-6-
หน้าตึกคณะนิติศาสตร์ ป้ายมันบอกว่าแบบนั้น เจมส์พาผมเดินเข้าไปใต้ตึก มีนักศึกษาหลากหลายกลุ่มนั่งก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออย่างเอาเป็นเอาตาย คณะนี้คงเครียดน่าดู เจมส์เดินตรงเข้าไปหานักศึกษาโต๊ะหนึ่งที่มีทั้งชายและหญิง ก่อนมันจะยื่นมือไปสะกิดไหล่ผู้ชายที่นั่งหันหลังให้ แต่นั่นก็ทำให้ทั้งโต๊ะเงยหน้าขึ้นมามองกันหมด
“ไอ้พี่นาวไม่อยู่เหรอครับ”
“ไอ้นาว?” คนที่ถูกสะกิดถามกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะปรายตามามองผมแล้วแสยะยิ้มออกมา “ไม่ถามเมียมันล่ะ มาถามพี่ทำไม”
หน้าตึงเลยผม ถูกหาว่าเป็นเมียไอ้หน้าตี๋นั่นอีกแล้ว
“ถ้าเพื่อนผมรู้ คงไม่ถ่อมาถึงนี่หรอก”
ผมเห็นคนทั้งโต๊ะเริ่มจ้องหน้าเจมส์เขม็งก็อดหวั่นๆ ไม่ได้ กลัวพวกเขาลุกฮือมารุมเพราะคิดว่าผมกับเจมส์มาหาเรื่องถึงถิ่น อีกทั้งเสื้อช็อปบนตัวก็ดูเป็นที่น่าสนใจมากอยู่แล้ว ตั้งแต่เดินเข้ามาเมื่อกี้
“แหม ไอ้บิ๊กเลี้ยงมาดีสินะ ถึงกร่างได้แบบนี้”
“พี่บิ๊กไม่เกี่ยวด้วย”
“เจมส์ใจเย็น” ยกมือแตะบ่าเจมส์เบาๆ เพื่อให้คุมอารมณ์ตัวเอง มันฮึดฮัดตอนแรกแต่ก็ยอมเงียบ ผมเลยเป็นฝ่ายถามซะเอง “เพื่อนพี่อยู่ที่ไหนเหรอครับ”
“แหม เรียกพวกกูว่าพี่ซะด้วย น้ำจะท่วมโลกหรือเปล่าวะ” เสียงโห่ร้องดังทั้งโต๊ะ ผมถึงกับวางตัวทำหน้าไม่ถูกเมื่อถูกพูดแบบนั้น
“หรือไม่ให้เรียกพี่ ให้เรียกมึงแทนเหรอครับ”
“อ่าว ไอ้สัดขิง ปากดีนะมึง”
“ปากดีก็ดีกว่าปากหมาไม่ใช่เหรอครับ”
“มึง!”
ตอนนี้กลายเป็นเจมส์ที่ต้องห้ามผมแทน ผมพยายามทำใจเย็นนับหนึ่งถึงสามแล้วเพื่อไม่ให้ก่อเรื่อง แต่คำพูดคำจาของคนตรงหน้าไม่ทำให้ผมใจเย็นลงเลย มิหนำซ้ำ ยังมีท่าทีที่พร้อมจะกระโจนเข้าหาผมอีก
“พวกพี่ไม่รู้ก็ไม่เป็นไร ไว้ผมหาเองก็ได้”
“เดี๋ยวสิ ถ้ากูบอกว่าไอ้นาวอยู่ที่ไหน กูจะได้อะไร” จังหวะที่ผมกับเจมส์จะเดินหนี ไอ้รุ่นพี่ปากดีก็คว้าแขนผมเอาไว้ สายตาแวววับนั่นมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า “ลองทำให้กูติดใจลีลาของมึงแบบที่ไอ้นาวว่าสิ กูถึงจะบอก”
“งั้นพี่ก็ไปลองกับพ่อพี่ดูก่อนสิครับ”
“อ่าว ไอ้เหี้ยขิง”
ไอ้รุ่นพี่ปากดีตั้งท่าจะกระโจนลุกออกจากโต๊ะมาหา เจมส์ก็รีบฉุดแขนผมให้วิ่งหนี ยังโชคดีที่ไม่มีใครวิ่งตามออกมา แต่ถ้ามีเรื่องจริง ผมก็พร้อมมากเลยนะ ไม่กลัวหรอกมือเท้าก็มี...แม้พวกเขาจะมีมากกว่า ตายเป็นตาย ไอ้ขมิ้นไม่ยอมอยู่แล้ว
“เกือบไปเฝ้าท่านยมแล้วไหมล่ะ” เสียงคนลากผมหอบหนักอยู่ข้างๆ มันใช้มือสองข้างค้ำเข่าพยุงร่างไม่ให้ลงไปนั่งกองที่พื้น “มึงนี่ปากหาเรื่องจริงๆ”
“ก็มันกวนตีนกูก่อน คณะนี้มีแต่คนกวนตีนหรือไง..”
