หลงที่ 5 : ความจริงอีกด้าน (50%)
[หมอปาย]
“ ปาย”
“ หาอะไรวะ”
“ ปาย”
“ หืม”
ผมถอนหายใจเมื่อล้วงเข้าไปในกระเป๋าแล้วไม่พบสิ่งที่ควานหามาตลอดทั้งคืนจนถึงตอนนี้ พอเงยหน้าขึ้นมาก็เจอสายตาคาดคั้นของเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมาตั้งแต่จำความได้ ดวงตาสีเข้มภายใต้กรอบแว่นตามองเขาอย่างพิจารณาและสงสัยกับการกระทำประหลาดที่ตั้งแต่มาถึงก็นั่งค้นหาของบางอย่าง
“ หาอะไรเหรอ”
“ มือถือ”
“ หืม”
“ มือถือกูไม่รู้หายไปไหนหาไม่เจอตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”
“ ลืมไว้ที่คอนโดรึเปล่า”
ผมส่ายหน้าเพราะเมื่อคืนก็ลองค้นห้องเกือบจะทั้งคืนถ้าหากว่ามันอยู่ในห้องคงจะหาเจอได้ไม่ยากเสียแต่ว่าเขาอาจจะทำมันหล่นหายที่ไหนนี่สิ
“ หาแล้วเหรอ”
“ อืม”
‘อั้ม’ มันทำคิ้วขมวดก่อนจะลงมือช่วยค้นหาของดังกล่าวในกระเป๋าจนพักนึงนั่นแหละมันถึงเงยหน้าขึ้นแล้วส่ายหน้าไปมา
“ ช่างเถอะ”
“ ช่างได้ไงแล้วถ้ามันหายขึ้นมาจริงๆกูจะติดต่อมึงยังไง” มันแย้ง
ผมยักไหล่จริงๆแล้วไม่ได้นึกเสียดายอะไรหรอกกับโทรศัพท์เครื่องเดียวเพราะไอ้เครื่องที่ว่านั่นใช้มานานแล้วตั้งแต่สอบเข้ามหาวิทยาลัยใหม่ๆ เขาเป็นประเภทไม่ใช่คนติดแบรนด์หรือติดหรูอะไรมากมายดังนั้นสมาร์ทโฟนสีดำที่เป็นที่ยอดนิยมเมื่อหลายปีก่อนจึงถึงใช้งานมาจนถึงวันนี้...วันที่มันหายไปอย่างไร้ร่องรอย
หายไปก็ดีเหมือนกันเพราะเขาเองก็เบื่อหน่ายกับปลายสายคนเดิมๆที่มักโทรมาวุ่นวายจนไม่เป็นอันทำอะไร จะเสียดายก็แค่ไฟท์งานและเนื้อหาเกี่ยวกับการเรียนบางส่วนเท่านั้น แต่ช่างเถอะของพวกนั้นยังไงก็คงพอหาใหม่ได้
“ ช่างเถอะ”
“ ปาย”
อั้มมันถอนหายใจ “ เย็นนี้เดี๋ยวกูพาไปมึงซื้อโทรศัพท์ใหม่ละกัน”
“ ไม่เป็นไร”
“ มึงก็รู้ว่ากูคงไม่สบายใจถ้าติดต่อกับมึงไม่ได้”
ผมนิ่งอึ้งเมื่อเห็นสายตาทอดมองอย่างมีความหมาย เป็นความหมายที่ลึกซึ้งเกินกว่าคำว่าห่วงใยในฐานะเพื่อนทั่วไป ผมรู้ดีว่ามีกระแสบางอย่างถูกส่งมาจากสายตาของมัน ผมรู้ว่าคนตรงหน้ารู้สึกอย่างไรแต่ผมตอบแทนความรู้สึกมันมากไปกว่าคำว่าเพื่อนไม่ได้
..เพราะชีวิตนี้ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะรักใครได้อีก.. “ กูไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”
“ อืม”
อั้มมันหน้าเจื่อนไปเล็กน้อยจนผมรู้สึกเสียใจ ผมถอนหายใจก่อนจะตบบ่ามันเบาๆมันเอื้อมมือมากุมมือผมไว้แล้วบีบเบาๆ
“ กูขอโทษ”
“ กูต่างหากที่ต้องขอโทษ”
ผมพูดออกไปแล้วยืนนิ่งมองมันกุมมือผมแน่น
“ กูจะรอ”
“.....” ผมส่ายหน้า “ อย่าเลยอั้ม”
“ อย่าห้ามกูเลยปาย”
“.....”
