[ต่อ]“
หลักฐานเพียงชิ้นเดียวที่จะยืนยันคำประกาศเตือนหายนะภัยน้ำท่วมโลกของศาสตราจารย์วิชัย”
เสียงชายวัยกลางคนอธิบายความคิดพจน์ ใบหน้าวัยห้าสิบกว่าสวมแว่นตา ผิวขาว ริ้วรอยปรากฏตรงร่องแก้มและหางตามิได้ลบเลือนลักษณะใจดีรวมถึงความรูปงามเมื่อสมัยวัยหนุ่ม สวมเสื้อเชิ้ตขาวกางเกงสีเทาสามส่วน ริมฝีปากบางเรียบตึงเผยอรอยยิ้มบางเบา
“เอ่อ ที่อาจารย์พูดเมื่อกี้” พจน์ยกมือไหว้ครูบรรณารักษ์ประจำห้องสมุดโรงเรียน ทุกครั้งพจน์จะเห็นท่านทำงานอยู่เบื้องหลังหนังสือกองโตในห้องพักแต่ไม่เคยพูดคุยตัวต่อตัวแบบนี้
“ครูบอกว่า หนังสือในมือที่นักเรียนถืออยู่เป็นหลักฐานเพียงชิ้นเดียวสำหรับยืนยันหายนะภัยน้ำท่วมโลก และช่วยอธิบายลำแสงปริศนาที่พุ่งจากใต้พื้นมหาสมุทรแปซิฟิกซึ่งโด่งดังอยู่ในตอนนี้” ครูบรรณารักษ์เดินเข้ามาตามตรอกซอกชั้นแล้วยกคิ้วเหมือนขออนุญาตพจน์เพื่อจับหนังสือปกแดงหนากว่าพันหน้าเพื่อพิจารณา
“ถ้าเป็นแบบนั้น หลักฐานที่คุณปู่ของผมตามหาอยู่...”
“คือหนังสือเล่มนี้”
“จริงหรือครับ” ความดีใจผุดซ้อนแทรกสอดด้วยความสงสัย เงยหน้าขอคำอธิบายจากครูบรรณารักษ์ชาย “แต่ทำไมถึงมีเพียงเล่มเดียวล่ะครับ”
“เมื่อสิบปีก่อน หนังสือทั้งหมดถูกกวาดล้างกำจัดทิ้งโดยผู้มีอำนาจในบ้านเมือง พวกเขาเล็งเห็นว่ามันจะเป็นภัยต่อสังคม กระตุ้นเตือนให้ประเทศชาติหวาดหวั่นวุ่นวาย แต่เล่มนี้ถูกส่งตรงมาหาครูและเหลือรอดอยู่เพียงหนึ่งเดียว”
ภัทรพจน์ขออนุญาตพลิกดูเนื้อหาภายในด้วยใจระทึก มีจารึกหินทรายในสมัยศตวรรษที่ ๑๗ กล่าวถึงคำบันทึกตัวอักษรเก่าแก่ เมื่อถอดแปลความหมายแล้วพบว่ามีมหาทวีปลึกลับซ่อนอยู่ใต้มหาสมุทรแปซิฟิกจริง ตามคำจารึกของชนเผ่ามายาที่สืบทอดความเชื่อนี้โดยตลอด แต่ ณ ปัจจุบันแทบไม่มีใครยอมรับ และเห็นว่างมงายไร้สาระ
พจน์เปิดอ่านผ่านหน้าแล้วหน้าเล่า มีภาพถ่ายขาวดำคำจารึกบนศิลา และกระดาษเปื่อยยุ่ยจำนวนมากมายหลากหลายประเทศ บทที่สองเป็นเรื่องคำให้การของผู้พบเห็นมหาทวีปลึกลับและเสียงประหลาดนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน พวกเขาทุกคนให้การเป็นเสียงเดียวกันว่ามีสถานที่แห่งนั้นอยู่จริง
