29th Entry : กลืนไม่เข้า คายไม่ออกติ๊งหน่อง ติ๊งหน่อง
เสียงสัญญาณเรียกดังมาจากหน้าบ้านเมื่อเวลาล่วงเลยผ่านช่วงเย็น ทว่าเพียงเท่านั้นก็ทำให้ร่างกายที่พักผ่อนอยู่ในห้องนั่งเล่นโยกไหวด้วยความหวาดหวั่น ไม่ใช่อาการสั่นผวาหรือสะดุ้งอย่างตกใจ
อาทิตย์อัสดงหันมองไปทางหน้าต่าง พบร่างหนึ่งอยู่เบื้องหลังประตูรั้ว แม้เห็นแต่ไกลไม่ได้เห็นจะแจ้งเป็นรูปร่างที่ชัดเจน ถึงกระนั้นเขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นใคร และมันก็ทำให้รู้สึกราวกับร่างกายหมดเรี่ยวแรงไปเสียดื้อๆ แม้เพียงนำร่างขึ้นไปยังชั้นบนเพื่อมุ่งสู่การพักผ่อนยังรู้สึกว่ายากลำบาก
ร่างโปร่งทิ้งตัวลงบนเตียงอยู่ชั่วระยะหนึ่ง พยายามลบภาพทับซ้อนที่ได้เห็นไม่เว้นแต่ละวันออกไป ก่อนจะขับพลังทั้งหมดที่มีเพื่อไปชำระล้างกายในห้องน้ำ แต่ถึงร่างกายจะสะอาดแล้ว ความคิดและจิตใจกลับปกคลุมไปด้วยม่านหมอกจนคิดอะไรไม่ออกสักอย่าง
เป็นแบบนี้มาร่วมครึ่งเดือนแล้ว นับตั้งแต่วันนั้น...
แม้ไม่อยากนึกถึงมัน แต่ทุกครั้งที่หมดภาระจากการทำงานหรือสมองว่าง เขาจะนึกถึงเหตุการณ์เดิมเสมอ
ความรู้สึกในตอนที่หันหน้าไปพบกับภันวัฒน์อย่างไม่คาดคิด ถ้อยคำและน้ำเสียงที่อีกฝ่ายเปล่งออกมาในเวลานั้นยังคงแจ่มชัดอยู่ในอณูความทรงจำราวกับถูกกักเก็บไว้ดั่งของล้ำค่า ทั้งที่แท้จริงแล้วมันตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง
แววตาและสีหน้าของปาติซิเย่หนุ่มในวันรุ่งขึ้นที่มาหาเขาก็เช่นเดียวกัน มันยังถูกบันทึกเอาไว้อย่างคมชัดในสมอง
หน่วยตาเรียวปิดลงอย่างอ่อนล้า เขาตัดหนทางติดต่อจากภันวัฒน์จนหมดสิ้นแล้ว
ทางโทรศัพท์เขาบล็อกเอาไว้ทั้งหมดจนไม่อาจรับรู้ได้อีกต่อไปว่าอีกฝ่ายหมั่นเพียรส่งข้อความมาหาตนหรือไม่ แม้ว่าเจ้าตัวจะพยายามมาหาเขาทุกวี่วันอย่างไม่ย่อท้อ แต่เขาก็เมินเฉย ทำเป็นไม่รับรู้ถึงการมาเยือน กระทั่งอีกฝ่ายปีนรั้วเข้ามาเคาะประตูถึงชั้นใน เขาก็หลีกหนีด้วยการขึ้นชั้นบนเช่นวันนี้ทุกครั้งครา
ไม่อยากเห็น ไม่อยากได้ยินเสียง ไม่อยากฟังคำพูดอะไรทั้งนั้น
รู้ว่าตัวเองช่างงี่เง่าสิ้นดีที่ทำเช่นนี้ และรู้ด้วยว่าเป็นตนเองที่ไม่ดีที่ไม่เชื่อในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด
เขารู้ว่าภันวัฒน์ไม่ใช่คนชอบพูดโกหก เพราะที่ผ่านมาหากเป็นเรื่องเกี่ยวพันกับความรู้สึกที่มีให้เขา อีกฝ่ายจะพูดด้วยความจริงจังและแสดงเจตนาชัดเจนเสมอ ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถทุบทะลวงกำแพงที่กั้นขวางเอาไว้จนเป็นช่องขนาดใหญ่แล้วมุดเข้ามาในใจของเขาได้
ตัวเขาเองก็มีส่วนผิดด้วยเช่นกันที่ยังไม่ยอมรับว่าเชื่อ แล้วกล่อมตัวเองว่าเชื่อไม่ได้ เชื่อไม่ลง เพราะภันวัฒน์พูดออกมาอย่างเต็มปากว่าผู้ชายคนนั้นเป็นคนของตัวเอง มันทำให้รู้สึกเจ็บช้ำ ราวกับย้ำซ้ำรอยอดีตที่ทำให้ไม่อยากมีความรักอีก
