทรงมวยสูงกำลังนั่งใช้กรรไกรตัดกิ่งดอกไม้ในแจกัน รัชทายาทหนุ่มค้อมตัวลงคำนับ มเหสีหลิวจูชำเลืองสายตามองเขาเล็กน้อย แต่แสร้งทำเป็นไม่สนใจ
“เรียกลูกมาเช่นนี้ มีอะไรหรือ”
มือเรียวขาวที่กำลังตัดใบถึงกับชะงัก เนตรงดงามเบี่ยงมองคนเป็นลูกชายด้วยสีพระพักตร์ไม่พอใจนัก
“นับวันเจ้ายิ่งทำตัวห่างเหินจากข้านัก อี้หมิง”
พอได้ยินประโยคถากถางแรกเอ่ยออกมา หยวนอี้หมิงกลับไม่ได้สะทกสะท้าน กลับกันคือขยับตัวไปแล้วนั่งลงฝั่งตรงข้ามมารดา
“ลูกไม่เคยทำตัวห่างเหินเสด็จแม่เสียหน่อย แค่พักนี้เสด็จพ่อไว้วางใจข้ามาก จึงไม่เวลาให้เสด็จแม่ อย่ากริ้วลูกเลยนะ”
พูดด้วยพระสุรเสียงที่อ่อนโยนนัก รอยสรวลแย้มขึ้นหวานหยด มเหสีหลิวจูเห็นกระนั้นก็ถอนลมหายพระทัย ก่อนจะวางพระหัตถ์ลงบนมือลูกชาย
“เลิกออดอ้อนข้าสักที อย่าลืมสิตอนนี้เจ้าเป็นรัชทายาทแล้วนะ” อี้หมิงยิ้มพลางกุมแม่ตัวเองกลับ
“ลูกทราบดี แล้วเสด็จแม่มีเรื่องอันใดหรือ”
คำถามนั้นเล่นเอามือที่กำลังกอบกุมอยู่ถึงกับปล่อย สีพระพักตร์ตึงเครียดขึ้น เมื่อคิดถึงเรื่องเมื่อวันก่อน
“ซุนไป่หาน เจ้าคิดว่าเจ้าเด็กกระหายเลือดจิวหรงนั่นส่งเขามาทำไม”
อี้หมิงถึงกับนิ่งเงียบ ครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนจะตอบ
“พระเชษฐาก็แค่ส่งมาเอาพระทัยเสด็จพ่อ”
คำตอบสั้นๆ ทำเอาเนตรนางพญาถึงกับตวัดมามองอย่างไม่พอใจ
“เจ้าคิดตื้นเขินไป อย่าลืมถึงเจ้าจะเป็นรัชทายาทแล้ว แต่ฮ่องเต้ยังมิได้สละบัลลังก์ ถึงเด็กชั่วนั่นจะถูกเนรเทศไปอยู่เมืองหู่แล้ว แต่ก็ยังมิได้ถอดยศ และเป็นถึงจวิ้นอ๋อง เจ้าไม่คิดหรือว่าที่ฮ่องเต้เนรเทศมันไปที่นั่นเพื่อเป็นการปกป้องมันมากกว่า ข้าไม่ไว้ใจ”
ยิ่งพูดก็ยิ่งหงุดหงิดนัก นางไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไมฮ่องเต้ถึงยังเก็บเจ้าเด็กอันตรายไว้อีก คิดทำร้ายอี้หมิงลูกของนางยังไม่พอ ดูท่าแล้วต้องการจะถอนรากถอนโคนตระกูลนางเพื่อแก้แค้นให้ผู้หญิงชาติชั่วนั่นเป็นแน่
ตรงกันข้ามกับความคิดของหยวนอี้หมิงนัก เพราะถึงในคดีความครั้งนั้นหลักฐานทั้งหมดจะไม่สามารถเอาผิดหยวนจิวหรงได้ตรงๆ แต่มันก็มากพอที่จะทำให้เสด็จพ่อเลือกเข้าข้างเขามากกว่าแล้วสั่งเนรเทศอีกฝ่ายออกไปจากเมืองหลวง
สำหรับเขาแล้วหยวนจิวหรงก็เป็นแค่คนที่หมดอนาคต