“พูดแบบนี้หน้าคณะคนอื่น ไม่ค่อยดีนะน้อง”
ผมพูดไม่ทันจบดีก็มีเสียงอื่นแทรกเข้ามา ดูจากใจความประโยคคงจะเป็นคนเรียนคณะนี้เหมือนกัน ผมค่อยๆ หันหน้าไปดูคนพูดที่ยืนเท้าเอวอยู่ด้านหลัง หน้านิ่งๆ แต่ดูโดดเด่นออกมาจากกลุ่มคนใต้ตึกเมื่อกี้เลย
“สวัสดีครับพี่โอบ” เจมส์มันยกมือไหว้ระหว่างที่ผมกับคนขัดกำลังเล่นเกมส์จ้องตาอยู่
“เออ” แม้จะตอบรับ แต่ตาดุๆ นั่นยังจ้องมาที่ผม จนเจมส์ต้องเดินมาขวาง สายตานั่นถึงเปลี่ยนจุดโฟกัส “มึงมาหาเรื่องใครที่นี่”
“ไม่ได้มาหาเรื่องสักหน่อย แค่มาหาไอ้พี่นาว พี่โอบเจอบ้างป่ะ”
“เจอตอนเช้านะ” คนที่เจมส์รู้จักตอบ แต่มิวายเหล่ตามาจ้องหน้าผมอีกรอบ “เพื่อนมึงปากดีตลอดเลยนะ”
“โห พี่โอบก็น่าจะรู้ ว่าไอ้ขิงมันเป็นคนยังไง”
“ก็พอได้ยินชื่อเสียมาบ้าง”
“ชื่อเสียงหรือเปล่าครับ” ผมขัดขึ้นมา ดูเหมือนพี่เขาจะออกเสียงไม่เต็ม
“ชื่อเสียถูกแล้ว รีบพาเพื่อนมึงกลับคณะได้ละ กูขี้เกียจมีเรื่อง”
ว่าจบก็ยกมือปัดๆ เหมือนรำคาญ ผมส่งเสียงฮึดฮัดแต่ก็ไม่อยากให้เพื่อนเดือดร้อนเลยหุบปากตัวเอง ว่าแต่ พี่ขิงนี่ศัตรูเยอะเกินนะ ไปที่ไหนก็มีคนเกลียดที่นั่น โคตรขัดกับสิ่งที่แม่เคยบอกว่าพี่ขิงเป็นที่รักของทุกคน พอเราสองคนเดินออกมาไกล ผมก็เริ่มถามถึงคนเมื่อกี้ ดูเจมส์จะสนิทพอสมควร
“เมื่อกี้เหรอ ชื่อพี่โอบ เพื่อนห้องเดียวกับไอ้พี่นาวนั่นแหละ” ผมพยักหน้าเมื่อเจมส์อธิบาย “เห็นหล่อๆ แบบนั้นโคตรโหดนะมึง”
“ยังไงวะ”
“พี่เขาเคยไปยำคนมาทำร้ายเพื่อนอาการปางตายเลยนะเว้ย โคตรโหด”
“หน้าตาพี่เขาก็เอาเรื่องอยู่นะ” พูดไปก็นึกถึงสายตายามจ้องผมเมื่อกี้ไป โหดพอๆ กับไอ้พี่ไฮท์เลย แต่คนเมื่อกี้ดูนิ่งกว่าเยอะ “แล้วนี่ เราจะไปตามหาไอ้หน้าตี๋นั่นจากที่ไหนต่อ”
