ไม่รู้________________________________________
วันนี้ไอ้เต้ผู้เป็นเบ๊พี่ๆฝั่งไลน์ผลิตเดินออกมาซื้อกาแฟในยามเที่ยงพอดิบพอดี จะว่าเป็นโชคดีของมันก็ได้ที่วันนี้คนเฝ้าร้านเป็นน้องเนที่ดูกำลังขมักขเม้นกับการปั่นฟองนมอยู่
“น้องเนเฝ้าร้านคนเดียวเหรอครับ”
มันเอ่ยทักทายเจ้าของร้านตัวเล็กก่อนจะมองไปรอบๆร้านที่ในตอนนี้ที่ลูกค้ายังไม่เยอะ และดูท่าว่าคนที่มันกำลังมองหาจะไม่อยู่เสียด้วย เต้ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องมองหาใครอีกคน
“อ้าว พี่เต้สวัสดี”
คนที่พึ่งหันกลับมาเอ่ยทักทายลูกค้าประจำของร้าน ในตอนแรกเนมีโอกาสได้คุยกับเต้เพราะไอ้นายมันทำรุ่มร่ามต่อหน้าเขา แต่หลังจากที่ได้รู้ว่าพี่เต้ฝึกงานอยู่ที่เดียวกับพี่ภัทรก็มีโอกาสได้คุยกันบ่อยมากขึ้น
“นายมันสอบช่วงนี้ เห็นว่าตกเลขด้วย”
คนบอกว่าไปด้วยทำหน้ายุ่งไปด้วยอย่างน่าเอ็นดู
“เลขไฟฟ้าใช่ไหมครับ ตอนปีสองพี่ได้เอนะ”
เขาว่าพลางยิ้มให้อีกคน ซึ่งพอได้ยินดังนั้นอีกคนก็เบิกตากว้างแล้วบอกออกมา
“ใช่ๆพี่เต้เรียนเหมือนกันกับนายนี่ เนจ้างสอนนายหน่อย เห็นนายมันเครียดจะตาย”
เต้ยิ้มให้กับท่าทางน่ารักที่ดูยังไงก็ไม่เบื่อ นี่ถ้าเป็นลูกหมาลูกแมวคงอุ้มกลับบ้านไปแล้ว
“ได้เลย ไม่คิดตังค์ขอแค่น้องเนชงกาแฟให้ก็พอ”
มันว่าพลางยิ้มกว้างให้เด็กอีกคนที่ยิ้มน้อยๆดูเหมือนเขินยังไงอย่างนั้น แต่ความจริงเนมันก็ยิ้มแบบนี้ให้ทุกคนอยู่แล้ว
“กาแฟดำครับ”
ในระหว่างที่ไอ้เต้หวังจะเคลมคนตัวเล็กกว่ามันก็ได้ยินเสียงแทรกมาจากด้านหลัง เต้กะจะหันไปมองหน้าคนเสียมารยาทสักหน่อยแต่พอรู้ว่าเป็นใครมันก็ยกมือไหว้แทบไม่ทัน
“น้าภัทร สวัสดีครับ”
น้าภัทรที่เขาว่ามายืนนิ่งๆอยู่พักใหญ่แล้ว ภูมิภัทรยืนมองหลานตัวเองชวนคนตัวเล็กคุยอย่างสนุกสนาน ตอนแรกก็ดูเหมือนเพื่อนวัยเดียวกัน แต่ประโยคหลังๆของไอ้หลานเวรทำเอาคนหวงก้างอย่างไอ้ลุงฉุนกึก ในระหว่างที่น้องเนกำลังงงกับกริยาพวกมันทั้งคู่ภัทรก็รีบอธิบายเพราะไม่เช่นนั้นถ้าน้องเนเกิดสงสัยขึ้นมาคงเป็นเขาที่ร้อนใจเสียเอง