“เสด็จแม่ทรงคิดมากไป ที่เมืองหู่นั่นกันดารแร้นแค้น เขาไม่มีทางทำอะไรพวกเราได้อีก ถึงจะส่งเครื่องบรรณามาเอาพระทัยเสด็จพ่อได้ แต่คนไกลหรือจะสู้คนใกล้ชิด ตราบใดที่เสด็จพ่อยังโปรดลูก ในสายพระเนตรคงไม่มีวันเหลียวแลเจ้านั่นหรอก”
“ เหอะ! สกุลเถื่อนคนถ่อย สมกันทั้งแม่ลูก หากเป็นที่เจ้าว่าจริงข้าก็คิดว่าเป็นเรื่องดี แต่ถ้าไม่ขึ้นมา…” มเหสีหลิวจูเว้นช่วงไป เนตรคู่งามหรี่ลงแฝงแววครุ่นคิด “ข้ารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี”
“เสด็จแม่มีคนส่งข่าวอยู่ที่เมืองหู่ด้วย ไยจะต้องกังวลพระทัย”
เป็นความจริงเรื่องที่นางแอบส่งไส้ศึกเข้าไปรับใช้ใกล้ชิดอ๋องจิวอย่างแนบเนียน แต่กระนั้นนางก็ยังไม่ไว้ใจอยู่ดีว่าทุกอย่างมันจะง่ายดายและจบลงแล้ว
สมัยก่อนตอนที่ยังเป็นแค่สนมระดับล่างๆ นางกับสนมเหยียนแม่ของอ๋องจิวแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน กว่าจะขึ้นมาถึงระดับสูงสุดได้เลือดตาแทบกระเด็น แล้วนางก็คิดว่าสนมเหยียนคงมิได้พร่ำสอนให้ลูกชายเป็นคนดีเสียขนาดนั้น ตอนที่จิวหรงใช้ดาบประหารบ่าวไพร่ตนเองต่อหน้าต่อหน้าอี้หมิง นางมั่นใจว่านั่นไม่ใช่แค่การข่มขู่ แต่เป็นการตักเตือนว่าเลือดก็ย่อมล้างด้วยเลือด
“อย่างไรก็ตาม เจ้าห้ามวางใจเด็ดขาด คลื่นลมสงบไม่ได้หมายความว่าพายุจะไม่ก่อตัว”
มเหสีหลิวจูตักเตือนลูกตนเอง อี้หมิงเห็นความเป็นห่วงในแววพระเนตรแล้วก็ไม่อยากใจร้ายปฏิเสธ เขาเพียงพยักหน้าอย่างเข้าใจแล้วกล่าว
“เสด็จแม่อย่าได้กังวลพระทัย ลูกมีแผนไว้อยู่ คนอย่างจิวหรงเป็นคนบุ่มบ่ามมุทะลุใจร้อน ถึงบางแผนการจะร้ายกาจจนข้าเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่ก็มีช่องโหว่งอยู่ท่วมท้น หากเขาแอบซ่องสุมกำลังพลที่เมืองหู่ ไม่ว่าจะจริงหรือไม่ ก็ถือว่าคิดชิงบัลลังก์เสด็จพ่อ หึ...เข้าทางเรานัก”
ไม่ว่าจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ การใส่ความว่าร้ายก็เป็นอาวุธชั้นหนึ่งที่ใช้กันในราชสำนัก และโทษกบฏก็ร้ายแรงประหารถึงเก้าชั่วโคตร ขอเพียงจิวหรงขยับผิดทางเล็กน้อยเขาก็พร้อมถล่มอีกฝ่ายให้ราบ
“คนอย่างหยวนจิวหรงต้องเผาอย่าให้เหลือกระดูก ตราบใดที่เจ้านั่นยังมีชีวิตอยู่ข้าไม่อยากให้เจ้าวางใจอะไรง่ายๆ ”
“ลูกจะจำคำตรัสไว้อย่างเคร่งครัด”
ได้ยินคำกล่าวของลูกชายหลิวจูก็เบาใจลง ตอนนี้ถึงนางจะได้เปรียบ ไม่ว่าก้าวไปทางไหนก็เป็นต่อและได้รับการสนับสนุนจากเหล่าขุนนาง สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ...
