ฟ๊อกเอามั่งครับ เอิ๊กซ์......เป็นหนังสือที่ผมรักเรยยย
โหด มันส์ ฮา และ เมาครับ..ไปหาอ่านดู
ส่วนข้อมูลข้างล่างนี่ก๊อปมาครับ ยังไงก้ออ่านดูนะครับ review สั้นๆ
พันธ์หมาบ้า
^
^
เล่มบนผมซื้อตอนมัธยม
^
^
เล่มนี้ปกแข็งมั้ง
-----------------------------------------------------------------------------------------------
ผู้แต่ง: ชาติ กอบจิตติ
สำนักพิมพ์ : หอน
จัดจำหน่าย : สายส่งศึกษิต บ.เคล็ดไทย
พันธุ์หมาบ้า จะว่าไปนวนิยายเรื่องนี้มีความต่างจากงานอื่น ๆ ของน้าชาติตรงที่เป็นงานเขียนที่มีความเข้มข้นทางเนื้อหาน้อยลง แต่สิ่งที่น้าชาติใส่เข้ามาทดแทนและเหมือนใส่ได้ถูกจริตผู้อ่านเป็นอย่างมาก สิ่งที่น้าชาติใส่ลงนั่นไปคือ… ความมันส์ !
เป็นที่ยอมรับกันถ้วนหน้าที่คำกล่าวข้างต้นต่างล้วนยืนยันถึง ความมันส์ ที่สัมผัสได้จริง (เชื่อซี่) ขณะอ่านนวนิยายเรื่องนี้ ความมันส์ดังกล่าวปรากฏไล่ไปในแต่ละคำ แต่ละวรรค แต่ละย่อหน้า และตลอดจนทั้งเล่ม ทั้งนิสัยของตัวละคร บทสนทนา กิจกรรม มูลเหตุของเรื่อง สิ่งเหล่านี้มุ่งรับใช้ความมันส์ของพันธุ์หมาบ้าสมกับวัตถุประสงค์ในการนำเสนอได้เป็นอย่างดี
หัสเดิมทีมีอยู่ว่า น้าชาติ ได้ทยอยส่งต้นฉบับนวนิยายเรื่องนี้ไล่ตีพิมพ์ลงใน นิตยสารลลนา ราวปีพ.ศ.๒๕๒๘ ไปจนจบเรื่องในปีพ.ศ.๒๕๓๐ กินเวลาสองปีกว่าที่ความมันส์ของนวนิยายเรื่องนี้ละเลงอยู่บนหน้านิตยสารลลนา และด้วยตลอดสองปีกว่าที่พันธุ์หมาบ้าปรากฏสู่สายตานักอ่านในขณะนั้น คำถามมากมายหลั่งไหลทะลักเข้าไปถึงตัวน้าชาติอย่างล้นหลาม โดยเฉพาะคำถามที่ว่า “นี่เขียนจากเรื่องจริงหรือ?” ได้รับการพูดถึงบ่อยที่สุด รองลงมาก็ความล่อแหลมในเนื้อหาโดยยึดความมันส์เป็นแก่น ที่หลายคนอดเป็นห่วงไม่ได้ เพราะพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ในการแสดงออกของตัวละครแต่ละคนต่างเป็นที่หวาดหวั่นถึงการเอาเยี่ยงอย่างของเยาวชน เช่น เจอหน้าเป็นดวด ล่อบ้องเป็นนิจ หรือชีวิตอิสระเสรีของกลุ่มวัยรุ่นที่ยังขาดวุฒิภาวะต่อการกระทำต่าง ๆ ซึ่งอาจเลยเถิดไปจนกลายเป็นทางเลี้ยวที่ผิดตลอดชีวิตเลยก็ว่าได้
ทว่าน้าชาติมีคำตอบให้เพียงสั้น ๆ แต่คมคายและจุดประกายให้ขบคิดอยู่บนหน้าคำนำว่า “การอ่านไม่ทำให้ใครเสียคน คนที่ไม่อ่านสิน่าเป็นห่วง!” ช่างเป็นคำตอบที่มันส์ไม่แพ้กัน
อย่าลืมว่า ชาติ กอบจิตติ เป็นนักเขียน หากินกับวรรณกรรม มีหรือนักเขียนระดับซีไรต์จะขาดจรรยาบรรณและความรับผิดชอบกับงานศิลปะที่ตัวเองผลิต ซึ่งคำกล่าวนี้ก็สามารถพิสูจน์ยืนยันได้ด้วยตัวหนังสือพันธุ์หมาบ้านั่นเอง
