ก่อนตะวัน : 6
[ Shogun’s Part ]
ช่วงนี้รู้สึกเหมือนกับว่าชีวิตมันวุ่นวายขึ้นยังไงชอบกล
เปล่าครับ... ไม่ใช่เพราะเรื่องงาน หรือเรื่องเรียนหรอก เรื่องพวกนั้นยังพอรับมือไหว
แต่ที่รับมือไม่ได้เนี่ย คือตัววุ่นวายสองคนนี่ต่างหาก
“พวกมึงจะไปไหนอ่ะ” เสียงทุ้มถามขึ้นทันทีที่นายเปิดประตูหลังร้านให้และผมกำลังจะเดินเข้าไป
“ไปเอาเมล็ดกาแฟครับ” ผมตอบเนือยๆ
“ต้องแห่กันไปสองคนเลย?” เขาเลิกคิ้ว ยิ่งทำให้ใบหน้าที่ดูกวนอยู่แล้วยิ่งกวนเข้าไปใหญ่
ผมไม่ตอบ แค่ถอนหายใจหน่ายๆ
บางทีคำถามของซันก็ไร้สาระเกินไปนะครับ
“ผมไปเอาน้ำแข็งมาเติม” นายเป็นคนตอบแทน คนที่นั่งอ่านชีทอยู่หลังเคาน์เตอร์จึงวางปากกาลุกขึ้นมา
“กูช่วย”
“ผมยกคนเดียวได้”
“กูมีน้ำใจไง”
“พี่อ่านหนังสือไปเหอะ”
“กูอยากพักสายตา”
“พี่ซันแม่ง...”
น่ารำคาญ
ปัง
ผมขี้เกียจยืนฟังสองคนนี้เถียงกัน เพราะฟังมาแทบทั้งคืนแล้วจึงเดินมาหลังร้านก่อนพร้อมกับดึงประตูปิด รอให้ตกลงกันได้ค่อยตามมาก็แล้วกัน
ไม่ทันไรทั้งสองคนก็เดินตามเข้ามา ห้องเก็บของดูเล็กลงถนัดตาเมื่อมีผู้ชายสามคนยัดกันอยู่ข้างใน ผมหยิบกาแฟกระสอบเล็กเสร็จก็เตรียมจะเดินออก ปล่อยให้สองคนนั่นช่วยกันยกกระสอบน้ำแข็งไป
“อ้าว พี่ซัน ไหนบอกมาช่วย” แต่มีใครบางคนกลับตามผมมาหน้าตาเฉย
“อ้าว ไหนมึงบอกยกคนเดียวได้” ยังจะหันไปเถียงอีก
“แล้วพี่เดินตามมาทำไมวะเนี่ย” นายโวยวาย ขณะที่ผมหันมามองร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างตัว ขมวดคิ้วส่งสายตาถามว่ากำลังเล่นอะไร
“มากูช่วย” แต่คนตรงหน้าแกล้งทำเป็นไขสือ พลางเอื้อมมือมาแย่งกระสอบกาแฟไปจากมือผม แล้วเดินออกจากห้องเก็บของไป
ผมถอนหายใจอีกรอบอย่างอดไม่ได้
กวนตีนว่ะ
ผมกลับมาหลังเคาน์เตอร์อีกครั้ง ในจังหวะที่มีลูกค้าเข้าพอดี จึงเดินไปรับออเดอร์ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนทุกที วันนี้เป็นสุดท้ายของการสอบมิดเทอมแล้ว ลูกค้าช่วงดึกจึงไม่เยอะเหมือนอาทิตย์ก่อน แต่ก็ยังมีบางคณะที่ยังสอบไม่เสร็จ อย่างซันก็ยังเหลือสอบอีกตัวหนึ่งถึงต้องมาถ่างตานั่งอ่านหนังสืออยู่ ในขณะที่ผมเพิ่งสอบตัวสุดท้ายเสร็จเมื่อตอนบ่าย เล่นเอาเกือบตายเหมือนกันเพราะกว่าจะทำงานเสร็จก็เกือบเช้า แล้วกลับไปก็ยังต้องอ่านหนังสืออีก โชคดีที่มีเพื่อนสรุปบทเรียนไว้ให้ เพราะเห็นใจที่ผมต้องเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยจนตัวเป็นเกลียวสภาพเหมือนศพไปทุกวัน
“วันหลังไม่ต้องมาอาสาช่วยอะไรอีกเลยนะไอ้พี่ซัน” ได้ยินเสียงนายบ่นอุบที่สุดท้ายก็ต้องยกน้ำแข็งมาเทใส่ถังข้างเคาน์เตอร์คนเดียว ในขณะที่อีกคนส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ไม่สะทกสะท้านอะไร