“อี้หมิงตอนนี้เจ้าเป็นรัชทายาท อย่าให้อำนาจหลุดมือไปเป็นอันขาด” อำนาจก็เปรียบเสมือนหลังเสือ หากขึ้นมาแล้วควบคุมได้ ไม่ว่าใครก็ต่างเกรงกลัว แต่ถ้าลงจากหลังเสือมาเมื่อใด น่ากลัวว่าเสือตัวนั้นจะหันกลับมาขย้ำ
♦♦♦♦♦♦♦
อาทิตย์ใกล้อัสดงแล้ว เย็นวันนั้นหลังจากฮ่องเต้สือเจิ้งออกจากห้องพระอักษร เนื่องด้วยเป็นคนรักการอ่านเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดจากบ้านเมือง จึงรับสั่งหลีกงกงให้นำหนังสือกวีทั้งหมดตามที่จิวหรงแนะนำมาให้
หลีกงกงรีบทำตามรับสั่ง ขันทีเฒ่าเดินมาถึงยังพระราชวังชั้นนอก พอถึงหอหนังสือก็บอกขันทีน้อยที่ดูแลห้อง ไม่ช้ากองหนังสือบทกวีก็มากองไว้อยู่ตรงหน้า เขาค่อยตรวจดูทีละเล่มอย่างใจเย็น ทว่ากลับมีเล่มหนึ่งที่นูนพองออกมาราวกับมีใครบางคนสอดอะไรบางอย่างไว้
หลีกงกงหยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมา หน้าปกเป็นกรมน้ำเงิน เขียนด้วยตัวอักษรจีนว่า ‘ซุ่ยล่อหลาน’ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ลงมือเปิดไปยังหน้าที่ถูกบางอย่างสอดแนบเอาไว้
มันเป็นแผ่นกระดาษเก่าๆ ในนั้นเขียนด้วยตัวหนังสือบรรจงสวยงาม ทว่าเนื้อความด้านในกลับ...
“นี่มัน นี่มัน! ...” หลีกงกงหน้าซีด เหงื่อกาฬพรายผุดไปทั่วร่าง หัวใจร่วงหล่นไปอยู่ตาตุ่ม เขารีบเก็บกระดาษแผ่นนั้นซ่อนไว้ใต้สาบเสื้อ เรื่องนี้จะให้ใครล่วงรู้ก่อนไม่ได้
ขันทีเฒ่ารีบยกกองหนังสือทั้งหมดแล้วมุ่งตรงไปยังตำหนักโอรสสวรรค์ทันที
เมื่อมาถึง หยวนสือเจิ้งกำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ที่โต๊ะด้านในหลังฉากกั้น ไม่รอช้าพอวางหนังสือเสร็จ หลีกงกงก็รีบทูลเจ้าแผ่นถึงเรื่องที่ตัวเองพบ ก่อนยื่นกระดาษที่มีเนื้อความอันตรายให้
ครั้งแรกที่ได้เห็น พระเนตรจักรพรรดิถึงกับเบิกกว้าง...ถึงเนื้อความในกระดาษแผ่นนี้จะมีเพียงไม่กี่ประโยค ทว่าล้วนแต่พานให้คิดถึงความหมายแอบแฝง...
‘ต้นฤดูเหมันต์ วันที่สอง ประตูเมืองทิศตะวันตก ยามขาล ธงแดงโบกสะบัด’
นี่มัน...