“ไม่รู้ว่ะ”
พอถึงตรงนี้ เราสองคนก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกัน
“ถอยทัพก่อนไหมวะ หิวว่ะ” ท้องเริ่มประท้วงนิดๆ เจมส์มันก็เห็นด้วย เราเลยเปลี่ยนจากตามหาคน ไปตามหาร้านข้าวแทน
เจมส์พาผมมาร้านเด็ดแถมห่างจากมหาลัยไม่มาก มันบอกร้านนี้ลาบอีสานอร่อยสุด แค่พูดชื่อน้ำลายก็สอ แต่พอมาถึงจริงแทบอยากขับรถกลับ ร้านมีตั้งมากมาย ทำไมต้องมาเจอคนไม่อยากเจอด้วยวะเนี่ย
“มีเรียนไม่ใช่เหรอ” คำถามนี้ไม่ได้ถามผมครับ แต่ส่งมายังเจมส์ที่ยิ้มแห้งๆ “โดด?” คราวนี้ไอ้พี่แว่นเลื่อนตามามองผมแทบจะทันที
“ผมไม่ได้ชวนมันโดดนะครับ” รีบโบกมือโบกไม้ปฏิเสธทันที
“ก็ยังไม่ได้ว่าอะไร” พี่แว่นว่า และผมก็คงจะไม่หน้ากระตุก หากไม่มีคนพูดประโยคถัดมา
“คนมันร้อนตัวก็งี้แหละ” ไอ้พี่ไฮท์ใช้ส้อมจิ้มข้าวเหนียวเข้าปากแล้วลอยหน้าลอยตาจนผมอยากจะถีบเก้าอี้ให้มันร่วงลงไปกองกับพื้น “ทำไม โกรธกูเหรอที่กูพูดถูก”
“ไม่ได้โกรธสักนิดเลยครับพี่” กัดฟันตอบสุดๆ
“ไปนั่งโต๊ะเถอะว่ะ” เจมส์มันคงเห็นผมยืนกัดกรามเลยคิดห้าม แต่การชวนของมันก็ไม่เป็นผลเมื่อพี่แว่นขยับเก้าอี้ตัวเปล่าข้างๆ ให้เจมส์นั่ง “เอ่อ”
“นั่งนี่แหละ” พี่แว่นว่า
“ทำไม นั่งกับพวกกูไม่ได้หรือไง ไอ้นายแบบดัง” เสียงกวนโมโหของไอ้พี่ไฮท์ทำให้ผมตัดสินใจลากเก้าอี้ตัวข้างเขาแล้วกระแทกนั่ง “โห รุนแรงซะด้วย”
ไม่พูดพร่ำทำเพลง ผมกวักมือเรียกพนักงานของร้าน สั่งลาบ น้ำตก ไก่ย่าง หมูย่างมาจนล้นโต๊ะ นั่นเพราะพี่แว่นที่ชื่อบิ๊กออกปากจะเลี้ยง ผมรู้ว่าพี่เขาจะเลี้ยงเจมส์ แต่ผมก็มาด้วยไง ก็ต้องเลี้ยงผมด้วยสิ