“กูเพิ่งนึกได้ว่าน้ำแข็งมันก็ไม่ได้หนักอะไรขนาดนั้นไง”
“ลาเต้ร้อนครับ” ผมรีบหันไปบอกคนที่กำลังเทเมล็ดกาแฟลงเครื่องบดก่อนที่สองคนนี้จะเริ่มเถียงอะไรกันอีก
วันนี้ผมเหนื่อยมาก แถมรู้สึกปวดหัวนิดๆ ด้วย ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะขอให้หุบปากทั้งคู่เลย
“มึงชงดิ” แต่ร่างสูงกลับถอยหลังออกมา เปิดทางให้ผมเป็นคนชงกาแฟแทน
ผมไม่ได้ว่าอะไร เพราะปกติถ้าเป็นลาเต้ก็มักจะถูกยกให้เป็นหน้าที่ผมเสมอ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ทั้งที่ก็สอนไปแล้ว ตอนชงให้ผมชิมรสชาติก็ใช้ได้แล้ว แต่พอให้ชงทีไรก็จะบ่ายเบี่ยงเอาแต่หลบไปนั่งดูอยู่เฉยๆ ทุกที
อย่างตอนนี้ถึงจะไม่ได้หันไปมองก็รู้ว่าคนที่ทำเป็นกลับไปเปิดชีทอ่านกำลังมองมาไม่วางตา
ทำตัวเหมือนว่างเลยนะครับ
“พี่ซันเหลือสอบกี่ตัว” ได้ยินเสียงนายลากเก้าอี้ไปนั่งข้างๆ แล้วถามอย่างชวนคุย
เด็กนี่คุยเก่งชะมัด ผมว่าผมอัธยาศัยดีแล้วยังเทียบไม่ได้เลย เพราะบางครั้งผมไม่อยากคุยก็จะตอบห้วนๆ ถึงปากจะยิ้มแต่ในใจก็อดเบื่อหรือรำคาญไม่ได้ ซันรู้เรื่องนี้ดี เหมือนใช้เวลาตลอดพาร์ทไทม์ศึกษาพฤติกรรมผมยังไงยังงั้น เขาจับได้เสมอเวลาผมยิ้ม หรือหัวเราะไม่จริงใจ แล้วก็มักจะหาเรื่องมาเหน็บแนมหรือมาแหย่ให้ผมหลุดทำหน้ารำคาญใส่ทุกที
นิสัยไม่ดี
“ตัวนึง มึงมาสอบแทนกูดิ๊”
“จ้างผมดิ” แต่กับนาย ผมไม่เห็นเขาทำสีหน้าหงุดหงิดเลย ดูเป็นเด็กมองโลกในแง่ดีเกินไปจนบางทีผมก็ไม่เข้าใจว่าอะไรบ่มเพาะให้กลายมาเป็นคนดีได้ขนาดนั้น คนอะไร ต่อให้เหนื่อยแค่ไหนก็ยังยิ้มสดใสได้อย่างจริงใจ ขนาดโดนซันกวนใส่บ่อยๆ ยังไม่เห็นน้องมันว่าอะไรเท่าไหร่เลย ยังคุยเล่นได้ บางครั้งหัวเราะชอบใจรับมุกกันไปมา
คุยกันถูกคอก็ดีอยู่หรอก แต่ไม่ต้องซึมซับนิสัยกวนตีนของคนพี่มาให้ผมปวดหัวเพิ่มก็พอ
“พี่โชเพิ่งสอบบัญชีตัวสุดท้ายไปใช่มั้ย เป็นไงบ้างพี่” คราวนี้นายหันมาถามผม ซึ่งยังตอบอะไรไม่ได้เพราะกำลังเทโฟมนมใส่แก้วอยู่
วาดแขนจนเกิดลวดลายต้นสนบนหน้ากาแฟแล้วจึงวางแก้วลงเตรียมเสิร์ฟพลางหันมาตอบยิ้มๆ
“ก็โอเคนะ มีเพื่อนติวให้เลยไม่ยากเท่าไหร่”
“เพื่อนไหนวะ” พูดจบเสียงอีกคนก็โพล่งขึ้นมาทันที
ผมหันไปขมวดคิ้ว มันใช่เรื่องที่ต้องสงสัยด้วยเหรอครับ
ซันมองหน้าผมเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าถามอะไรไม่เข้าท่าออกมา ก่อนจะกลับมายิ้มมุมปากทำหน้ากวนเหมือนเดิม “กูตกใจไง ที่มึงมีเพื่อนกับเขาด้วย”
กวนตีนอีกแล้วนะครับ
“เอากาแฟไปเสิร์ฟเลยครับ” ผมเปลี่ยนเรื่อง ยื่นถาดกาแฟให้คนปากมากที่เบ้หน้าอิดออดแต่ก็ยอมลุกไปเสิร์ฟให้อยู่ดี
