: เพ้อที่ 01 : พี่ร้านหนังสือ
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อืม... จะถามถึงเรื่องพี่เมี่ยงที่เฝ้าร้านหนังสือการ์ตูนร้านนั้นน่ะเหรอ ?
ผมก็อธิบายไม่ถูกนะ
แต่ก็จะลองให้ข้อมูลดูละกัน เผื่อคิดอยากจะจีบพี่เค้า
ถ้าถามผมว่าพี่เมี่ยงเป็นคนยังไงนั้น .. คงต้องบอกว่าเป็นคนที่....
แปลก
ใช่ครับ เขาแปลก
พี่เมี่ยงเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยชื่อดัง ที่ชอบแอบมาทำงานพิเศษที่ร้านเช่าหนังสือการ์ตูนแถวบ้านผมเมื่อประมาณเดือนก่อน แถมคณะที่พี่เมี่ยงเรียนนั้นคือคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาแอนิเมชั่นและเกม ผมว่าพี่เค้าก็เลือกสิ่งที่เรียนได้ใกล้เคียงกับงานพิเศษที่เขาทำดี แต่ดูเหมือนเขาจะรักงานพิเศษมากกว่าที่จะไปเรียนนี่สิ อ้อ ผมไม่ได้คิดเองนะ เพราะพี่เมี่ยงแกบอกมาแบบนั้นจริง ๆ
พี่เมี่ยงเป็นผู้ชายที่หน้าตาบอกได้ว่าค่อนข้างที่จะ “เรียกแขก” อยู่พอตัว ปกติ ที่ร้านหนังสือแห่งนี้จะไม่ยอมรับพนักพาร์ทไทม์เข้ามากันง่าย ๆ ซ้ำเคยรับแต่ผู้หญิง พี่เมี่ยงจึงเป็นผู้ชายคนแรกที่ได้มาทำงานพาร์ทไทม์ที่นี่และยังเป็นผู้ชายเต็มตัวอีกด้วย เวลาพี่เมี่ยงเฝ้าร้านทีไร ผมก็รู้สึกได้เลยว่า คนในร้านจะเยอะเป็นพิเศษ ส่วนใหญ่ก็มักถามเกี่ยวกับหนังสือ และพี่เมี่ยงก็มักตอบด้วยรอยยิ้มทุกครั้ง
พี่เมี่ยงเป็นคนอัธยาศัยดี รู้เรื่องงานที่ทำ หรือเป็นเพราะพี่เมี่ยงชอบการ์ตูนด้วยก็ไม่รู้ ผมเคยลองภูมิเค้าอยู่ครั้งสองครั้ง และพี่เมี่ยงก็จะตอบกลับมาอย่างฉะฉานเสมอ
พี่เมี่ยงไม่เคยทำท่าทีรำคาญ หรือไม่พอใจลูกค้าเลย หากมีปัญหา พี่เมี่ยงก็สามารถจัดการได้ทุกครั้ง
สงสัยใช่ไหมล่ะครับว่าตรงไหนที่ว่าแปลก ?
ไม่หรอก
แปลกจริง ๆ ผมเคยเจอกับตัวมาแล้ว
ตอนแรกผมคิดว่าพี่เมี่ยงเป็นผู้ชายที่ชอบอ่านมังงะ ดูอนิเมคนหนึ่งเท่านั้น .. ก็แค่ทำเป็นงานอดิเรกน่ะ
แต่นั่นก็แค่เปลือกนอก
ภายใต้หน้ากากที่ยิ้มแย้มที่แท้จริงของพี่เมี่ยงนั้น... ผมเองก็เพิ่งได้สัมผัสมาเมื่อไม่นานมานี้
โอเคครับ เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง
วันนั้นเป็นวันที่ผมขอลาป่วย ไม่สบาย เนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงวันหนึ่งแทบจะเป็นสี่ฤดู .... อ้างไปงั้นครับ จริง ๆ เพราะผมมัวแต่นอนหลับเปิดพุงให้แอร์มันกลบจนตื่นมาหวัดกิน ปวดหัว น้ำมูกไหลเองต่างหาก
“เออ ไหน ๆ แม่ก็ให้หยุดอยู่บ้านแล้ว เอาการ์ตูนไปคืนให้กูหน่อยดิ”
ตั้งโอ๋ น้องชายฝาแฝดของผมเอ่ยบอก พลางโยนการ์ตูนญี่ปุ่นโยนใส่ตัวผมสองสามเล่ม
จำได้ว่าสองสามเล่มนี้มันเช่ามาได้สองสามวันแล้ว ...