“เต้เป็นลูกชายของพี่สาวพี่ครับ ฝึกงานที่เดียวกับพี่”
คนแก่กว่าว่าพลางยิ้มให้เด็กตัวเล็ก หลังๆมานี่ภัทรไม่ได้มาที่นี่ทุกวันแต่จะมาเฉพาะวันที่น้องเนอยู่เท่านั้น ส่วนวันอื่นๆก็เจอกันบ้างตามโอกาส ถ้าภัทรไม่ได้ยุ่งจนไม่มีเวลาก็จะพาไอ้ตัวเล็กไปกินข้าวบ้างเดินเล่นบ้าง
“ฮื่อ ไปนั่งเลย เดี๋ยวเนเอากาแฟไปให้นะ”
เขายิ้มให้น้องเนที่ดูท่าจะยุ่งก่อนจะเดินนำหลานรักไปที่เก้าอี้ที่อยู่ห่างจากเคาท์เตอร์หน่อย เสียงนุ่มที่พูดกับน้องเนพอมาพูดคุยกับไอ้เต้กลับเป็นเสียงเย็นๆที่เสียวไปทั่วสันหลัง
“ฝึกงานเป็นไงบ้าง”
“ก็ดีครับ รู้กระบวนการณ์ในฝ่ายผลิตเกือบหมดแล้ว”
มันตอบอย่างเกร็งๆ เต้กับภูมิภัทรไม่ได้สนิทกันมากนักเนื่องจากตอนเด็กมันอยู่บ้านพ่อที่เป็นเขยของตระกูล ซึ่งอยู่คนละฝั่งเมืองกับบ้านน้าแถมน้าภัทรไปอยู่ต่างประเทศเสียส่วนใหญ่ การพูดคุยจึงเป็นแค่การพูดคุยผ่านๆหรือเป็นแค่การได้ยินเรื่องราวอีกฝั่งจากคุณตาหรือจากแม่ซึ่งเป็นพี่สาวของน้าเท่านั้น
“ดี แล้วอยากทำงานที่นี่ไหม”
เต้เข้ามาฝึกงานที่ฐานฝ่ายผลิตที่ต้องอยู่กับเครื่องจักรเสียส่วนใหญ่ ในโรงงานดูเหมือนคนที่รู้ว่ามันเป็นหลานของภูมิภัทรน่าจะมีแค่ตัวน้าภัทรเองกับลุงชัยนั่นแหละ เพราะมันเข้ามาตามขั้นตอนที่ต้องทำทุกอย่าง ทั้งนามสกุลก็เป็นของพ่อ จะมีแต่หน้าตากับรูปร่างนี่แหละที่มีคนแซวบ่อยๆว่าหันหลังแล้วเหมือนประธานบริษัท
“อยากครับ แต่พ่ออยากให้ไปดูสตูดิโอของแกมากกว่า”
มันว่าพร้อมกับยิ้มแหยๆ ซึ่งอีกคนก็พยักหน้าเป็นอันเข้าใจ จากที่ภัทรดูแล้วเต้คงจะไม่รอดไปจากธุรกิจของฝั่งแม่หรอกเพราะในเมื่อตอนนี้ในห้าโรงงานในเครือกำลังอยากได้คนช่วยกันบริหารเพิ่ม
“อยากรู้อะไรเพิ่มก็ถามน้าได้”
ภูมิภัทรว่าก่อนจะมองหน้าหลานตัวเองที่แม้จะอายุห่างกันรอบนึงแต่หน้าตาคลับคล้ายกัน บางทีคงมีบางอย่างที่เต้น่าจะรู้เพิ่มอีกแม้จะไม่ใช่เรื่องงานก็ตาม
“น้องเนนั่น...”