วันนี้ไม่ใช่เวรเขา แต่ซันก็ยังมา อันที่จริงเขาก็มาตลอดนั่นแหละ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะให้พี่โมแบ่งกะทำไม นายก็อีกคน อยู่ๆ อาทิตย์ที่ผ่านมาก็มาที่ร้านทุกวันทั้งที่ไม่ใช่เวร สองคนนี้อ้างว่ามาหาที่อ่านหนังสือแต่ผมก็ไม่ค่อยเห็นพวกเขาอ่านเท่าไหร่เลย ยังช่วยผมเสิร์ฟกาแฟ ทำนู่นทำนี่ไปตามประสาทั้งที่ผมพยายามบอกแล้วว่าไม่จำเป็น
ถ้าอยากได้เวลางานเพิ่มทำไมไม่ไปบอกพี่โมกันล่ะครับ ไม่เข้าใจ
“พี่โช ไม่สบายป่ะเนี่ย หน้าซีดๆ นะครับ” เสียงนายร้องทักหลังจากผมถอนหายใจหนักๆ แล้วนั่งฟุบหน้าลงกับเคาน์เตอร์ทันทีที่ว่างงาน
อยู่ๆ ก็รู้สึกปวดหัวมากกว่าเดิมเฉยเลย
“ไหน” ผมไม่ทันได้ตอบอะไร เสียงทุ้มของคนที่เพิ่งถูกไล่ให้ไปเสิร์ฟกาแฟก็ดังขึ้นมา
ซันวางถาดลงแล้วลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ ผมพร้อมกับยกมือขึ้นมาแตะหน้าผากกันเบาๆ คิ้วเข้มขมวดนิดๆ เมื่อสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิร่างกายที่ผิดปกติ
“ตัวรุมๆ นะตี๋”
“ผมไม่เป็นไรครับ” ผมปัดมือหนาออก ซุกหน้าลงกับแขนตัวเองหลบไม่ให้ถูกแตะอีก
ไม่ค่อยชอบให้ใครมาแตะตัวเลยอ่ะ
ยิ่งสีหน้าเหมือนเป็นห่วงกันแบบนั้น... มันทำให้ผมทำหน้าไม่ถูก
“อย่าดื้อดิ เดี๋ยวปิดร้านเลย กลับไปนอน” เขาว่าพลางดึงแขนผมออกทำท่าจะบังคับให้ลุก แต่ผมขืนตัวไว้
“ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ”
“พี่โช ไปพักเหอะ เดี๋ยวผมขับรถไปส่งก็ได้” นายทำเหมือนเป็นเรื่องใหญ่อีกคน
“ไม่ได้” แต่คนเถียงกลับไม่ใช่ผม ซันโพล่งขึ้นมาทันทีเหมือนลืมตัว ก่อนจะหันไปพูดอึกอักใส่คนอายุน้อยกว่า “รถมึงเป็นมอไซค์อ่ะ อันตราย เกิดไอ้ตี๋เป็นลมตกรถตายห่าขึ้นมาทำไง”
“งั้นผมยืมรถพี่” ว่าพลางแบมือขอกุญแจ
“ไม่ได้โว้ย” แต่ก็โดนปฏิเสธเสียงแข็งอยู่ดี “ลูกกู กูขับได้คนเดียว”
“พี่ซัน!”
ทำไมอยู่ๆ ถึงเถียงเรื่องไร้สาระกันอีกแล้วล่ะครับ
“สนุกกันมากมั้ยครับ” ผมลุกขึ้นถ้ามด้วยความเหนื่อยใจ ทั้งสองคนเลยหันกลับมาเลิกคิ้วเหมือนไม่รู้ตัวว่ากำลังทำตัวงี่เง่าแค่ไหน “ถ้าสนุกก็เถียงกันต่อไปเลยนะ ผมขอไปงีบหลังร้านแป๊บนึง”
“เฮ้ย พี่โช...” นายทำท่าจะเถียงอะไรขึ้นมาอีก แต่เพราะมีลูกค้าเข้าพอดีจึงต้องฝากไว้ก่อนเพื่อไปรับออเดอร์แทน “รอแป๊บนะพี่โช เดี๋ยวผมไปส่งเอง”
ผมไม่ได้ตอบอะไร แต่เถียงในใจไปแล้วว่าไม่ได้จะกลับ แล้วก็ต้องหันกลับมามองอีกคนที่ยังวอแวไม่เลิก “กลับหอเลย เดี๋ยวกูไปส่ง”
“ผมไม่เป็นไรจริงๆ”
“ตี๋” เขาย่นหน้า คงคิดว่าผมดื้อเต็มที
“เอางี้” ผมถอนใจ พยายามหาข้อสรุปที่พอใจทั้งสองฝ่าย “ถ้าหลับแล้วไม่ดีขึ้นผมจะกลับ โอเคมั้ยครับ”
ดวงตาสีเข้มหรี่ลงเล็กน้อยเหมือนชั่งใจ แต่สุดท้ายก็ยอมปล่อยมือผมจนได้
“โอเค แต่มึงนอนตรงนี้แหละ” ยื่นเงื่อนไขพร้อมกับกดไหล่ผมให้นั่งลงที่เดิม