“อาจารย์รู้จักคุณปู่...หรือครับ” ดวงตาหลังแว่นระริกรื้นชั่วครู่
“ครูรอในสิ่งที่ไม่มีวันเป็นไปได้ วันนี้ครูพบคำตอบนั้นแล้ว”
“ผมต้องนำไปให้ท่าน ผมขอยืมครับ”
“ได้สิ ทำเรื่องยืมคืนตามปกติ และ...ฝากบอกศาสตราจารย์วิชัยด้วยว่า คำสัญญาที่จะช่วยเหลือทุกครั้งในยามอีกฝ่ายได้รับความเดือดร้อนนั้น ครูได้ทำตามแล้ว สัญญาระหว่างพี่น้อง มิตรภาพที่ไม่เคยลบเลือน
วิศรุตได้ปฏิบัติแล้ว และไม่ต้องการคำขอบคุณหรือสิ่งตอบแทนใดคืนกลับ”
“ถ้าอาจารย์รู้ว่ามันเป็นหลักฐานแล้วทำไมถึงเก็บไว้ล่ะครับ ผมไม่เคยรู้เลยว่าจะอยู่ใกล้แค่เอื้อมขนาดนี้ หากล่วงรู้เร็วกว่านี้ ก่อนที่” ความเจ็บซึมแทรกกลางคำ
ก่อนที่ตนจะข้ามพิภพ นิ้วมือกดสันหนังสือเล่มหนา ครั้นหวนคิดได้ว่าหากเขานำหลักฐานไปให้ท่านก็หมายความว่า พจน์ต้องการให้มหาพิภพล่มสลายสินะ
“เหตุผลเดียวกับที่เธอคิดอยู่ตอนนี้ ภัทรพจน์ บางเรื่องเป็นการยากที่จะเลือกตัดสินใจในทางใด บางทีอาจต้องใช้เวลาเป็นปี สิบปี สามสิบปี หรือตลอดชีวิต แต่อย่าให้การตัดสินใจครั้งนี้ของเธอยาวนานเหมือนครู มนุษย์เกิดมาเพื่อต้องเลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หนทางที่เจ็บน้อยที่สุด ได้ประโยชน์มากที่สุด วันนี้ครูตัดสินใจได้แล้ว และอนุญาตให้เธอนำหนังสือเล่มนั้นส่งมอบให้ผู้สมควรได้รับมากที่สุดเพื่อประโยชน์ของมวลมนุษยชาติ แต่อย่านิ่งเฉยไม่ทำสิ่งใด เพราะความสูญเสียแม้ต้องเกิดขึ้นก็ขอให้น้อยที่สุด ครูบอกได้เท่านี้ เอาไปให้ศาสตราจารย์วิชัยเถอะ ชายคนนั้นต้องการมันอย่างที่สุด ครูหมดภาระและได้คำตอบแล้ว”
“คำตอบอะไรหรือครับ”
“
มิตรภาพยาวนานกว่าความรัก ภัทรพจน์ เธอต้องเลือกระหว่างมิตรภาพและความรัก อย่าเสียเวลาซ้ำรอยเนิ่นนานเกือบสี่สิบปีแบบครู มันไร้ประโยชน์ ทั้งที่ครูรู้ว่าเธอเป็นหลานชายของคนผู้ประกาศเตือนหายนะภัยน้ำท่วมโลก แม้รู้ว่าเกี่ยวข้องกับมหาทวีปลึกลับ