อย่างกรณีที่น้าชาติยกตัวอย่างถึงเพื่อนเจ็ดคนที่เสียชีวิตก่อนวัยอันควร เพราะหลงเดินไปในทางที่ผิดก็อยู่ในคำนำเช่นกัน หรือจะหาเอาจากแก่นสารภายในเล่ม โดยหยิบจากเบื้องลึกของตัวละครเอกทั้งสอง อ๊อดโต้ และ ทัย สองคู่หูที่มีฉากชีวิต มิติ บางมุมที่สะเทือนใจ สภาวะอันกดดันบีบคั้นที่ทั้งสองต้องเผชิญ เป็นผลสืบเนื่องให้ทั้งสองออกค้นหาคำตอบเพื่อชีวิตตัวเอง คำตอบเหล่านั้น ไม่ได้มาจากการแสวงหาความรู้ภายในรั้วสถาบันการศึกษา จารีตอันเก่าคร่ำของผู้หลักผู้ใหญ่ แต่ได้มาจากการย่ำเท้ากอดคอทดลองกับมันด้วยชีวิตของตัวเอง นี่มิใช่หรือ สาระอันยิ่งใหญ่อีกคุณค่าหนึ่ง ที่เรามักมองข้ามกัน เพราะเรากลับค้นหาและให้คุณค่าจากระบบที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นจนกลายเป็นระบอบที่คนเดินตามกัน มิต่างอะไรกับหุ่นยนต์ที่ทำตามคำสั่งเข้าไปทุกที ภาพดังกล่าวเป็นอีกสาระสอดแทรกและเป็นมุมเดียวที่น้าชาติเหยาะลงมาในพันธุ์หมาบ้า จนทำให้นวนิยายนี้ครบทุกรสชาติ
อ๊อดโต้ ทัย ล้าน เล็กฮิป และชวนชั่ว กลุ่มก๊วนหรรษา เฮฮาตลอดศก หมู่มิตรที่มีจิตเป็นหนึ่ง จิตที่คาราวะแด่สุรา นอบน้อมกัญชาประหนึ่งเทพผู้พาให้หลุดพ้น ทั้งเรื่องพวกเขาจะสาละวนอยู่กับสิ่งเหล่านี้ไม่ขาดพร่องทุกคราที่เจอะหน้ากัน ไม่ว่าทุกข์หรือโศกเศร้า ครื้นเครง จะอารมณ์ใดก็ตาม สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ เหล้า พวกเขาเห็นพ้องต้องกันว่าเหล้าคือพระเอกของเรื่องนี้อย่างแท้จริง
เพราะเหล้าทำให้ทัยได้มาเจออ๊อดโต้ เพราะเหล้าทำให้ชวนชั่วได้มาเจอกับทัย และก็เหล้าอีกนั่นแหล่ะที่ช่วยดำเนินเรื่องให้พลิกไปทีละหน้าจนผู้อ่านกรึ่มได้ที่ทีเดียว
นอกจากเหล้าแล้วทีเด็ดอีกอย่างของพันธุ์หมาบ้าคือ ศัพท์แฝง ที่น้าชาติประดิษฐ์ขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงความสมจริง… ความสมจริงที่เราได้ยินประโยคกักขฬะเหล่านี้อยู่ทุกวัน เช่น…
“กล้วย” หรือ “เครื่องปลอกกล้วย”, “บ้องฮิลล์” สถานที่เฉพาะ มันถูกสงวนไว้สำหรับพวกเขา, “โทบี้” ชื่อจักรยานยนต์คันเดียวแต่ขับเคลื่อนไปทั่วเกาะภูเก็ต คำผรุสวาทสุดแสบอย่าง “ยัดแม่” หรือแม้แต่ ฉายาของตัวละครภายในเรื่องที่หยิบมาจากชีวิตจริง คำเหล่านี้ได้กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ตรึงผู้อ่านให้เกิดอารมณ์ขันอันร้ายกาจที่น้าชาติจงใจ มิหนำซ้ำ น้าชาติยังตลกร้ายด้วยการประกาศว่า ใครก็ตามที่ชื่อดันมาเหมือนกับตัวละครเหล่านี้จะถือว่าผู้นั้นลอกเลียน และอาจถูกฟ้องกลับด้วย (เอากับแกสิ)