“ไม่ได้ครับ ลูกค้าเห็นมันจะดูไม่ดี” ผมขมวดคิ้ว อยากลุกขึ้นแต่ก็โดนบังคับให้นั่งลงอยู่ดี
“ช่างหัวลูกค้า นอนตรงนี้ อยู่ในสายตากู” น้ำเสียงออกคำสั่งที่ไม่ได้ยินบ่อยนักกับคำพูดที่ฟังดูแปลกหู ทำเอาผมชะงัก หาคำมาเถียงไม่ออก จนคนตรงหน้าถอดแจ็กเกตที่สวมอยู่ออกมารองบนเคาน์เตอร์พร้อมกับกดหัวบังคับให้ผมนอนลง ก็ได้แต่จำยอมพร้อมกับเอ่ยเบาๆ ด้วยความเหนื่อยเต็มกลืน
“ขอบคุณครับ” ผมหลับตา ปล่อยให้ความอ่อนเพลียที่เล่นงานมาตลอดวันพาเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างง่ายดายในเวลาไม่ถึงนาที
หลังจากนั้น ไม่รู้ว่าฝันหรือละเมอตื่นขึ้นมาจริงๆ อยู่ๆ ก็รู้สึกได้ถึงไออุ่นจากฝ่ามือใหญ่ๆ ที่แตะลงมาบนหน้าผากเบาๆ พร้อมกับเสียงทุ้มที่เหมือนดังอยู่ไกลๆ
“เหมือนตัวจะร้อนขึ้นเลยว่ะ”
“ผมว่าพากลับเลยดีกว่า เดี๋ยวผมอุ้มเอง”
“เดี๋ยววว ไม่ต้องเลยมึงอ่ะ”
“เฮ้ย อะไรเนี่ยพี่ ขวางทำไม”
“อุ้มเหี้ยอะไรล่ะ คิดว่าไอ้ตี๋จะยอมเหรอ มึงไม่ต้องไปโดนตัวมันเลย เดี๋ยวตื่นมาก็งอแงไม่ให้ไปส่งอีก”
“แล้วจะเอาไง”
“ลูกค้าจะหมดแล้ว เดี๋ยวกูปิดร้านเลย มึงไปซื้อยามาให้มันไป”
“ไม่เอาอ่ะ พี่แหละไป ผมจะดูแลพี่โช”
“มึงอย่าเพิ่งมางี่เง่าดิ๊”
“พี่แหละงี่เง่า ไหนบอกจะเป็นพ่อสื่อให้ผมไง”
“กูก็สื่ออยู่นี่ไง”
“สื่อเชี่ยอะไรของพี่เนี่ย”
“เดี๋ยวนี้ขึ้นเชี่ยกับกูละ?”
“ก็พี่ทำตัวสับปลับอ่ะ”
“อ้าว คราวนี้ด่ากูเลยนะครับน้องนาย”
“ก็พี่ซันแม่ง... ไหนบอกจะช่วยวะ เอาแต่ขัดแข้งขัดขากันชัดๆ”
“กูขัดอะไรมึงอ่ะ”
“ก็เมื่อกี้ ทำไมไม่ให้ผมไปส่งพี่โช”
“ก็บอกแล้วไงว่ารถมึงเป็นมอไซค์”
“ผมถึงยืมรถพี่ไง”
“กูหวงรถมึงไม่รู้เหรอ”
“เนี่ย ไม่เรียกขัดแข้งขัดขาแล้วเรียกอะไร”
“ช่างแม่ง กูไปซื้อเองยาอ่ะ มึงดูไอ้ตี๋ไปละกัน”
“โอเค ตามนั้น”
“ดูเฉยๆ นะมึง ห้ามแดก ถ้ากูรู้ว่ามึงแอบลักหลับตอนแม่งไม่สบาย กูแจ้งความจริงๆ นะ”
“นี่พี่เห็นผมเป็นคนยังไงวะเนี่ย”
“ไม่รู้อ่ะ ห้ามยุ่ง ห้ามแตะ ไม่เข้าใกล้เกินสองเมตรได้ยิ่งดี”
“เออๆ พี่รีบไสหัวไปซื้อยาเลยไป”
“เดี๋ยวกูมา” ว่าจบก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ เดินห่างออกไป พร้อมกับที่ใครบางคนเลื่อนเก้าอี้มานั่งใกล้ๆ รับรู้ได้ว่าฝ่ามือหนากำลังจะยื่นมาแตะหน้าผาก แต่สัมผัสได้แค่ไรผมก็ดึงกลับลงไปพร้อมกับบ่นพึมพำ
“แตะก็ไม่ได้”
“...”
“พี่ซันแม่ง เป็นพ่อสื่อหรือเป็นพ่อพี่โชกันแน่วะ ขี้หวงสัสเลย”
“...”
พ่อสื่อหรือพ่ออะไรกัน...?
รอให้ผมมีแรงตื่นอีกรอบก่อนเถอะ จะคาดคั้นให้อธิบายให้ฟัง ทั้งคู่เลย
ไม่รู้ว่าหลับไปอีกนานเท่าไหร่ แต่ตื่นขึ้นมาอีกทีก็ไม่เห็นใครอยู่รอบตัวแล้ว
เรื่องเมื่อกี้... คือความฝันเหรอ?