เขากลัวว่าถ้าหากเชื่อแล้วถูกชายคนนี้ทรยศในภายหลัง เขาจะต้องเจ็บปวดมากกว่านี้ จึงทำได้แต่ถอยหนีออกมาอย่างขี้ขลาดจนน่าสมเพช
ดวงตาที่ปิดอยู่เปิดขึ้นมองยังโต๊ะเล็กที่หัวเตียง กล่องคุกกี้ที่ก่อนนี้เคยพกมันติดตัวไปที่ทำงานด้วยบัดนี้กลับกลายมาอยู่ที่นี่เป็นประจำเสียแล้ว เขาเคยหยิบขนมแสนอร่อยภายในนั้นมากิน เรียงลำดับตั้งแต่หนึ่งจนถึงห้า อ่านข้อความภายนั้นหวังจะได้พบความขบขันเช่นก่อนหน้า แต่ทว่าตลอดครึ่งเดือนมานี้ มันกลับไม่ได้ช่วยให้เกิดเสียงหัวเราะขึ้นมาเลย
ไม่อยู่ในห้วงอารมณ์แบบนั้น
ขำไม่ออกแม้แต่นิดเดียว
มีแต่ความขมที่แทรกอยู่ทุกครั้งยามกลืนรสชาติซึ่งเดิมทีเคยหอมหวานลงคอ
มือเรียวหยิบกล่องสีสวยมาเปิดออก ภายในนั้นเหลือขนมอยู่เพียงชั้นเดียว ชั้นสุดท้ายและชิ้นสุดท้าย ทั้งที่ตลอดมานับตั้งแต่แถวแรกมันจะมีห้าชิ้นเสมอ แต่มีเพียงชั้นสุดท้ายนี้เท่านั้นที่มีชิ้นเดียว และเมื่อได้เห็นอย่างนั้นมันก็ทำให้เขากลัวที่จะเปิดดู
ลางสังหรณ์บางอย่างร้องเตือนว่าไม่ควรเปิดมันในตอนนี้
ตอนที่เขาไม่พร้อมจะรับรู้อะไรจากชายคนนั้นทั้งสิ้น
กล่องทรงกระบอกสูงถูกส่งคืนกลับไปยังตำแหน่งประจำของมันอีกครั้ง ร่างสูงโปร่งผ่อนลงยังเตียงในลักษณะเดิม เสียงลมหายใจเข้าออกถ่ายทอดออกมาเป็นระลอก ทั้งหนักและเบาสลับไปมา คล้ายกับคนจิตใจไม่สงบ ก่อนดวงตาจะปิดลงอีกครั้งอย่างเหนื่อยอ่อน
เมื่อไร... เมื่อไรความรู้สึกว้าวุ่นสับสนนี้จะจบลง
เมื่อไรเขาจะเพิกเฉยกับมันเหมือนที่แสร้งทำได้สำเร็จเสียที
“ทำไมมานั่งเปลี่ยวอยู่คนเดียวล่ะ”
ทั้งร่างของอาทิตย์อัสดงพลันสะดุ้งเมื่อสัมผัสได้ถึงความเย็นเปียกแฉะที่ข้างแก้ม พอหันไปก็พบตะวันกำลังยืนอยู่ข้างๆ ด้วยใบหน้าติดรอยยิ้ม
“ซื้อมาฝาก น้ำพั้นหน้าปากซอย ดื่มแล้วจะได้ชื่นใจ”
มือเรียวยาวยื่นแก้วที่เป็นเหตุให้ได้สติมาให้ พร้อมกับร่างของเจ้าตัวย่อลงนั่งบนม้านั่งหินตัวข้างๆ
นับตั้งแต่กลับมาจากเอาท์ติ้งกับบริษัท อาทิตย์อัสดงเจอตะวันบ้างประปราย พูดคุยทักทายกันตามปกติ อีกฝ่ายไม่ได้หลบลี้หนี้หน้าเขาแต่อย่างใด ราวกับว่าไม่เคยพูดอะไรที่จะทำให้ความสัมพันธ์เปลี่ยนแปลง
“ขอบคุณครับ”
ร่างโปร่งรับแก้วน้ำมาตามมารยาท ตอบรับน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ที่คนอายุมากกว่ามอบให้ เขาจิบนิดๆ ให้รสชาติเปรี้ยวอมหวานไหลผ่านลำคอที่แห้งผาก
“ช่วงนี้มีเรื่องให้คิดมากอีกเหรอ”
ใบหน้าที่หลุบลงเล็กน้อยเพราะจดจ่อไปกับการดูดของเหลวสีแดงส้มในแก้วเหลือบขึ้นมองคนที่อยู่เยื้องกันเล็กน้อย
“ทำไมถึงถามแบบนั้นล่ะ”
“ก็สีหน้า ดูเหมือนคนมีเรื่องในใจ”
คำตอบนั้นทำให้อาทิตย์อัสดงรู้สึกถึงแรงสะท้อนน้อยๆ ในใจ ทั้งที่คิดว่าตนเองเก็บอาการได้ดีแล้วแท้ๆ แต่กลับถูกจับได้อย่างง่ายดาย
“พี่ช่างสังเกตเกินไปหรือเปล่า”