เขาว่าพลางมองไปที่คนตัวเล็กผู้กำลังยุ่งวุ่นวายกับงานของตนอยู่ เต้มองตามสายตาของคุณน้ายังหนุ่มด้วยความสงสัยก่อนจะถึงบางอ้อในที่สุด
“น้องเนเป็นของน้า”
เต้เคยได้ยินมาว่าภูมิภัทรเป็นผู้มีอำนาจหลายอย่างในมือ...วันนี้มันเห็นของจริงแล้ว เต้มองสายตาที่ไม่ได้ล้อเล่นของผู้ชายสวมสูทท่าทางดูดีทุกระเบียบนิ้วตรงหน้าก่อนจะตอบรับอย่างช่วยไม่ได้ เพราะมันคงไม่มีอะไรไปสู้คนๆนี้แน่นอน
“ครับ”
ในขณะที่สงครามประสาทระหว่างอากับหลานกำลังคุกกรุ่นตัวต้นเหตุก็เดินเข้ามาหาพร้อมกับเมนูที่สั่งไว้ก่อนหน้า
“กาแฟครับ อันนี้ของพี่เต้ อันนี้ของพี่ภัทร”
คนที่เด็กสุดว่าแล้ววางของที่สั่งลงบนโต๊ะ ภูมิภัทรคว้าแขนเล็กไว้ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินกลับไป
“นั่งกับพี่ก่อนนะตัวเล็ก เดี๋ยวค่อยไป”
เนมองร้านในยามนี้ที่ยังไม่มีลูกค้าก่อนจะนั่งลงที่โซฟาฝั่งข้างๆไอ้ลุง ถึงแม้เต้จะไม่ได้สนิทกับน้าของมันมากนักแต่เชื่อเถอะว่าญาณยั่งรู้ทางสายเลือดนี่มันแรง... บางทีสถานการณ์นี้คงเป็นการแสดงความเป็นเจ้าของทางอ้อม เอาเถอะ...เต้ปลงแล้ว
***
ในวันศุกร์สิ้นเดือนซึ่งเป็นวันเงินเดือนออกแม้เต้จะไม่ได้เงินจากการฝึกงานสักบาทแต่มันก็ขับรถมาหาเพื่อนๆที่นัดกันไว้ที่ร้านเหล้าแห่งหนึ่ง
“เซ็งโว้ยยยยยยยยยย”
เต้มันไม่ได้เมาหรอกเพราะต้องขับรถกลับบ้าน แต่ที่กำลังโวยวายอยู่นี่เพราะความเซ็งล้วนๆ ถ้ารู้ว่าน้องเนเป็นเด็กน้าภัทรตั้งแต่แรกให้น่ารักยังมันก็จะไม่ชายตามองเด็ดขาด เพราะรู้ว่าถึงตายก็คงไม่มีวันได้น้องมาเป็นของตัวเองอย่างแน่นอน
“อะไรของมึงวะ”
เพื่อนๆถามคนที่ดูจะหัวเสียตั้งแต่มาถึง
“กูเล็งเด็กแถวที่ทำงานไว้คนนึง น่ารักเหี้ยๆ แต่วันนี้น้ากูเดินมาบอกว่านั่นเด็กเขา”
เต้เล่าไปกระดกน้ำอัดลมไปอย่างเซ็งจิต ส่วนเพื่อนที่พึ่งได้ยินเรื่องเล่าจากมันระเบิดขำกันอย่างกับระเบิดคาเฟ่
“น้าที่มึงเล่าว่าหล่อแต่น่ากลัวเหี้ยๆน่ะนะ”
“น้าที่ยังหนุ่มแต่โคตรรวยนั่นเหรอวะ”
“เออ!!”