“มึงสั่งมาทำไมตั้งเยอะวะ” เจมส์ทำตาโตมองกับข้าว ผมก็ยักไหล่ มือจกข้าวเหนียวเข้าปาก
“สั่งมาก็แดกให้หมดนะมึง ไม่หมดกูยัดปากมึงแน่” เสียงข่มขู่จากไอ้พี่ไฮท์ ผมหันไปมองแล้วยัดข้าวเหนียวเข้าปากยั่วโมโห แถมได้ผล มันเอาส้อมตีหน้าผากผมดังปั๊ก “กวนตีน”
ผู้ชายตัวโตๆ สี่คนนึกเหรอครับว่าจะไม่หมด แม้รุ่นพี่สองคนจะกินมาก่อนหน้า แต่ผมก็เห็นพากันกินอย่างอร่อย โดยเฉพาะตับในลาบอีสาน
“พี่ไฮท์ นี่ของผมนะเว้ย” ผมกำลังจะถูกแย่งตับชิ้นสุดท้ายในจานไป
“มึงกินทุกอัน ให้กูกินบ้างไอ้ขิง” พี่ไฮท์ก็ไม่ยอม มันเอาส้อมจิ้มไว้ แถมแยกเขี้ยวใส่ผมอีก
“พี่ก็กลับไปกินตับแฟนพี่ดิ่ ตับหมูนี่ของผม” พูดปุ๊บ ส้อมนั่นก็ถูกขว้างใส่จานจนผมสะดุ้ง จากคนที่แหย่กันไปมา ตอนนี้เริ่มกลับเข้าสู่โหมดโหดเหี้ยม “ผมพูดอะไรผิดเหรอ”
“มึงยังกล้าพูดถึงแฟนกูอีกเหรอวะ”
“ฉิบหาย”
จริงด้วยว่ะ วันแรกของการมาเยือน ผมก็เกือบเจอหมัดของไอ้พี่ไฮท์ทักทายด้วยข้อหาเอาเมียพี่เขามากก สถานการณ์ตอนนี้เริ่มมาคุ พี่บิ๊กก็ทำนิ่ง ส่วนเจมส์ก็เอาแต่คาบส้อมมองหน้าผมกับพี่ไฮท์สลับไปมา
“พี่ครับพี่” ผมยกมือเรียกพนักงานให้มาที่โต๊ะ คนร่วมโต๊ะก็พากันมองหน้า “ผมขอลาบอีสานอีกจาน แต่เปลี่ยนจากหมูเป็นตับทั้งจานแทนได้ไหมครับ”
“คะ?”
“ตับอีสาน”
“อ่อ ได้...มั้งคะ”
แล้วพี่พนักงานแกก็เดินกลับไปแบบงงๆ หวังว่าจะเข้าใจในสิ่งที่ผมบอกนะครับ
“ถ้ามันมีแต่ตับ มันจะเรียกลาบอีสานได้ยังไง” เสียงคนโกรธถามออกมาอย่างสงสัย พี่ไฮท์ขมวดคิ้วเป็นปม
“ก็เรียกตับอีสานไง อยู่บ้าน พ่อผมชอบทำให้กิน เพราะผมชอบกินตับ” บอกพร้อมรอยยิ้มเมื่อนึกถึงรสมือของพ่อ แต่ยิ้มไม่นานก็ต้องรีบหุบเมื่อถูกตาดุหรี่จ้องมอง
“พ่อมึงทำให้กิน?”