ฝันบ้าบออะไรเนี่ย ท่าจะไม่สบายจริงๆ
ผมลุกขึ้นมาด้วยความมึนงงยังจับต้นชนปลายไม่ถูก แถมยังรู้สึกเคืองตานิดหน่อยเพราะไม่ได้ถอดคอนแท็คเลนส์ก่อนนอน
“อ้าวพี่โช ตื่นแล้วเหรอ เป็นไงมั่ง” นายที่เพิ่งเดินกลับมาจากเก็บโต๊ะเอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย ผมยิ้มนิดๆ แต่ไม่ได้ตอบอะไร “เฮ้ยพี่ หน้ายังซีดอยู่เลย”
อันที่จริงผมยังรู้สึกปวดหัวอยู่เลย แต่เพราะไม่อยากให้เป็นห่วงเลยได้แต่ปฏิเสธไป
“ดีขึ้นแล้ว ไม่เป็นไร” ว่าพลางกวาดสายตามองไปทั่วร้าน ตอนนี้เหลือลูกค้าเพียงสามสี่โต๊ะเท่านั้น แต่ป้ายหน้าร้านที่ถูกพลิกด้าน Closed ขึ้นก่อนเวลาก็บ่งบอกว่าวันนี้เราไม่รับลูกค้าเพิ่มอีก
ถึงจะไม่เห็นด้วยเท่าไหร่แต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าคงต้องทำวิธีนี้ สภาพผมคงรับลูกค้าเพิ่มไม่ไหวแล้วจริงๆ แต่ก็ไม่อยากวางมือให้ซันกับนายแค่สองคน เพราะคนหนึ่งก็ไม่ได้อยู่ในหน้าที่ จะใช้งานมากไปก็เกรงใจ ส่วนอีกคนก็ถือเป็นพนักงานใหม่ ปล่อยให้ทำงานคนเดียวก็ไม่ได้อีก
“แล้วนี่ซันไปไหน” ผมเอ่ยถามเมื่อนึกขึ้นได้ว่าไม่มีวี่แววร่างสูงที่ควรจะส่งเสียงกวนๆ ให้ได้ยินตั้งแต่ผมตื่นแล้ว
“ไปซื้อยาอ่ะ แต่มันดึกแล้ว ร้านยาน่าจะหายากหน่อย” ว่าพลางเอาแก้วไปวางไว้ที่ซิ้งค์ล้างจาน
ซื้อยา? นี่มัน... เหมือนกับบทสนทนาที่ผมได้ยินในฝันเลย
หรือว่าจะไม่ได้ฝันจริงๆ ชักจะสับสนแล้วแฮะ
“พี่โชไม่ต้องทำอะไรแล้วนะ นั่งเฉยๆ เลย ที่เหลือผมจัดการเอง” นายเอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใส แต่สายตายังคงเจือความเป็นห่วงเป็นใย ผมยิ้มรับ ไม่เถียงอะไร แต่เอ่ยถามในสิ่งที่กำลังข้องใจแทน
“นาย ตอนพี่หลับ ได้คุยอะไรกับซันหรือเปล่า”
“ครับ?” รุ่นน้องหันกลับมาเลิกคิ้วถาม แต่ไม่ทันไรดวงตาคมก็เบิกกว้างขึ้น สีหน้าเหมือนถูกจับได้
“เกี่ยวกับเรื่องพ่อสื่อ... อะไรสักอย่าง” ยิ่งพอผมจี้ถูกจุด นายก็ยิ่งทำหน้าตาตื่น ดูมีพิรุธสุดๆ
“เฮ้ย พี่โชได้ยินเหรอ”
“นิดหน่อย แต่ไม่ค่อยเข้าใจ” ผมว่า สายตายังคงจับจ้องไปยังรุ่นน้องที่ทำสายตาหลุกหลิก เหมือนพยายามจะหาข้อแก้ตัว
“พ่อสื่ออะไร?” ผมเลยถามออกไปตรงๆ ไม่เปิดจังหวะให้หาข้ออ้างได้
นายขมวดคิ้ว มองผมอย่างลังเล แต่เพราะไม่รู้จะแก้ตัวยังไงล่ะมั้ง น้องถึงได้ถอนหายใจ พลางทำหน้าหงอยขึ้นมา
“ถ้าบอก พี่โชห้ามโกรธผมนะ”
“อืม”
“ห้ามเกลียดด้วย”
"ไม่เกลียดหรอก” ผมหัวเราะนิดๆ เมื่อเห็นสีหน้ากังวลนั่น
เรื่องอะไรกันแน่ ทำไมต้องกลัวผมโกรธขนาดนั้น
“คือว่า...” ทำท่าลังเล แต่พอเห็นผมสบตาอย่างตั้งใจฟังจึงสารภาพออกมาตามตรง “พี่ซันเขาคิดว่าผมชอบพี่อ่ะ”
.
“หืม?”
ผมขมวดคิ้วงุนงง แต่ไม่นานก็จับต้นชนปลายได้ พอจะเข้าใจแล้วว่าพ่อสื่อถูกใช้ในบริบทแบบไหน
“เขาบอกว่าจะช่วยผมจีบพี่”
ผมถอนหายใจเอือมๆ คนอะไรยุ่งจริง นี่ถ้าอยู่ผมคงด่าให้สักที
“เดี๋ยวพี่บอกให้ว่าเข้าใจผิด” ผมว่า ตั้งใจจะเคลียร์เรื่องนี้เอง
“ไม่ได้เข้าใจผิดหรอก” แต่นายกลับเถียงขึ้นมา ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีระเรื่อจนสังเกตได้
นี่อย่าบอกนะ...