“เฮ้ย ค่าปรับอ่ะ” ผมท้วง
แต่ไอ้ตั้งโอ๋ไม่รออยู่ให้ผมท้วง เพราะมันรีบวิ่งลงไปข้างล่าง และออกจากบ้านไปโรงเรียนทันที
ให้ตายเหอะ เงินผมอีกแล้วเหรอวะ ?
ขอผมแนะนำตัวก่อน .. ผมชื่อต้นหอม หรือไอ้ต้น ปกติทุกคนมักเรียกต้น เพราะเรียกหอมมันแปลก ๆ ก็ผมเป็นผู้ชาย ชื่อหอมแบบนั้นมันตุ๊ดมาก ผมเลยตั้งกฎว่าห้ามเรียก ถ้าไม่อยากปากแตก
อืม.. ผมควรเปลี่ยนประโยคใหม่ ไม่ใช่ ‘ปกติทุกคนมักเรียก’ แต่เป็น ‘ปกติผมให้ทุกคนเค้าเรียก’ แบบนั้นจะดีกว่า
ผมอยู่ม.หก โรงเรียนสหศึกษาแถวบ้าน การเรียนไม่ได้ดีเด่อะไรมากมาย ปานกลาง แต่ทุกคนมักผิดคาดกับลุคเด็กเนิร์ดของผม .. ผมเป็นผู้ชายใส่แว่น ทั้งที่สายตาก็ไม่ได้แย่อะไร ออกจะปกติหรือดีเกินไปด้วยซ้ำ ผมสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้โดยไม่ต้องพึ่งเลนส์ แต่ .. สาเหตุที่ผมต้องใส่แว่นนั้นก็คือ..
ผมต้องการให้คนแยกแยะผมให้ออกระหว่างผม กับน้องชายฝาแฝด
เกิดมาเป็นลูกแฝดก็เงี้ย ลำบากใจ ความหล่อก็ต้องหารครึ่งกับไอ้โอ๋มัน แย่มาก
หลังจากที่โอ๋มันไปโรงเรียน มันก็ทิ้งให้ผมนอนอยู่ที่บ้านอีกสักพัก แม่ผมก็เข้ามาปลุกให้ตื่นขึ้นมากินข้าวกินยา จากนั้นผมก็นอนต่อเพราะฤกธิ์ของยาอีกสักหน่อย
ตื่นขึ้นมาอีกทีก็สิบเอ็ดโมง
ในหัวยังคงมึน ๆ คล้ายกับไปวิ่งวนที่ไหนมา แต่ด้วยร่างกายนอนเต็มอิ่มแล้วผมจึงไม่ฝืนแผ่ตัวนินบนเตียงอีกต่อไป จึงลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวแล้วลงไปข้างล่าง
ข้างนอกบ้านแดดเปรี้ยงมาก .. ทั้งที่ยังไม่ถึงเที่ยง แม่ผมกำลังนั่งถักนิตติ้ง เมื่อเห็นผมก็เงยหน้าขึ้นมาทัก
“จะไปไหนน่ะ”
“เอาหนังสือไปคืนให้ไอ้โอ๋มันอ่ะแม่” ผมตอบพลางชูหนังสือการ์ตูนของไอ้น้องชายฝาแฝดเจ้าปัญหาขึ้นมา
แม่เลยพยักหน้าตกลงและบอกให้ผมเอาร่มไปด้วย
ร้านเช่าการ์ตูนนั้นอยู่ติดกับถนนใหญ่หน้าปากซอย บ้านผมห่างจากร้านประมาณห้าร้อยเมตรแบบเท่าที่คำนวณได้ด้วยเท่าเปล่าและสมองน้อย ๆ ของผม มันไม่ใกล้ และก็ไม่ไกลมาก คนเป็นหวัดสามารถเดินไปได้ คิดซะว่าเป็นการออกกำลังกาย
ร่มที่แม่ให้พกนั้นเป็นสีดำสนิทจนผมนึกเวียนหัว เอาสีที่ดูดความร้อนมาแบบนี้ .. คิดได้ไง ?
