(แจกเบบี้มาม่าหมูสับถ้วยสุดท้ายแร้ว~)
Chapter 49 : แฟนเก่า
รถตู้ใหม่เอี่ยมคันหนึ่งพาหนุ่มๆ จำนวนหกคนมุ่งหน้าจากเชียงใหม่ไปยังเชียงรายในตอนบ่ายของวัน ภายในรถมีกระเป๋าเป้ใส่เสื้อผ้าของทั้งหกคน กับชุดสูทและดอกไม้ช่อใหญ่ของรวินท์ซึ่งจะนำไปมอบให้เจ้าสาว เนื่องจากงานนี้เขาต้องเหมาหน้าที่เป็นทั้งเพื่อนเจ้าบ่าวและเจ้าสาวด้วย
รวินท์กับภูพิงค์นั่งข้างกัน ทว่าแทบจะไม่ได้คุยกันเลย
นับตั้งแต่คืนวันที่เขาบอกกับภูพิงค์เรื่องความต้องการของเขาไปตรงๆ ระหว่างพวกเขาก็ดูเหมือนมีม่านบางๆ กางกั้น ทำให้พูดคุยกันได้ไม่สนิทใจเหมือนเดิม และที่สำคัญ ภูพิงค์ไม่มาค้างหรือชวนเขาไปค้างด้วยอีกเลย แม้เด็กหนุ่มจะพยายามทำตัวให้เป็นปกติก็ตามที
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น รวินท์จึงหยิบขึ้นมากดรับสาย “ว่าไงวะ”
“เดินทางอยู่ใช่มั้ยวะ บอกคนขับขับรถดีๆ ล่ะ กูขอโทษจริงๆ ที่ไปไม่ได้ ขวัญแม่ง...โทรมาคุยกับหมอกูเองเลย”
“เออ ก็สมเป็นขวัญดี” รวินท์หัวเราะ “ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวกูไลฟ์งานขวัญให้เพื่อมึงเลย”
“ปากดี เห็นขวัญใส่ชุดแต่งงานมึงอย่าร้องไห้หงุงหงิงก็แล้วกัน เดี๋ยวเด็กมึงจะงอน”
“สัส! หมอมึงเบอร์ไรวะ เดี๋ยวกูโทรไปขอให้เย็บปากมึงด้วย”
คนที่ปลายสายหัวเราะลั่น “ถึงแล้วโทรมาบอกด้วยนะ”
“เออ เดี๋ยวจะแวะกินมื้อเย็นก่อน น่าจะถึงที่พักสักสามหรือสี่ทุ่ม มึงตื่นรอแล้วกัน”
“โอเค กูจะรอ”
เมื่อวางสายไป ทันตแพทย์หนุ่มก็เอนหลังพิงพนักเบาะพลางถอนหายใจ ขวัญข้าวในชุดแต่งงานงั้นหรือ เขาไม่เคยจินตนาการมาก่อนเลย ทั้งที่คบกันมาตั้งห้าปี หากก็คิดว่าชุดสีขาวน่าจะเหมาะกับเธอดีนะ ไม่รู้ว่าจะเป็นแบบกระโปรงสั้น หรือกระโปรงยาว แต่ว่าถ้าตามนิสัยของเธอ ก็น่าจะใส่ชุดแบบสบายๆ หน่อยล่ะมั้ง
“พี่เต้เหรอ” คนที่นั่งเงียบอยู่สักพักถามขึ้น
“อืม เดินทางไกล มันเป็นห่วงน่ะ”
ภูพิงค์ชำเลืองมองดอกไม้ช่อใหญ่กับชุดสูทที่วางพาดพนักเก้าอี้ไว้ “อย่างกับจะไปแต่งงานซะเอง”
รวินท์หันขวับ ทว่าเด็กหนุ่มกลับเบือนหน้าหนีไปอีกทาง เขาถอนหายใจยาว “ผมเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวกับเจ้าสาวนะเว้ย ก็ต้องให้เกียรติงานหน่อยป่ะวะ”
“ผมว่าพี่เด่นกว่าเจ้าบ่าวแน่ๆ”
ทันตแพทย์หนุ่มเม้มปาก พลางหันมองไปทางคนอื่นๆ “.....”