มหาพิภพ แต่ครูกลับนิ่งเฉยเพื่อรอความหวังบางอย่างแต่มันไร้ประโยชน์ไม่คุ้มเสีย ชีวิตคนเป็นพันล้านจะพินาศหากครูยังตัดสินใจไม่ได้ เธอเองก็เช่นเดียวกัน คืนหนังสือปกแดงให้ปู่ของเธอ ไม่ใช่เพื่อบรรลุจุดประสงค์ของครู แต่เพื่อทุกชีวิตมีค่าบนโลกได้ดำรงอยู่สืบต่อไป” ครูวิศรุตแตะบ่าพจน์เบามือ “เมื่อเราโตขึ้นสิ่งที่ยากไม่ใช่การลืม แต่เป็นการจำมากกว่า”
*******************************
“หัวข้อประชันกลอนสี่สุภาพรอบตัดสินระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ได้แก่
จากพราก” ภาพภพ ประธานนักเรียนผู้ทำหน้าที่พิธีกรประกาศผ่านไมโครโฟนดังชัดเจนทั่วโถงห้องประชุม มีกลุ่มนักเรียนหญิงชายชั้น ม.ต้น และ ม.ปลาย ยืนส่งเสียงให้กำลังใจรุ่นพี่ที่ตัวเองแอบปลื้มอยู่หนาแน่น ทันทีเมื่อได้ยินหัวข้อสุดท้าย ภัทรพจน์รีบหลับตาสะกดห้วงใจไม่ให้สั่นไหว ไอ้น้ำขะมักเขม้นจับปากกา รีดกระดาษเอสี่เรียบตึง ส่วนรุ่นน้องหญิง ม.๔ สมาชิกคนที่สามในทีมยืนอยู่หน้ากระดานไวท์บอร์ดพร้อมจดเช่นกัน เสียงกระดิ่งบอกจับเวลาเริ่มขึ้น พวกเขามีเวลาแค่สิบนาทีเท่านั้นสำหรับกลอนสี่บท ส่วนทีมผู้ท้าชิงกลุ้มรุมขบคิดทันทีไม่แพ้กัน
“ไอ้พจน์ กูว่าน่าจะเริ่มจาก...” ชลนธีหน้าซีดเหงื่อแตก
“จากพราก ในทางวรรณคดีนิยมเรียกคู่ของนก คือ เป็ดพม่า ยามต้องพรากจากกันจะครวญถึงกันในเวลากลางคืน”
“มึงจะแต่งเกี่ยวกับเป็ดพม่าหรอ”
“หนูว่าพี่พจน์น่าจะหมายถึงคนรัก ไม่ใช่เฉพาะเป็ดนะคะ” รุ่นน้องหญิงชะเง้อชะแง้เสนอร่วมคิด
“ถูกแล้วครับ” อยู่ๆพจน์ก็นึกถึงห้วงเวลาก่อนตัวเองจะพรากจากมาตะ ความรู้สึก ณ ขณะนั้นล้นปรี่จนกระทั่งกลั่นเป็นร้อยกรองในทันใด
“จากเอยจากมิจากจำต้องจาก
จำพลัดพรากจำจากจำพลัดหลง
ใจสองดวงเคยรักแจ้งจำนง
ถึงคราวคงพรากจากจดจำใจ
ก่อนเคยรักสมัครรักพันผูก
ทุกข์สุขถูกผิดพลั้งร่วมแก้ไข
น้ำคำรักหวานซึ้งตรึงตราใน
ผนึกไว้กลางทรวงล่วงผ่านกาล
เมื่อมีพบต้องมีวันพรากจาก
หนึ่งคำฝาก รัก รัก รักผสาน
ครวญใคร่คิดคะนึงถึงซึ่งวันวาน