ส่วนการดำเนินเรื่องที่เพื่อน ๆ ช่วยผลัดกันเล่าถึงวีรกรรมของแต่ละคน อาจทำให้เรื่องเคลื่อนไปช้า ๆ ไม่ซับซ้อนชวนหัว แต่การเล่าเรื่องแบบนี้ช่วยขับให้มิติตัวละครถูกเน้นให้มีความหลากหลายขึ้น และชัดเจนจนได้ภาพที่แจ่มชัด ดูเหมือนว่าคำพูดนี้สามารถฉุกให้ผู้อ่านประหวัดไปถึงคนรอบข้างที่ได้ชื่อว่า เพื่อน เป็นการเทียบเคียงว่า ใครบ้างที่มีพฤติกรรมแบบนวนิยายเรื่องนี้ ความสมจริงของเหล่าตัวละครที่โลดแล่น ชีวิตอันผาดโผนของพวกเขาทั้งผอง ล้วนถูกเปรียบกับโลกแห่งความจริงรอบตัวผู้อ่านอย่างอดเลี่ยงไม่ได้
เมื่อถึงวัยที่ต้องเลี้ยวเพื่อเลือกทางเดินสำหรับชีวิต วัยนี้เองที่ก้อนหัวใจมันฮึกเหิม พองโต วัยที่พร้อมท้าทายทุกสิ่งที่ตระหง่านขวางหน้า บางครั้งก็พลาดเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ บางครั้งต้องใช้สมาธิอย่างเต็มเปี่ยมเพื่อประคองมิให้ตกทาง บางครั้งสติและปัญญาเป็นส่วนช่วยให้รอดพ้นวัยอันตรายนี้ได้อย่างสง่า ภาคภูมิ ไม่ว่าจะเรียกสิ่งเหล่านี้เป็นอารัมภบทหรือปรัชญาใด ๆ ก็ตาม พันธุ์หมาบ้าได้ทำหน้าที่เป็นผู้นำทางโดยมีสิ่งข้างต้นเป็นตัวชี้นำ ส่องสว่างอยู่อย่างเพียบพร้อมแล้ว เหลือแต่เพียงแค่การเปิดอ่านเพื่อสัมผัสเจตนารมณ์อันแท้จริงที่เคลือบแฝงในตัวพันธุ์หมาบ้าเท่านั้น ที่รอผู้อ่านอยู่
ที่มาครับ......
http://kaawrowkaw.wordpress.com/2007/05/01/bookreview10/----------------------------------------------------------------------------------
ชาติ กอบจิตติ เกิดเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ.2497 ที่บ้านริมคลองหมาหอน ตำบลบ้านบ่อ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร เป็นบุตรคนที่สอง ในจำนวนพี่น้องผู้หญิง 5 คน และผู้ชาย 4 คน รวมเก้าคน ชื่อเดิมคือสุชาติ แต่เขาเห็นว่าคนใช้ชื่อนี้กันมาก จึงเปลี่ยนมาเป็น "ชาติ" พ่อของเขาเป็นพ่อค้าขายเกลือเม็ด ส่วนแม่ขายของเล็กๆน้อยๆ ต่อมาพ่อก็ไปค้าทราย และขายของชำ
เขาเริ่มเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนวัดใหญ่ บ้านปอ แล้วย้ายไปเรียนที่โรงเรียนเอกชัยในจังหวัดเดียวกัน เพราะไปอยู่กับยายชั่วคราว เมื่อพ่อไปค้าทรายที่ราชบุรี เขามาเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 7 ที่โรงเรียนปทุมคงคาเมื่อ พ.ศ.2509 โดยอาศัยอยู่กับพระซึ่งเป็นเพื่อนของอาที่วัดตะพาน หรือวัดทัศนารุณ มักกะสัน พอเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปี่สามแล้วก็เรียนต่อเพาะช่าง ในสาขาภาพพิมพ์ เนื่องจากเป็นคนชอบวาดรูป ชอบเขียนหนังสือ ฝันใฝ่ที่จะเป็นนักประพันธ์ เรื่องสั้นเรื่องแรก คือ เรื่อง "นักเรียนนักเลง" เขียนลงในหนังสืออนุสรณ์ปทุมคงคา 2512