“หมายถึงพ่อบ้าน แม่บ้านอะไรแบบนี้ เนอะๆ เจมส์เนอะ” ต้องหาแนวร่วม และเพื่อนพี่ขิงก็เป็นลูกคู่ที่ดี เจมส์รีบเอาส้อมที่คาบชี้ยืนยัน
“อ่อ” พี่ไฮท์กับพี่บิ๊กก็พยักหน้าเหมือนเชื่อ “แต่มึงสั่งมาทำไมอีกวะ แค่นี้ก็อิ่มถึงชาติหน้าแล้ว”
“ก็...เออว่ะ”
“ตับอันเดียวทำมึงโง่ได้ขนาดนี้เลยเหรอวะ ไม่สิ มึงมันโง่อยู่แล้ว”
“พี่จะพูดกับผมดีๆ บ้างไม่ได้เลยหรือไง”
“แค่กูคุยกับมึงปกติแบบนี้ก็ดีเท่าไหร่แล้ว”
“ขอบคุณที่ไม่กระทืบผมครับ”
ยกมือไหว้ท้วมหัวจนโดนส้อมเคาะหน้าผากอีกรอบ และถึงแม้พี่ไฮท์จะบอกว่าอิ่ม พอจานตับอีสานวางลงตรงหน้า พี่แกก็แย่งผมกินอยู่ดี จะว่าก็ไม่ได้เพราะเจ้ามือคือเพื่อนของเขา เมื่อกับข้าวบนโต๊ะหมดเกลี้ยง สภาพแต่ละคนก็คล้ายพะยูนเกยตื้นทั้งนั้น ผมเอนหลังพิงพนัก มือก็ลูบท้องแน่นๆ ของตัวเอง
“แล้วนี่ พวกพี่ไม่มีเรียนเหรอ” เจมส์มันถามหลังจากรอเงินทอน
“ก็มี งั้น ไอ้ไฮท์ มึงให้ไอ้ขิงไปส่งที่มอก่อนนะ เดี๋ยวกูไปธุระกับไอ้เจมส์แป๊บ”
“อ่าวอะไรวะ เฮ้ยไอ้บิ๊ก ไอ้เชี่ย ชิ่งกูเฉย” พี่ไฮท์โวยวายลั่นเมื่อเพื่อนเดินออกร้านไปก่อน ผมได้แต่เดินตัวลีบตามหลัง “แล้วมึงจะเดินหอยทากทำไม ไหนรถมึง”
“โมโหแล้วพาลว่ะ”
“เดี๋ยวกูถีบ” ไม่เดี๋ยวแล้วครับ ไอ้พี่ไฮท์ยกขาเตะก้นผมจริงๆ แม้ไม่แรงแต่คนไม่ได้ตั้งตัวก็ต้องมีเซกันบ้าง ผมตวัดสายตาส่งไป คนทำร้ายผมก็ไม่รู้สึกรู้สา “เร็วๆ”
“ครับๆ” ผมควบมอเตอร์ไซค์ KSR ของตัวเอง กำลังจะสตาร์ท คนที่ยืนดูกลับไล่ให้ผมขยับแล้วคนไล่ก็สอดตัวมานั่งแทน “พี่ทำอะไรเนี่ย”
“กูขี่เอง”
“แต่นี่มันรถผมนะพี่”
“กูไม่ไว้ใจมึง”
เมื่อทำอะไรไม่ได้ก็ต้องปล่อยเลยตามเลย พี่ไฮท์ออกตัวนิ่มอยู่ ตอนแรกคิดว่าจะกระชากแกล้งให้ผมหล่นลงจากรถซะอีก ระยะทางขากลับก็ไม่ได้ต่างจากขามา แต่ที่ต่างคือบรรยากาศมากกว่า กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ลอยติดปลายจมูก พอมองจากด้านหลัง พี่เขาก็ดูไม่ได้นิสัยเสีย แต่พูดทีเหมือนวิญญาณตัวร้ายในละครสิงร่างเลย
“....เอาหมามึงด้วย” เสียงพี่ไฮท์พูดโต้กับลมทำให้มันขาดๆ หายๆ
“พี่ว่าอะไรนะ” ผมขยับหน้าไปชิดหลังแล้วถาม