“ลายมือนี้คล้ายขององค์รัชทายาทนัก”
ยิ่งเห็นก็ยิ่งใจหายนัก หวังว่าเรื่องทั้งหมดจะไม่เป็นอย่างที่เขาคิด ว่าอี้หมิงกับฮองเฮาคิดกบฏ ทว่าจะตีตนไปก่อนไข้เพราะกระดาษแผ่นเดียวมิได้ เขาจำเป็นจะต้องมีหลักฐานแน่ชัดเสียก่อน ตอนนี้เขาสัมผัสได้ถึงหัวใจตัวเองที่เริ่มปวดระทม
“ฝ่าบาทจะทำเช่นไรดีพ่ะย่ะค่ะ” หลีกงกงถาม หยวนสือเจิ้งนั่งนิ่งไปสักพัก ก่อนถามออกมา
“เจ้าบอกว่า...พบมันที่ใดนะ”
“ที่หอหนังสือพ่ะย่ะค่ะ”
ได้ยินกระนั้นก็พานให้ฉุกคิดถึงจดหมายของจิวหรงเมื่อตอนกลางวัน ไม่แน่ว่าบางที่นี่อาจเป็นฝีมือของจิวหรงก็เป็นได้ แต่ก็ไม่แน่อีกเช่นกันว่ามันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญ หากเขาต้องการจะสืบความเป็นไปได้อาจจะต้องไล่สืบจากหนังสือเล่มนี้ขึ้นไป
“ซุ่ยล่อหลาน เจ้าสืบได้หรือไม่ว่าใครเป็นคนยืมหนังสือเล่มนี้ไปก่อนข้า”
“เรื่องนั้นข้าสืบมาเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หลีกงกงตอบอย่างรู้ใจ สือเจิ้งขมวดคิ้ว
“ใคร”
“หมอหลวงแซ่ฉิน นามกวนเจ๋อพ่ะย่ะค่ะ”
♦♦♦♦♦♦
เริ่มเข้าสู่กลางเดือนหกแล้ว
นับได้ว่าเดือนนี้เป็นเดือนที่ปลายฝนต้นหนาวได้ไม่เต็มปากนัก พอเข้าสู่กลางเดือนอากาศกลับอบอุ่น ไม่รู้ว่าสิ้นเดือนจะมีลมหนาวโบกพัดมาหรือไม่ ช่างเอาแน่เอานอนไม่ได้ แต่กระนั้นฮ่องเต้สือเจิ้งก็ยังโปรดให้นำดอกเบญจมาศให้ประดับไปทั่วทุกที่ ราวกับเป็นนัยบ่งบอกว่าดอกไม้หลากสีเหล่านี้ยังคงสะพรั่งไม่แปลงไปเช่นมวลอากาศ บรรยากาศที่มักจะอึมครึมในวังเลยสดใสขึ้น
สีเหลืองทองอร่ามตา…
บุปผาผลิบานบานสะพรั่งรับลมอ่อนพลิ้วไหว
เสียงวิหคน้อยขับขานร่ำร้อง คล้ายกับบทเพลงนิราศถึงทัศนียภาพอันสวยงามนอกกำแพง
เช้านี้อู่ลี่จินเลยอารมณ์ดีนัก หมอหนุ่มนั่งท่องตำราต่อในห้องเรียนแพทย์ การเป็นหมอหลวงชั้นต้นได้สำเร็จไม่ได้หมายความว่าเขาบรรลุปณิธานที่ตั้งใจไว้กับท่านปู่ ทุกสิ่งที่ทำมาตอนนี้ประหนึ่งตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ลี่จินไม่รู้เลยว่าชีวิตหมอหลังกำแพงจะถูกตรวนด้วยโซ่ไม่ต่างจากสัตว์ สั่งให้รักษาก็รักษา สั่งให้มองเฉยก็ต้องมองเฉย เขาน่าจะเชื่อคำบอกของถานเซียงแล้วกลายเป็นหมอเถื่อนนอกเมืองเสียคงดีกว่า
ทว่าจะถอยเท้ากลับตอนนี้ก็คงเป็นไปได้ยาก หนึ่งเพราะเขาถือคติที่ว่าคนเราท้อได้แต่ถอยไม่ได้ ฉะนั้นถึงความก้าวหน้าจะถูกพันธนาการไว้ด้วยเส้นสาย แต่การเรียนรู้คือสิ่งที่ไม่ทอดทิ้งเขาแน่นอน