ผมไม่ได้ตอบอะไรไปตอนที่มันคลายมือผมออก ผมสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะขยับก้าวเดินออกมาถึงอย่างนั้นก็อดจะเหลียวหลังหันไปมองแผ่นหลังกว้างของมันที่ตั้งตระหง่านอยู่อย่างนั้น
“ ปาย”
เสียงเรียกชื่อในระยะประชิดทำให้สติที่เหมือนจะหลุดลอยไปไกลหวนกลับมาอีกครั้ง ภาพตรงหน้าคือใบหน้ายิ้มแย้มของร่างสูงโปร่งแต่ติดจะขาวซีดกำลังชูถุงในมือขึ้นสูงก่อนจะโบกมือทักทายผมด้วยสีหน้าดีใจราวกับเด็กน้อย
“ อ้าวหยก”
‘หยก’ เป็นเพื่อนสนิทอีกคนหนึ่งที่รู้จักกันตั้งแต่มัธยมปลายเป็นเด็กเรียนที่ติดจะเรียบร้อยกว่าผู้หญิงบางคนซะอีก และบวกกับบุคลิกที่ออกจะนิ่งๆเงียบๆ เอะอะก็ยิ้มลูกเดียวจึงทำให้คล้ายๆกับเป็นคนที่ไม่ใคร่จะทันคนนัก มันชอบทำเฉยเวลาที่มีใครมาหาเรื่องทั้งยังใจเย็นราวกับว่าชาตินี้ไม่เคยคิดจะโกรธใครได้เลย
“ วันนี้ซื้อวุ้นมะพร้าวมาฝากด้วย”
ว่าแล้วคนตัวซีดก่อนยกกล่องที่บรรจุของหวานชูขึ้น
“ หึ”
“ ของโปรดปายไง”
ผมเลิกคิ้วมองอีกฝ่ายยิ้มๆ “ แน่ใจเหรอ” ผมแสร้งถอนหายใจบุ้ยปากไปเบื้องหลัง “ ไอ้วุ้นมะพร้าวเนี่ยอั้มมากกว่ามั้งที่ชอบกิน”
“ ก็”
หยกมันทำปากพะงาบๆสีหน้าแดงก่ำจนเห็นได้ชัด ดวงตาคู่นั้นหลุบลงทันที “ ก็ เอ่อ”
ผมยิ้มขำคนตัวซีดที่ทำตัวไม่ถูกมือไม้เกะกะไปหมดจนน่าสงสาร ผมรู้ดีว่าทำไมหยกมันถึงมีอาการประหลาดแบบนี้ถ้าไม่ใช่เพราะเพื่อนสนิทของผมอีกคน
“ เข้าไปข้างในก่อนเลย เดี๋ยวไปเข้าห้องน้ำแป๊บ”
หยกส่ายหน้าหวืวด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก ตาก็คอยเหลือบมองนาฬิกาข้อมืออย่างแหยงๆ “ กูรอเข้าไปพร้อมมึงล่ะกัน”
“ กลัวอะไรอั้มมันไม่กินหัวมึงหรอก”
“ กลัวมันด่า” เสียงในลำคอดูเหงาหงอย ผมอดเห็นใจไม่ได้จึงลูบหัวมันเบาๆ “ เอองั้นรอแป๊บ”
“ เดี๋ยว”
“ หืม”
“ เมื่อกี้ตอนเดินเข้ามาเห็นลุงหาญแวบๆที่ลานจอดรถ”
ชื่อที่คุ้นหูซึ่งหยกมันเอ่ยถึงทำให้อดขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจไม่ได้ ผมถอนหายใจแรงๆก่อนจะพยักหน้ารับแล้วบ่ายหน้าไปยังจุดหมายที่เพื่อนสนิทพูดถึงก่อนหน้านี้ ก่อนไปก็อดเหลือบตามองไปด้านหลังอีกทีไม่ได้ ผมส่ายหน้าเมื่อหยกมันยืนรออยู่แถวๆนั้นโดยไม่มีท่าทีว่าจะเข้าไปในตัวอาคารจริงๆ
อะไรจะกลัวไอ้อั้มขนาดนั้นวะ
เออ...ถ้าเป็นหยกก็สมควรกลัวไอ้แว่นหน้านิ่งนั่นอยู่หรอก ผมส่ายหัว
.
