(ต่อ)
“รถติดหล่ม”
เพลิงหันมาบอกคนที่นั่งอยู่เบาะข้างกาย ก่อนจะเปิดประตูรถกระบะออกไปคุยกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้คนอื่นซึ่งนั่งอยู่ท้ายกระบะ นั่นจึงทำให้คนเมืองที่นั่งเงียบมานานเปิดประตูรถตามออกมาด้วย ระหว่างนั้น รเณศเห็นว่าเจ้าหน้าที่ในชุดลายพรางพากันระโดดลงมาจากท้ายกระบะแล้วยืนคุยกับเพลิงหน้าเครียด
เขาสังเกตว่าล้อรถด้านหลังสองข้างจมลงไปในโคลมตม คาดเดาได้ว่าก่อนหน้านี้มันคงเป็นดินลูกรังที่ฝุ่นคลุ้งแต่เมื่อคืนมีฝนตกลงมาอย่างหนักทั้งคืน คงไม่แปลกหากน้ำจะขังอยู่ในแอ่งและทำให้พื้นดินแถบนี้ทั้งลื่นและแฉะเป็นอุปสรรคต่อการเดินทางจนทำให้รถกระบะกลางเก่ากลางใหม่ที่มีตราอุทยานติดหล่มจมไปกว่าครึ่งล้อแล้ว
“มีอะไรให้ผมช่วยมั้ย”
รเณศเดินไปเลียบๆ เคียงๆ ถาม เพลิงชะงักไปก่อนจะเหลือบตามองรเณศแล้วส่ายหัว
“ไม่มี”
ร่างสูงใหญ่บุ้ยปากไปยังต้นไม้ใหญ่ข้างทาง
“ไปหลบอยู่ในร่มก่อน ตรงนี้แดดมันร้อน”
พูดไม่พอยังยัดหมวกลายพรางใส่มือให้เขาอีก
“แต่ผมอยากช่วย”
เภสัชกรหนุ่มเอ่ยท้วงเพราะเห็นเจ้าหน้าที่คนอื่นยืนประจำที่ท้ายกระบะบ่งบอกว่าพวกเขาคงจะช่วยกันใช้กำลังดันรถให้ขึ้นจากโคลน เห็นคนอื่นๆ ทำแบบนี้จึงอดเปรียบเทียบกับตัวเอง ขณะที่เพลิงไล่ให้เขาไปนั่งพักในร่มตรงโน้น แต่เจ้าหน้าที่คนอื่นกลับไม่ได้พักไปด้วย
“นั่นมันหน้าที่ของผู้ชายตัวโตๆ เขา”
รเณศเบะปาก
“ผมก็เป็นผู้ชายนะคุณ ถึงไม่ได้ตัวใหญ่แต่ก็มีแรงมีกำลังช่วยได้ก็แล้วกัน”
เพลิงกวาดสายตามองเขาตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า
“คุณไม่ไหวหรอก”
“อย่าเพิ่งดูถูกผมสิ” รเณศเอ่ยท้วง
“เอ่อผู้ช่วย”
หลังจากที่ทั้งคู่ยืนจ้องกันอยู่พักหนึ่ง พลซึ่งถูกเพื่อนร่วมทีมถีบให้เข้าหาเพลิงทำหน้ากระอักกระอ่วน
“ว่าไงพล”
“เอาไงดีพี่เพลิง นี่บ่ายกว่าแล้วนะ”
เพลิงจ้องหน้ารเณศนิ่งก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ไปช่วยกันดันรถ”
คนเมืองหลุดยิ้มดีใจ ขณะที่เปลวซึ่งยืนสังเกตอยู่นานยิ้มเผล่มารับกุญแจรถไปจากมือเพลิง เพราะเจ้าตัวจะสลับไปดันรถช่วยเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ
เหอะ! ช่วยคนอื่นหรือช่วยคนกรุงตัวขาวกันแน่วะ เด็กหนุ่มกลั้นยิ้มหันไปส่งสัญญาณให้พี่พล พี่เกิ้งและไอ้เต็งที่หันมาสบตากันโดยมิได้นัดหมาย
ครืด...ครืด
เสียงล้อที่จมไปในโคลนดังขึ้น ตอนที่เปลวประคองพวงมาลัยเหยียบคันเร่งจนมิด ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ รวมถึงรเณศพากันออกแรงดันจนหน้าดำหน้าแดง
“อีกนิดพี่”
เสียงเจ้าเปลวตะโกนขึ้น
“เอาหน่อยโว้ย”
เกิ้งพูดเสียงหอบทั้งเนื้อทั้งตัวสั่นเทาเพราะออกแรงเยอะ
ครืด...ครืด
“บรื้น”
“เฮ้ย”
รเณศร้องเสียงหลงจังหวะที่ล้อหลังขึ้นจากหล่มนั่นมันดีดเอาโคลนกระเด็นใส่ตัวเขาเต็มๆ เป็นโชคร้ายเพราะเจ้าหน้าที่คนอื่นขยับหลบทัน ยกเว้นก็แต่คนเมืองที่เปรอะเปื้อนดินโคลนตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า รเณศหันไปแยกเขี้ยวใส่ผู้ช่วยหนุ่มหลังจากที่ได้ยินเสียงทุ้มหัวเราะในลำคอจากฝ่ายนั้น ท่าทางไม่ต่างจากเจ้าหน้าที่คนอื่นนักหรอก แต่ดีว่าคนอื่นๆ พยายามกลั้นยิ้มทำหน้านิ่งเฉยก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ต่างจากเพลิงซึ่งจ้องหน้าเขานิ่งก่อนหัวเราะออกมาเบาๆ
“เอาน้ำล้างตัวก่อน”
ฝ่ายนั้นยื่นขวดน้ำให้ รเณศจึงรับมาด้วยกิริยากระแทกกระทั้น
“หยุดหัวเราะขำผมเลยนะ”
“ผมเปล่า”
“เปล่าอะไร เมื่อกี้ยังทำหน้าขำผมอยู่เลย”
“ผมทำแบบนั้นเหรอ”
เพลิงเลิกคิ้วถาม
“เหอะ”
รเณศแยกเขี้ยวใส่อีกฝ่าย ก่อนจะหันหลังเดินไปตรงร่มไม้เพื่อล้างเนื้อล้างตัว
“ชอบเขาแต่ก็แกล้งเขา”
เกิ้งพูดขึ้นลอยๆ จนเพลิงซึ่งยืนกอดอกอยู่เลิกคิ้วมอง
“ผมพูดลอยๆ นะผู้ช่วย ใช่มั้ยไอ้พล” ฝ่ายนั้นหันไปพยักพเยิดไปทางคู่หู
“เขาเรียกคนปากหนัก”
เพลิงโคลงศีรษะเมื่อสบตากับเจ้าพวกนี้
“อย่ามองพวกผมแบบนี้สิผู้ช่วย”
เพลิงกดยิ้มมุมปาก
“ว่าจะทำเขียนรายงานขอเพิ่มเงินเดือนให้สักหน่อย แบบนี้คงต้องเปลี่ยนเป็นขอลดเงินเดือนแล้วมั้ง”
“โห่ผู้ช่วย”
“...”
“ทุกวันนี้ก็จะไม่พอกินอยู่แล้วครับ”
เพลิงยิ้มขำ เพราะสิ่งที่ทั้งคู่พูดมากเป็นความจริงทุกอย่าง เงินเดือนเจ้าหน้าที่น่ะ มันน้อยนักเมื่อเทียบกับความหนักของภาระงาน บางครั้งตรงกับช่วงปิดปีงบประมาณเงินเดือนก็มาล่าช้า ตกเบิกไปหลายเดือนจนทำให้เจ้าหน้าที่อยู่อย่างขัดสน ต้องกระเบียดกระเสียรชักหน้าให้ถึงหลังกันน่าดู
“พวกผมแซวแค่นี้เอง”
“...”