ผมเป็นลูกค้าที่เข้า ๆ ออก ๆ ร้านเช่าการ์ตูนนี้เป็นประจำ ร้านนี้เปิดมาหกเจ็ดปีแล้ว ผมเองก็ซี้กับเจ้าของร้านดี เป็นคุณลุงหัวสมัยใหม่ที่ชื่นชอบการ์ตูนนั่นแหละ เขาเปิดร้านที่นี่ด้วยใจรัก ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการค้าใด ๆ ดังนั้น สิ่งที่เขาให้ลูกค้านั้นจึงเป็นสิ่งที่ลูกค้าพึงพอใจ อัตราการเช่า ราคาเช่า หรือแม้กระทั่งจำนวนวันที่ให้เช่านั้น ต้องบอกว่ามันกินใจผม รวมทั้งเด็ก ๆ และวัยรุ่น คุณป้าแถว ๆ นั้นเต็ม ๆ
เมื่อก่อนสมาชิกทุกคนเป็นแบบระบบถือบัตร และถ่ายรูป ผมเลยใช้หน้าไอ้โอ๋และชื่อมันทั้งหมด แต่เดี๋ยวนี้อัพเกรดเป็นระบบสแกนนิ้ว ซึ่งผมก็ต้องแยกบัตรออกมาอีกที ถึงจะเป็นฝาแฝด แต่ลายมือไม่ได้แฝดตามไปด้วย พี่เจ้าของร้านแกก็ขอโทษขอโพยผมใหญ่ว่าทำให้ไม่สะดวก แถมยังลดค่าสมาชิกให้ตั้งครึ่งหนึ่ง ผมก็ไม่มีปัญหาอะไร ก็ดี เวลาโดนทวงหนังสือมาก็จะได้ทวงถูกคน เพราะผมเป็นคนมีวินัยการเช่ายืมมาก ส่วนไอ้โอ๋.... เป็นพวกชอบหมกน่ะ เงินค่าปรับมันแต่ละครั้งนั้นรวมกันจนแทบจะซื้อหนังสือได้ทั้งร้านแล้ว
ร้านเปิดสิบโมง ตามเวลา พนักงานประจำจะเป็นคนมาเปิดก่อน และพวกพาร์ทไทม์จะมาตอนเย็น เท่าที่เห็น ร้านนี้มีพนักงานทั้งหมดสองคน คือพี่ที่เป็นคนเฝ้าร้านประจำชื่อพี่อาย ส่วนอีกคนก็พี่เมี่ยง
เวลาเกือบเที่ยงแบบนี้ผมไม่คิดว่าจะเจอพี่เมี่ยง
แต่ท่าทางวันนั้นจะเป็นวันที่แปลกประหลาด
เพราะมันทำให้ผมได้พบกับอีกด้านหนึ่งของพี่เมี่ยงที่ผมไม่เคยเห็น
ร้านเปิดตามปกติ ข้างหน้าจะเป็นประตูกระจกเลื่อน ซึ่งจะเห็นด้านในและด้านนอกออกหมดทุกอย่าง ผมเห็นเงาคนไหว ๆ อยู่ด้านหลังร้าน เคาท์เตอร์เช่ายืมไม่มีคนนั่งอยู่ แสดงว่ากำลังเก็บหนังสือ หรือไม่ก็กำลังทำความสะอาด พนักงานที่นี่เค้าขยันมาก เค้าเน้นเรื่องความสะอาดเป็นหลัก ฝุ่นไม่มีสักนิดเลยที่ชั้นหนังสือ ต่อให้เล่มนั้นจะไม่มีคนหยิบเช่ามานนับปีแล้วก็ตาม
