(ต่อจากหน้าสาม)
“ขอบคุณนะครับ” ลูกแกะรั้งแขนตัวเองไว้ไม่ยอมเดินต่อ พอเขาหันไปหาก็ยิ้มให้อย่างร่าเริง ดวงตาฉายชัดถึงความขอบคุณและความดีใจที่ปิดไม่มิด “คุณบอกว่าจะไม่ปิดบังผมแล้วก็ทำแบบนั้นจริงๆ ขอบคุณนะ”
“ครับ” เกรย์ตอบกลับเป็นภาษาไทยที่ไม่ถนัด ทำเอาคนฟังยิ้มกว้างกว่าเดิมจนเขาอารมณ์ดีตามไปด้วย “กลับไปเจอกันที่กรุงเทพฯ นะ ครั้งนี้จะพาไปเที่ยวจริงๆ ไม่สิ...ต้องให้ลูกแกะพาฉันเที่ยวมากกว่า”
“ได้เลย”
พวกเขาไม่ได้เกี่ยวก้อยสัญญาเป็นเด็กๆ แต่เกรย์รู้ดีว่าลูกแกะเป็นคนยังไง ต่อให้สุดท้ายเขาไม่ว่างไปเที่ยวด้วย เจ้าตัวก็คงไม่โกรธเหมือนเดิม ทว่าคราวนี้ต่อให้งานยุ่งแค่ไหนเขาก็ต้องทำตามคำพูดให้ได้ แค่ต้องผิดคำพูดในช่วงหลายอาทิตย์ที่ผ่านมาก็รู้สึกแย่มากพอแล้ว
“ตอนลูกแกะอยู่กับครอบครัว คนของฉันจะคอยตามดูอยู่ห่างๆ จะได้ไม่อึดอัด ตอนกลับก็ไปสนามบินพร้อมครอบครัวได้เลย วิคเตอร์กับคนอื่นๆ จะขับรถตามไปแล้วค่อยกลับพร้อมกัน”
“รับทราบ” คนฟังยกมือตะเบ๊ะรับทราบแล้วยิ้มขำ ก่อนแยกกันไปคนละทางยังไม่วายยื่นมือมาจับแขนเขาไว้อีกรอบ “ระวังตัวด้วยนะครับ”
“นายเองก็ด้วย”
หลังจากร่ำลากันโดยการลูบหัวลูบหลังเป็นครั้งที่สาม ในที่สุดประมุขก็ยอมเดินขึ้นรถแต่โดยดี แต่แม้จะขึ้นมาแล้วก็ยังไม่วายหันกลับไปมองคนที่ยืนโบกมือให้จากด้านหลังเหมือนรู้อยู่แล้วว่ายังไงเขาก็ต้องหันไปมอง และเมื่อรถเลี้ยวไปอีกทาง ร่างของคนยืนส่งก็ถูกแทนที่ด้วยรถของการ์ดที่ขับนำหน้ากับตามหลังอย่างละคัน เพียงเท่านั้นหน้าตาของคนร่าเริงก็หงอยลงแทบจะทันที
“เราจะเข้าไปส่งถึงที่ จากนั้นจะตามอยู่ห่างๆ ไม่ให้ครอบครัวของคุณรู้ ถ้ามีอะไรให้รีบติดต่อผมทันที” วิคเตอร์ที่นั่งอยู่ข้างคนขับหันมาบอกด้วยสีหน้าราบเรียบ แต่พอเห็นสีหน้าอึนๆ ปนเศร้าสร้อยของนายคนที่สอง บอดี้การ์ดหนุ่มก็ต้องถอนหายใจออกมาแล้วเพิ่มเติมคำพูดจากเดิมไปนิดหน่อย “คุณรู้หรือเปล่าว่าทำไมช่วงนี้นายทำงานหนักจนต้องกลับห้องดึกทุกวัน”
“ทำไมเหรอ” พอได้ยินคำถามที่เกี่ยวข้องกับเกรย์ ประมุขก็รีบเงยหน้าถามทันควัน