“ผู้ช่วยก็...” เกิ้งบุ้ยปากไปด้านหลัง “แกล้งเขาจนหน้างอแล้วนะครับ”
“ไปง้อหน่อยเถอะผู้ช่วย เมื่อกี้เห็นพี่เนตรของไอ้เปลวออกแรงหน้าดำหน้าแดง ท่าทางแกมีใจอยากจะช่วยจริงๆ นา”
“คุณเนตรนี่แกน่ารักไม่หยอกเลยนะผู้ช่วย”
เพลิงหรี่ตามองทั้งคู่
“แหน่ะ! แค่ชมว่าน่ารักมองพวกผมตาขวางเลยนะครับ”
เพลิงยักไหล่ทำหน้านิ่ง ขณะที่พลและเกิ้งพากันหัวเราะชอบใจ
“ไปดูแกหน่อยเถอะครับ”
พลสำทับ
“เลอะไปทั้งตัวขนาดนั้น กว่าจะถึงหมู่บ้านคงมอมแมมน่าดู” เกิ้งพูดยิ้มๆ “แต่ผมว่านะขนาดมอมแมมแบบนี้ ผมก็ว่าน่าดูอยู่นา ผู้ช่วยว่าจริงมั้ยครับ”
“อือ น่าดู”
เพลิงพูดเสียงเรียบ
“อะไรน่าดูนะผู้ช่วย”
สองคนนั้นตะโกนถามเคล้าไปกับเสียงหัวเราะตามหลังมา
“ช่วยดูของบริจาคหลังรถให้ด้วย”
“โห่ผู้ช่วย”
สองคนนั้นส่ายหัวเมื่อเขาเปลี่ยนเรื่องคุยหน้าตาเฉย
.
.
หลังจากล้างเนื้อล้างตัวเอาคราบดินโคลนออกได้เล็กน้อย รเณศเลยตัดสินใจออกมานั่งท้ายกระบะกับเจ้าหน้าที่คนอื่นเพราะไม่อยากให้เบาะด้านในเลอะโคลนไปด้วย ไม่นานหลังจากนั้นกระบะซึ่งเปลี่ยนคนขับเป็นเจ้าเปลวก็มาจอดอยู่ที่ฐานของเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนโดยใกล้ๆ กันนั้นมีสะพานเล็กๆ ข้ามไปในตัวหมู่บ้าน
จุดนี้เป็นจุดสุดท้ายที่ยานพาหนะจะเข้าไปได้ เพลิงกับเจ้าหน้าที่คนอื่นต้องเดินแบกของบริจาคข้ามสะพานไป โดยจอดรถฝากไว้ที่หน่วยนี้ ระหว่างนั้นมีชาวบ้านชายฉกรรจ์สี่ห้าคนยืนรอพวกเจ้าหน้าที่อยู่กลางสะพานไม้ ซึ่งหนึ่งในนั้นเพลิงแนะนำว่ามีผู้นำหมู่บ้านนี้รวมอยู่ด้วย พวกเขามาช่วยเจ้าหน้าที่ขนของบริจาคเข้าหมู่บ้านกัน
รเณศเองก็หอบพวกยาสามัญประจำบ้านสองสามกล่องติดมือด้วย จริงๆ อยากแบ่งเบาคนอื่นให้มากกว่านี้ แต่เพลิงก็แย่งไปถือหมด คิดดูสิว่านอกจากกระเป๋าเป้ใบโตที่สะพายอยู่แล้วมือทั้งสองข้างของเพลิงและเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ยังหอบเอาของบริจาคอื่นๆ ซึ่งมีน้ำหนักไม่น้อยเลย
ระยะทางจากจุดที่รถจอดนั่นต้องเดินเท้าเข้าไปในตัวหมู่บ้านอีกราวๆ สองกิโล แต่เส้นทางนั้นต้องผ่านป่าซึ่งมีความสลับซับซ้อน ซ้ำยังมีจุดที่ลื่นและแฉะเนื่องจากเมื่อคืนมีฝนตกหนัก ดีว่าเขาสวมใส่เสื้อผ้ารัดกุม สวมรองเท้าสำหรับเดินป่าไม่อย่างนั้นคงได้สะดุดหินลื่นล้มเป็นแน่