สี่หนุ่มที่เหลือในรถแกล้งตายกันกะทันหัน ทั้งที่ในตอนแรกบางคนก็นั่งเล่นเกม ฟังเพลง หรือเล่นโทรศัพท์มือถือ พอมาตอนนี้พวกเขาพร้อมใจกันเอนศีรษะพิงพนักแล้วกรนคร่อกๆ
“ผมไม่ได้เลือกชุดเอง ขวัญเป็นคนเลือกให้ เขาขอให้ผมใส่สูท”
“ถ้าผมเป็นพี่ขวัญ ผมก็คงอยากเห็นพี่ใส่สูทถือช่อดอกไม้ใหญ่ๆ มาให้เหมือนกันละ”
รวินท์ส่ายหน้าไปมาอย่างอ่อนใจ เขาเอื้อมมือไปกุมมือเด็กหนุ่มไว้แทนคำพูด
ภูพิงค์กุมมือตอบ เขาก็รู้ตัวแหละว่าทำตัวงี่เง่า แต่บอกตรงๆ ว่าเขาก็ไม่ได้อยากมางานนี้เลยจริงๆ ตอนแรกว่าทำใจได้แล้ว ทว่าพอได้เห็นพี่วินเตรียมชุดสูทกับดอกไม้ช่อเบ้อเริ่ม ต่อมงี่เง่ากับต่อมหึงก็ทำงานแบบโอเวอร์โหลด “ผมขอโทษ” เขาพูดเสียงเบา แล้วด่าตัวเองในใจ
ทีตอนค่อนขอดพี่วินงี้พูดซะดัง พอขอโทษงี้ เสียงเบาเป็นตดมดเลยแม่ง แมนมากเลยกู
หลังจากหยุดพักกินมื้อเย็นกันแล้วก็ออกเดินทางกันต่อ ภายในรถเงียบกริบ ต่างคนต่างนอนเอาแรง ยกเว้นก็แต่รวินท์กับภูพิงค์นั่นล่ะ ที่แกล้งหลับไปอย่างนั้น จนกระทั่งถึงโรงแรมที่ขวัญข้าวจัดหาไว้ให้
เมื่อเช็กอินแล้วก็ได้กุญแจห้องมาสามดอก หมายความว่าพวกเขาต้องแยกกันไปนอนห้องละสองคน
“ผมนอนกับแซนดี้ก็ได้” รวินท์รีบบอกกับเด็กหนุ่ม ก่อนที่จะต้องเห็นอีกฝ่ายทำหน้าพูดไม่ออกบอกไม่ถูกอีก
“จะบ้าเรอะพี่ เรื่องไรผมจะให้พี่ไปนอนกับคนอื่น” ภูพิงค์หยิบกุญแจมาแล้วส่งให้เพื่อนของตน “นอนห้องละสองคนเว้ย”
ซันจับคู่กับแซนดี้ ขิงกับดิว พวกเขาแยกย้ายกันเข้าไปนอนในห้องพักทันทีที่ได้กุญแจ เพราะดึกมากแล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าด้วย
ส่วนรวินท์นั้น เมื่อเข้าไปในห้องพักก็บอกให้เด็กหนุ่มไปอาบน้ำก่อน ส่วนตัวเขาโทรศัพท์ไปหาเตชิตและขวัญข้าวเพื่อรายงานตัว
หากเมื่อภูพิงค์ออกมาจากห้องอาบน้ำแล้ว ทันตแพทย์หนุ่มก็ยังคุยโทรศัพท์ไม่เสร็จ
“นอนก่อนได้เลย” รวินท์หันไปบอก ก่อนจะเดินออกไปคุยโทรศัพท์ต่อบนระเบียงอีกพักใหญ่
เด็กหนุ่มเอนตัวลงนอน สายตาจับจ้องคนที่ยืนพิงระเบียงนิ่ง เขาเองก็เกลียดความอึดอัดแบบนี้ คงต้องหาเวลาเหมาะๆ คุยกับพี่วินให้รู้เรื่อง
สักพักทันตแพทย์หนุ่มก็เดินกลับเข้ามาในห้อง “อ้าว ยังไม่นอนอีก”
“พี่วิน คือผม...”
“ผมอาบน้ำก่อนนะ”
คราวนี้พออาบน้ำเสร็จ เดินออกมาก็พบว่าภูพิงค์นั่งรออยู่ที่บนเตียง เมื่อสบสายตากัน รวินท์ก็หัวเราะเจื่อนๆ “นอนไม่หลับรึไง กลัวผมทำไรวะ พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าน่ะ ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก”
“ไม่ใช่อย่างนั้นเว้ยพี่” เด็กหนุ่มถอนหายใจหนักๆ พร้อมกับตบลงบนเตียงข้างกัน “มานั่งคุยกันหน่อยดิ”
รวินท์เอาผ้าเช็ดตัวไปตาก จากนั้นจึงเดินกลับไปนั่งลงข้างคนที่นั่งรออยู่ “มีอะไร”
“ถามได้ พี่ก็รู้อยู่แก่ใจป่ะวะ”
“.....”