“ผมชอบพี่จริงๆ”
“นาย...” ผมได้แต่เรียกชื่อเขา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะพูดยังไง
ไม่ใช่ว่าผมจะซื่อจนไม่รู้ว่าพฤติกรรมนายมันแปลก ที่เขาพยายามเข้าใกล้ผม พยายามช่วยเหลือนู่นนี่มันก็ชัดเจน แต่เพราะเห็นว่าเขาเป็นคนดี และมีแนวโน้มว่าจะทำแบบนี้กับทุกคน ถึงได้พยายามปัดความคิดพวกนั้นให้ตกไป
ไม่ทันคิดเผื่อว่าถ้าเด็กคนนี้ชอบผมขึ้นมาจริงๆ จะทำยังไง
“โห... สีหน้าพี่โชโคตรชัดเจนเลย” ผมไม่รู้หรอกว่าตัวเองกำลังทำสีหน้าแบบไหน นายถึงได้พูดแบบนั้นออกมา “ดีนะที่ผมเผื่อใจไว้แล้ว” ถอนหายใจเบาๆ เหมือนโล่งอกกับตัวเอง
“...”
“อันที่จริงพี่โชเป็นคนแสดงออกชัดเจนมากเลยรู้ตัวป่ะ” เอ่ยกลั้วหัวเราะ มองหน้าผมอย่างขบขัน “คนที่พี่สนิทใจ กับคนที่คบไปงั้นๆ พี่แสดงออกคนละอย่างเลย... เสียดายที่ผมเป็นอย่างหลัง”
“ขอโทษนะ คือพี่...ยังรับใครเข้ามาไม่ได้” ผมเอ่ยเสียงเบา ความรู้สึกผิดเอ่อล้นขึ้นมา แต่ยังคงเงยหน้าขึ้นสบตาคนตรงหน้าด้วยสายตาจริงใจ เปิดเผยความรู้สึกของตัวเองแบบที่ไม่เคยทำมาก่อนตลอดระยะเวลาที่รู้จักกัน
ผมมักจะเคลือบใบใบหน้าตัวเองด้วยรอยยิ้มทุกครั้ง เมื่ออยู่กับคนที่ไม่ได้สนิทใจ ก็เหมือนกับที่นายพูด ผมแบ่งคนด้วยการแสดงออกอย่างชัดเจน
“ผมรู้ พี่เหมือนมีใครอยู่ในใจ”
“...” ผมเงียบไป เพราะไม่คิดว่าตัวเองจะอ่านง่ายขนาดนั้น
“ผมถึงได้เผื่อใจไว้ไง กำแพงพี่มันหนาเกินไปจนผมไม่มั่นใจว่าจะปีนข้ามไปได้ตั้งแต่แรก” เสียงทุ้มเอ่ยกลั้วหัวเราะ
“...” ไม่รู้ว่าคิดเข้าข้างตัวเองหรือเปล่า ผมถึงได้คิดว่าสายตาของนายไม่ได้มีความเจ็บปวด หรือเสียใจแบบคนอกหัก เขายังคงยิ้มให้ผมอย่างจริงใจเหมือนที่ผ่านมา
“ผมล่ะโคตรอิจฉาพี่ซันเลย”
แต่คำพูดนั้นทำให้ผมเบ้หน้า “อิจฉาทำไม พี่เกลียดเขาจะตาย” คนอะไรทำตัวน่ารำคาญอยู่ได้ตลอดเวลา
“เนี่ย ขนาดพี่พูดว่าเกลียดผมยังอิจฉาเลย” นายหัวเราะออกมาเสียงดัง “พี่ซันแม่ง ทำยังไงวะ พี่ถึงเปิดใจให้ขนาดนี้”
เปิดใจ? นี่ผมไปเปิดใจให้หมอนั่นตอนไหนกัน ดูเหมือนนายจะเข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว
“พอได้พูดแล้วสบายใจดีอ่ะ รู้งี้บอกตั้งแต่แรกแล้ว”
“...” ผมไม่รู้ว่าจะตอบยังไง
ผมเคยสารภาพรักมาก่อน และคำว่าขอโทษ หรือขอบคุณหลังจากคำปฏิเสธ มันทำให้รู้สึกแย่พอกัน ข้อนั้นผมรู้ดี
“เฮ้ยพี่ ไม่ต้องทำหน้ารู้สึกผิดขนาดนั้น ผมไม่เป็นไร ใช่ว่าอกหักครั้งแรกซะเมื่อไหร่”
“ไม่เป็นไรจริงนะ” ผมถาม พยายามสบตาให้รู้ว่าเขาไม่ได้โกหกหรือหัวเราะกลบเกลื่อน แต่คนตรงหน้าก็ยังคงยิ้มสดใส ไม่มีวี่แววความเสียใจฉายออกมาให้เห็นเหมือนเดิม
“จริงดิ ผมว่าผมยังไม่ได้ชอบพี่ขนาดนั้นอ่ะ ตอนแรกเห็นพี่น่ารักดี เลยอยากลองทำความรู้จักดู แต่รู้ว่าไม่มีหวังตั้งแต่เนิ่นๆ ก็ดี ผมจะได้ไม่ต้องเดินหน้าไปไกลกว่านี้ ขอบคุณนะพี่ที่บอกตรงๆ”
“อืม” ผมยิ้มตอบ รู้สึกสบายใจขึ้นมาเมื่อเห็นว่านายดูเหมือนจะไม่เป็นไรจริงๆ
ทำยังไงผมถึงจะเป็นคนมองโลกในแง่ดีแบบนี้ได้บ้างนะ... บางทีผมอาจจะรับมือกับการอกหักได้ดีขึ้น
อย่างน้อยก็คงไม่ปล่อยให้มันเป็นแผลเรื้อรัง ทำร้ายตัวเองมาจนป่านนี้
“งั้นเดี๋ยวผมไปล้างจานต่อนะ พี่โชพักเถอะ หน้าซีดเป็นกระดาษแล้วเนี่ย” นายว่าพลางดันหลังผมกลับไปนั่งที่เดิมก่อนจะหันกลับไปยืนหลังซิ้งค์ล้างจานอีกครั้ง
“เออพี่” แต่ไม่ทันไรก็หันกลับมาพูดเหมือนนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “ไม่ต้องบอกพี่ซันนะ เรื่องที่เราคุยกัน”
“?” ผมทำหน้าสงสัย เพราะตั้งใจจะคาดคั้นอีกคนทันทีที่กลับมา
พ่อสื่ออะไรกัน ยุ่งไม่เข้าเรื่องนักเชียว
“แล้วถ้าผมทำตัวเหมือนยังจีบพี่อยู่ไม่ต้องคิดมากนะ ผมแค่อยากแกล้งไอ้พี่ซันมัน”
“หา?”