และเพราะคิดแบบนั้น สหายรักอย่างฉินกวนเจ๋อจึงต้องมานั่งอยู่เป็นเพื่อน หากนั่งเงียบๆ ยังพอว่า แต่อีกฝ่ายกลับโอ้อวดกรอกหูไม่เลิกตั้งแต่เช้าว่าฮ่องเต้เรียกตนไปเข้าเฝ้าเพราะโปรดหนังสือกวีของซุ่ยล่อหลานเหมือนกัน
ถึงแม้อู่ลี่จินจะทำเป็นหูทวนลม แต่กลับรู้สึกแปลกๆ ในสิ่งที่กวนเจ๋อเล่าอยู่บ้าง ทว่าเลือกที่ปิดปากเงียบเพราะบางทีเขาอาจจะคิดระแวงวังหลังมากไป กระทั่งอยู่ๆ คนพูดมากก็มาวกเข้าเรื่องทหารเมืองหู่ ทำเอาสายตาที่กำลังไล่อ่านตัวอักษรบนหนังสือเรียนชะงัก
“เช้านี้ข้าได้ยินข่าวว่าพวกทหารที่มาจากเมืองหู่ เดินทางกลับแคว้นกันตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น”
ลี่จินเงยหน้าขึ้นจากตำรา มองใบหน้าคนพูดที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
“ดูเจ้าสนใจเรื่องทหารเมืองหู่มากทีเดียวนะ”
“ไม่ได้สนใจ ข้าแค่คาบข่าวมาบอกเจ้า”
“บอกข้าทำไม”
“เผื่อเจ้าสงสัยว่าทำไมองครักษ์ซุนถึงหายไป”
ป๊าบ!
“ข้าไม่ได้สนใจเขา”
นอกจากจะปิดตำราซะเสียงดันจนสะดุ้งแล้ว ลี่จินยังหันกลับไปตอบเสียงแข็ง ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมกวนเจ๋อถึงต้องคิดว่าเขากับองครักษ์ซุนนั่นสนิทสนมกันด้วย ทั้งๆ ที่เจอหน้ากันนับครั้งได้
“แต่เขามีเยื่อใยกับเจ้านะ แม้จะเจือจางแทบมองไม่เห็นก็เถอะ” ลี่จินถอนหายใจ เขารู้สึกเหนื่อยที่จะพูดเรื่องนี้ชอบกล แต่กวนเจ๋อก็ยังคงเป็นกวนเจ๋อ ถึงจะแสดงท่าทีไม่พอใจอย่างไร ก็ปิดปากบางๆ นั่นไม่ได้
“เจ้าจะสนใจเรื่องข้ากับเขาทำไมนักหนา สิ่งที่เจ้าควรสนคือจะสอบเลื่อนขั้นอย่างไรให้กลายเป็นหมอหลวงวังใน”
“มันเลื่อนได้ง่ายๆ ที่ไหนกันเล่า ของแบบนี้มันต้องสร้างความดีความชอบ แต่ดูก็รู้ว่ามีแม่น้ำสายใหญ่ขว้างอยู่ สงครามวังหลังนั้นมันน่ากลัวขนาดไหนเจ้าก็รู้ ขณะพวกเราเป็นแค่หมอหลวงชั้นต้นพวกเขายังสั่งสืบประวัติ ตรวจสอบต้นตระกูลแทบทุกคน หากใครดูเอื้ออำนวยมีผลประโยชน์ก็ได้ดิบได้ดี ส่วนเจ้ากับข้า...อีกสิบปีข้าแน่ใจเลยว่ายังย่ำอยู่ที่เดิม! ”
เป็นความจริงอันน่าเจ็บปวดนัก ต่อให้ฝีมือดีแค่ไหนก็มิอาจสู้คำว่าต้นตระกูลได้ สกุลฉินเป็นแค่ขุนนางเล็กๆ ระดับล่าง ถึงบุตรหลานจะสอบหมอได้ แต่จะไม่มีผู้ใดเหลี่ยวมองก็คงไม่แปลกเพราะไม่มีผลประโยชน์เกื้อกูล ยิ่งแซ่อู่ของลี่จินแทบไม่ต้องพูดถึง แทบไม่มีบันทึกเอาไว้ในทะเบียนราษฎร์ด้วยซ้ำ