“ผมว่าระหว่างพี่กับผมมันอึดอัดยังไงก็ไม่รู้ว่ะ เหมือนเราไม่เข้าใจกัน” ภูพิงค์เอื้อมมือไปกุมมืออีกฝ่าย “ผมไม่อยากให้พี่เข้าใจผมผิด ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากมีอะไรกับพี่นะ แต่ผมว่ามันยังเร็วไป”
“ผมรู้ คุณก็เคยบอกผมแล้วไง”
เด็กหนุ่มขยับเข้าไปจูบแก้มอีกฝ่าย “ผมรักพี่นะ”
รวินท์ยิ้มบาง พอเขาหันหน้าไปทางคนที่กุมมือตนอยู่ เด็กหนุ่มก็เคลื่อนใบหน้าเข้ามาหา เขาจึงรีบยกมือขึ้นบังริมฝีปากคนอ่อนวัยกว่าไว้ “อย่าเพิ่งเลย ถ้าคุณจูบผม ผมก็จะอยากทำอะไรมากกว่าแค่จูบ”
ภูพิงค์ขมวดคิ้ว “......”
ทันตแพทย์หนุ่มลูบศีรษะคนอ่อนวัยกว่า “นอนกันเหอะ” ก่อนจะเอื้อมมือไปปิดสวิตช์ไฟ แล้วเอนตัวลงนอนหันหลังให้
“ถ้างั้นกอดได้มั้ย”
“ตามใจ”
เด็กหนุ่มขยับเข้าไปสวมกอดอีกฝ่ายไว้หลวมๆ เขาลืมตาอยู่ในความมืด เช่นเดียวกับคนในอ้อมแขน
ความรักนี่มันเข้าใจยากชะมัด
ในตอนเช้ามืด อากาศเย็นสบาย รวินท์ลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวก่อน เขาเปลี่ยนใส่สูทเรียบร้อย แล้วเดินออกจากห้องไปเงียบๆ
คนขับรถตู้มารออยู่แล้ว เขาจะพารวินท์ไปส่งที่งานพิธีแต่งงานซึ่งจัดที่ในโรงพยาบาลก่อน แล้วจึงจะกลับมารับอีกห้าหนุ่มในตอนสาย เพื่อพาไปส่งที่สถานที่เลี้ยงฉลองงานแต่งงาน
ทันตแพทย์หนุ่มก้าวลงจากรถตู้พร้อมด้วยดอกไม้ช่อใหญ่ในมือ งานพิธีช่วงเช้ามีเพียงแขกผู้ใหญ่และเพื่อนแพทย์ในโรงพยาบาลเดียวกัน ทุกคนนั่งรวมกันอยู่ในห้องรับรองซึ่งอยู่ติดกับห้องที่ใช้จัดงานพิธี พอได้เห็นรวินท์ก็ฮือฮากันแบบลืมเจ้าบ่าวเจ้าสาวกันไปเลย
“วิน!” ขวัญข้าวอยู่ในชุดไทยเรียบง่ายสีเบจ เธอวิ่งเข้ามาสวมกอดเขาทันที ทำให้เจ้าบ่าวงอนไปชั่วครู่เลยทีเดียว
“เอาน่ะ คุณโรจน์ต้องทำใจนะ ก็เพื่อนคุณขวัญหล่ออย่างกับพระเอกขนาดนั้น” เพื่อนแพทย์ด้วยกันตบไหล่เจ้าบ่าวเพื่อปลอบใจ
สาโรจน์หัวเราะแหะๆ พลางเดินไปต้อนรับรวินท์ด้วยอีกคน
“ยินดีด้วยนะครับคุณโรจน์” รวินท์ยิ้มกว้าง พลางสวมกอดอีกฝ่าย
สาโรจน์ลูบหลังของทันตแพทย์หนุ่มเบาๆ “ขอบคุณคุณวินจริงๆ อุตส่าห์เดินทางมาไกล”
“ไม่เป็นไรครับ งานแต่งขวัญกับคุณโรจน์ทั้งที”
“เอ้อ คุณวินครับ ผมขอคุยด้วยแป๊บนึง” สาโรจน์บอกกับแขกคนสำคัญ แล้วหันไปบอกกับเจ้าสาวของตน “ขวัญเข้าไปเตรียมตัวข้างในก่อนนะ”
หญิงสาวพยักหน้า เมื่อเธอคล้อยหลังไปนายแพทย์หนุ่มจึงหันมาบอกกับรวินท์ “คือ เรื่องการแสดงบนเวทีที่ผมขอคุณวินไว้น่ะครับ ผมบอกกับทางนักดนตรีไว้แล้ว...”