“กูบอกว่า มึง...หมามึงด้วย”
“หา? ไม่ได้ยิน โอ๊ะ” จังหวะที่โน้มตัวไปชิดเพื่อจะฟังถนัดๆ รถที่ขี่ๆ มากลับเบรกกะทันหัน หน้าผมก็พุ่งไปชนกับหลังกว้างดังปึ๊ก “ขอโทษพี่”
“มึงทำร้ายกูเหรอไอ้นี่”
“พี่เบรกกะทันหันนี่หว่า ว่าแต่ เมื่อกี้พี่ว่าอะไรนะ”
“กูบอกให้มึงไปเอาหมาด้วย”
“อ๋อ เดี๋ยวผมแวะไปเอา ขอบคุณครับ”
ไม่มีเสียงตอบกลับอะไรออกมาอีกจนถึงหน้าคณะ พี่ไฮท์ลงจากรถแล้วเดินเข้าตึกไป ส่วนผมได้แต่มองหลังคนหน้าบึ้งไม่มีแม้แต่คำขอบคุณหรือคำใดๆ อีก ผีเข้าผีออกนะรุ่นพี่คนนี้ ผมเลิกสนใจพี่ไฮท์ ก่อนขี่รถกลับไปรับปุยเมฆ ป่านนี้คงเฝ้ารอให้ผมไปรับอยู่แน่ๆ พอตัวสะอาดแล้วน่าจะสวยมาก เป็นหมาคนรวยแท้ๆ แต่กลับมีสภาพยิ่งกว่าไอ้ด่างข้างบ้านผมซะอีก
หน้าคลินิกมีรถยนต์จอดเรียงราย คงจะเป็นลูกค้าของที่นี่ ผมผลักบานประตูเข้าไป เสียงหมาตัวใหญ่กำลังเห่าขู่แมวขนฟูในตะกร้าของคุณป้าแว่นดำก็ทำให้ต้องอุดหู ยิ่งเสียงเจ้าของตะโกนห้ามก็ยิ่งทรมาน
“มารับปุยเมฆครับ” กว่าจะฝ่าด่านหมาแมวกับคุณป้าเจ้าของมาได้ ก็ต้องใช้ความพยายามมากเลยทีเดียว แค่ก้าวขา หมาตัวใหญ่ก็หันมอง กลัวมันงับก้นผมสุดๆ
“อ๋อ รอสักครูค่ะ” แล้วพี่ชุดฟ้าก็หายไปด้านหลัง และออกมาพร้อมกระเป๋าใส่ปุยเมฆ “เหมือนน้องจะกลัวเสียงดังนะคะ” พี่เขาคงเห็นผมขมวดคิ้วตอนรับกระเป๋า ปุยเมฆขดตัวเป็นก้อนกลมๆ ไม่ยอมมองผมเลย
“เท่าไหร่ครับ”
“คุณหมอไม่คิดเงินนะคะ”
“เอ่อ ขอบคุณครับ”
ผมมองหาคุณหมอแต่ก็ไม่เห็น เลยได้แต่ฝากคำขอบคุณผ่านพี่ชุดฟ้า ผมยกกระเป๋าใส่ปุยเมฆขึ้นพาดคอแล้วรีบเดินหนีออกมาให้ไว เมื่อพ้นจากเสียงดัง เจ้าก้อนกลมๆ ก็ค่อยๆ ขยับ พร้อมส่งเสียงร้องอย่างดีใจ
“ไง ปุยเมฆ คิดถึงพี่ขมิ้นไหม” เอานิ้วจิ้มกระเป๋าดู ปุยเมฆก็ร้องแล้วใช้จมูกดันนิ้วผมคืน “น่ารักจริงๆ คืนนี้พี่ขมิ้นมีขนมให้ด้วยนะ”
เสียงปุยเมฆก็ร้องเบาๆ มาตลอดทาง พอถึงบ้านเสียงก็เงียบลงเหมือนจะรู้ว่าควรเงียบ ผมมองซ้ายมองขวาแล้วรีบวิ่งขึ้นชั้นสองของบ้าน ขืนช้ามีคนเห็น ไม่ผมก็ปุยเมฆนี่แหละจะซวย
