(7)
ตอนแรกผมก็คิดว่าตัวเองมีเรื่องจะต้องอธิบายให้ยัยน้องสาวตัวดีฟัง ไม่รู้ว่าต้องพูดยังไงเหมือนกัน ถึงจะแก้ตัวให้รอดพ้นจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อตอนบ่ายได้ ผมนึกไม่ออกว่าจะทำยังไง ไม่ให้มันเข้าใจผิดเรื่องที่ไอ้ปิงเสือกบอกรักผมออกไมค์ไปขนาดนั้น ผมไม่อยากให้น้องรู้ เพราะกลัวเรื่องจะไปถึงหูพ่อกับแม่ และไหนจะเรื่องแฟนเก่าของไอ้ปิงที่เป็นเพื่อนยัยอายอีกล่ะ ผมใช้เวลาเกือบทั้งเย็นหาวิธีที่จะพูดกับอาย แต่กลับกลายเป็นว่ามันเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาผมเองพร้อมรอยยิ้มกว้าง และพูดสิ่งที่ผมคิดไม่ถึงเลยสักนิดเดียว
“ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้น อายรู้อยู่แล้วย่ะ!”
“ร... รู้อยู่แล้วอะไร”
อายกลอกตา “ก็รู้เรื่องพี่กับพี่ปิงน่ะสิ ใครตาไม่บอดก็ดูออกเหอะ แต่ไม่ต้องห่วง พ่อกับแม่คงยังไม่รู้หรอก และอายจะไม่บอกพวกเค้าด้วย”
“เฮ้ย ดูออกว่าอะไร” ผมยังคงอึ้งอยู่
“โอ๊ยยยย! เค้าก็ลือกันมาตั้งนานแล้วน่ะ แถมอายเห็นเวลาพี่มองพี่ปิงบ่อยๆ อายก็รู้แล้ว และอีกอย่างนะ ตอนนี้รูปกับคลิปที่พี่หอมแก้มพี่ปิงก็แชร์กันเต็มเฟซแล้วเนี่ย พรุ่งนี้ก็คงรู้กันทั้งโรงเรียนจริงๆ แล้วนั่นแหละ”
“เฮ้ย เต็มเฟซเลยเหรอ! แล้วที่สำคัญ ทำไมพี่เป็นคนเดียวที่ไม่รู้เรื่องวะว่ามัน...!”
“ไม่รู้หรือแกล้งทำเป็นไม่อยากรู้กันแน่” อายกลอกตาอีกหน
“แล้วเรื่องแฟนไอ้ปิงล่ะ ว่ายังไง แกไม่โกรธพี่เหรอวะ อาย” ผมเปลี่ยนเรื่อง
“แฟนเก่าพี่ปิงต่างหาก” อายแก้คำพูดของผม “อย่าไปสนใจมันเลย อีนั่นมันกะหรี่เอง สนใจเรื่องของตัวเองเหอะ แฟนมานั่นแล้วน่ะ อายไปแล้วนะ แล้วเจอกันที่บ้าน” อายเริ่มวิ่งเหยาะๆ ออกไปได้ 2-3 ก้าว ก่อนจะหันกลับมาหาผมอีกครั้ง “อ้อ ลืมไป! ถ้าไม่อยากให้พ่อกับแม่รู้ อายขอตุ๊กตานะ!” เมื่อพูดจบ มันก็วิ่งกลับไปหากลุ่มเพื่อนทันที
“ไงบ้าง อายว่ายังไงเรอะ” ไอ้ปิงเดินกลับมานั่งข้างๆ ผมพร้อมน้ำเย็นขวดนึง
“มันมาขอกุญแจรถแล้วก็ขอตุ๊กตาอะ”
“ตุ๊กตาหมีอะเหรอ ก็ให้มันไปดิ ไม่เป็นไรหรอก กูก็รู้อยู่แล้วว่ามึงมันสายโหด ไม่ใช่สายแบ๊วที่จะมาเล่นตุ๊กตาอะไร” มันหัวเราะ
เราสองคนเงียบกันลงไปครู่หนึ่ง พระอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้า ลมเย็นๆ ที่พัดพาเอาความหนาวเข้ามาปะทะร่างกาย ทำให้ผมต้องกอดอกและกระชับเสื้อแจ็คเก็ตที่ใส่อยู่เข้าหาตัวมากขึ้น