เราร่วมราญร่วมคู่ร่วมวิญญาณ์
พรากเอยพรากมิพรากจำต้องพราก
จำพลัดจากจำพรากถวิลหา
แววเว้าวอนแววรักแววนัยน์ตา
ชั่วดินฟ้าแม้นพรากจากเพียงกาย”
“หนูขนลุกไปหมดเลยพี่พจน์ ทำไมพี่ถึง...” เพียงเด็กสาวจับจ้องดวงตาสีน้ำตาลก็พลันตื้นตันอก อยู่ๆน้ำตาของเด็กสาวหนึ่งเดียวในทีมก็ไหลเลาะอาบแก้ม
“กูว่ามันดีมากไอ้พจน์ มีการเล่นคำ ว่า
พราก ว่า
จาก ดีเยี่ยม” ชลนธีจดคำกลอนทั้งสิ้นลงบนแผ่นกระดาษมือระวิง แล้วเงยหน้ามองเพื่อนสนิทตาสีน้ำตาล “กูตรวจทานดูแล้ว ไม่น่ามีแก้ไขนะ น้องว่าไง”
เมื่อไอ้น้ำเลื่อนขอความเห็นจากสมาชิกจึงพบความรันทดผ่านน้ำตารุ่นน้องสาว ทั้งที่ใบหน้าเพื่อนพจน์ว่างเปล่าแต่ดูเหมือนความในใจถ่ายทอดอารมณ์ผ่านเด็กสาวทั้งสิ้น ไอ้น้ำหักใจไม่สำแดงด้านอ่อนแอ แสร้งออกปากให้เด็กสาวลอกบทกลอนทั้งนั้นลงกระดานไวท์บอร์ด
“เกิดอะไรขึ้นวะ ไอ้พจน์ ที่อยุธยา มันเกิดอะไรขึ้นสักอย่างแน่ๆ เหมือนกูจะหลงลืมอะไรไป เหมือนมีบางอย่างขาดหาย ใครทำอะไรมึงหรือเปล่า หรือเพราะเรื่องปู่ของมึงกับน้ำท่วมโลก หรือว่าเรื่องไอ้ปาล์ม”
“ไม่ว่ะ ไม่มีอะไร” ปฏิเสธทั้งที่ใจอยากระบายให้ไอ้น้ำได้ล่วงรู้ ไม่ใช่ที่อยุธยา แต่เป็นมหาพิภพแห่งนั้นที่ทำให้พจน์กลั่นความนัยเป็นกลอนสี่สุภาพ ขอปากกาลงชื่อตนถัดจากชลนธี ในช่องนามแฝงจรดหมึกลงว่า
พชระตะ เวลาประชันแข่งขันใกล้หมดลง เช่นเดียวกับเวลาของความเสียใจ หากมาตะประพฤติด้านร้ายๆใส่พจน์ เขาคงจะลืมมาตะได้ แต่เจ้านั่นสักเสี้ยวหนึ่งก็ไม่เคยตั้งใจให้พจน์ต้องระทม หากมาตะชื่นชมยินดียอมให้บุหลันขโมยจูบ หว่านเสน่ห์จนกฤษณาหรือใครต่อใครรักใคร่สมัครรัก มันคงง่ายที่พจน์จะลืมมาตะ แต่เจ้านั่นไม่เพียงซื่อตรงต่อพจน์ แต่ยังเทิดทูนเขาเสมอดวงใจ ก็มันเป็นแบบนี้ แล้วเขาจะลืมได้ยังไง
หนังสือปกแดงยังคงหนักอึ้งอยู่ภายในกระเป๋านักเรียน เคียงข้างหนังสือ