“เพราะนายเร่งเคลียร์งาน จะได้มีเวลาไปเที่ยวกับคุณหลังจากนี้”
ได้ฟังดังนั้นประมุขก็อมยิ้มจนแก้มพองแบบไม่มีความเขินอายทั้งยังไม่คิดปิด ส่วนวิคเตอร์ที่สังเกตท่าทีของอีกฝ่ายอยู่ตลอดก็หันกลับไปนั่งหลังตรง ก้มหน้ากดโทรศัพท์รายงานผู้ที่ทักมาบอกให้เขาทำให้คนหน้างออารมณ์ดีอย่างรวดเร็ว
เมื่อเข้าเขตสวนดอกไม้รังสิมันตุ์ในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ประมุขก็หันไปเกาะขอบหน้าต่างมองบรรยากาศของสวนด้วยดวงตาแวววาว คิดในใจว่าสักวันต้องพาเกรย์มาเที่ยวที่นี่ด้วยกันให้ได้ เผลอมองดอกไม้ที่เรียงรายอยู่ตามทางกระทั่งรถมาโผล่อยู่หน้าจุดนัดพบซึ่งเป็นรีสอร์ทอยู่ในเขตสวน สติสตังที่เหม่อลอยจนหายไปไหนไม่รู้จึงกลับมาเข้าที่อีกครั้ง
“เดี๋ยวผมยกเข้าไปเอง พี่ชายคนรองอยู่ข้างในแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง” เขาบอกการ์ดของเกรย์พร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะยื่นมือไปดึงกระเป๋าเดินทางมาถือไว้เอง “ถ้ามีอะไรจะโทรไปบอกแน่นอนครับ พวกพี่ๆ ไปพักเถอะ”
“เข้าใจแล้ว” วิคเตอร์ซึ่งเป็นตัวแทนของการ์ดทั้งหมดพยักหน้ารับคำ และหันไปส่งสัญญาณให้ทุกคนกลับไปขึ้นรถประจำที่ “หากเจออะไรน่าสงสัย ไม่ว่าจะเล็กน้อยขนาดไหนก็ตาม คุณต้องบอกผมทันที ไม่มีข้อยกเว้น”
“ครับ” ประมุขรับคำอย่างแข็งขัน เมื่อวิคเตอร์พยักหน้าให้แล้ว เขาจึงหมุนตัวเดินลากกระเป๋าเข้าไปในตัวรีสอร์ทที่พี่ชายคนรองบอกว่ารออยู่ก่อนแล้ว
พื้นที่รองรับแขกของตัวรีสอร์ทเป็นโถงกว้างขนาดใหญ่ มีมุมเฉพาะสำหรับแขกวีไอพีแยกอยู่ด้านข้าง ประมุขก้าวเข้าไปถึงก็เดินไวๆ ไปที่โซนวีไอพี พอเห็นพี่ชายคนรองที่มีหน้าตาคล้ายคลึงกันนั่งอยู่ที่โซฟาก็วิ่งเข้าไปหาพร้อมรอยยิ้ม
“เต้!”
“มุ…อุก!” คนที่กำลังจะยิ้มให้น้องชายชะงักกึก จากที่จะอ้าแขนกอดกลับกลายเป็นต้องงอตัวลงด้วยความจุก เมื่อไอ้น้องเวรมันพุ่งเข้าหาแล้วเอาตัวที่มีขนาดไม่ต่างกันกระแทกเขาอย่างแรง
“คิดถึงมึง”
“แต่กูไม่คิดถึงมึง ไอ้น้องเวร!”
ผัวะ!