“หนาวเหรอ” ไอ้ปิงถามพร้อมเขยิบเข้ามาเบียดผมมากขึ้น
“เมื่อกี้อายบอกว่ารูปตอนกูหอมแก้มมึงมีคนแชร์ลงเฟซด้วย”
“ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่” ไอ้ปิงหัวเราะ
“แล้วตอนมึงขึ้นไปบนเวทีอะ กูว่ากูเห็นมีคนอัดคลิปไว้ด้วยนะ”
“เออ กูก็เห็น” มันพูดด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี
“มึงไม่กลัวคนเอาไปแชร์รึไง”
“ถ้ากลัวจะทำแต่แรกเหรอวะ ก็ให้คนเค้ารู้กันไปดิ ไหนๆ ก็จะเรียนจบแล้ว กูไม่สนใจแล้วว่ะ การบอกรักของกู จะต้องเป็นตำนานของโรงเรียนไปอีกนาน มึงคอยดู” มันหัวเราะอีกครั้ง
“มึงนี่มันหน้าด้านจริ๊งงงง”
“วันนี้กูมีความสุขโคตรๆ เลยว่ะ มึงล่ะ มีความสุขมั้ย”
“ก็ดีนะ แต่เหนื่อยว่ะ”
“เหนื่อยเหรอ งั้นปิ๊กบ้านกั๋นก่อ”
“บ้านใคร”
“บ้านมึงดิ เดี๋ยวกูไปส่ง เมื่อกี้อายมันเพิ่งจะมาเอากุญแจรถมึงไปไม่ใช่รึไง”
“แล้วเราจะเอาตุ๊กตากลับกันยังไงวะ” ผมหันไปมองยังไอ้หมีตัวใหญ่ที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ซ้อนสามซ้อนสี่ยังทำได้ นี่แค่สองคนบวกหมีอีกตัว ทำไมจะไม่ได้วะ” ไอ้ปิงยืนขึ้นพร้อมยื่นมือให้ผมจับ “ไปเหอะ หาไรกินกันก่อนแล้วค่อยกลับเนาะ”
ผมมองมือของมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะจับมันเอาไว้แล้วยืนขึ้น
หลังจากกินข้าวเสร็จและกลับถึงบ้าน ผมก็เอาตุ๊กตาหมีไปวางไว้ที่ห้องของอาย แล้วจึงกลับลงมาหาไอ้ปิงที่กำลังยืนรอผมอยู่ที่รถของมัน
ยิ่งเห็นหน้าของมัน หัวใจของผมก็ยิ่งบีบรัดมากเท่านั้น คำถามที่ค้างคาอยู่ในใจ เปรียบได้กับมือล่องหนที่คอยกำและบีบหัวใจของผมแน่น แน่นจนบางทีก็ทำให้ผมรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออกตาย
“เป็นไรวะ ทำหน้าหงอยๆ” มันถามผม
“หือ กูเหรอหน้าหงอย... คงเหนื่อยๆ มั้ง”
ผมไม่ได้โกหก เพราะผมรู้สึกเหนื่อยจริงๆ ไหนจะงานทั้งวัน และยังจะเหตุการณ์ตื่นเต้นติดๆ กันหลายหนเมื่อตอนบ่ายนั่นอีก ผมเลยรู้สึกเหนื่อยทั้งกายและใจทีเดียว แต่นอกเหนือไปกว่านั้นคือความรู้สึกเหงาๆ โหวงๆ ที่จู่ๆ ก็เกิดขึ้นมากกว่า เพราะผมเพิ่งจะรู้สึกตัวว่า ไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตของผมทั้งหมดจะเป็นความจริงหรือความฝัน ท้ายที่สุดแล้วมันก็ต้องมีตอนจบด้วยกันทั้งนั้น
“ไอ้ปิง...”