เข้าห้องมาแล้วผมก็รูดซิบเปิดกระเป๋าเอาปุยเมฆออกมาชื่นชม ขนที่มีคราบสีดำๆ ตอนนี้ใสสะอาด ขนก็นุ่มนิ่ม ตัวก็หอม ผมอุ้มปุยเมฆขึ้นมาบนเตียง วางเจ้าตัวเล็กไว้บนอก ปุยเมฆขยับคลานมาเลียตามหน้าตามคอผมจนขนลุกไปหมด
“น้ำลายเยอะขนาดนี้ คิดถึงพี่ขมิ้นมากเลยใช่ป่ะ” จุ๊บปุยเมฆหลายๆ ทีด้วยความรัก ผมว่า ผมกำลังตกหลุมรักเจ้าหมาตัวนี้ซะแล้ว หากพี่ขิงกลับมา ผมจะขอไปเลี้ยงที่บ้าน “พี่ขมิ้นซื้ออาหารกับขนมมาให้เยอะเลยนะ”
โฮ่ง
“จะบอกว่า เจ๋งมาก ใช่ไหม แน่นอน พี่ขมิ้นซะอย่าง”
โฮ่ง
“น่ารักนะเนี่ย เป็นแฟนกับพี่ขมิ้นเถอะ” ผมยกตัวปุยเมฆขึ้นปุ๊บ สัญลักษณ์บางอย่างก็แทบทิ่มตา “มึงตัวผู้นี่หว่า เป็นพี่น้องกันดีกว่าเนอะๆ”
โฮ่งๆ
เสียงเคาะประตูทำให้ผมต้องรีบซ่อนปุยเมฆ ยังโชคดีคนมาเคาะเป็นป้าแม่บ้านที่บอกให้ลงไปกินข้าว แต่ทำไมวันนี้ถึงกินไว ปกติไม่ทุ่มก็สองทุ่มนู้น
“พอดีคุณท่านกับคุณผู้หญิงไปงานเลี้ยงด้านนอกค่ะ เลยขึ้นมาถามว่าคุณขมิ้นจะทานข้าวกี่โมงดีคะ”
“ตอนนี้ก็ได้ครับ” ผมหันไปมองปุยเมฆที่เดินไปนอนที่ผ้าห่มก่อนจะเดินออกห้องไป “วันนี้มีของอร่อยอีกแน่เลย ใช่ไหมครับ”
“ไก่ย่างค่ะ คุณขมิ้นชอบไหมคะ”
“สุดๆ ครับ”
“ปกติแล้ว คุณขิงไม่ทานเลยนะคะ บอกว่าอ้วน”
“แต่ผมชอบที่สุดครับ”
ผมใช้เวลากินข้าวกับพวกพี่ๆ หลังบ้านอยู่นานเป็นชั่วโมง พอกลับขึ้นห้อง ปุยเมฆก็ยังนิ่ง เรียกไปก็ไม่ตอบอะไร คงจะหลับลึกแน่ๆ เลยละความสนใจแล้วเดินเข้าไปอาบน้ำแทน กลับออกมาเจ้าก้อนกลมก็ยังนิ่ง
“ปุยเมฆ กินขนมไหม เยอะนะ” ลองเอาขนมเป็นแท่งหลอกล่อ แต่ก็ยังเงียบ “ไม่กินเหรอ พี่ขมิ้นจะกินแทนละนะ” ผมลองกัดขนมหมาดู รสชาติโคตรจืด แม้กลิ่นจะเค็มก็เถอะ “อร่อยนะปุยเมฆ ไม่สนเหรอ”
หงิงๆ เสียงตอบกลับเบาๆ พร้อมกับหัวเล็กยกขึ้นดู แต่แล้วก็กลับลงไปขดตัวใหม่ สงสัยจะไม่หิว ผมละความสนใจจากปุยเมฆก่อนกระโดดขึ้นเตียง แม้จะยังไม่ดึกมากแต่กลับง่วงซะงั้น สงสัยกินข้าวเหนียวมากไปหน่อย ตั้งแต่มื้อเที่ยง มามื้อเย็นอีก น่าแปลก ทำไมกินข้าวเหนียวแล้วถึงง่วงมากกว่าปกติ
เผลอหลับไปทั้งที่ยังไม่ได้ปิดไฟซะด้วยซ้ำ มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนมีเสียงกุกกักๆ ผมปรือตาขึ้นดูก็ไม่เห็นมีอะไร เลยหลับตาลงอีกรอบ แต่คราวนี้ เสียงนั้นดังกว่าเดิม เพิ่มเติมมาด้วยเสียงไอแรงๆ จนผมสะดุ้ง