รวินท์ถอนหายใจ “ครับ ไม่ต้องห่วงนะ ผมจะพยายามเต็มที่เลย”
สาโรจน์ยิ้มกว้าง พลางยกมือไหว้ “ขอบคุณมากครับ ขอบคุณจริงๆ”
ทันตแพทย์หนุ่มส่ายหน้าไปมา “คุณนี่ก็น้า... เจ้าบ่าวที่ไหนเขามาขอร้องแฟนเก่าเจ้าสาวเรื่องแบบนี้กันวะ”
เจ้าบ่าวของวันยกมือขึ้นลูบท้ายทอยอย่างเขินๆ “อะไรที่ทำให้ขวัญมีความสุขได้ ผมก็ยินดีหมดล่ะครับ”
คำตอบของสาโรจน์เป็นผลให้รวินท์พลอยยิ้มไปด้วย เขาอิจฉาความรักของสองคนนี้เสียจริงๆ
“เราเข้าไปข้างในกันเถอะครับคุณวิน”
รวินท์พยักหน้า แล้วเดินตามหลังเจ้าบ่าวเข้าไปในห้องจัดงาน ไม่นานงานพิธีก็เริ่มขึ้นตามฤกษ์ยามที่ผู้ใหญ่จัดหาไว้ให้
พอได้ยินเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นในตอนสาย ภูพิงค์ก็ลุกขึ้นพรวด
“ไอ้พิงค์ รถมารับแล้วเว้ย” ซันตะโกนเรียก
“ฉิบหาย!” เด็กหนุ่มวิ่งหัวกระเซิงไปเปิดประตูห้อง “พี่วินล่ะ”
“มึงเมาเหรอ พี่วินไปตั้งแต่เช้ามืดแล้ว เมื่อวานพี่เขาบอกแล้วไงวะ”
“ฮะ? บอกว่าไรวะ”
“พี่เขาจะไปงานพิธีช่วงเช้าก่อน แล้วจะตามไปที่งานเลี้ยง นี่มึงไม่ได้ฟังเลยใช่มะ กูกับมึงดูโต๊ะกับชื่อว่าตรงมั้ย ดูดอกไม้ในงาน ดูซุ้มอาหาร อีแซนดี้ ไอ้ขิงกับไอ้ดิวจัดการเค้ก เพลงแล้วก็เวที”
ภูพิงค์ยกมือขึ้นเกาศีรษะ เขามัวแต่งอนพี่วินจนไม่ได้ฟังเลย
“มึงไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตาให้ไว ให้เวลาสิบนาทีนะเว้ย”
“เออๆ จะรีบไปเดี๋ยวนี้”
พอเด็กหนุ่มทั้งห้ามาพร้อมหน้ากัน พวกเขาก็รีบขึ้นรถ ตรงไปยังสถานที่จัดงานกันทันที
สถานที่จัดงานอยู่ในเขตโรงพยาบาล มีโต๊ะตั้งพร้อม มีเวทีและเครื่องเสียง ชาวบ้านกำลังนำดอกไม้มาประดับในงาน พวกเด็กหนุ่มจึงไปช่วยปูโต๊ะ นำดอกไม้และป้ายชื่อมาวาง พวกเขาวิ่งวุ่น มือเป็นระวิง เนื่องจากงานเลี้ยงจะเริ่มตอนบ่ายโมง ยาวไปจนมืดค่ำ ดังนั้นก็เหลือเวลาไม่มากแล้ว
ในตอนเกือบเที่ยง หลังเสร็จจากพิธีแต่งงาน เจ้าบ่าวเจ้าสาวซึ่งเปลี่ยนใส่สูทและชุดขาวแบบสั้นแล้วก็เดินทางมายังสถานที่จัดงานเลี้ยงพร้อมกับทันตแพทย์หนุ่มซึ่งเป็นแขกพิเศษ