“หือ”
“ตกลงเราสองคนเป็นอะไรกันวะ”
รอยยิ้มของมันจางลงไปเล็กน้อย เราต่างก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาก่อน จนกระทั่งมันยื่นหมวกกันน็อคให้ผม และทำท่าบอกให้ผมขึ้นซ้อนท้าย “ไปนั่งรถเล่นกันหน่อยเถอะ”
“ไปไหน”
“ที่เงียบๆ”
“ที่ไหน”
มันคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ขึ้นดอยกัน”
อีกประมาณ 40 นาทีถัดมา ไอ้ปิงก็พาผมเข้าสู่เขตอุทยานแห่งชาติ บริเวณโดยรอบมืดหมดแล้ว มันจอดรถแล้วจูงมือพาผมเดินไปนั่งลงบนขอนไม้ใหญ่บนทุ่งหญ้า มันจับมือของผมไว้ตลอดไม่ยอมปล่อย เราต่างก็นั่งเบียดร่างกายเข้าหากันสู้ลมหนาวและอุณหภูมิที่น่าจะต่ำกว่า 10 องศา ความเงียบที่ปกคลุมเราทั้งสอง มีเพียงเสียงร้องของแมลงนานาพันธุ์ดังเบาๆ ช่วยผ่อนคลายและทำให้ให้จิตใจของผมสงบลงได้บ้าง แต่ผมว่าสิ่งที่ช่วยมากที่สุดก็คือไออุ่นที่ผมได้รับจากมันต่างหาก
“บ่าโอบ...” ไอ้ปิงเป็นฝ่ายทำลายความเงียบลงก่อน “ฮาฮักคิงหนา คิงฮู้ก่อ”
“กูรู้แล้วไง”
“ถ้าบ่อมีคิง ฮาก็บ่อฮู้ว่าจะอยู่จะได...”
“ไอ้ปิง...” สิ่งที่มันพูดบาดเข้าไปในใจของผม เพราะอีกไม่นาน เราก็จะไม่มีกันและกันแบบนี้อีกแล้ว
“กูยังไม่รู้เลยนะว่ามึงล่ะ คิดยังไงกับกู” มันพูดขัดขึ้น
“ใครบอกว่ามึงไม่รู้... ที่จริงมึงก็รู้ดีไม่ใช่เหรอวะ”
“แต่กูอยากได้ยินให้แน่ใจสักครั้ง”
ผมสูดลมหายใจเข้า “กูก็รักมึงเหมือนกัน... ไอ้ปิง รักมาก... มากจนกูเจ็บ”
“กูขอโทษ กูไม่ได้อยากทำให้มึงต้องเจ็บเลย” มันพูดเสียงค่อย
“ไม่ใช่ความผิดมึงหรอก ผิดที่ใจกูเองต่างหาก แต่ที่จริงมันก็เป็นความเจ็บที่กูมีความสุขที่สุดในชีวิตแล้วนะเว้ย”
“แล้วมึงว่า... คนสองคนที่รักกัน จำเป็นต้องเป็นแฟนกันมั้ยวะ”
ผมคิดอยู่ครู่หนึ่ง “คงไม่มั้ง... แต่การได้เป็นแฟนกัน มันก็คงทำให้อะไรๆ สมบูรณ์มากขึ้นว่ะ”
“ก็คงจริงของมึง...”