.
.
“ ลุงหาญ”
“ คุณชาย”
ผมพ่นลมหายใจทันทีที่ได้ยินคำเรียกขานของผู้สูงวัยซึ่งแย้มยิ้มกว้างอย่างดีใจเมื่อเห็นเขา ชายวัยกลางคนผมสีดอกเลาเกือบทั้งหัวแต่งกายด้วยชุดสุภาพกำลังทำท่านอบน้อมผมจนชวนปวดหัว เหนือสิ่งอื่นใดคนขับรถของบิดาดูจะดีใจหนักหนาเมื่อได้เห็นหน้าผม
“ สวัสดีครับลุง”
“ อย่าครับ...” ลุงหาญรีบตรงเข้ามาคว้ามือผมเอาไว้ “ อย่าไหว้ลุงเลยครับคุณชาย”
ผมส่ายหัว “ อยู่กับผมอย่าเจ้ายศเจ้าอย่างเถอะครับมันชวนอึดอัด”
“ คุณชาย”
ผมถอนหายใจคว้ามือเหี่ยวย่นที่กุมข้อมือผมแล้วเขย่าเบาๆ
“ คุณชายไม่กลับบ้านนานแล้วทุกคนบ่นคิดถึงกันมาก”
“.......”
“ ถ้าคุณผู้หญิง..”
ผมยกมือขึ้นห้ามไม่ให้ชายวัยกลางคนพูดต่อ ลุงหาญทำหน้าสลดก่อนจะฝืนยิ้มให้ผมด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเห็นใจ
“ วันนี้ลุงมีธุระอะไรกับผมรึเปล่าครับ”
ลุงหาญมีท่าทีกระตือรือร้นขึ้นมาทันที “ รถของคุณชายซ่อมเสร็จแล้ว ลุงเอาไปจอดให้ที่คอนโดแล้วนะครับนี่ก็แวะเอากุญแจรถมาให้ครับ”
ผมทำหน้าเฉยไม่ได้ยินดียินร้ายกับความสะดวกสบายที่ใครต่อใครจัดหาให้ อาจจะเพราะชินซะแล้วกับการทำอะไรด้วยตัวเองตั้งแต่วันที่รับรู้ว่าเขาต้องอยู่คนเดียวให้ได้
“ จริงๆแล้วผมไม่จำเป็นต้องใช้รถ” ผมถอนหายใจ “ ทุกวันนี้ใช้บริการสาธารณะก็สะดวกดี”
“ คุณชาย”
ผมหายใจแรงๆ “ เอากลับไปคืนเขาเถอะครับ”
ลุงหาญถอนหายใจสีหน้าไม่สู้ดีนัก “ คุณท่านบอกผมว่าคุณชายต้องพูดอย่างนี้ ท่านเลยฝากมาบอกว่า ถ้าไม่เอาก็เอากลับไปคืนเองที่บ้านครับ”
ผมกำหมัดแน่นแววตาเครียดขมึง รู้สึกว่าทุกอย่างรอบตัวเกร็งไปหมดจนเมื่อฝ่ามือของคนขับรถที่อุ้มชูเขามาตั้งแต่ยังเล็กลูบที่บ่าเบาๆ ความรู้สึกเหล่านั้นถึงหายไป
“ ผมไม่อยากได้”
“ ลุงทราบครับคุณชาย” คุณหาญบีบบ่าเขาทีนึง “ แต่คุณชายไม่ควรขัดคำสั่งคุณท่าน”
“......”