พูดจบก็ตบหัวไอ้คนที่บอกว่าคิดถึงแต่จงใจแกล้งไปหนึ่งทีจนมันหน้าบูด ยอมผละออกจากอ้อมแขนแล้วหันไปยกมือไหว้คนที่ยืนมองสถานการณ์เงียบๆ มาโดยตลอดแทน
“พี่พายุ สวัสดีครับ”
“สวัสดี” ชายหนุ่มต่างชาติตัวสูงท่าทางเข้มงวดตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษ ดวงตาสีเขียวที่ตอนได้เห็นครั้งแรกทำเอาประมุขหวาดผวา ยามนี้ก็ยังดูดุดันไม่ต่างจากเดิม ทว่าความเคยชินที่เกิดจากการได้พบเจอกันมาหลายปีทำให้มันกลายเป็นความคุ้นเคยไปแล้ว
พายุ หรือชื่อจริงๆ คือวลาดิเมียร์เป็นคนรักชาวรัสเซียของฮ่องเต้ พี่ชายของเขาที่คบกันมานานแล้ว และแม้จะไม่รู้ว่าไปคบกันได้ยังไงโดยที่ประมุขไม่รู้เรื่องเลย แต่เขาก็มั่นใจว่าทั้งคู่รักกันมาก ไม่ว่าพี่พายุจะวุ่นวายกับงานที่รัสเซียหรือมีปัญหาอะไร เต้ก็จะเป็นห่วงแล้วคอยให้กำลังใจอยู่เสมอ นานๆ ได้มาเจอกันทีนี่แทบจะขลุกอยู่ด้วยกันทั้งวัน ไม่เคยเห็นแยกจากกันเลยแม้แต่วินาทีเดียว
ยอมรับเลยว่าเขาเคยนึกอิจฉาจนพาลเอาไปลงกับเกรย์ที่ตอนนั้นยังไม่มีโอกาสได้เจอหน้าอยู่บ่อยครั้ง แต่พอเห็นนานเข้าก็เริ่มกลายเป็นเห็นใจ เพราะพี่พายุกับเต้ได้เจอกันปีละนับครั้งได้ อย่างปีก่อนก็มีแค่ช่วงปีใหม่สามสี่วัน เสร็จแล้วก็ต้องบินกลับไปทำงานต่อ และถึงจะดูเข้มแข็งขนาดไหน แต่ประมุขก็รู้ดีว่าเต้เศร้ามาก
เมื่อก่อนเขากับเกรย์ยังไม่เคยเจอกันมันเลยไม่อะไรเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ได้เจอ ได้อยู่ด้วยกันแล้ว ถ้าต้องแยกจากบ่อยๆ แล้วได้เจอแค่ไม่กี่วัน เขาก็คงรู้สึกไม่ต่างจากเต้เท่าไหร่นัก
แค่คิดก็เศร้าแล้วเนี่ย...
“เป็นอะไรของมึง จู่ๆ ก็ทำหน้าหมาหงอย”
ประมุขรีบเปลี่ยนสีหน้าแล้วส่ายหัว สายตากวาดไปโดยรอบเพื่อมองหาพ่อกับพี่ชายคนโตที่ยังไม่เห็นตั้งแต่มาถึงที่นี่เพราะแยกมาคนละทิศคนละทาง
“พ่อกับพี่จักรยังไม่มาเหรอ”
“พ่อจะถึงแล้ว ส่วนพี่จักรเห็นภีมบอกว่าอาบน้ำอยู่ เรามาไวไปหน่อย” ฮ่องเต้ตอบก่อนจะหันหน้าไปอีกทาง แต่หันไปได้ครึ่งเดียวก็หันขวับกลับมาอีกรอบด้วยสีหน้าดุๆ ตาจ้องขาของน้องชายคนเล็กเขม็ง “ขามึงไปโดนไรมา ทำไมมีรอยแผลเป็นทางแบบนั้น”
คนที่มีความผิดติดตัวตาโต รีบดึงขากางเกงให้ปิดบริเวณที่มีรอยแผลเอาไว้ ในใจก่นด่าตัวเองเป็นร้อยรอบที่ดันเลือกกางเกงขาสั้นมาใส่ ทั้งที่ก็รู้ดีอยู่แล้วว่าเต้มันขี้สังเกตขนาดไหน
“ไม่มีไร”
“กูพี่มึงนะมุข อย่ามาตอแหล”