“นี่ ไอ้ปิง” ผมหันไปหามึง “ทำไมมึงถึงเพิ่งมาบอกกูเอาป่านนี้วะ”
มันก้มหน้าลง “กูก็กลัว... กลัวเหมือนที่มึงกลัวนั่นแหละ กลัวจะคิดไปเองและกลัวจะเสียมึงไป”
“ถ้าเรารู้ใจตัวเองและกล้ากันเร็วกว่านี้ก็คงดีเนอะ นี่แม่งเหลืออีกไม่กี่เดือนเราก็จะไม่ได้เจอกันทุกวันแบบนี้แล้ว” ผมปล่อยมือของมันออกและกอดเข่าทั้งสองข้างของตัวเองเอาไว้ “กู... กูใจหายว่ะ ไอ้ปิง กูรักมึง กูอยากเป็นแฟนกับมึง ยิ่งตอนนี้กูรู้แล้วว่ามึงก็รักกู กูก็ยิ่งอยากอยู่กับมึงเข้าไปใหญ่ แม่ง... ทำไมมันเจ็บปวดขนาดนี้วะ” ผมพยายามต่อสู้กับน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมา แต่ก็ไม่สำเร็จ สุดท้ายเสียงของผมก็สั่นเครือแบบควบคุมไม่ได้ “การรู้ว่าจะต้องแยกจากคนอันเป็นที่รักนี่มันเจ็บปวดยิ่งกว่าการแอบรักเค้าข้างเดียวอีกเหรอวะเนี่ย”
“กูรู้ ไอ้โอบ...” มันกอดผม เสียงของมันเองก็แตกพร่าเช่นกัน “กูก็คิดเหมือนมึงนั่นแหละ...”
“แค่คิดว่ากูจะไม่ได้เห็นหน้า ไม่ได้เห็นรอยยิ้มของมึงทุกๆ วัน จะไม่มีมึงมาคอยลูบหัวกู ไม่ได้คุยเรื่องไร้สาระกับมึงยันเช้า ไม่มีมึงมานั่งตัก ไม่ได้นอนกอดมึงแบบนั้นอีกต่อไปแล้ว กูก็เจ็บหน้าอกแล้วว่ะ เจ็บมาก...” ผมยกมือขึ้นกำเสื้อที่หน้าอกแน่น “กูรักมึงจริงๆ ไอ้ปิง แต่เราคงเป็นแฟนกันไม่ได้ใช่มั้ย มันสายไปแล้วใช่มั้ยวะ”
ไอ้ปิงไม่ตอบ เราจึงต่างเงียบกันลงไปครู่หนึ่ง
“นี่... ไอ้โอบ ถ้าให้มึงเลือกระหว่างเราเป็นเพื่อนกันแบบนี้จนเรียนจบ เก็บไว้แค่ความรู้สึกดีๆ รู้ว่าเรารักกัน กับเป็นแฟนกันแค่ช่วงสั้นๆ ก่อนจะแยกย้ายกันไปแล้วไปเสี่ยงดูอีกทีว่าอนาคตเราจะเป็นยังไง... มึงว่าแบบไหนดีกว่ากันวะ” มันวางหน้าผากลงบนไหล่ของผม
“มึงพูดเหมือนถ้าเราห่างกัน สุดท้ายเราก็ต้องเลิกกันอย่างนั้นแหละ”
“ก็เป็นไปได้ไม่ใช่เหรอวะ คนเจอกันแทบทุกวันมันยังเลิกกันได้เลย นับประสาอะไรกับคนที่อยู่กันคนละจังหวัด” มันถอนหายใจ “แต่ถ้าเราเป็นเพื่อนกัน เราก็จะรักกันได้ตลอดไป มีกันและกันอยู่ในใจได้ตลอดไป... ใช่รึเปล่าวะ”
“กู... กูไม่รู้”
“มึงคิดว่าไง ไอ้โอบ ตกลงมึงอยากจะเลือกแบบไหน”
“กูไม่อยากเลือก...”
“โอบ...”
ผมก้มหน้าและหลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเหม่อมองไปยังความมืดเบื้องหน้า “ถ้าเลือกได้...” ผมกำหมัดแน่น “กูอยากรักมึง และอยากให้มึงรักกู” ผมตอบออกไปแบบโง่ๆ “กูอยากให้เรารักกันไปนานๆ กูนึกออกแค่นี้ว่ะ...”