ขวัญข้าวควงแขนรวินท์พลางยิ้มระรื่น “พาไปรู้จักเพื่อนของวินหน่อย”
ทันตแพทย์หนุ่มหยิกแก้มเธอเบาๆ “มาควงผมแบบนี้เดี๋ยวคุณโรจน์งอนเอานะ”
สาโรจน์ยิ้มเหยๆ “วันนี้วันของเขา ยอมให้เขาสักวันครับ”
รวินท์ส่ายหน้าไปมา “ตามใจมากระวังจะเหลิง”
“ไม่หรอกครับ ผมเข้าใจว่าคุณวินเป็นคนสำคัญ เดี๋ยวผมขอตัวไปจัดการทางนู้นสักหน่อย ฝากเจ้าสาวผมด้วยนะครับ”
“อ้าว คุณโรจน์ พูดงี้เดี๋ยวผมพาหนีนะ”
สาโรจน์หัวเราะ “รับรองว่าไปได้ไม่เกินชั่วโมงคุณวินต้องรีบเอามาคืนแน่ครับ”
ทันตแพทย์หนุ่มขมวดคิ้ว เขาสงสัยจริงๆ ว่าอะไรที่ทำให้สาโรจน์และขวัญข้าวไว้ใจกันได้ขนาดนี้ ช่างเป็นคู่รักที่น่าอิจฉาชะมัด
“ทำไมทำหน้าแปลกๆ ล่ะวิน หิวแล้วเหรอ จะว่าไปวันนี้ออร่าไม่แรงเท่าไหร่เลย เดินทางเหนื่อยใช่มั้ย เมื่อคืนนอนหลับดีรึเปล่า” เธอยกมือขึ้นแตะแก้มเขาอย่างอ่อนโยน
รวินท์ยกมือขึ้นกุมมือเธอไว้ “ก็หลับสบายดี แต่ยังเหนื่อยอะ ผมนั่งรถมาตั้งห้าชั่วโมงเลยนะ”
หญิงสาวยิ้มบาง “ขวัญดีใจมากนะที่วินอุตส่าห์มา”
“ได้เห็นขวัญมีความสุขแบบนี้ผมก็สบายใจ” ทันตแพทย์หนุ่มหันมองไปภายในงาน สบสายตากับภูพิงค์ที่กำลังยืนมองมาทางตนพอดี เขากวักมือเรียกเด็กหนุ่ม
สำหรับภูพิงค์แล้ว เขาเห็นหญิงสาวเดินควงแขนพี่วินมาแต่ไกล ก็เด่นเสียขนาดนั้น เขาสงสารทั้งเจ้าบ่าวและตัวเองเป็นที่สุด หัวใจเจ็บจนจะบ้า ทำไมเขาต้องมาทนเห็นภาพพี่วินสวีตกับแฟนเก่าด้วยวะ แม่งดูเหมือนคู่แต่งงานกันมากกว่าเจ้าบ่าวตัวจริงซะอีก
เมื่อเห็นว่ารวินท์กวักมือเรียก เขาก็อ้ำอึ้ง บอกตรงๆ ว่าไม่อยากเดินไปหา เห็นไกลๆ ยังเจ็บเจียนตาย นี่จะให้ไปดูใกล้ๆ ฆ่ากันเลยเหอะ
พอเด็กหนุ่มไม่ยอมเดินมาหา รวินท์จึงจูงมือหญิงสาวเข้าไปหาเขาเสียเอง
“ขวัญ นี่พิงค์”
ภูพิงค์ฝืนยิ้มพร้อมกับยกมือไหว้ “สวัสดีครับพี่ขวัญ”
หญิงสาวเดินเข้าไปจับมือเด็กหนุ่ม “ขอบคุณมากนะคะ อุตส่าห์สละเวลามาช่วย”
“อย่าจับนาน” ทันตแพทย์หนุ่มเขกศีรษะเธอไปหนึ่งที
“นี่! จะตามใจเจ้าสาวสักวันได้มะ!”