“เช่นนั้น เจ้าก็ควรสาปแช่งให้คนด้านหลังกำแพงนั่นป่วยไข้ แล้วโชคดีเรียกหาหมอแซ่ฉิน เผื่อเจ้าจะได้มีโอกาสรักษาคนใหญ่คนโตสักคนสองคนเผื่อจะได้เลื่อนขั้น”
“ลี่จิน!! เจ้ามันใจร้ายใจดำ กล้าสาปแช่ง เจ้าเป็นยักษ์มารมาเกิดหรืออย่างไร ถึงได้พูดจาเช่นนี้”
“แล้วจะให้พูดปลอบเจ้าหรือ ว่าเจ้ามีโอกาสนะฉินกวนเจ๋อ พยายามทำตัวเด่นๆ เข้าไว้เดี๋ยวไม่แน่วันดีคืนดีฮ่องเต้อาจมีพระประสงค์เรียกเฝ้าไปรักษาสนมเล็กๆ สักคน”
กวนเจ๋อถึงกับเถียงไม่ออก รู้สึกคำพูดของลี่จินตรงเข้าแทงใจดำจนจุก อย่าว่าแต่หวังรักษาสนมเล็กๆ เลย แค่โอกาสเข้าวังชั้นในก็แทบมองไม่เห็น เรื่องคิดจะเลื่อนขั้นนั้นฝันกลางวันชัดๆ นอกเสียจากว่าสวรรค์จะมีเมตตาไม่ทอดทิ้งหมอตัวเล็กๆ ให้พบพระพักตร์ฮ่องเต้สักครั้งเพื่อแสดงฝีมือแพทย์!
พอเห็นกวนเจ๋อห่อเหี่ยวแล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะ ลี่จินก็ลอบยิ้มขันเบาๆ ในที่สุดก็สงบปากสงบคำได้ ใจจริงก็ไม่อยากจะตัดกำลังใจเท่าไร ทว่ามันกลับเป็นเรื่องจริงที่เขากับกวนเจ๋อจะต้องเผชิญ
ตอนนี้เที่ยงตรงแล้ว ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะอยู่ในห้องเรียนอีก ลี่จินลุกขึ้น มองหมอตัวเล็ก กำลังจะเอ่ยปากชวนไปกินข้าว ทว่ากลับมีใครบางคนเดินพรวดเข้ามาพวกเขาในห้อง
“หมอแซ่ฉินอยู่ที่ใด” เสียงนั้นเรียกคนที่ฟุบหน้าลงบนโต๊ะอย่างหมดอาลัยตายอยากที่สวรรค์ไม่รักเงยหน้าขึ้นมาเหวอๆ ใบหน้าใสซื่อนั่นดูงุนงงอย่างคนจับต้นชนปลายไม่ถูก เมื่อเห็นหลีกงกง เขายกมือขึ้นช้าๆ
“ข...ข้าเอง มีเรื่องอันใดหรือท่านกงกง”
หลีกงกงไม่ตอบทำเพียงเอ่ยเสียงสั่ง
“ลุกขึ้นไปวังใน”
กวนเจ๋อตาโต เมื่อครู่เขาเพิ่งกล่าวโทษสวรรค์ไปว่าทอดทิ้ง แต่อยู่ๆ ก็เหมือนได้รับการโอบอุ้มจากสวรรค์ ถึงจะไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร แต่สมองกับคิดว่าโชคเข้าข้างแล้ว ไม่แน่ว่าพระสนมอาจจะประชวรแล้วเรียกตัวเขาเข้าเฝ้าอย่างที่ลี่จินว่าก็ได้
“ใครป่วยหรือ”
“ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องตั้งคำถาม ตามข้ามาก็พอ”
หมอร่างเล็กครางรับเบาๆ ก่อนหันหน้าไปมองลี่จินที่ยังยืนงงไม่ต่างกัน กวนเจ๋อยิ้มทะเล้นพลางขยับปากช้าๆ อ่านได้ว่า ‘เลื่อนขั้นแน่’
♦♦♦♦♦♦♦♦
60%