“ตอนนี้เราก็รักกันไง”
ผมพยักหน้า ไอ้ปิงนั่งกอดผมอยู่อย่างนั้นอยู่ครู่ใหญ่ๆ โดยที่เราไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกเลย จนเมื่อถึงเวลา เราสองคนก็ตัดสินใจกลับบ้าน คืนนั้นไอ้ปิงนอนค้างกับผมที่บ้านอีกคืน เรานอนคุยกันตั้งแต่เรื่องที่ผมแอบมองมันตั้งแต่ ม. ต้น ไปจนถึงตอนที่มันคิดว่ามันชอบผมตอน ม. 5 เราแบ่งปันความรู้สึกที่มีต่อกันอย่างเปิดเผยจนเกือบถึงเช้าถึงได้หลับลงไป
วันต่อมาซึ่งเป็นวันเสาร์ ผมตื่นขึ้นมาพบกับเตียงที่ว่างเปล่า ผมเดินลงไปชั้นล่างและมองหาไอ้ปิงแต่ก็ไม่เจอมัน รถของมันก็ไม่อยู่ แม่บอกผมว่ามันเพิ่งกลับบ้านไปเมื่อชั่วโมงที่แล้วนี่เอง ผมเดินกลับขึ้นไปบนห้อง มองดูเตียงนอนที่เคยมีมันแล้วจู่ๆ น้ำตาก็ไหลออกมา ผมนั่งลงบนเตียง นึกถึงคำพูดของมัน และความอบอุ่นของมันเมื่อคืน แล้วก็ร้องไห้เบาๆ อยู่คนเดียวอย่างนั้นครู่หนึ่ง จนเวลาผ่านไปอีกนานแค่ไหนก็ไม่รู้ จนเมื่อรู้สึกว่าตัวเองร้องไห้จนพอใจแล้ว ผมก็ลุกขึ้นเพื่อไปอาบน้ำ และในตอนนั้นเองที่ผมสังเกตเห็นกระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆ แผ่นหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะหัวเตียง
ผมหยิบขึ้นมาดูและก็เห็นเป็นลายมือของไอ้ปิงเขียนเอาไว้สั้นๆ ว่า
“รักมานาน และจะรักตลอดไป”
ผมยิ้มให้กับตัวเองและพับเก็บกระดาษแผ่นนั้นลงในกระเป๋าสตางค์ จากนั้นก็ไปอาบน้ำ กินข้าว และตอนบ่ายๆ ก็ออกไปเจอไอ้ปิงและเพื่อนๆ
เมื่อเราเจอหน้ากัน เราก็ส่งยิ้มให้แก่กัน ผมรู้สึกว่าผมเจ็บในหน้าอกเล็กน้อย แต่ในขณะเดียวกันผมก็มีความสุข เพราะอย่างน้อยๆ ตอนนี้ผมก็รู้คำตอบแล้วว่ามันรักผมมากเพียงใด
ผมตัดสินใจแล้วว่าจะตักตวงเวลาที่เหลืออยู่ไว้ให้มากที่สุด หากว่าผมเคยรักโดยที่ไม่ได้ครอบครองมาได้ตั้งนาน มันจะยากอะไรกับการเก็บความรักที่มีและเกิดขึ้นครั้งนี้ไว้กับตัว โดยไม่จำเป็นต้องได้มันมาเป็นแฟนหรือได้เจอหน้ามันทุกวันไปตลอดชีวิต
สิ่งสำคัญที่สุดของความรักของผมคือการได้รักโดยไม่ต้องครอบครองเป็นเจ้าของ และผมก็ยินดีที่จะเก็บความรักของไอ้ปิงที่มันมีให้ผม และผมมีให้แก่มันไว้ในใจไปตลอด ไม่ว่าจะอีกนานแค่ไหนก็ตาม
.
.
.
.
.
(จบ)