อัญมณี : ประวัติความเป็นมาและมูลค่าทางเศรษฐกิจ พจน์ตัดสินใจได้แล้วว่าต้องทำอย่างไร หนังสือทั้งสองเล่มจะต้องส่งมอบต่อให้คุณปู่ แม้สถานที่ที่หัวใจพจน์ดำรงอยู่จะพินาศล่มสลายลง เขาเชื่อว่าถ้าหากถามมาตะ เจ้านั่นก็คงทำในสิ่งที่พจน์ตัดสินใจ มันมักเสียสละความสุขส่วนตัวเสมอเพื่อให้คนอื่นสุข นี่คือการตัดสินใจของพจน์ อีกไม่นานเมื่อทุกอย่างจบสิ้นเขาจะตามไปอยู่กับมาตะเป็นครั้งสุดท้าย ชาติภพสุดท้าย
“หมดเวลาครับ” เสียงไอ้ภามบ่งบอกสิ้นสุด มันส่งสายตาเป็นคำถามมาให้พจน์เมื่อเห็นทุกข์ทรมานบนสีหน้า
เสียงกระดิ่งดังบอกสัญญาณ กรรมการทั้งห้าเข้าตรวจบทกลอนคร่ำเคร่งเป็นเวลานานพอดู ก่อนจะประกาศผู้ชนะผ่านไมโครโฟนว่า ทีมโรงเรียนของพจน์เป็นผู้ชนะขาดลอย เสียงโห่ร้องยินดีจากรุ่นน้องผู้มาคอยเชียร์ดังสนั่นลั่นห้อง ไอ้น้ำกระโดดโลดเต้นดั่งว่าถูกสลากกินแบ่งรัฐบาลรางวัลที่หนึ่ง ส่วนรุ่นน้องหญิงทำเพียงอมยิ้มเช็ดน้ำตาป้อยๆเท่านั้น
หลังเลิกเรียนพจน์ชวนคุณประธานนักเรียน และทุกคนในกลุ่มเทวดาเดินดินไปที่บ้านเทพวิมาน ไม่ใช่เพื่อฉลองในชัยชนะการประกวดกลอนสด แต่เป็นคำฝากชวนของภพดนัยผู้บิดา เนื่องจากวันนี้เป็นวันครบรอบคล้ายวันเกิดของศาสตราจารย์วิชัยอายุครบหกสิบปี โดยภพดนัยยืนกรานว่าจะต้องจัดเลี้ยงฉลองแม้นคุณปู่จะปฏิเสธไม่ต้องการก็ตาม
ระหว่างเจ้าพวกเพื่อนๆต่างอาสาภพดนัยเป็นธุระตกแต่งสถานที่ประดับประดากระดาษสีแวววาม รวมถึงเครื่องเสียงลำโพงสำหรับร้องเพลงคาราโอเกะ ส่วนหนึ่งลงไปช่วยป้าแจ่ม ลุงชม พี่ส้ม และดาวที่โรงครัว เป็นต้นว่าไอ้น้ำ ไอ้ปาล์ม ไอ้เอก ไอ้รัก พจน์จึงอาศัยจังหวะนั้นกลับคืนห้อง รื้อค้นหลักฐานสำคัญออกจากกระเป๋าอันหนักอึ้ง ประหนึ่งความหวังของมวลมนุษยชาติทับถมลงในหนังสือปกแดง เขาได้ตัดสินใจเลือกแล้วตามคำชี้แนะของอาจารย์วิศรุต บรรณารักษ์ห้องสมุด เพื่อนของคุณปู่