“ไม่ได้ ผมไม่ใช่คุณโรจน์นะ” รวินท์ประสานสายตากับเด็กหนุ่ม “อีกอย่าง พิงค์เป็นคนพิเศษของผม ผมถึงหวง”
ขวัญข้าวเลิกคิ้วขึ้น พลางหันขวับไปทางทันตแพทย์หนุ่ม
รวินท์ยิ้มบาง “ขวัญถามผมว่ามีโอกาสจะได้เจอเขามั้ย ผมก็พามาให้เจอแล้วนี่ไง”
“อุ๊ย” หญิงสาวยิ้มกว้าง เธอยกมือขึ้นทุบอีกฝ่ายเบาๆ จากนั้นจึงหันไปทางเด็กหนุ่ม จับมือเขาไว้อีกครั้งแล้วหัวเราะ “ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ สู้ๆ น้า วินอาจจะรับมือยากสักหน่อย อดทนให้มากๆ หน่อยนะคะ”
“นี่ พูดแบบนี้ถ้าผมโดนทิ้งต้องโทษขวัญเลยนะ”
ภูพิงค์ทำหน้าบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าต้องรับมืออย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้ เขาก็ดีใจนะที่พี่วินบอกกับพี่ขวัญตรงๆ ว่าเขาเป็นใคร พี่วินคงไม่ต้องการให้เขาคิดมาก แต่ก็แบบ... มันแปลกๆ ว่ะ อารมณ์แฟนเก่ากับแฟนใหม่เจอกันนั่นล่ะ
“พิงค์พาเพื่อนมาช่วยงานด้วยอีกหลายคนเลย เดี๋ยวผมพาไปรู้จักนะ”
ขวัญข้าวพยักหน้า เธอบีบมือเด็กหนุ่มแล้วขยิบตาให้ “เอาไว้นินทาวินกันนะ”
รวินท์โอบไหล่เธอแล้วพาเดินออกไป “น้อยๆ หน่อย”
ภูพิงค์ยืนอึ้งอยู่ที่เดิม มองตามพี่วินของเขาแล้วถอนใจ ในขณะเดียวกันก็ได้ยินเสียงแขกเหรื่อในงานพูดถึงรวินท์กัน ซึ่งเขาก็ได้ยินจนเบื่อแล้วล่ะ ไม่ว่าจะเป็นหล่อกว่าเจ้าบ่าว หล่อที่สุดในงาน เหมาะสมกับเจ้าสาว เขาล่ะเห็นใจเจ้าบ่าวจริงๆ อยากเดินไปกอดคอกันร้องไห้
หลังจากแขกเหรื่อทยอยกันเข้ามานั่งครบทุกโต๊ะแล้ว ไม่นานงานเลี้ยงก็เริ่มขึ้น นักร้องนักดนตรีขึ้นประจำบนเวที บรรเลงเพลงรักทั้งไทยและเทศขับกล่อม ส่วนทั้งห้าหนุ่มเมื่อตรวจดูความเรียบร้อยในงานดีแล้วจึงไปนั่งประจำโต๊ะของพวกเขาซึ่งอยู่ไกลจากเวทีงานมากที่สุด และพอแขกเหรื่อกินอาหารกันจนอิ่มหนำ พิธีกรก็เชิญคู่บ่าวสาวขึ้นไปบนเวที จากนั้นก็เชิญแขกสำคัญในงานขึ้นไปกล่าวอะไรด้วย
แน่นอนว่ารวินท์ต้องเป็นหนึ่งในนั้น
ภูพิงค์นั่งกินอาหารไปอย่างเซ็งๆ แต่พอทันตแพทย์หนุ่มเดินขึ้นเวที เขาก็วางทุกอย่างลงแล้วหันไปดู
รวินท์มองหญิงสาวอดีตคนรักอย่างอ่อนโยน เขาเล่าถึงความน่ารักของเจ้าสาวเมื่อครั้งที่ยังเป็นนักศึกษาด้วยกัน และสิ่งที่เขาประทับใจในตัวเธอมากที่สุด
แววตาของขวัญข้าวสั่นไหว เธอฟังความรู้สึกของอดีตคนรักไปพร้อมรอยยิ้มประดับบนใบหน้า นัยน์ตาเริ่มร้อนผ่าวเพราะหลายสิ่งหลายอย่างที่เธอไม่เคยนึกมาก่อนว่าเขาเองก็ใส่ใจ
“ที่จริง... ผมเองก็ไม่ค่อยถนัดเรื่องร้องเพลงสักเท่าไหร่ แต่เพราะเจ้าบ่าวขอร้อง และเจ้าสาวเคยพูดไว้ว่าอยากจะฟัง ผมจึงขออนุญาตร้องเพลงนี้ให้เธอในนามของเจ้าบ่าว และขอร้องแค่ท่อนสั้นๆ เท่านั้น อดทนกับเสียงผมหน่อยนะครับ” รวินท์แจกยิ้มไปรอบๆ เรียกเสียงปรบมือให้กำลังใจดังก้อง เขาเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ที่จัดไว้ข้างคีย์บอร์ด แล้วหันไปพยักหน้าให้นักดนตรีซึ่งเตี๊ยมกันไว้ก่อนงานจะเริ่ม พอเสียงดนตรีดังขึ้น เขาก็โยกศีรษะช้าๆ ไปตามทำนอง ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มพริ้ม