“หืม ไม่หรอก” ตะวันส่ายหน้าช้าๆ “เห็นชัดเลยล่ะ”
ยิ่งถูกตอกย้ำให้รู้อีกว่าการกระทำของตนเองล้มเหลวไม่เป็นท่า อาทิตย์อัสดงก็ก้มลงดูดน้ำจากหลอดอีกรอบราวกับจะเลี่ยงการพูดคุย
“คนละเรื่องกับคราวที่แล้วใช่ไหม”
“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะครับ”
ทั้งที่ตั้งใจว่าจะไม่พูดอะไรออกไป แต่เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกประหลาดใจจนใคร่รู้ ร่างโปร่งยอมเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง
“สีหน้าไม่เหมือนกันน่ะ คราวก่อนฟรีดูอึมครึม หดหู่ ทุกข์ทรมาน”
คำอธิบายชัดเจนจนสามารถเข้าใจได้ และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ทำให้ความอยากรู้ยิ่งพอกพูนในใจของอดีตบล็อกเกอร์
“แล้วคราวนี้”
“ดูเศร้าๆ เหมือนคนผิดหวังอะไรสักอย่าง หรือไม่ก็กำลังเสียใจ”
เหมือนเปิดหัวใจกันออกมาดูอย่างไรอย่างนั้น มันตรงจุดจนอาทิตย์อัสดงรู้สึกเหมือนถูกทุบลงมาแรงๆ ให้แทบสำลักอากาศ หรือไม่ก็กระอักเลือดสักอย่าง เขาผินหน้าหนีไปอีกทางประหนึ่งไม่อยากให้อีกฝ่ายมองเห็นสีหน้าเช่นนั้น
“เรื่องความรักเหรอ”
เสียงที่ประกอบเป็นคำถามทำให้ร่างโปร่งรู้สึกว่ามันหนักหนายิ่งกว่าเดิม และคงเพราะเจ้าตัวยังคงไม่หันหน้ากลับมา ตะวันจึงตีความไปเองว่าข้อสันนิษฐานของตนเองถูก
“ไม่น่าเชื่อเลยนะเนี่ยว่าภูเขาแข็งแกร่งอย่างฟรีจะสั่นไหวด้วย”
อาทิตย์อัสดงต้องสะอึกขึ้นมาอีกคราวเพราะเหมือนว่าตนเองกำลังถูกยอกย้อน แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาร้ายเช่นนั้น แต่ก็อดรู้สึกเช่นนั้นไม่ได้ เสียงเปรยแผ่วจึงหลุดจากปากโดยไม่ได้ตั้งใจ
“คงกรรมตามสนองมั้งครับ”
ทั้งที่มันเบาเหลือเกิน แต่ตะวันก็ได้ยิน
“ไม่หรอก เรื่องความรักจะเกิดกับใครสักกี่ครั้งก็ได้”
น้ำเสียงที่ส่งผ่านมาทางอากาศนั้นนุ่มนวล อ่อนละมุนเสมือนคำปลอบใจ อาทิตย์อัสดงจึงยอมหันกลับไปในทิศทางที่ตะวันนั่งอยู่ สบนัยน์ตาที่มองตรงมาพร้อมกับใบหน้าที่มีแววของความอ่อนโยน
“ทั้งที่ปฏิเสธพี่ไปชัดเจนซะขนาดนั้น แต่ก็ยังต้องให้พี่มารับรู้เรื่องแบบนี้อีก ผมอาจจะเห็นแก่ตัวมากกว่าที่คิดก็ได้นะครับ”
ตะวันหัวเราะน้อยๆ กับคำพูดนั้น ราวกับผู้ใหญ่กำลังเอ็นดูเด็กก็ไม่ปาน
“เอาจริงๆ พี่ยังตัดใจไม่ได้หรอก แต่ก็ไม่ได้คาดหวังว่าฟรีจะหันมามองกันในสักวัน เพราะฟรีพูดด้วยความหนักแน่นขนาดนั้น แล้วที่สำคัญ...ตอนนี้ก็มีใครที่ฟรีนึกถึงด้วย คงเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จะเปลี่ยนใจมาหาพี่ ใช่ไหมล่ะ”
อาทิตย์อัสดงทำได้เพียงผงกศีรษะเบาๆ เพื่อยอมรับเท่านั้น
“รู้สึกเหมือนโดนปฏิเสธซ้ำสองด้วยวิธีการโหดเหี้ยมยิ่งกว่าเดิมซะอีกนะเนี่ย แต่ก็เอาเถอะ พี่อยากให้ฟรีมีความสุขมากกว่า”