“ไหวมั้ย”
เพลิงชะลอฝีเท้าก่อนจะเดินย้อนกลับมาด้านหลังซึ่งรเณศเดินรั้งท้ายคนอื่น เพราะไม่คุ้นชินกับการเดินป่า
คนเมืองพยักหน้าหงึกหงักโดยมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้าและกำลังจะไหลย้อยลงมาตามขยับ ใบหน้าขาวเนียนแดงก่ำ ลมหายใจเข้าออกนั่นกระชั้นและแรงขึ้นเพราะอาการเหนื่อยหอบ มือเรียวข้างหนึ่งยกขึ้นปาดเหงื่อตามใบหน้าแรงๆ ก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อปลายนิ้วเรียวยาวของคนตรงหน้าเกลี่ยเหงื่อเม็ดโตที่ผุดขึ้นบริเวณข้างขมับให้อย่างแผ่วเบา
“ทำไมถึงไม่ใส่หมวก”
เพลิงถามถึงหมวกลางพรางซึ่งเคยให้ไว้ก่อนหน้านี้
“คุณหน้าแดงไปหมดแล้ว”
“ผมไหว”
รเณศหลุบตามองพื้นพูดเสียงแผ่ว
“พักกินน้ำหน่อยมั้ย”
“ไม่เอา” รเณศส่ายหัว “เดี๋ยวเดินไม่ทันคนอื่น”
เพลิงถอนหายใจก่อนจะเหลือบตามองเจ้าหน้าที่คนอื่นซึ่งชะลอฝีเท้าเพื่อรอรเณศ เห็นแบบนั้นเขาเลยบุ้ยปากและทำสัญญาณให้คนอื่นเดินนำไปก่อน
“นั่งพักก่อน”
“แต่ผมไม่อยากเป็นภาระให้คนอื่นต้องรอ”
“ผมให้คนอื่นนำหน้าคุณไปแล้วไม่ต้องห่วง”
“แต่ว่า...”
“ถ้าคุณไม่พักก่อน คุณจะเป็นภาระของผม”
รเณศทำหน้างอใส่อีกฝ่ายทันที
‘คุณเป็นภาระของผม’แม่ง!
รเณศจำใจหยุดนั่งพักที่โขดหินก้อนหนึ่ง ระหว่างนั้นเพลิงเดินถือกระบอกใส่น้ำมายื่นให้ตรงหน้า
“ค่อยๆ จิบน้ำ ถ้าดื่มเร็วๆ คุณจะสำลัก”
รเณศรับมาดื่มอย่างเสียไม่ได้
“ถ้าคุณไม่ไหว คุณต้องบอกผมนะ การเดินป่าสำหรับคนที่ไม่ชิน มันสาหัสพอดู”
“แล้วถ้าผมไม่ไหวจริงๆ คุณจะทำยังไง”
รเณศแกล้งถาม
“ก็ให้คุณนั่งพักจนกว่าจะหาย”
เพลิงเหลือบตามองอีกฝ่ายแล้วกดยิ้มมุมปาก
“ผมไม่แบกคุณไปหรอก แต่จะนั่งเฝ้าอยู่เนี่ยล่ะ”
รเณศรู้สึกว่าตัวเองหน้าร้อนแปลกๆ เมื่อได้ยินว่าฝ่ายนั้นจะอยู่เฝ้าโดยไม่ทิ้งกันเอาไว้
“ถ้าพักแล้วไม่หายล่ะ”
“...”
“คุณจะทิ้งผมมั้ย”
เพลิงสบตากับอีกฝ่ายนิ่ง
“ไม่”
แววตาคู่นั้นมีประกายจริงจัง
“ผมไม่เคยทิ้งใครไว้ข้างหลัง”น้ำเสียงหนักแน่นและมั่นคงจนเผลอทำรเณศใจสั่น
“ผมไม่เคยคิดจะทิ้งคุณ”“...”