ภูพิงค์เลิกคิ้วขึ้น รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยเพราะเขาไม่เคยได้ยินพี่วินร้องเพลงเลยสักครั้ง หากเมื่อได้ยินเสียงอินโทรของเพลง หัวใจก็ร่วงวูบ เขารู้จักเพลงนี้ดี
“เธอเพียงคนเดียวและเพียงเธอที่เฝ้ารอ ฉันจะขอภาวนาต่อหน้าฟ้าอันแสนไกล นั่นคือฉันจะรักเธอไม่ว่าเมื่อไรสถานใด ทั้งหัวใจฉันมีเธอเพียงคนเดียว จะทุกข์หรือยามที่เธอนั้นสุขใจ ยามป่วยไข้หรือสุขกายสบายดี ฉันอยู่ตรงนี้ และจะมีเพียงเธอทุกวินาที”
cr. เพลงคู่ชีวิต cocktail
ขวัญข้าวยืนนิ่ง ก่อนจะร้องไห้โฮ แล้วหันไปสวมกอดเจ้าบ่าวของเธอ ที่จริงแล้วเพลงนี้น่ะ เธอเคยพูดเล่นกับรวินท์ไว้เมื่อครั้งที่ยังคบกัน เธอฝันว่าจะได้ยินเขาร้องเพลงนี้ในงานแต่งงานของเธอ วันนี้ฝันนั้นเป็นจริงแล้ว แม้ว่าเจ้าบ่าวจะไม่ใช่เขาก็ตามที
สาโรจน์รับรู้เรื่องราวทั้งหมดในอดีตของคนรักและทันตแพทย์หนุ่ม ขวัญข้าวเคยเล่าให้เขาฟัง และเขาก็คิดว่าเพลงนี้มีความหมายดี ถ้าให้รวินท์ได้เป็นคนร้อง ส่งผ่านความรู้สึกของเขาไปถึงเธอ ก็คงจะทำให้เจ้าสาวของเขามีความสุขที่สุด
“มีความสุขมากๆ นะครับ ขอให้รักกันนานๆ” รวินท์อวยพรสั้นๆ จากนั้นก็เดินลงจากเวทีมาก่อน แล้วกลับมานั่งโต๊ะตรงที่นั่งของเขาซึ่งอยู่ในโต๊ะเดียวกันกับเจ้าบ่าวเจ้าสาว
ภูพิงค์มองตามทันตแพทย์หนุ่มพลางทอดถอนใจ แม้พี่วินจะร้องเพลงในนามของเจ้าบ่าว แต่ไม่รู้ทำไม เขาถึงรู้สึกเจ็บ... เจ็บจังโว้ย!
เสียงพี่วินก็เพราะดี แต่ทำไมเขาฟังแล้วเหมือนเป็นเพลงอกหัก ฟังแล้วเจ็บฉิบหาย ดูจากท่าทีของพี่ขวัญ เพลงนี้น่าจะมีความหมายสำหรับพวกเขาเช่นกัน
พี่วินคงรักเธอมากจริงๆ
คิดแล้วก็ชักรู้สึกว่าดวงตามันร้อนผ่าวชอบกล ทั้งอิจฉา ทั้งเศร้า ทั้งหึง ปะปนกันไปหมด
“นั่งทำตาละห้อยหน้าเหี่ยวเชียวนะมึงอะ” แซนดี้ใช้ข้อศอกสะกิด
ภูพิงค์หันไปสบสายตากับคนเรียก ก่อนจะหลุบตาลงต่ำ “อือ”
แซนดี้เลิกคิ้วขึ้น พร้อมกับโน้มตัวไปกระซิบ “พี่ขวัญนี่ไม่ใช่แค่เพื่อนพี่หมอใช่มั้ยวะ”
“มึงดูออกด้วยเหรอ”
“โห กูระดับไหน”
เด็กหนุ่มยิ้มเจื่อนๆ พลางพยักพเยิดหน้าไปตรงที่ไม่มีคนอยู่ “คุยกันแป๊บดิ มึงอิ่มแล้วใช่มะ”
สองหนุ่มลุกขึ้น เดินออกจากงานไปนั่งหลบมุมอยู่ที่ม้านั่งหินอ่อนใต้ต้นไม้ ไม่ไกลจากบริเวณจัดงานนัก
เสียงดนตรีดังมาแว่วๆ ตอนนี้คงมีการแสดงต่างๆ บนเวทีอยู่ งานของพวกเขาก็เหลือแค่ช่วยเก็บของตอนงานเลิกเท่านั้น
เมื่อเจ้าบ่าวเจ้าสาวลงจากเวทีมาแล้ว เจ้าสาวก็ขอแวบไปแต่งหน้าใหม่ก่อนจะเดินถ่ายรูปตามโต๊ะ ระหว่างนั้นสาโรจน์กับรวินท์ก็เดินไปที่โต๊ะของพวกเด็กหนุ่ม หากเมื่อไปถึงที่โต๊ะก็เห็นว่าเหลืออยู่แค่สามคนเท่านั้น
“พิงค์กับแซนดี้ไปไหน”
“เห็นพวกมันกระซิบกระซาบอะไรกันไม่รู้ แล้วก็เดินไปทางนั้นน่ะพี่หมอ เดี๋ยวก็คงกลับมา”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมฝากไว้ให้คุณพิงค์กับคุณแซนดี้ด้วยละกันครับ” สาโรจน์ยิ้ม ก่อนจะส่งซองสีชมพูให้พวกเด็กหนุ่ม
“อะไรครับเนี่ย” ซันถามอย่างงงๆ
“ขอบคุณที่พวกคุณมาช่วยงานนะครับ ถ้าไม่ได้พวกคุณ ผมกับขวัญแย่แน่ๆ”
พวกเด็กหนุ่มเปิดซองดู แล้วจึงเห็นธนบัตรใบละหนึ่งพันในซอง “เฮ้ย! เขามีแต่คนมางานต้องใส่ซองให้ป่ะวะพี่!”