ฉับพลันบานหน้าต่างห้องนอนทรงไทยก็เปิดอ้าออก ลมปริศนาซัดสาดใส่ นกประหลาดตัวหนึ่งซึ่งพจน์เคยลอบสังเกตเห็นหลายครั้งหลายหน ว่ามันมักอาศัยอยู่บนต้นไทรริมน้ำหลังเรือนเทพวิมาน ขนประกายส้มเหลือบเหลืองสลับแดง ดวงตาดำขลับขยับโยกพินิจพจน์เอียงคอไปมา มันไซร้จะงอยปากตามขน แล้วหมอกควันขาวจึงระเบิดปกคลุมนกยักษ์กลับกลายเป็นเงาของบุรุษผู้หนึ่ง สัดส่วนล่ำสันสูงกว่าพจน์พอประมาณ เมื่อเงาหมอกจากหายจึ่งเห็นชัดว่า ชายคนนั้นไม่เพียงแต่งกายลักษณะคล้ายผู้คนบนมหาพิภพ คล้องผ้าขาว พาดไหล่ซ้ายขวาด้วยสุวรรณสังวาล แลเครื่องประดับทองนานาประการ กึ่งกลางหน้าผากคือจินดาหยดน้ำสีใส แววตายิ้มเฉกเดียวกับริมฝีปาก ปลายคิ้วและหนวดวาดโค้งกระหนกอย่างเดียวกับเทวดาในรูปจิตรกรรมฝาผนังโบสถ์
“ภัทรพจน์ มหาบุรุษ โปรดรับการคารวะนอบน้อมด้วยเถิด”
ว่าพลางก็ทรุดกระทำก้มกราบเบญจางคประดิษฐ์แนบพื้นกระดานเรือน
“ท่านเป็นใคร” พิจารณาบุรุษผู้เคยครองร่างนกยักษ์ก็พลันฉงนสุดประมาณ
“ข้าคือ
ปักษาวายุภักษ์ พระเจ้าข้า”
*******************************
ขณะภพดนัยกำลังจัดเตรียมย้ายโต๊ะเก้าอี้เสริมรอบหอนั่ง ส้มสาวใช้กระซิบรายงานว่า มีแขกมาขอพบ ชายหนุ่มพยักหน้าซับเหงื่อเหนือขมับ ฝากคุณชาญณรงค์ช่วยกำกับดูแลเพื่อนๆของพจน์เพื่อจัดข้าวของให้เรียบร้อย ผู้ช่วยบิดายกยิ้มรับทราบ แล้วจึงถลาลงจากเรือนใหญ่เพื่อต้อนรับแขกแปลกหน้าผู้ไม่ได้นัดหมาย ณ ศาลาทรงไทย กลางสนามหญ้าหน้าเรือน
“ธนชัย นาย...”
“นี่เป็นของขวัญครบรอบวันเกิดของคุณลุง รับไว้สิ” นักข่าวหนุ่มอดีตเพื่อนรักแจ้งเจตนา ครั้นเห็นอีกฝ่ายอ้ำอึ้งก็จับห่อของขวัญใส่มือเจ้าบ้านเจ้าเรือน “เรารู้สิว่าวันนี้คือวันเกิดท่าน จำได้ไม่เคยลืม”
“เอ่อ งั้น อยู่ปาร์ตี้ด้วยกันก่อน กำลังวุ่นอยู่พอดี”
“ไม่ล่ะ แค่จะแวะมาทักทายเท่านั้น แต่ท่านคงเก็บตัวไม่เห็นชอบกับการจัดงานแน่ๆ ใช่ไหม” กิริยาอาการยกยิ้มของธนชัยเป็นสิ่งที่ภพดนัยแทบจะลืมเลือน บ่งสำแดงว่าเพื่อนสนิทคนนี้ให้อภัยเขาแล้วไม่ผิดแน่
“นายไม่โกรธเราแล้วใช่ไหม เรากลับมาเป็นเพื่อนกันแล้วใช่ไหม” ความดีใจวาบขึ้นไม่คาดคิด
“ขอโทษนะ เหตุการณ์ที่อยุธยาทำให้เราคิดได้ว่า สิ่งที่เราสร้างขึ้นมาเพื่อโกรธนายมันเทียบไม่ได้เลยกับวินาทีเป็นตายตอนอุบัติเหตุโขลงช้างรุมทำร้าย ไม่ว่าภัทรพจน์จะเป็น...”