ถึงจะเหมือนกำลังต่อว่าต่อขานกัน แต่ใบหน้าของตะวันก็ปรากฏรอยยิ้มที่ไม่ได้แอบแฝงความรู้สึกที่ทำให้ร่างโปร่งต้องรู้สึกหนักอึ้งเอาไว้แต่อย่างใด ถึงกระนั้นอาทิตย์อัสดงก็อดจะขอโทษจากใจไม่ได้ ตะวันจึงตบบ่าเบาๆ อย่างเข้าอกเข้าใจ พร้อมกับย้ำว่า ถ้าเรื่องราวมันหนักหนาเกินกว่าจะแบกไว้คนเดียว จะระบายให้ฟังก็ได้ เพราะดูเหมือนเขาจะเป็นพวกชอบความเจ็บปวดไปแล้ว
“อ้าว พี่เต็ม โผล่มาไงเนี่ย”
หลังจากคุยกันไปอีกสักพักหนึ่ง คนที่อาทิตย์อัสดงมานั่งทอดอารมณ์ยามบ่ายรออยู่ก็กลับมาพร้อมกับถุงผลไม้และน้ำปั่นในมือ
“ก็มานั่งเล่น ผ่อนคลายบ้างสิครับ ขวัญก็ยังออกไปซื้อขนมมากินเล่นตอนบ่ายได้เลยนี่นา”
“แหม ก็แค่ทักทายนิดเดียวเองน่า” หนึ่งฤทัยทำปากยื่นใส่เล็กน้อย ก่อนจะหันมาพยักหน้าชวน “ขึ้นข้างบนกันฟรี ไปก่อนนะพี่เต็ม”
ร่างโปร่งเจ้าของชื่อหันไปล่ำลาพระอาทิตย์อีกดวงหนึ่งพอเป็นพิธี จากนั้นเดินตามเพื่อนสาวขึ้นไปยังห้องทำงาน
“เย็นนี้มึงว่างหรือเปล่า”
ระหว่างทางหญิงสาวก็ชวนคุยไปด้วย ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกสำหรับคำถามนี้ เพราะปกติแล้วทั้งคู่จะรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน นอกจากมีเหตุจำเป็นถึงจะงดเว้นไป
“ไม่ ทำไมล่ะ”
“กูจะชวนมึงไปกินข้าวด้วยกันหน่อย พอดีว่ามีคนอยากเจอมึงน่ะ”
สิ่งที่ไม่คาดคิดกลับมาพร้อมประโยคต่อมา อาทิตย์อัสดงชะงักฝีเท้าที่ขึ้นบันไดอยู่ลงครามครันยามคิดว่าคนที่หนึ่งฤทัยพูดถึงอาจจะเป็นคนที่เขาหลบเลี่ยงมาตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมา
แม้จะหลอกตนเองว่าเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะภันวัฒน์ไม่น่าจะมาเอ่ยขอร้องหนึ่งฤทัย แต่ก็ไม่มีอะไรยืนยันได้เช่นกันว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น
ภันวัฒน์สามารถทำอะไรที่เขาคาดไม่ถึงได้เสมอ
และอีกอย่าง...หนึ่งฤทัยก็เป็นแฟนกับเพื่อนของภันวัฒน์ด้วย
“มึงทะเลาะกับคุณภันใช่ไหมล่ะ”
เป็นดังคาด คำถามตรงจุดพุ่งเข้าใส่อย่างตรงไปตรงมา
“เปล่า”
ร่างโปร่งแสร้งทำเป็นไม่รู้สึกใดๆ โดยการก้าวเท้าเดินขึ้นบันไดต่อ ทั้งที่แสดงปฏิกิริยาอย่างชัดเจนแล้วว่ารู้สึกตรงกันข้าม
“มึงอย่าโกหกกูเลย ไม่แค่กูหรอก พวกพี่ๆ ในแผนกก็รู้กันหมดแหละว่ามึงมีเรื่องไม่สบายใจ ถึงจะทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่หน้ามึงก็ดูเศร้าๆ เหม่อลอย ใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว”
เหมือนโดนตอกย้ำว่าความพยายามของตนเองไร้ผลโดยสิ้นเชิง อาทิตย์อัสดงก้มหน้าลง ไม่อยากจะหันไปเผชิญหน้าเพื่อนที่จับสังเกตได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
“มึง...รักเขาไปแล้วใช่หรือเปล่าวะ”
ปลายเท้าของชายหนุ่มชะงักไปอีกคราเมื่อได้ยินคำถามที่ราวกับหอกแหลมพุ่งตรงมาปักอกด้วยความเร็วแสงจนจับมันเอาไว้หรือหลีกหนีไม่ทัน ฟันคมได้แต่ขบปากตนเองอยู่อย่างนั้น พยายามครุ่นคิดหาคำปฏิเสธ แต่สิ่งที่นึกออกมีเพียงความว่างเปล่า