“รับไว้เถอะ คุณโรจน์อยากตอบแทนน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ น่ะ”
“ผมขอตัวก่อนนะครับ เดี๋ยวไปต้องเดินถ่ายรูปตามโต๊ะน่ะครับ”
เมื่อเจ้าบ่าวเดินออกไปแล้ว รวินท์จึงนั่งลงที่โต๊ะร่วมกับพวกเด็กหนุ่ม
“พี่หมอ เจ้าบ่าวของเพื่อนพี่หมอนี่ หมอแบบ หมอในอุดมคติ หมอแบบมองจากดาวอังคารยังรู้ว่าเป็นหมอเลยว่ะ”
รวินท์หัวเราะ “ใช่มะ ต่างกับผมแบบฟ้าเหวเลย”
“เพราะพี่หมอหล่อเกินไง”
“ชมผมไปก็ไม่ได้อีกซองหรอกนะ” ทันตแพทย์หนุ่มอมยิ้ม “ผมร้องเพลงเป็นไงมั่งวะ เสียงเพี้ยนมะ”
“ไม่เลยพี่ เสียงดี แถมเท่สุดๆ ไปเลย พวกผมงี้ขนลุกเลยอะ พี่ไปออกอัลบั้มได้เลยนะเนี่ย”
“อย่าเว่อร์” รวินท์ส่ายหน้าไปมา
“พี่หมอซ้อมนานมั้ยอะ”
“ซ้อมมานิดเดียว ได้ซ้อมกับนักดนตรีครั้งเดียวอะคิดดู”
“โห แต่ได้ขนาดนี้ก็โคตรเทพแล้วพี่”
ทันตแพทย์หนุ่มนั่งพูดคุยกับสามหนุ่มไปอีกสักพัก ทว่าภูพิงค์ก็ไม่กลับมาสักที เขาชะเง้อมองไปทางที่พวกเด็กหนุ่มในโต๊ะบอกหลายครั้ง แต่ก็ไม่เห็นวี่แวว “ผมไปดูพิงค์หน่อยดีกว่า”
“ก็ดีว่ะพี่หมอ เห็นมันซึมๆ สงสัยจะอิจฉาเจ้าสาว”
รวินท์ขมวดคิ้ว “จะอิจฉาทำไมกัน”
“โห ก็พี่หมอเล่นเดินควงเจ้าสาวทั่วงาน ปล่อยแฟนตัวจริงทำงานเป็นกุลี แถมยังร้องเพลงให้เจ้าสาวซะหวานเลย มันไม่อิจฉาก็แปลกแล้ว” ซันพูดกลั้วหัวเราะ แต่เขาก็หมายความอย่างที่พูดจริงๆ นะ สงสารไอ้พิงค์มันชะมัดเลย
ทันตแพทย์หนุ่มนิ่งอึ้ง นี่เขาทำตัวผิดอีกแล้วหรือ?
“รีบไปตามหามันเหอะพี่หมอ ง้อมันหน่อย ช่วงนี้มันติดๆ ดับๆ เหมือนเมนส์ขาด”
“อืม เขาไปทางนั้นใช่มั้ย”
“ครับ คงไปนั่งปรับทุกข์กับอีแซนดี้นั่นล่ะ”
รวินท์ยิ้มบาง “ขอบใจนะ”
(มีต่อค่ะ)