ที่สุดแล้วหัวข้อการสนทนาวันนี้ก็ไม่พ้นเรื่องอกหักตั้งแต่ยังไม่ได้รักของไอ้เต้ หัวข้อทำให้ตั้งแต่เย็นยันดึกไอ้เพื่อนเวรก็ยังไม่เลิกล้อ เต้ผู้กินน้ำอัดลมเยอะไปหน่อยจึงลุกออกจากโต๊ะมาเข้าห้องน้ำและสบโอกาสดูดนิโคตินคลายเครียดเสียหน่อย
“นายบอกพี่เจมส์แล้วว่าจบแล้ว”
“แต่นายยังไม่ฟังพี่เลย พี่ไม่ได้ชอบหนิง พี่อยากอยู่แค่กับนาย”
ระหว่างที่เต้กำลังพ่นควันสีขุ่นอยู่นั่นมันก็ได้ยินเสียงพูดคุยอยู่ไม่ไกลกันนัก บางทีคงเป็นตรงลานจอดรถหลังพุ่มไม้ประดับตรงนี้ ด้วยแสงสว่างที่แทบจะไม่มีทำให้เต้มองคนที่ยืนคุยกันอยู่ไม่ชัด แต่บทสนทนาดูคุ้นหูพิกล จะว่าไปแล้วแถวนี้มันก็เป็นย่านมหาวิทยาลัยของน้องนายเสียด้วย
“พี่เจมส์ปล่อยสิวะ”
“ถ้าปล่อยนายก็จะหนีพี่อีก”
“ไม่เอาแล้ว นายไม่เอา”
ไอ้เต้ว่าชัดละ จากที่ยืนดูดบุหรี่อยู่อย่างไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก คนที่กำลังเซ็งก็ดับแท่งสีขาวที่ยังไหม้ไม่ถึงครึ่งของตนทิ้งแล้วค่อยๆเดินไปหาต้นเสียง จะว่าเสือกก็คงใช่...แต่ถ้าน้องนายถูกฉุดกระชากลากถูเหมือนวันนั้นอีกก็คงไม่ดีเสียเท่าไหร่
“ทำไมวะ หรือนายก็มีคนอื่นเหมือนกัน”
“นายไม่เคยมี”
“ก็ไอ้เต้นั่นไง นายไปกับมันใช่ไหม”
และแล้วไอ้เต้ที่เขาพาดพิงก็มายืนนิ่งๆอยู่ใกล้คนทั้งคู่ เพียงแต่คราวนี้คนคู่นั้นไม่ทันสังเกตเห็นเต้ผู้ยืนทำหน้าเซ็งอยู่
“คุยไม่รู้เรื่องแล้วโว้ย”
“อย่ามาขึ้นเสียงนะนาย!!”
“อย่าบิดแขน มันเจ็บนะ!!”
“นายก็อย่าดื้อสิวะ!”
ในหระว่างที่เขากำลังขึ้นเสียงกัน ไอ้เต้ที่ทนเห็นคนตัวเล็กถูกดึงไว้แบบนั้นไม่ได้ก็ตวาดขึ้นมาบ้าง
“นาย! กลับบ้าน”
ได้ผล... เขาทั้งคู่หันมามองเป็นตาเดียวเหมือนครั้งที่แล้ว แต่คราวนี้ผู้ชายรุ่นราวคราวเดียวกับเต้ไม่อยู่เฉยเขาปล่อยแขนอีกคนแล้วย่างสามขุมเข้ามาหาผู้มาใหม่ ไอ้เต้ที่พอมีประสปการณ์ต่อยตีมาบ้างยืนนิ่งแต่มือขวาหยิบคัตเตอร์ที่บังเอิญพกไว้ตรงกระเป๋าเสื้อช็อปขึ้นมารูดใบมีดอย่างโรคจิตไม่สมกับเป็นมัน
“เข้ามากูเสียบ”
เต้ว่าพลางยื่นมือออกมาด้านหน้าค้างไว้เพื่อกันให้อีกคนไม่เข้ามาใกล้มากไปกว่านี้ ก่อนจะเดินไปคว้าแขนอีกคนที่ดูเหมือนจะตระหนกเล็กน้อยไปยังรถของตัวเองที่จอดอยู่ไม่ไกล ดีนะที่ตอนมันทำงานต้องใช้ปากกากับคัตเตอร์ทั้งวัน ไม่อย่างนั้นแทนที่จะเท่พี่เต้คงต้องลากน้องนายวิ่งอุตลุดแทน เพราะมันไม่อยากมีเรื่องกับคนที่กำลังฟิวส์ขาดแบบนี้
***
“แล้วทำไมเขาถึงยังไม่เลิกตามครับ”
เต้รู้ตัวดีว่ามันเป็นคนนอกแต่ไอ้เหตุการณ์เมื่อครู่ถ้ามันไม่ไปเสือกแล้วน้องนายจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ น่าเป็นห่วงน้อยเสียเมื่อไหร่
“นาย...”