พอเปิดเข้าไปในร้าน ผมก็ต้องหยุดชะงัก เพราะเสียงเพลงนั้นดังตะลึงตึงตึงมาก คล้ายกับร้านการ์ตูนได้ถูกเนรมิตรกลายเป็นดิสโก้เธคชั่วคราวหากแต่ขาดแสงไฟวับ ๆ แวม ๆ เท่านั้น
ผมยืนนิ่งค้าง เสียงเพลงเข้าโสตประสาท ก่อนจะปิดประตูตามหลัง ... โมบายกระดิ่งหน้าร้านไม่ได้ช่วยร้องเตือนแต่อย่างใด ซ้ำยังถูกกลบเสียงจนหมด
ว่าแต่... เพลงที่เปิดนี้มัน....
เป็นเพลงประกอบอนิเม
เมื่อนานมาแล้วแหละ เรื่อง โรซาริโอ้ แวมไพร์ เรื่องนี้.. ดักแก่พอตัวเลย
ผมนึกว่าเป็นพี่อายหญิงสวยพนักงานประจำร้านเป็นคนเปิดซะอีก
แต่พี่อายเค้าเป็นคอนิยายผู้ใหญ่ การ์ตูนก็อ่านแต่ของบงกช ไม่เคยอ่านพวกสยามหรือวิบูลย์กิจเลย ยิ่งลักพิมพ์ไม่ต้องพูดถึง... แถมเรื่องโรซาริโอ้นี้ นั้น ไม่ใช่เรื่องที่ถูกซื้อลิขสิทธิ์เข้าไทย น้อยคนนักที่จะรู้จัก ถ้าไม่ได้ติดตามวงการอนิเมจริง ๆ ก็จะไม่รู้ว่าเรื่องนี้ได้ถูกตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์นอกกฎหมาย กล่าวคือ ถูกละเมิดลิขสิทธิ์นั่นเอง
ผมขมวดคิ้ว....
ถ้าไม่ใช่พี่อาย งั้นก็ต้องเป็น....
ในขณะที่ผมกำลังคิดถึงคนต้นเหตุนั้น
จู่ ๆ เสียงทุ้ม นุ่ม ลึก ที่มักได้ยินเวลาตอบคำถามกับลูกค้าในร้านเสมอนั้นก็ดังขึ้น...
"จู ลู จู ลู จู ลู ปา ปา ยา~~"
หา !?
เสียงดังมาจากตรงชั้นหนังสือสุดริมข้างในของร้าน ผมเดินตามไปหาต้นเสียง
"ดิสโก้ เลดี้ ดิสโก้ เลดี้ ดีฟ อีโมช่อง ดีฟ อีโมช่อง"
ออกเสียงตรงตามคำร้องญี่ปุ่นเป๊ะ
แล้ว.. ทุกอย่างก็เปิดเผย
"สวีทตี้ดาร์ลิ้ง โอโดริมาโช่ว ฮาจิเครุ บิวตี้เลดี้ ~~ อุมาเรคาวัตเตะ อามาอิยูเมะ~ โซตโตะ ............อิโระโดริตาอิ โน"
พี่เมี่ยง.. คนหล่อ คนดี ขวัญใจประชาชน กำลังยืน... เช็ดตู้หนังสือ
เช็ดธรรมดาผมคงไม่ว่า
แต่.....
ดันมีท่าเต้นประกอบ !!