เขาหาคำตอบมาตลอดสิบกว่าวันที่ผ่านมา หาเหตุผลของทีท่าและความหวาดกลัวของตนเอง
แต่มันยิ่งกลับกลายเป็นค้อนขนาดใหญ่ทุบลงมาบนลิ่มที่ปักอย่างหมิ่นเหม่เอาไว้จนทะลวงลึกถึงภายใน
ดึงไม่ออก หนีไม่ได้ ได้แต่ทุรนทุรายกับความจริงที่ค้นพบ
ไม่มีทางปฏิเสธได้เลยว่า...เขารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ
อาการนิ่งเงียบราวกับคำตอบชั้นดี หนึ่งฤทัยถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบายามเห็นอากัปกิริยาของเพื่อน พลางส่ายศีรษะช้าๆ คล้ายกับว่าไม่อยากยอมรับ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้เช่นเดียวกัน
“คนที่อยากเจอมึง ไม่ใช่คุณภันหรอก”
คำบอกนั้นเรียกใบหน้าของร่างโปร่งให้เบือนไปทางเพื่อนที่เดินเคียงกันมาจนหยุดอยู่หน้าห้องทำงาน สีหน้าฉงนสงสัยแสดงถึงคำถาม แต่คำตอบที่ได้รับกลับไม่ชัดเจน
“เอาไว้เจอแล้วมึงก็รู้เอง”
ดังนั้นเมื่อเลิกงานแล้วทั้งคู่ก็มายังร้านอาหารร้านเดียวกับร้านต้นเหตุเมื่อครึ่งเดือนก่อน แต่เพราะมาก่อนเวลาจึงดูเหมือนอีกฝ่ายจะยังมาไม่ถึง
อาทิตย์อัสดงรู้สึกทำตัวไม่ถูก ด้วยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายที่นัดหมายกันไว้เป็นใครกันแน่ ครั้นลองถามเพื่อนมาระหว่างทาง กลับถูกเมินเฉยด้วยใจความเดิมว่า ‘เดี๋ยวมึงก็รู้’ เพียงอย่างเดียว เพราะฉะนั้นต่อให้พยายามทำใจให้สงบเท่าไร มันก็ไม่สำเร็จ
จนกระทั่งก่อนเวลานัดหมายราวๆ ห้านาที โทรศัพท์ของหนึ่งฤทัยก็ดังขึ้น หญิงสาวรับสายและตอบกลับถึงตำแหน่งที่ตนเองนั่งรออยู่ และระหว่างนั้นร่างของชายคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในขอบเขตการมองเห็น แม้จะอยู่ในระยะที่เกินโฟกัส แต่อดีตบล็อกเกอร์ก็รู้แน่ชัดแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
ผู้ชายคนนั้น...คนของภันวัฒน์
เมื่อได้รับคำตอบอย่างแจ่มแจ้ง อาทิตย์อัสดงก็สะบัดหน้าขวับหันไปทางเพื่อน ทว่าหนึ่งฤทัยเพียงไหวไหล่เล็กน้อยราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร จนเมื่อร่างเล็กของหนุ่มที่ดูอายุน้อยกว่ามาประชิดโต๊ะ หญิงสาวจึงยืนขึ้น
“งั้นกูกลับก่อนนะ พี่ไปก่อนนะ”
ไม่เปิดประเด็นใดๆ และไม่เล่าถึงต้นสายปลายเหตุที่ทำให้คนทั้งหมดมาพบกัน เจ้าหล่อนก็ล่ำลาชายหนุ่มทั้งสองและเดินจากไปแล้ว
อาทิตย์อัสดงได้แต่ตะลึงลานกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเร็วไวอย่างคาดไม่ถึง ครั้นจะเรียกเพื่อนก็เรียกไม่ทัน ใบหน้าจึงเลิ่กลั่กมองร่างเล็กอย่างทำอะไรไม่ถูก
“ผมชื่อฐานทัพครับ ขอโทษด้วยนะครับที่อยู่ๆ ก็มาพบคุณแบบนี้”
น้ำเสียงห้าวแต่ไม่ทุ้มดูสมขนาดตัวเอ่ยออกมาพร้อมกับเจ้าตัวหย่อนก้นลงนั่งยังที่ที่เคยเป็นของหนึ่งฤทัยมาก่อน ขณะเดียวกันร่างโปร่งยังงงงัน รู้สึกว่าตนเองเก้งก้างไปหมด เสียงสะดุดอึกอัก