“หมั่นไส้อ่ะ ปากบอกว่าจะช่วยผมจีบพี่ซะดิบดี พอเอาเข้าจริงๆ ดันขัดแข้งขัดขาผมอย่างกับจะจีบเอง”
“ดะ...เดี๋ยวสิ” จีบอะไรกันล่ะ
“เอาเป็นว่า เข้าใจตรงกันว่าผมไม่ได้จีบพี่จริงๆ ก็พอ โอเคป่ะ”
“อะ...อืม” ผมอึกอักอย่างตั้งรับไม่ทัน ไม่ค่อยเข้าใจว่าเด็กนี่จะทำอะไร แต่สมองผมคงจะเบลอเกินไป ถึงได้หาคำมาโต้แย้งไม่ได้จนต้องพยักหน้าเออออตาม
แถมพิษไข้ยังทำให้หัวใจผมเต้นแรงจนรู้สึกร้อนไปทั้งตัวอีกต่างหาก
ไม่รู้ว่าไปซื้อยาถึงไหนกันจนป่านนี้ซันถึงยังไม่มา
ลูกค้าในร้านเหลือเพียงสองโต๊ะที่ทำท่าว่าจะนั่งอยู่อีกนาน จนผมคิดว่าร้านก็คงจะต้องปิดตอนตีสามเหมือนเดิม ผมเผลอหลับไปอีกตื่นนึงแต่ก็ยังไม่รู้สึกดีขึ้นเท่าที่ควร แต่เพราะไม่อยากหลับอีกเลยหาอะไรทำฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ รอปิดร้านจะได้กลับไปพักผ่อนทีเดียว
ผมเล่นมือถือจนไม่มีอะไรให้ดู จึงเปลี่ยนมาหยิบชีทของซันที่วางทิ้งไว้ขึ้นมาอ่าน มันเป็นวิชาคำนวณโครงสร้างที่ผมไม่ค่อยเข้าใจ แต่ศัพท์และตัวเลขชวนปวดหัวยังไม่น่าปวดหัวเท่าลายมือไก่เขี่ยที่เขียนเหมือนชาตินี้ไม่เคยผ่านการคัดตัวบรรจงมาก่อน นี่เรียนมาจนถึงปริญญาตรีได้ไงวะเนี่ย
แถมนอกจากการแก้โจทย์แล้วบางหน้ายังมีคำตลกๆ เขียนไว้ ตัวอักษรที่เหมือนจะโวยวายออกมาได้ด้วยน้ำเสียงแบบที่เจ้าของชีทชอบทำ ผมเปิดดูผ่านๆ อย่างขำๆ ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงแผ่นที่ไม่มีลายมือเขียนไว้ เหมือนยังอ่านไม่ถึง ใต้โจทย์ที่ยาวเกือบสี่บรรทัดมีรูปวาดประหลาดๆ ที่แทบจะดูไม่ออกว่าเป็นรูปอะไร
ไม่รู้ทำไมผมต้องใส่ใจกับมันขนาดนี้เหมือนกัน แต่ก็นั่งพิจารณาอยู่นานกว่าจะแกะได้ว่ามันรูปร่างเหมือนคน... ยืนหันข้าง แล้วก็... เหมือนในมือจะถืออะไรสักอย่าง รูปร่างคล้ายกับ... แก้วกาแฟ?