ผมยืนอ้าปากค้างมองพี่เมี่ยงกำลังร้องตามเพลงที่เปิดและขยับยักย้ายเต้นไปมา หากฟังแบบนี้คงจะคิดว่าเหมือนตุ๊ด แต่ขอบอกว่าไม่ใช่ครับ .. พี่เมี่ยงดูแมน และดูแฮนซั่มกว่านั้น ห่างไกลจากคำว่ากะเทยไปหลายขุม ผมไม่รู้จะอธิบายยังไง แต่อากัปกริยาท่าทางของพี่เมี่ยงนั้นแกเหมือนพวกผู้ชายข้างล่างเวทีที่เวลาไปดูคอนเสิร์ตของ AKB48 หรือ มอร์นิ่งมุซุเมะ หรือ....มิคุ
คำนิยามของพี่เมี่ยงสั้น ๆ ง่าย ๆ ณ เวลานี้คือ...
‘โอตาคุ’
ให้คำอื่นไม่ได้แล้วจริง ๆ
นั่นคือการค้นพบตัวตนของพี่เมี่ยงของผมในฐานะโอตาคุครั้งแรก บอกตามตรง จนถึงปัจจุบันนี้ผมยังแทบจะไม่เชื่อว่าพี่เมี่ยงแกเป็นโอตาคุ เพราะลักษณะทางกายภาพข้างนอกนั้นห่างไกลจากคำนี้มาก รู้ไหมครับว่าเขานิยามให้กับพวกโอตาคุว่ายังไง ?
ลักษณะของโอตาคุในความเข้าใจของคนทั่วไป คือ อ้วน ผมเผ้ารุงรัง ใส่แว่น และใช้เวลาส่วนใหญ่ฝันลมๆ แล้งๆ ถึงตัวละครหญิงในการ์ตูน
นอกเหนือจากมียังมี ซกมก ชอบเก็บตัว กีดกันตัวเองจากสังคมปัจจุบัน ดูไม่ค่อยสมประกอบ ฯลฯ
ซึ่ง.. การแสดงออกของพี่เมี่ยงนั้น มันเกินลิมิตของคำว่า “ชื่นชอบ” มันเกินคำว่า “มาเนีย” ไปแล้ว ถึงขั้นร้องเพลงแล้วเต้นตามเนี่ย มันออกจะเกินแฟนคลับไปสักหน่อย
ผมว่าอาการนั้นเรียกว่า ‘คลั่งไคล้’ เลยล่ะ
ผมจำได้ว่าหลังจากที่ยืนดูพี่เมี่ยงแกเต้น และเช็ดตู้เสร็จแล้ว จากนั้นเสียงเพลงก็เงียบลง เหมือนจะมีคนโทรเข้า และเพลงที่เปิดนี้เป็นเพลงที่เปิดจากมือถือเชื่อมต่อกับลำโพงของร้าน พี่เมี่ยงแกสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นผมยืนมอง แต่สีหน้าพี่เมี่ยงแกนิ่งมาก นิ่งจนแบบทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ภาพที่ผมเห็นนั้นเป็นภาพลวงตา
พี่เมี่ยงวางอุปกรณ์เช็ดตู้ทุกอย่างลงแล้วเดินออกมาหาโทรศัพท์ที่กำลังแผดร้องเสียงเรียกเข้าดังลั่น
ระหว่างที่เดินสวนออกมานั้น พี่เมี่ยงก็กระซิบที่ข้างหูผมเบา ๆ
บอกว่า...
“ลืมสิ่งที่เห็นเมื่อกี้ไปซะ .. ถ้าไม่อยากถูกตัดลิ้น”
“......”
เฮ้ย !
เดี๋ยวสิครับพี่ ! !
บทจะยันเดเระก็ยันกันซึ่ง ๆ แบบนี้เลยเรอะ !?
และที่สำคัญ นี่มันไม่ใช่คาแรกเตอร์ของผู้ชายที่เค้าควรมีกันนะครับพี่ !
TO BE CONTINUED....
ถั่ว : ... นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายตบมุกนะครับ บอกเลย