เขาแต่งงานเมื่อ พ.ศ.2520 กับเพื่อนสาวที่เรียนจบเพาะช่างมาด้วยกัน ชื่อ รุจิรา เตชะศีลพิทักษ์ ซึ่งต่อมาได้ช่วยกันทำกระเป๋าไปฝากขายตามห้าง ซึ่งมีรายได้ดี เขาทั้งคู่ไม่มีบุตรด้วยกัน ปัจจุบันจึงใช้ชีวิตอยู่เงียบๆที่ไร่ในอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
ปัจจุบันเขาทำงานด้านการเขียนเพียงอย่างเดียว มีการแนะนำการเขียนหนังสือสำหรับผู้ที่สนใจ และเขาได้ตั้งสำนักพิมพ์ของเขาเอง ชื่อ สำนักพิมพ์หอน โดยเอามาจากชื่อ คลองหมาหอน บ้านเกิดของเขา
ผลงานและรางวัลที่ได้รับ
เรื่องสั้นเรื่อง ผู้แพ้ ได้รับรางวัล ช่อการะเกด และรางวัลชมเชยจากการคัดเลือกเรื่องสั้นดีเด่นประจำปี 2522จากสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย
เรื่องสั้นกึ่งนวนิยาย เรื่อง ทางชนะ พ.ศ. 2522
นวนิยายขนาดสั้น เรื่อง จนตรอก พ.ศ. 2523
นวนิยายเรื่องคำพิพากษา พ.ศ. 2524
ได้รับรางวัลซีไรท์ ปี 2525 และพิมพ์เผยแพร่มากกว่า20 ครั้ง
เรื่องสั้นขนาดยาว เรื่องธรรมดา พ.ศ. 2526
รวมเรื่องสั้น ชุดที่ 1 มีดประจำตัว พ.ศ.2527
นวนิยายขนาดสั้น เรื่อง หมาเน่าลอยน้ำ พ.ศ. 2530
นวนิยายขนาดยาว เรื่อง พันธุ์หมาบ้า พ.ศ. 2531
รวมเรื่องสั้น ชุดที่ 2 นครไม่เป็นไร พ.ศ. 2532
นวนิยายเรื่อง เวลา พ.ศ. 2536
ได้รับรางวัลซีไรท์ เป็นครั้งที่ 2 ปี 2537
และได้รับรางวัลนวนิยายดีเด่นจากคณะกรรมการพัฒนาหนังสือแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ ประจำปี 2537 อีกด้วย
ความเรียง-บันทึก เรื่องราวไร้สาระของชีวิต พ.ศ. 2539
เรื่องสั้นขนาดยาว รายงานถึง ฯพณฯ ท่านนายกรัฐมนตรี พ.ศ. 2539
เปลญวนใต้ต้นนุ่น รวบรวมบทความที่เขียนลงในนิตยสาร สีสัน พ.ศ. 2546
และหนังสือที่ได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษ ได้แก่
Mad Dogs & Co (พันธุ์หมาบ้า)
NO WAY OUT (จนตรอก)
และ TIME (เวลา)
หนังสือเรื่อง คำพิพากษา สร้างเป็นภาพยนตร์ เปลี่ยนชื่อเป็น "ไอ้ฟัก"
จาก คำพิพากษา วรรณกรรมซีไรต์ของ ชาติ กอบจิตติ มาเป็น ไอ้ฟัก เป็นการนำเสนอในมุมมองใหม่ ด้วยเรื่องราวความรักอันบริสุทธิ์ ที่เป็นรักต้องห้าม ระหว่างคนดีอย่างไอ้ฟัก และคนบ้าอย่างสมทรง ที่นอกจากสติไม่สมประกอบแล้ว ยังเป็นเมียของพ่อ ที่สังคมไทยรับไม่ได้ และร่วมกันประณาม พิพากษาไอ้ฟักว่าผิด จนไม่อาจจะอยู่ร่วมสังคมเดียวกันได้ และยังร่วมกันทำร้ายหนุ่มผู้มีรักอันบริสุทธิ์อย่างไอ้ฟัก
http://magnet.narak.com/collection/movies/thai/ai_fuck.shtmlหนังสือ 100 นักประพันธ์ไทย ผ.ศ. ประทีป หมือนนิล
ที่มาจาก....
http://www.noknoi.com/magazine/series.php?id=150[/color]