เมื่อได้ยินพี่ชายพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ประมุขก็หน้ามุ่ย ยอมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังแต่โดยดี ทั้งเรื่องที่เขาเจอเกรย์และเรื่องที่น่าจะมีศัตรูที่ไม่ใช่แม่คอยจ้องเล่นงานอยู่ ยิ่งพูดมากเท่าไหร่สีหน้าของฮ่องเต้ก็ยิ่งเคร่งเครียดมากขึ้นเท่านั้น น้องชายคนเล็กที่ชอบทำกร่างพูดหยาบกับพี่คนรองถึงกับตัวลีบ แม้แต่เสียงก็เบาลงเรื่อยๆ อย่างเป็นกังเวล
“มึงอย่าบอกพี่จักรกับพ่อนะเต้ กูสัญญาจะดูแลตัวเองดีๆ”
“เด็กโง่แบบมึงจะดูแลตัวเองยังไงได้” ฮ่องเต้พูดเสียงดุแล้วจิ้มนิ้วลงตรงกลางหน้าผากน้องชายหนึ่งทีด้วยความหมั่นไส้ “แต่เอาเถอะ กูไม่อยากให้พ่อเส้นเลือดในสมองแตกเพราะลูกชายเข้าไปยุ่งกับอันตรายทุกคน ส่วนพี่จักรก็มีเรื่องแม่ให้เครียดอยู่แล้ว”
“ใช่ไหมล่ะ”
“แต่มึงก็ดูแลตัวเองไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ”
“เอ้า!” ประมุขหน้ามุ่ยเมื่อโดนด่าซ้ำ อยากจะเถียงมันหรือด่ากลับก็ทำไม่ได้อีก เพราะไอ้เต้มันห่างจากคำว่าโง่ไปไกล ขืนด่าไปด้วยเรื่องเดียวกันคงเข้าตัวเองเปล่าๆ “กูไม่คุยกับมึงแล้ว”
พูดจบก็ควักโทรศัพท์ขึ้นมารายงานเกรย์ว่าเจอพี่ชายแล้ว รอไม่ถึงสิบวินาทีอีกคนก็ตอบกลับมาว่าให้ดูแลตัวเองด้วย เขานั่งจ้องจอยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เป็นคนบ้า ไม่ต้องนั่งอิจฉาเวลาเต้อยู่กับพี่พายุแล้วต้องโดดเดี่ยวอยู่เพียงลำพังอีกแล้ว
เรื่องของเกรย์ที่ประมุขพูดคุยด้วยมานานอยู่ในการรับรู้ของฮ่องเต้ตลอด ตอนที่พี่จักรยังไม่กลับมา พวกเขาสองพี่น้องก็อยู่ด้วยกันแทบทุกวัน จึงไม่แปลกที่จะรู้ความลับของกันและกันแทบทุกเรื่อง แล้วเต้ก็ไม่เคยห้ามปรามหรือพูดตัดกำลังใจเลยสักครั้ง มีแต่บอกว่าให้คิดอะไรให้รอบคอบและตัดสินใจดีๆ อย่าให้ต้องเสียใจในภายหลังก็เท่านั้น
“มุข”
“หือ”
“มึงโตแล้วนะ ต่อจากนี้จะทำหรือจะพูดอะไรคิดดีๆ ด้วย เข้าใจหรือเปล่า”
“รู้แล้วน่า”
ประมุขรู้อยู่แล้วว่าต่อจากนี้นอกจากดูแลตัวเองแล้วเขายังต้องดูแลใครอีกคนด้วย...
ถึงแม้เกรย์จะบอกว่าจะปกป้องดูแล ไม่ยอมให้ใครมาทำร้าย แต่หน้าที่ให้กำลังใจและคอยอยู่เคียงข้างตอนที่อีกฝ่ายต้องการก็สำคัญไม่แพ้กัน
เพราะงั้นเขาจะทำมันให้ดี ไม่ยอมแพ้เต้แน่นอน
------------------------
TALK: ขออภัยที่มาช้านะคะ จริงๆ อยากจะเขียนให้จบไวๆ เลยไม่ค่อยว่างนั่งอ่านทวน ตอนนี้ก็เขียนนำเกินครึ่งเรื่องไปแล้ว (ถึงตอนสิบห้าจากยี่สิบตอน) ไม่มีเทแน่นอนค่ะ