คนที่นั่งหน้ายุ่งอยู่ข้างๆเอ่ยออกมาบ้างและดูท่าจะสับสนกับสรรพนามแทนตัวของตนอยู่ไม่น้อย เพราะนายเองมักจะพูดคุยห้วนๆและไร้มารยาทกับอีกคนอยู่ตลอด แต่กระนั้นเขาก็ยังมาช่วยถึงสองครั้งทั้งๆที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง
“นายมากินข้าวกับเพื่อน พี่เจมส์รู้จักกับเพื่อนนายก็เลยตามมา”
เต้พยักหน้าเป็นอันเข้าใจแต่ก็ถามออกไปใหม่
“กินข้าวหรือเหล้า”
คำถามนั่นทำเอาคนที่นั่งอยู่ข้างๆถึงกับหน้าเสีย แม้จะไม่ได้ถูกห้ามก็ตามแต่ถ้าเนกับพ่อรู้ว่านายทำแบบนี้คงไม่ดีแน่นอน
“ก็ทั้งสองอย่าง”
เสียงที่ตอบออกมาเป็นเสียงอ่อยๆอย่างที่รู้ว่าตนผิด เต้รู้ว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาของผู้ชายในวัยนี้ ยิ่งเรียนคณะที่มีแต่ผู้ชายด้วยแล้ว การสังสรรค์มักจะหลีกเลี่ยงไม่ได้เสมอ มันนี่เมาหัวราน้ำตั้งแต่ปีหนึ่งทั้งมีเรื่องกับเขาไปทั่ว แต่แปลกที่ทั้งๆที่รู้เต้กลับคิดว่าน้องนายและน้องนายพี่น้องคู่นี้ดูไม่เหมาะกับสถานที่แบบนี้เสียเท่าไหร่ บางทีคงเพราะมันมองเด็กทั้งคู่เป็นเด็กมากก็ได้
“ทำไมไม่ลองคุยกันดีๆ”
คนที่กำลังขับรถอยู่ถามออกไปในตอนที่ตัดสินใจเลี้ยวรถขึ้นบนทางด่วนมุ่งออกนอกเมือง ทางที่เป็นทางกลับบ้านของอีกคน
“คุยแล้วพี่เขาไม่ฟัง”
“น้องนายไม่เด็ดขาดหรือเปล่าครับ”
เต้ไม่ได้ถามด้วยอคติแต่อย่างใด แต่นายที่คิดว่าพี่เขาหาว่าตัวเองใจง่ายถึงกับนิ่งไปชั่วครู่ก่อนก่อนค่อยๆตอบออกมา
“นายบอกเลิกพี่เขาไปหลายรอบแล้วแต่เขาก็ยังตาม นายไม่คบคนที่จับปลาสองมือนะ”
ปลายเสียงนั่นสั่นเล็กน้อย เต้เหลือบมองอีกคนผ่านกระจกหลังแล้วพบว่าไอ้คนตัวเล็กที่มักจะเสียงดังอยู่เสมอร้องไห้อยู่เงียบๆ
“อย่ามาว่านายแบบนี้นะ”
และดูเหมือนจะเข้าใจผิดไปกันใหญ่เสียแล้ว
“พี่ไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น”
คนที่ดูอารมณ์ไม่ปกติเอาเสียเลยหันไปมองข้างทางที่มืดสนิท เต้รับโทรศัพท์จากเพื่อนที่โทรมาโวยวายหลังจากมันหายไปนาน หลังจากที่มันต้องขอโทษเพื่อนไปประมาณสิบรอบหลังจากวางสายเต้ก็ได้รับคำขอโทษเช่นเดียวกัน...