“ครับ”
“เรื่องเมื่อคราวก่อน ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยผมไว้ แล้วก็ขอโทษด้วยที่ทำให้คุณต้องเดือดร้อน”
“คือ... ไม่”
เมื่อนึกขึ้นได้ว่าชายที่แนะนำตัวว่า ‘ฐานทัพ’ พูดถึงเรื่องอะไร ร่างโปร่งเกือบจะตอบว่าไม่ได้เดือดร้อนอะไร แต่ก็ชะงักไปโดยพลันหลังนึกถึงเหตุการณ์ที่ตามมา
เขาพูดอย่างเต็มปากไม่ได้ว่าไม่เดือดร้อน
ทั้งที่อยากบอกว่าไม่ได้เดือดร้อนกับเรื่องนั้น แต่ก็พูดออกไปไม่ได้
“ผมกับพี่ภัน”
เพียงคำพูดสั้นๆ ก็ทำให้อาการลนลานของร่างโปร่งสูญสิ้น ห้วงอากาศแห่งความว่างเปล่าถาโถมเข้ามาทดแทนจนอาทิตย์อัสดงรู้สึกราวกับกระดิกกระเดี้ยตัวไม่ได้ ดุจถูกคาถาอะไรสักอย่างเสกให้หยุดนิ่งอย่างไรอย่างนั้น จึงได้แต่มองสบนัยน์ตาดอกท้อสีดำสนิทคู่นั้นที่จ้องตรงมาอย่างแน่วแน่ เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ รอคอยคำพูดต่อไปอย่างใจจดใจจ่อโดยไม่ได้ตั้งใจ
“คุณกำลังเข้าใจเรื่องของเราผิดน่ะครับ ขอโทษด้วยนะครับ พอดีผมเพิ่งรู้มาว่าคุณกับพี่ภันทะเลาะกันเพราะผม”
“คือว่า มันไม่ใช่แบบนั้น”
อาทิตย์อัสดงพยายามหาข้อแก้ต่าง เพราะจะว่าตนเองทะเลาะกับภันวัฒน์ก็ไม่ถูกต้องเสียทีเดียว เป็นฝ่ายเขาเสียเองที่มีปัญหา
“ผมรู้ว่ามันออกจะเชื่อยาก เพราะผมกับพี่ภันก็สนิทกันจริงๆ พี่ภันเป็นคนดีมาก เขาคอยช่วยเหลือผมตลอด แล้วก็หวังดีกับผมเสมอ แต่ว่านั่นไม่ใช่ความรักหรอกครับ ผมกับพี่ภันไม่ได้มีความสัมพันธ์กันเชิงนั้น”
“เรื่องนั้น...ผมรู้แล้วครับ เขาเล่าให้ผมฟังแล้ว”
ในเมื่อดูท่าว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมให้เขาวิ่งหนีเป็นแน่ ร่างโปร่งจึงได้แต่ยอมตอบกลับไปอย่างเลี่ยงไม่ได้
“แล้วคุณไม่เชื่อเหรอครับ”
“ผม...”
เสียงกลืนหายลงไปในลำคอ อาทิตย์อัสดงไม่รู้ว่าตนควรจะพูดออกมาอย่างไร เพราะตนเองเอาแต่หลีกหนีอย่างคนขี้ขลาด มิหนำซ้ำยังโยนความผิดให้อีกฝ่ายด้วยการไม่ยอมรับฟัง และปฏิเสธที่จะเชื่อคำอธิบายใดๆ ก็ตาม
ไม่ใช่ไม่เชื่อคำพูดของอีกฝ่ายโดยสิ้นเชิง
“นั่นสินะครับ เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่อีกฝ่ายพูดมาลอยๆ แล้วจะเชื่อได้”
ชายหนุ่มร่างเล็กพูดอย่างปลงตกดั่งเข้าใจสัจธรรมเป็นอย่างดี ก่อนจะยื่นโทรศัพท์มาให้ อาทิตย์อัสดงรับไว้ด้วยความฉงน และเมื่อเห็นสิ่งที่ปรากฏอยู่บนกรอบสี่เหลี่ยมซึ่งเจ้าตัวเจตนาให้ดูก็เข้าใจได้ในทันที
ภาพชายสองคนนั่งเคียงกันด้วยใบหน้าที่แนบชิด ดูท่าทางมีความสุข
คนหนึ่งคือชายตรงหน้า แต่อีกคนไม่ใช่ภันวัฒน์
“มันก็เป็นอย่างนั้นแหละครับ แต่อะไรๆ ไม่ค่อยดีเท่าไร ผมเลยกลายเป็นเด็กเจ้าปัญหาของพี่ภันอยู่ทุกวันนี้ เพราะความเอาใจใส่ของเขา”