เดี๋ยวนะ ทำไมถึงรู้สึกคุ้นๆ ยังไงชอบกล
ผมปัดความคิดไร้สาระของตัวเองให้ตกไป ก่อนจะวางชีทลงที่เดิมเพราะรู้สึกว่าตัวเลขในนั้นจะเล่นงานจนผมปวดหัวขึ้นมาอีกแล้ว หัวใจเต้นตุบๆ ยิ่งเหมือนจะสูบเลือดไปทำให้สมองผมระเบิดออกมา ตาก็พร่าเบลอจนต้องยกมือขึ้นขยี้ตาแรงๆ
“เฮ้ยพี่โช โอเคป่ะ” นายหันมาถามเมื่อเห็นว่าผมขยี้ตาตัวเองยกใหญ่
“สงสัยใส่คอนแท็คเลนส์นานเกินอ่ะ ตาเบลอๆ” ผมว่าพลางลุกขึ้นยืน กระพริบตาสองสามทีเพื่อปรับโฟกัส “เดี๋ยวมานะ”
ผมบอกแล้วปลีกตัวมาหลังร้าน จัดการถอดคอนแท็คเลนส์ที่ใส่มานานจนล้า บวกกับความปวดหัวยิ่งทำให้รู้สึกว่าทัศนวิสัยแย่จนเกินทน
ตุบ
แต่ทันทีที่ถอดคอนแท็คเลนส์ออก ภาพที่เห็นก็เบลอไปหมด ผมเผลอปัดกระปุกน้ำยาล้างคอนแท็คเลนส์ตก และพอจะก้มหยิบก็รู้สึกหน้ามืดขึ้นมาจนแทบจะทรงตัวไม่อยู่
ปวดหัวชะมัด ให้ตาย
“ตี๋ ซื้อยามาให้แล้ว มากินเร็ว” เสียงเรียกดังมาจากประตู แต่เมื่อผมหันไปร่างสูงกลับดูเลือนรางจนจับเป็นภาพไม่ได้
“คุณซัน...” เสียงของผมแหบพร่าอย่างน่าตกใจ รับรู้ได้ว่าเผลอปล่อยให้น้ำยาล้างคอนแท็คตกจากมืออีกครั้ง และไม่รู้ว่าเรี่ยวแรงที่สะสมมาทั้งวันมันหายไปไหน ราวกับมีอะไรบางอย่างสูบมันออกไปจากร่างกายผมกะทันหัน ส่งผลให้ขาทั้งสองข้างทรุดไปดื้อๆ จนผมล้มลงกระแทกพื้นอย่างจัง
ตุบ!
“เฮ้ย! ตี๋!” ผมได้ยินเสียงโวยวานที่เหมือนดังมาจากไกลๆ อาจเพราะสติที่เริ่มเลือนรางลงทุกที
“ตี๋! ทำใจดีๆ ไว้ ตี๋! เชี่ยเอ๊ย ไอ้นาย เรียกรถพยาบาลเร็ว!” และสิ่งสุดท้ายที่รับรู้ได้ คืออ้อมแขนแข็งแกร่งที่ยกร่างผมไปแนบอกอย่างง่ายดาย สีหน้ากระวนกระวาย และสายตาเป็นห่วงเป็นใย ที่ทำให้ผมรู้สึกใจชื้นขึ้นมาทั้งที่พยุงสติไม่ไหวอีกต่อไป
สายตาที่บอกว่าผมจะต้องไม่เป็นไร
ผมจะปลอดภัย เมื่ออยู่ในอ้อมแขนคู่นี้ของเขา
-----------------------------------------------------------------------------------
สองตัวป่วนนี่น่าตีจริงๆ 555555
เรื่องนี้ไม่ค่อยมีดราม่าหนักๆ เท่าไหร่ ใสๆ อ่านสบายๆ ค่ะ (คิดว่านะ -.-)
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ ตอนแรกคิดว่าจะไม่มีใครอ่านแล้ว ใจแป้วเหมือนกัน 5555
แต่ปกติเวลาอัพนิยาย แค่เห็นคนเม้นต์คนเดียวก็เป็นกำลังใจให้เราเขียนจนจบแล้วค่ะ แค่รู้ว่าไม่ได้อัพไว้อ่านเองก็พอแล้ว 55555
ขอบคุณทุกคอมเม้นต์มากๆ นะคะ ^^
*ถึงตัวละครทุกตัวในเรื่องนี้
รู้สึกเหมือนช่วงนี้อยู่ในสภาวะซึมเศร้ายังไงชอบกล แต่มันหายทุกครั้งที่เปิดเวิร์ดขึ้นมาและเริ่มเขียน
เหมือนทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ทุกคำพูด ทุกการกระทำของพวกนาย มันช่วยเยียวยาความรู้สึกแย่ๆ ให้หายไปได้
ดังนั้นเลยรู้สึกขอบคุณมาก ขอบคุณความกวนของเจ้าซัน ความมองโลกในแง่ดีของนาย ความน่ารักแบบหยิ่งๆ ของโชที่ทำให้เราลืมเรื่องที่ติดอยู่ในใจไปได้สักพัก
รู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่ปล่อยให้เรื่องราวของพวกนายแล่นอยู่ในหัว หรือพิมพ์ออกมาเป็นตัวอักษร
จะพยายามทำให้ทุกคนรักพวกนายอย่างที่เรารักนะ จะไม่ทำให้ผิดหวัง
ขอบคุณอีกครั้งที่เกิดมารัก
-- Martian --