“พจน์เป็นลูกของเรา
ลูกของฉัน ถ้านายยังคิดว่ามันคือคำโกหกอีก เราก็ไม่มีหลักฐานใดๆมายืนยันได้นอกจากความสัตย์จริง”
“เจ้าเด็กนั่นเหมือนนายไม่มีผิด ทั้งท่าทีอวดเก่ง ดื้อดึง สายตารั้นถอดลักษณะนายมาแบบนั้น เราจะคิดเป็นอื่นได้ยังไงว่าเป็นลูกใคร แต่ที่เราโกรธก็เพราะว่านายไม่เคยบอก ไม่เคยพูดเลยว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วจู่ๆก็มาหลบหน้าหนีหายไปเกือบปี ทำใครท้องแล้วแทนที่จะบอกให้เพื่อนอย่างเราช่วย กลับหนีหน้า เป็นใครใครก็โกรธดิ นะ เราคืนดีกันนะ ดนัย”
คำพูดที่ภพดนัยรอคอยมาตลอดเกือบสิบเจ็ดปีเป็นจริงอย่างไม่คาดฝัน ความหนักอกในหลายๆเรื่องผ่อนคลายลงด้วยมิตรภาพระหว่างเพื่อน ธนชัยโผดึงตัวภพดนัยเข้ากกกอดแนบแน่น แต่หัวใจของชายหนุ่มบนเรือนเทพวิมานบีบรัดเสมือนหยุดนิ่ง ชาญณรงค์หลบตาระงับโทสะผละหนีจากภาพบาดใจ
100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป___________________________________
ช่วงพูดคุยตอบคำถามฝากลงคะแนนโหวตโพลล์ด้วยนะครับ ผมต้องการทราบว่าผู้อ่านมีแนวโน้มอยากให้มีการรวมพิมพ์เล่มหรือเปล่า ถ้าไม่เป็นการเร่งรัดจนเกินไปอาจรอจนนิยายจบก่อนแล้วค่อยตัดสินใจก็ได้ครับ ตอนนี้ก็มีผู้โหวตเข้ามาอยู่ประมาณหนึ่ง (หลักหน่วย) เหอะๆ คิดไปคิดมาบางที นิยายเรื่องนี้อาจจะไม่จำเป็นต้องตีพิมพ์รวมเล่มก็เป็นไปได้ ด้วยปัจจัยหลายๆอย่าง อันดับแรกอาจจะเป็นเนื้อหา ภาษาที่อ่านยาก รวมถึงเรื่องราวมิได้ถูกขนบนิยายวายทั่วไป ไม่เป็นไรครับ ถ้าถึงตอนจบแล้วยังมีผู้โหวตไม่มากเท่าไหร่ก็อาจจะไม่มีการดำเนินการตีพิมพ์ใดๆ แต่รับรองว่าไม่ลบนิยายในเว็บบอร์ดทิ้งแน่นอนอ้าว รู้ตัวว่ารักมากแต่กลับไปหามาตะไม่ได้อีกแล้ว ทีนี้พจน์จะทำยังไง ทั้งเรื่องการปราบจอมมารด้วย ขอบคุณคนเขียนที่เขียนเรื่องแนวนี้ให้อ่าน สนุกมาก มีปริศนาให้คิดต่อเรื่อยๆ เราชอบกลอนที่คุณแต่งนะคะ
เหลืออีกห้าบทสุดท้ายแล้วครับ มาลุ้นกันว่า พจน์จะกลับไปหามาตะได้อีกหรือเปล่า แล้วจอมมารจะยังลอยนวลอยู่ไม่ รอติดตามบทสรุป ขอบคุณที่คุณชอบกลอนครับ มีกำลังใจในการแต่งเพิ่มขึ้นเยอะเลย
ม่ายน้าาาา
เป็นอีกตอนหนึ่งที่ตัดสินใจเขียนได้ยากลำบากมาก สงสารทั้งพจน์ทั้งมาตะ ตามคำพูดที่พจน์ว่าไว้ "ถ้าไม่จากกันวันนี้ ความตายก็คงพรากเราจากกัน" รอติดตามบทสรุปในเร็วๆนี้ครับ