“ไม่มีวันทิ้ง”
เพลิงเป็นคนรักษาสัญญา
เมื่อรเณศหายเหนื่อยแล้ว ร่างสูงใหญ่นั่นเดินชะลอฝีเท้าเคียงข้างเขาไปตลอดทาง มีบางจังหวะที่ รเณศเชื่องช้าไปเพราะเหนื่อยหอบ คนในเครื่องแบบก็จะชะลอและหยุดเดินเพื่อให้อยู่ในตำแหน่งที่เท่ากัน
เดินเคียงกันไป
ไม่มีใครนำ ไม่มีคนตาม มีแต่หัวไหล่ที่เสียดสีกันไปตลอดทาง
☘☘☘☘
บ่ายแก่ๆ แล้วตอนที่รเณศและเพลิงมาถึงตัวหมู่บ้าน ก่อนหน้าที่เจ้าหน้าที่มาถึงก่อนพวกเขาราวๆ ครึ่งชั่วโมง ซูเนียนอุ้มลูกวิ่งร้องดีใจมาแต่ไกลที่เห็นเขา ท่าทางสนิทสนมระหว่างเขากับแม่ลูกอ่อนทำให้ชาวบ้านยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร เด็กเล็กๆ ที่วิ่งเล่นกันอยู่แถวนั้นต่างพากันมาด้อมๆ มองๆ เขากันใหญ่ เพราะรเณศเป็นคนเดียวที่แต่งตัวแปลกไปจากเจ้าหน้าที่คนอื่น
“คุณรเณศ เขาเป็นพวกเดียวกับผู้ช่วยเพลิง คนเมืองนี่แหละที่ช่วยชีวิตฉันกับลูกไว้”
แม่ลูกอ่อนหันไปเล่าให้ชาวบ้านคนอื่นฟัง เท่านั้นไม่พอ มือทั้งสองข้างยังเขย่าแขนเขาอย่างดีใจ ระหว่างนั้นคนเมืองเหลือบตามองเด็กทารกซึ่งอยู่ในเป้ผ้าติดกับอกของมารดา
ดวงตาใสแจ๋วน่าเอ็นดูไม่น้อย
“ดีใจจังเลยจ๊ะที่คุณมาเที่ยวบ้านซูเนียน”
“บ้านซูเนียนน่าอยู่มากครับ”
รเณศกวาดตามองไปรอบๆ เห็นบ้านไม้ติดพื้นมุงหลังคาด้วยหญ้าอย่างเรียบง่ายแต่มองเลยไปด้านหลังหมู่บ้านนั่นมีป่ไม้ผืนใหญ่ เสียงน้ำตกดังซ่าๆ มาเป็นระยะทำให้คาดเดาไม่ยากว่า ไม่ไกลจากนี่คงมีน้ำตก รเณศรู้สึกหนาวขึ้นมาเล็กน้อยทั้งที่เป็นเวลากลางวัน
หมู่บ้านท้ายเขามีธรรมชาติสวยงามสมคำร่ำลือ
“ไปนั่งทางโน้นดีกว่าคุณ”
รเณศเดินตามแรงจูงของสาวชาวป่าไปจนถึงลานโล่งใกล้กันนั่นมีศาลากลางหมู่บ้าน ที่นั่นตู้หนังสือสองหลังและกระดานเก่าๆ อันหนึ่งตั้งอยู่ตรงกลาง
“นั่งก่อนจ๊ะคุณ”
รเณศเลิกคิ้ว
“ที่นี่เป็นโรงเรียนหรือครับ”
รเณศกวาดตามองไปรอบๆ เห็นบรรดาเจ้าหน้าที่นั่งล้อมวงคุยกันกับผู้นำหมู่บ้านอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
“ไม่ใช่หรอกจ๊ะ จริงๆ เป็นลานกลางบ้าน แต่วันหยุดจะมีตำรวจตระเวนนายแดนเข้ามาสอนหนังสือเด็กในหมู่บ้าน แต่ก็นานๆ ครั้งจ๊ะคุณ”
“ถ้าเจ้าหน้าที่ไม่เข้ามา พวกเราก็ไม่ได้เรียนอย่างนั้นหรือ”
“ใช่จ๊ะ”
รเณศพ่นลมหายใจแรงๆ เพราะเข้าใจความยากลำบากของเจ้าหน้าที่ กว่าจะเข้ามาถึงพื้นที่ก็ยากลำบากแล้ว ซ้ำภาระงานก็หนักหน่วงไม่น้อย คนที่นี่เองถึงได้มีชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก แม้แต่การศึกษาขั้นพื้นฐานก็ไม่มีโอกาสได้เรียน
“แต่ผู้ช่วยเพลิงกับเจ้าหน้าที่แกเข้ามาบ่อยๆ จ๊ะ มาทีไรมีของบริจาคมาให้เต็มแล้ว ถ้าแกว่างบางทีแกก็จะสอนหนังสือให้พวกเด็กๆ ด้วย”
“งั้นหรือ”
“ผู้ช่วยแกใจดี เด็กๆ ชาวบ้านชอบแกมากจ๊ะคุณ”
รเณศเผลอยิ้มเมื่อนึกถึงใบหน้าดุดันนั่นอยู่ท่ามกลางเด็กๆ
ดูไม่เข้ากันเอาซะเลย!