“นายขอโทษ นายจะลง”
จะลงบนทางด่วนนี่นะ เต้ส่ายหัวหร้อมกับบอกอีกคน
“งั้นเดี๋ยวพี่ไปส่งบ้าน”
“นายไม่อยากกลับบ้าน เดี๋ยวเนเห็น นายจะลง”
เห็นทีที่เขาหาว่าน้องนายนี่ดื้อท่าจะจริง เต้หัวเราะให้กับท่าทางรั้นแบบเด็กสามขวบนั่นก่อนจะบอก
“โอเคครับ เดี๋ยวไว้ค่อยลง”
***
“นั่งก่อนไหม”
นายหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ตื่นอีกทีก็มาอยู่หน้าตึกที่ดูเหมือนจะเป็นคอนโดแห่งหนึ่ง พอเปิดประตูรถได้ก็เดินตามเจ้าของรถเขามางงๆ รู้ตัวอีกทีก็มายืนอยู่ในห้องเขาเสียแล้ว เจ้าของห้องเดินเข้าไปนั่งลงบนโซฟาในห้องนั่งเล่นขนาดเล็กแล้วตบปุให้อีกคนนั่งลงบ้าง ท่าทางตื่นๆกับสถานที่ที่ไม่คุ้นชินของคนเด็กกว่าทำเอาเต้ที่ติดจะง่วงเพราะเป็นเวลาเกือบตีหนึ่งถึงกับตื่นเต็มตา เขาปล่อยให้อีกคนนั่งลงกอดหมอนใบนุ่มไว้แล้วปล่อยความคิดอยู่สักพักก่อนจะถามออกไปด้วยน้ำเสียงปกติ
“ไหนบอกมา ทำไมดูไม่เข้มแข็งเหมือนเดิม น้องนายคนนั้นไปไหน”
คนถามว่าพลางบิดขี้เกียจ ดีที่พรุ่งนี้เป็นวันหยุดเขาจึงไม่ได้ใส่ใจกับอาการง่วงของตัวเองเสียเท่าไหร่ คำถามนั้นของเต้คล้ายกับอะไรบางอย่างที่หายไปในอากาศ นายทิ้งช่วงของการตอบไว้นานเสียจนไอ้เต้จะหลับแต่พอจะตอบก็บอกออกมาด้วยเสียงเบาๆเพราะเจ้าตัวเอาหน้าซุกลงไปกับหมอนอย่างกับว่าไม่อยากให้อีกคนมองเห็นความอ่อนแอที่มี
“นายไม่เคยเข้มแข็งหรอก มีแต่เนต่างหากที่ช่วยดูมาตลอด”
เต้ยิ้มให้ท่าทางแบบนั้นของคนเด็กกว่า
“ไหนเล่ามา เผื่อพี่ช่วยได้”
เจ้าของห้องบอก
“ไม่ใช่เรื่องของพี่”
อีกคนบอกออกมาเสียงเบา แต่ไม่ทันไรก็บอกออกมาใหม่
“นายหมายถึง ไม่อยากให้พี่เต้เดือดร้อน”
เอาจริงๆเต้ว่าเด็กคนนี้มีอะไรที่ไม่ได้เห็นในตอนปกติอยู่เยอะ เต้ยิ้มให้กับอีกคนที่ยังไม่เงยหน้าขึ้นมาก่อนจะบอกออกมาบ้าง
“พี่ไม่เดือดร้อนหรอก”
“ไม่เอา”
และทันทีที่เต้พูดจบอีกคนก็บอกออกมาเช่นกัน พวกเขาต่างจมอยู่กับความคิดตัวเองอยู่พักใหญ่ก่อนที่นายจะยกขาขึ้นมานั่งกอดเขาตัวเองไว้และบอกความลับที่ไม่เคยบอกใคร ให้คนที่พึ่งจะรู้จักกันมาไม่นานได้ฟัง
“นายเป็นตัวปัญหา แม่ถึงต้องเอานายไปอยู่อินโดนีเซียด้วย พ่อกับเนไม่อยากอยู่กับนาย...”