ราวกับจะย้ำซ้ำถึงสัมพันธ์ระหว่างเจ้าตัวคนพูดกับอีกคนหนึ่งที่ถูกกล่าวถึง แม้กระนั้นร่างโปร่งก็เก็บทุกความรู้สึกที่กำลังหมุนวนอยู่ในสมองเอาไว้อย่างมิดชิด
“คุณคิดอยู่หรือเปล่าครับ ว่าพี่ภันเป็นคนขอให้ผมมา”
คำถามที่ส่งตรงมาทำให้อาทิตย์อัสดงได้แต่อึกอักอีกครั้ง เขามองหน้าฐานทัพสลับกับหลบสายตาทั้งที่ฝ่ายนั้นจ้องตรงมาโดยไม่หลบเลี่ยงแม้แต่ครั้งเดียว แสดงให้เห็นถึงความจริงใจอย่างที่สุด
เขาไม่ได้นึกถึงเรื่องนั้น แต่เมื่อถูกถามถึง ก็มีเศษเสี้ยวหนึ่งในใจที่คิดว่าอาจจะเป็นเช่นนั้นก็ได้ แม้ว่าอีกหลายส่วนในใจร้องค้านว่าภันวัฒน์ที่ตนรู้จักไม่น่าใช่คนอย่างนั้น
“แต่ผมเชื่อนะว่าอย่างน้อยคุณต้องคิดอยู่บ้างล่ะว่าไม่ใช่”
ทั้งที่ไม่ได้ตอบอะไรออกไป แต่ราวกับชายหนุ่มอายุน้อยกว่าคนนี้จะมองออก ฐานทัพยิ้มบางก่อนจะกล่าวออกมาอีกรอบ
“พี่ภันไม่รู้เรื่องจริงๆ นั่นแหละครับ ผมรู้เรื่องมาจากพี่จอม คุณน่าจะรู้จักพี่จอมใช่ไหมครับ เขาเป็นเพื่อนสนิทของพี่ภัน แล้วก็เป็นแฟนของพี่ขวัญด้วย ผมก็เลยขอให้พี่ขวัญนัดคุณให้มาเจอกับผม เพราะผมไม่ค่อยสบายใจเท่าไร ที่ทำให้คุณต้องผิดใจกับพี่ภัน”
สายตาของฐานทัพหลุบลงเล็กน้อยเป็นครั้งแรก แต่ไม่ใช่การหลบตาเพื่อพูดเรื่องโป้ปด แต่เป็นการแสดงความรู้สึก
“ถ้าให้พูดตรงๆ ผมเป็นหนี้บุญคุณพี่ภันอยู่เยอะ เวลาผมมีปัญหาอะไร เขาก็จะคอยช่วยเหลือเสมอ เพราะฉะนั้นการที่คุณกับพี่ภันต้องหมางใจกันเพราะผมเลยยิ่งทำให้ผมรู้สึกไม่ดี ผมถึงอยากมาหาคุณให้ได้ อยากพูดให้คุณเข้าใจว่าพี่ภันไม่ได้เป็นพวกหลายใจหรือหลอกลวง”
“.....”
“ตอนนี้พี่ภันไม่ได้มีใครนอกจากคุณจริงๆ ถึงผมจะไม่รู้เรื่องของคุณเลยก็เถอะ แต่ผมกล้าที่จะยืนยัน ช่วยเชื่อใจพี่ภันหน่อยได้ไหมครับ”
น้ำเสียงในตอนท้ายเจือด้วยการขอร้องอย่างไม่ปิดบัง อาทิตย์อัสดงได้แต่ฟังแล้วรู้สึกปั่นป่วนอยู่ในใจ
กึ่งหนึ่งเขาเชื่อว่าภันวัฒน์เป็นเช่นที่อีกฝ่ายพูดมา ทว่าอีกใจหนึ่งเขาก็ยังหวั่นเกรง
กลัวว่าอาจจะไม่ใช่ฐานทัพ แต่อาจจะเป็นใครคนใดคนหนึ่งก็ได้ที่สามารถเปลี่ยนใจภันวัฒน์ได้ในภายหลัง
กลัวว่าหากยอมรับภันวัฒน์เข้ามาจนเต็มหัวใจแล้ว จะมีวันที่ไม่ใช่แค่ตัวเองที่ได้รับความรู้สึกอย่างเดียวกันจากอีกฝ่าย
“ช่วยเปิดใจรับฟังพี่ภันอีกสักครั้งได้ไหมครับ ช่วยพิจารณาดูให้ดีถึงความรู้สึกที่เขามีต่อคุณ ตรึกตรองให้แน่ใจว่ามันเป็นสิ่งที่คุณจะเชื่อไม่ได้เลยเหรอ”
“ผม...”
เพราะไม่อยากทิ้งคนตรงหน้าที่พยายายามพูดและชักจูงทุกวิธีทางเพื่อให้เขาให้โอกาสภันวัฒน์อีกครั้งต้องพร่ำพูดอยู่ฝ่ายเดียว ร่างโปร่งจึงพยายามเปล่งเสียงออกมา แต่สุดท้ายมันก็ขาดตอนลงที่พยางค์เดียว
เขาพูดไม่ออก ไม่สามารถรวบรวมคำพูดในตอนนี้ได้ ในใจยังคงสับสน
อยากลองเสี่ยง แต่ก็ไม่อยากเสียใจ
เป็นความขลาดกลัวของคนที่เคยบาดเจ็บปางตายมาก่อน
เป็นสัญชาตญาณของการปกป้องตนเอง แต่...