“ เพราะยังไงผมก็แพ้เขาอยู่ดีใช่มั้ยครับ”
“ ต่อให้ทะเลาะกันแค่ไหนสายเลือดก็ไม่มีวันตัดขาดจากกัน”
ผมก้มหน้านิ่งในอกเหมือนมีกลองตีกระหน่ำรัวเสียงดัง ผมส่ายหน้าไม่อยากจะรับฟังใดๆก่อนจะรับกุญแจรถมาถือไว้อย่างไม่เต็มใจ
“ ถ้าคุณชายว่างกลับบ้านบ้างนะครับ คุณชายเล็กเธอบ่นคิดถึง”
“ หึ” ผมแสยะยิ้ม “ ที่นั่นไม่มีใครรอผมอยู่จริงหรอก”
“ มีครับ”
ผมทำหน้าไม่เข้าใจ
“ น้องชายคุณยังไงล่ะครับ”
“ ไม่” ผมปฏิเสธเสียงห้วน “ ผมไม่เคยมีน้องชาย”
“ คุณชาย” ลุงหาญทำหน้าตกใจ
“ ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวนะครับ”
“.....” ผมยกมือไหว้คนตรงหน้าก่อนจะผละถอยออกมาทันได้ยินคำพูดบางอย่างลอยตามมาติดๆ “ คุณชายเล็กบ่นว่าคิดถึงพี่ชายทุกวัน รอให้พี่ชายกลับมาเล่นด้วย”
หึ ใครมันอยากไปเล่นกับเด็กบ้าอย่างมัน
เด็กบ้าๆแบบมัน
เกลียด...เป็นความรู้สึกที่ผมกำลังเกลียดชังใครบางคน
ผมหลับตานิ่งมือกำแน่นทั้งสองข้าง พอเปิดเปลือกตาขึ้นมองตัวเองในกระจกภาพตรงหน้าสะท้อนให้เห็นใบหน้าคมคาย ดวงตาคมสวยเหมือนนัยน์ตาของมารดาผู้ให้กำเนิด ริมฝีปากผมเม้มแน่นสั่นระริกก่อนจะรู้สึกหยาดใสๆของน้ำบางอย่างกำลังจะหลั่งริน นาทีนั้นผมรีบเปิดน้ำวักใส่หน้าให้น้ำเปล่าล้างน้ำตา
ให้มันกลบเกลื่อนกัน...ให้มันรวมกันจนแยกไม่ออก...ให้มันเป็นแค่น้ำเปล่าเท่านั้น
.
.
.
“ ไปนานมาก”
หยกมันทำหน้ายู่เมื่อผมย้อนกลับมาหามันอีกครั้ง
“ ก็แล้วมึงทำไมไม่เข้าไปก่อนวะ”
มันส่ายหน้าหวืวอย่างเอาเป็นเอาตาย ผมเลยได้แต่ยิ้มขำก็จะรุนไหล่มันให้ออกเดินจนไปถึงโต๊ะอาหารโต๊ะหนึ่งซึ่งมีนิสิตแพทย์ใส่แว่นนั่งรอท่าอยู่ก่อนแล้ว อั้มมันเหลือบตาขึ้นมองหยกด้วยสีหน้านิ่งๆยังไม่ทันจะเอ่ยอะไรหยกมันก็รีบยกของในมือให้อีกฝ่าย
“ กูซื้อมาฝาก”
“ เพิ่งโผล่หัวมา” อั้มมันพูดเสียงเรียบแต่แววตาเฉือดเฉือนคนตัวซีดจนหน้าซีดตามสีผิวไปทันที
“ กูขอโทษ พอดีกู..”
“ มึงเลิกอ้างซะที” อั้มมันสถบจนผมเองยังตกใจ “ มึงก็รู้ว่าปายรอกินข้าวพร้อมมึง ยังจะเสือกมาช้าแทบทุกวัน มึงต้องรอให้ปายมันหิ้วท้องรอมึงไปอีกนานแค่ไหนว่ะ แล้วไอ้ขนมห่าเหวนี่อีกซื้อมาทำไม ถ้ามันทำให้มึงเสียเวลาเลทนัด”
“ พอเถอะอั้ม”
ผมตัดบทตรงไปตบบ่าอั้มให้มันเพลาๆลงหน่อยเพราะเพื่อนอีกคนสีหน้าโครตแย่เลย
“ มึงเลิกเข้าข้างมันซะที”
“......”