บางทีเด็กคนที่ก้มหน้าซุกกับเข่าตัวเองคงร้องไห้อีกครั้ง มันไม่ใช่การร้องไห้แบบคร่ำครวญแต่เป็นการปล่อยให้น้ำตาไหลอย่างเงียบเชียบเพื่อปิดบังความอ่อนแอของตัวเอง
“นายพูดไม่เพราะ นายไม่น่ารักเหมือนพี่เน”
ที่พูดมาเป็นเปลือกนอกของน้องนายที่เต้เห็นอยู่บ่อย นายมักจะดูไม่น่าเข้าใกล้ ทำตัวอย่างกับว่ากำลังสร้างระยะห่างจากคนอื่น
“พี่เจมส์... ตอนที่นายกลับมาไทยแล้วปรับตัวไม่ได้ พี่เจมส์เขาคอยดูแลตลอดทั้งๆที่นายทำให้เขาเดือดร้อน เขาช่วยนายมาตลอด...”
เสียงตรงปลายประโยคหายไปในลำคออย่างที่ฟังก็รู้ว่าคนพูดต้องพยายามพูดออกมาเหมือนเรื่องธรรมดามากแค่ไหน เต้มองอีกคนค้างไว้อยู่อย่างนั้น เขาขยับเข้าไปใกล้คนที่ตัวเล็กกว่าตนก่อนจะลูบกลุ่มผมสีน้ำตาลเข้มตามธรรมชาติเบาๆ
“พี่เจมส์เขาบอกว่าดีแล้วที่นายเป็นตัวของตัวเอง นายอยากเป็นตัวของตัวเองแต่เพราะเป็นนายยังไงก็ไม่มีคนชอบ”
เต้ที่นั่งฟังเรื่องราวไม่กี่ประโยคพอเดาเรื่องทั้งหมดออกในเวลาไม่นาน นายที่ดูประหม่าไปบ้าง แข็งไปบ้างในยามนี้แปลกไป แต่นั่นอาจจะเป็นเพราะเต้ยังไม่ได้รู้จักนายดีพอได้
“แล้วอยากกลับไปคืนดีกับพี่เขาไหม”
เต้ถามคำถามที่อยากรู้มาตั้งแต่วันแรกที่รู้ว่าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น คนตัวเล็กกว่าส่ายหัวอย่างเอาเป็นเอาตายทั้งพึมพำว่า ’ไม่เอาแล้ว’ อยู่ซ้ำๆ เต้ถอนหายใจให้กับตัวเองที่ไม่สามารถทำอะไรให้มันดีขึ้นได้ในยามนี้
“แล้วการเป็นนายนี่มันเป็นยังไงครับ”
เขาถาม อีกคนจึงค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาที่มักจะรั้นอยู่เสมอบัดนี้แดงก่ำ น้ำในตาวาววับอย่างกับกำลังบอกว่าเจ้าของมันยังคงเสียใจอยู่
“ไม่รู้...”
คนตอบตอบทั้งๆที่ร้องไห้ ส่วนเจ้าของห้องยิ้มให้คนที่ร้องไห้ เต้ว่าเอาไอ้เด็กปากดีกับชอบทำตาขวางๆเมื่อวันก่อนกลับมาน่าจะดีกว่ากระมัง
“งั้นลองเป็นนายให้พี่ดูนะ เดี๋ยวดูให้”
เขาว่าออกไปอย่างไม่ได้คิดอะไรมากนัก
“ยังไง”
แต่พอถูกถามกลับด้วยใบหน้างงงวยของอีกฝ่าย ไอ้เต้ก็หันหน้าหนีก่อนจะตอบ
“ไม่รู้...”
ว่าแล้วเดินหลบไปดูดบุหรี่นอกระเบียงเสีย ทั้งไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรอยู่ ทั้งลืมไปเลยว่าที่อกหักเมื่อเช้าคืออะไร ทั้งงงว่าทำไมกูต้องประหม่าเวลาน้องมันมองด้วยวะ...
TBC.
_________________________________________________________________________