ก็อยากได้รับความอ่อนโยน ความอบอุ่น ความเอาใจใส่อย่างที่เคยได้รับมาจากชายคนนั้นเช่นเดียวกัน
ดุจดั่งยืนอยู่ริมหน้าผาสูงชันอันหนาวเหน็บ
จะก้าวไปข้างหน้าก็ไม่ได้ จะถอยหลังก็ไม่ได้เช่นกัน
“คุณ...รู้ชื่อเล่นของเขาไหมครับ”
ชั่วแวบหนึ่งความคิดนี้ก็ผุดขึ้นมา และก่อนจะรู้ตัว มันก็กลั่นออกมาเป็นเสียงพูดเสียแล้ว แม้แต่อาทิตย์อัสดงยังตกใจตนเองที่หลุดปากออกไปเช่นนั้น ทว่าจะให้หันหลังกลับทำเหมือนนั่นไม่ใช่การถามก็ช้าเกินไปเสียแล้ว และที่สำคัญ...
เขาอยากรู้
คนที่มีความสำคัญต่อภันวัฒน์ขนาดนั้น คนที่ถูกภันวัฒน์เรียกว่า ‘คนของเขา’ จะรู้เรื่องนี้หรือไม่
“ชื่อเล่น?” ฐานทัพเอียงคอเล็กน้อยราวกับไม่เข้าใจ “ก็ชื่อภันไม่ใช่เหรอครับ”
“เขาบอกคุณอย่างนั้นเหรอครับ”
“พี่ภันแนะนำตัวว่าแบบนั้นนี่ครับ พี่จอมก็เรียกแบบนั้น หรือว่าเขามีชื่ออื่นด้วยเหรอครับ”
สีหน้าและน้ำเสียงซึ่งแสดงออกมาบ่งชี้อย่างชัดแจ้งว่าเจ้าตัวไม่รู้จริงๆ ไม่ใช่การถามเพื่อหยั่งเชิงหรือสอดรู้สอดเห็น เป็นคำถามที่มาจากใจบริสุทธิ์
“อ้อ เปล่าหรอกครับ”
“ถ้าคุณกลัวว่าพี่ภันจะเป็นพวกที่ชอบจับปลาหลายมือ สับรางเก่งแล้วเปลี่ยนชื่อไปเรื่อยๆ ละก็ ไม่มีทางเป็นไปได้หรอกครับ”
ดูเหมือนว่าคำถามและคำตอบของร่างโปร่งจะถูกตีความไปเช่นนั้น อาทิตย์อัสดงจำต้องรีบปฏิเสธว่าไม่ใช่แบบนั้น ฐานทัพจึงย้อนกลับมายังประเด็นเดิม
“ยังไงก็ช่วยให้โอกาสพี่ภันด้วยนะครับ ถือว่าเป็นคำขอร้องจากผมก็ได้”
อาทิตย์อัสดงรู้สึกจุกแน่นอยู่ในอก เพราะการโจมตีที่เต็มไปด้วยความจริงจังของอีกฝ่าย จนรับรู้ได้อย่างเที่ยงแท้ว่าชายตรงหน้าไม่มีเจตนาแอบแฝงอื่นเลย นอกจากว่าทำเพื่อภันวัฒน์จริงๆ ซึ่งมันก็ทำให้เขายิ่งรู้สึกหนักอกยิ่งขึ้น ถึงกระนั้นใช่ว่าจะตอบกลับไปในทันทีได้
“ผมจะลองคิดดูอีกครั้งครับ”
แม้โอกาสที่จะเป็นดังตนเองต้องการไม่เต็มหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ ฐานทัพก็ยังจุดรอยยิ้มขึ้นบนผืนแก้ม กล่าวขอบคุณหลายต่อหลายครั้ง ทำให้กระทั่งกลับมาถึงบ้านแล้ว อาทิตย์อัสดงก็ยังครุ่นคิดถึงเรื่องนี้
ภาพของฐานทัพยังไม่เลื่อนหายไป
จุดมุ่งหมายของอีกฝ่ายยังคงแจ่มชัด ส่องสว่างไม่ให้เขาสามารถหลบหน้าเบือนหนีได้
หรือเขาควรจะต้องยอมรับ...มันอีกครั้ง
ยอมแพ้ต่อความหวาดกลัวของตนเองอีกหน เพื่อเผชิญหน้ากับใครอีกคนหนึ่งที่กำลังรอคอยเขาอยู่
-------------------
นึกว่าอาทิตย์นี้จะไม่ได้อัพแล้ว งานราษฎรงานหลวงเยอะเหลือเกิน
เรื่องนี้ใกล้จบแล้วนะคะ
ป.ล. นิยาย It's U, It's Me กวนนัก แต่รักนะครับ และ It's U, It's Me รุก ไล่ รัก
เปิดจองถึงแค่ วันที่ 15 กันยายน นี้นะคะ
https://www.facebook.com/undel2sky/
Undel2Sky