แต่นั่นต้องเป็นภาพที่น่ามองมากแน่ๆ
“ลุงซอยางแกบอกว่า พวกเราโชคดีที่เจ้าหน้าที่มาหาบ่อยๆ อีกไม่นานบ้านเราจะมีน้ำประปาและไฟฟ้าใช้กันแล้ว”
ซูเนียนเอ่ยถึง ‘ลุงซอยาง’ ผู้นำหมู่บ้านของที่นี่
“ทางการเขาจะให้เหรอจ๊ะพี่ซูเนียน ก็เราไม่ใช่คนไทย”
เด็กสาวคนหนึ่งท่าทางเฉลียวฉลาดพูดขึ้น
“ลุงซอยางบอกว่าพวกเราคือคนไทย อีกอย่างพวกเราก็มีบัตรประชาชนกันทุกคน”
“แต่พ่อเฒ่าบอกว่าไม่ใช่นี่จ๊ะ”
รเณศมุ่นหัวคิ้ว
“ใช่สิ พวกเราเกิดบนผืนแผ่นดินไทย พวกเราคือคนไทยนะ ถ้าไม่ใช่ ผู้ช่วยเพลิงคงไม่ดั้นด้นขนของสารพัดมาให้พวกเราหรอก”
รเณศเหลือบตามองเด็กชาวบ้านเกือบสิบคนที่นั่งฟังเขาตาแป๋ว
“ผู้ช่วยเพลิงเก่งจ๊ะ”
เด็กคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“คุณรเณศก็เก่ง เห็นผู้ช่วยบอกว่าคุณเอายามาบริจาคให้พวกเราด้วย”
ซูเนียนยิ้มดีใจ รเณศยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเหลือบตาไปยังปฏิทินที่แขวนอยู่มุมหนึ่งของศาลา
“ที่จริงบ้านเมืองเรามีคนเก่งมากมายนะ ขอให้พวกเราภูมิใจเถอะที่เป็นคนไทย”
“โห มีคนเก่งเยอะเลยเหรอจ๊ะ”
“ใช่ โดยเฉพาะคนๆ หนึ่งที่เกิดมาสูงกว่าใคร แต่กลับไม่ได้อยู่สุขสบาย วันหนึ่งๆ คิดแต่จะทำประโยชน์ให้คนอื่น คิดอยากให้คนอื่นๆ อยู่อย่างสุขสบาย”
“เกิดมาสูงนี่เกิดมาจากบ้านสูงๆ เหรอจ๊ะ”
รเณศยิ้มขำในความไร้เดียงสาของเด็กน้อย
“เปล่าหรอก คนๆ นั้นเกิดมาฐานะสูงส่งไม่ใช่คนธรรมดา แต่ต้องแบกรับภาระหน้าที่อันหนักหนา”
“แล้วเขาทำอะไรบ้างจ๊ะ”
“เขาเดินทางไปทั่ว ไปในที่ยากลำบากทุรกันดาร ไปพัฒนาให้ที่ต่างๆ เจริญ ที่ไหนไม่มีไฟฟ้าไม่นานก็มีใช้ ที่ไหนไม่มีถนนทางผ่านถ้าคนๆ นั้นได้ไปเยือน ไม่นานหลังจากนั้นที่นั่นก็จะมีถนนและความเจริญไปหา”
“โห เก่งจัง”
“ใช่...เป็นคนเก่งที่มีอาวุธแค่แผ่นที่และกล้องถ่ายรูปรักษาความยากจน”