อั้มมองหยกอย่างหัวเสีย “ มึงเป็นโรคกระเพาะต้องกินข้าวให้ตรงเวลา แต่ใครบางคนทำให้มึงแดกข้าวเช้าช้าตลอด”
ผมถอนหายใจเพราะรู้ดีว่าอั้มมันห่วงผมแค่ไหน ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับผมมันหัวเสียและใจร้อนได้เสมอโดยเฉพาะทุกเรื่องซึ่งมีหยกเข้ามาเกี่ยวข้อง ผมสังเกตได้ถึงความผิดปกติที่อั้มมันแสดงต่อหยก ผมเป็นเพื่อนสนิทกับอั้มมาตั้งแต่จำความได้จนถึงช่วงม.ปลายที่หยกเริ่มเข้ามา ผมรู้สึกได้ว่าอั้มมันไม่เคยชอบหยกอาจจะเพราะผมมักให้ความสนใจหยกมากก็จะไม่ให้สนใจยังไงไหวในเมื่อหยกมันกลัวอั้มจะกินหัวอยู่ตลอดเวลา
“ กูขอโทษ”
หยกเสียงสั่นหน้าเสียจนผมนึกเห็นใจ “กูไม่ได้ตั้งใจจริงๆ กูรู้มึงห่วงปาย คราวหลังก็จะจำให้ขึ้นใจว่ากูไม่ควรให้ปายรอกินข้าวอีก”
“ หยก”
ผมทำหน้าไม่ถูกเมื่อหยกทำเสียงสั่นๆ
“ รู้ก็ดี”
“ มึงพูดแรงเกินไปอั้ม”
ผมถอนใจแรงๆก่อนจะสาวเท้าตามหยกที่เดินตาแดงๆออกไป แต่อั้มมันดันคว้าข้อมือผมไว้
“ ทำไมต้องเข้าข้างหยกมันขนาดนั้นวะปาย”
ผมถอนหายใจ
“ มึงแกล้งโง่หรือไม่รู้จริงๆว่าการกระทำของหยกที่ทำให้กูและมึงต่างกัน”
มันยืนนิ่งก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่น
“ แล้วไง”
“ จะทำร้ายมันไปถึงไหน”
“ กูไม่มีวันรู้สึกกับมันเปลี่ยนไป” อั้มพูดเสียงเรียบ
“ อั้ม”
“ ปาย”
เราสองคนสบตากันนิ่ง สุดท้ายมันถอนหายใจก่อนจะยอมปล่อยข้อมือผม ผมเลยเดินตามหยกที่มาแอบอยู่คนเดียวตรงส่วนหย่อมแถวๆหน้าโรงพยาบาล เมื่อผมไปถึงหยกมันกำลังจิ้มวุ้นมะพร้าวเข้าปากด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“ หยก”
“ กินด้วยกันมั้ย”
ผมส่ายหน้าหยกมันเลยทำหน้ายิ้มๆ ก่อนจะทำท่าทำทางเหมือนว่าของกินตรงหน้าอร่อยนักหนาทั้งๆที่ใบหน้าย่ำแย่เหมือนว่าจะร้องไห้เต็มแก่
“ พอเถอะหยก” มันจิ้มเอาจิ้มจนของกินเต็มปากไปหมดแล้วปล่อยน้ำตาให้ไหลช้าๆด้วยสีหน้าเหยเก
“ ถ้ากินไม่หมดเสียดายของ วันนี้ต้องกินให้เต็มที่เลย ” มันฝืนยิ้ม “เพราะคราวหลังคงจะไม่ซื้อมาอีกแล้ว”
ผมจุกในอกก่อนจะสวมกอดมันซึ่งสะอื้นอยู่กับอกผม
นี่แหละน้าความรัก
‘รักคนไม่มีใจก็เจ็บ แอบรักคนอื่นก็เจ็บ รักตอบไม่ได้ก็เจ็บเช่นกัน’ ก็เพราะความรักนี่แหละที่ทำให้ผมสูญเสียผู้หญิงที่รักที่สุดไป เพราะรักนี่แหละที่ทำให้มันฝังใจถึงทุกวันนี้
เพราะไม่ลืมจนคิดว่าอาจจะรักใครอีกไม่ได้แล้วเอาไปครึ่งนึงก่อนเนอะ เอ้เหมือนว่าหมอจะมีปมนะเนี่ย หุหุ #ทีมอั้มหยกก็มา มาแบบหน่วงๆไปอีก เฮ้ย
ครึ่งหลังไปหาอิยิมและมือถือเจ้าปัญหา บอกเลยว่าหมอปายงานเข้าแน่นอน 555555 #หนึ่งเม้นท์หนึ่งกำลังใจนะจ้า