บอกตรงๆเห็นชื่อตอนแล้วไม่อยากกดอ่านเลย ทำใจนานมากถึงยอมกด กลัวตอนเศร้าๆ แล้วก็เศร้าจริง :katai1:ไม่คิดว่าจะลาจากกันขนาดนี้ ถ้าตอนนี้ยาวกว่านี้อีกหน่อยคงมีน้ำตาซึมแค่นี้ก็แย่ละ ไม่อยากให้พจน์ทำแบบนี้เลย บอกตรงๆเริ่มกลัวใจพจน์ละตัดสินใจรวดเร็วมาก ตอนต่อไปไม่เอาเศร้าแล้วได้ไหมอ่ะ พลีสสส~
คอมเม้นต์คุณทำให้ผมรู้ว่า ชื่อตอนก็มีผลต่อการเข้ามาอ่านเหมือนกันนะ อิอิ เอาล่ะ ถึงจะเศร้า ก็เศร้าให้สุดกันไปเลย แล้วมาดูว่าพจน์จะจบเรื่องราวทั้งหมดยังไง เสียใจอยู่อย่างที่ไม่สามารถเขียนจนเรียกน้ำตาคุณให้ไหลพรากได้ แค่ซึมๆก็โอเคสำหรับผมแล้วล่ะ อิอิ ส่วนตอนล่าสุดนี้จะเศร้าอีกหรือเปล่า ลองเขียนบอกได้ครับ
ม่ายยยยยยยย ใจร้ายอ่ะ พจน์
ครับ พจน์อาจจะใจร้าย แต่ถ้าให้เลือกระหว่างคนที่เรารักต้องเจ็บ สู้ให้ตัวเราเองเจ็บแทนมิดีกว่าหรือ ทั้งเบื้องหน้าหากต้องเผชิญจอมมารพจน์จะได้ไม่กังวล ตามที่พจน์คิดไว้ "ถึงตัวจะตาย แต่ใจจะยังคงอยู่กับมาตะชั่วนิรันดร์"
ไม่มีใครใจร้าย ถ้าจะโทษก็คงโทษโชคชะตาที่กำหนดมาแบบนี้ เมื่อตัดสิ้นใจแล้วก็ต้องยอมรับความจริง ความเจ็บปวดที่เกิด รอตอนต่อไปครับ ว่าจะจบแบบไหนอะนะ คึคึ
ขอบคุณที่เห็นใจพจน์กับการตัดสินใจยากลำบากครั้งนี้ เหลือแค่ห้าบทเท่านั้นครับ รอชมบทสรุปได้ไม่นานเกินรอ
เพิ่งอ่านได้ 12 บท ขอเข้ามาดันให้ก่อนนะคะ ชอบมากๆ ช่วงแรกอ่านยากซักหน่อย เกือบจะขอผ่านไปละ แต่พอตั้งใจกลับมาอ่านอีกที รู้สึกสนุกดี ชอบภาษา ทั้งกลอนและสำนวนการพูดต่างๆมาก
มีตินิดเดียวคือ บางคำพูดของตัวละคร แม้ว่าจะเป็นภาคปัจจุบัน แต่กลับใช้ภาษาเขียน มันเลยสะดุดอยู่บ้าง และมีเขียนผิดเล็กๆน้อยๆประปรายค่ะ เช่น กระเส่า มักเขียนผิดเป็น กระเซ่า , ขลุก เขียนเป็น คลุก อะไรทำนองนี้ ผู้เขียนอาจจะมึนเบลอเนื่องจากมีศัพท์แสงภาษาไทยมากมายในคลังสมอง เลยรีบเขียนไปหน่อย เป็นกำลังใจให้นะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาช่วยดันครับ แต่ต้องไม่ดันเปล่า นิยายเรื่องนี้คุณต้องชอบจริงๆถึงคอมเม้นต์ได้ละเอียดถี่ถ้วนดีงามขนาดนี้ ขอบคุณสำหรับคำผิด ถึงผมจะอ่านทวนหลายรอบแค่ไหนในแต่ละบท ก็ยังคงมีหลุดรอดให้เห็นประปรายอย่างคุณได้เห็น ต้องขอน้อมรับไว้เป็นความผิดของผู้เขียนเองทั้งสิ้นทั้งปวง ขอบคุณสำหรับคำแนะนำติชมทั้งหลายจะรีบกลับไปแก้ดังคุณว่ามา ส่วนบางคำพูดปัจจุบัน แต่ใช้ภาษาเขียนไม่ใช่คำพูด คงติดเป็นนิสัยของผู้เขียนเสียแล้ว หากตรงไหนอ่านไม่เข้าปากคุณ หรือคนปัจจุบันเขาพูดกันก็ต้องอภัยมา ณ ที่นี้ด้วย หากจะกลับไปแก้ก็คงเยอะทีเดียว ขอน้อมรับไว้ละกันครับ