เด็กทำเสียงฮือฮาอย่างสนใจ
“ที่ไหนดินไม่ดี เพาะปลูกไม่ได้ก็ทำให้เพาะปลูกได้ ที่แห่งไหนไม่มีน้ำก็ทำให้มีน้ำไว้ใช้ไม่ขาด ที่ใดแห้งแล้งฝนไม่ตกก็ทำให้ฝนตกได้”
“โห นี่คนหรือเทวดากัน”
“เป็นเทวดาเดินดิน”
รเณศเสียงสั่น
“ว่าแต่เขาเป็นใครเหรอจ๊ะ”
รเณศน้ำตาคลอเหลือบตาไปมองที่ปฏิทินซึ่งแขวนอยู่มุมหนึ่ง เขายกมือประนมให้นิ้วโป้งจรดศีรษะแล้วพูดเบาๆ ว่า
“คนบนฟ้า”.
.
เพลิงชะงักปลายเท้านิ่งฟังสิ่งที่ใครบางคนถ่ายทอดออกมา ในอกเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ มันทั้งตื่นเต้น ทั้งตื้นตันจนบอกไม่ถูก ตลอดชีวิตของเพลิงพบเจอผู้คนมาก็ไม่น้อย ยิ่งพอได้เจกับอดีตคนรักเขาหวังเพียงว่าขอให้คนๆ นั้นเชื่อมั่นและศรัทธาบางสิ่งที่เหมือนกัน แต่เพลิงก็คาดการณ์ผิดไปหมดเมื่อถึงวันหนึ่งที่ต้องจากลากันเพราะเราต่างไม่ศรัทธาในสิ่งเดียวกันแล้ว จนกระทั่งวันหนึ่งที่คนเมืองโซซัดโซเซมาไกลเพราะผิดหวังในความรัก เมื่อแรกเจอเขาก็ไม่ได้นึกติดใจอะไร แต่พอได้รู้จักและสนิทสนมมากขึ้นจึงได้เข้าใจตัวตนของอีกฝ่าย
คนที่ทำให้เพลิงใจเต้นแรงอีกครั้ง
คนที่มีแนวคิดและทัศนคติเหมือนกัน
คนที่มีความเชื่อและศรัทธาในสิ่งเดียวกัน
รเณศศรัทธาในสิ่งที่เขาศรัทธามาตลอดชีวิต รเณศถ่ายทอดความรู้สึกนั้นอย่างน่าภาคภูมิใจ คนเมืองนั่นคือตัวแทนของการส่งต่อเรื่องราวงดงามในชีวิต
เพลิงเหลือบตามองธงไตรรงค์ที่ปลิวไสวอยู่หน้าศาลาไม้แห่งนี้ มองออกไปไม่ไกลนักเขาเห็นแนวป่าผืนใหญ่ด้านหลังหมู่บ้าน ป่าไม้ที่เขาอุทิศตนเพื่อปกปักษ์รักษา เพียงแค่อยากให้มันหลงเหลือไปถึงคนรุ่นหลัง
ผืนป่าจะไม่ใช่แค่ภาพถ่ายเท่านั้น แต่มันจะต้องยืนหยัดไปให้ชั่วลูกหลานได้ปกปักษ์รักษากันต่อไป
☘☘☘☘
ฮืออออ อัพครบ 100% แล้วน้า
หวีดในทวิตรบกวนติดแท็ค #ป่าห่มรัก ให้ด้วยเด้อ ❤❤