“ปุยเมฆไม่สบายเหรอ” ผมหรี่ตามองหาหมาที่ตอนนี้มันไม่อยู่ตรงผ้าที่ปูให้นอนแล้ว “ปุยเมฆอยู่ไหน” เสียงไอแรงๆ จนผมเริ่มเป็นห่วง สอดสายตามองหาทั่วห้องก็ไม่เจอ เลยลองก้มดูใต้เตียง เจอปุยเมฆกำลังอาเจียนออกมาเป็นฟอง “ปุยเมฆ เป็นอะไร”
ผมลงมาจากเตียง พยายามยื่นมือไปดึงปุยเมฆให้ออกมา แต่มันก็ไม่ยอมเดินมาหา เอาแต่ไอตัวโยนแล้วก็อ้วกออกมาอีกหลายกองจนผมใจไม่ดี
“ปุยเมฆ มาหาพี่ขมิ้นก่อน” พยายามกวักมือเรียกแต่ก็ไม่ได้ผล ผมเลยมุดตัวไปดึงหมาออกมา “ไปหาหมอกันนะ” แม้ตอนนี้จะใกล้เที่ยงคืนแล้วก็ตาม แต่ผมต้องพามันไปหาหมอก่อน “อย่าเป็นอะไรนะปุยเมฆ แกจะต้องไม่เป็นอะไร เดี๋ยวพี่ขมิ้นจะพาไปหาหมอ เดี๋ยวก็หาย”
ร่างเล็กๆ ที่ผมอุ้มสั่นน้อยๆ คล้ายจะรับรู้ถึงความรักของผม เสียงครางหงิงๆ กับดวงตากลมใสแวววาวจ้องหน้าผมอยู่ตลอด...อย่าเป็นอะไรนะปุยเมฆ
ผมเอาปุยเมฆใส่กระเป๋าแล้วคว้ากุญแจรถออกจากห้องทันที ในโรงจอดยังไม่มีรถของเจ้าของบ้าน แต่ผมไม่สนใจ ตอนนี้สนแต่อาการของปุยเมฆ ตอนไปรับมามันยังร่าเริงอยู่เลย จู่ๆ ทำไมมันถึงอ้วกเยอะแยะแบบนั้นก็ไม่รู้ ตลอดทางที่มาคลินิก ปุยเมฆร้องครวญครางสลับกับไอแรงๆ และอ้วก ผมก็รีบเร่งความเร็วจนมาถึงหน้าคลินิก
คลินิกปิดแล้ว ด้านในไม่มีคนอยู่ด้วย ผมเดินไปเดินมาอย่างกระวนกระวายใจ ไม่รู้จะทำยังไง พอลองโทรไปที่เบอร์ที่ติดหน้าประตูก็ไม่มีคนรับ เบอร์นี้น่าจะเป็นเบอร์ติดต่อที่อยู่ในคลินิก เสียงไอแรงของปุยเมฆทำให้ผมทำอะไรไม่ถูก สมองตื้อไปหมด ช่วงจังหวะที่น้ำตารื้นก็นึกถึงหน้าเจมส์ขึ้นมา ผมลองโทรไปหาเพื่อนใหม่ดู รออยู่นานกว่ามันจะรับ
(ว่าไง)
“เจมส์ มึง”
(ขมิ้นเหรอ มีอะไรวะ โทรมาโคตรดึก)
“คือมึง”
ตอนนี้สมองผมไม่ทำงาน หาคำพูดที่จะพูดไม่ได้สักประโยค
(อะไรของมึงวะ คือมึงอยู่นั่น เกิดอะไรขึ้น หรือเจอไอ้ขิงแล้ว)
“ไม่ใช่ มึง...มีเบอร์พี่ไฮท์ไหม”
(เบอร์พี่ไฮท์? มึงเอาไปทำไมวะ)
“หมากู หมากูเป็นอะไรไม่รู้ ขอเบอร์พี่ไฮท์หน่อย เร็วๆ”
(เออๆ รอแป๊บ...ศูนย์เก้าแปด......)
“ขอบใจๆ”
พอได้เบอร์ผมก็รีบโทรไปหาทันที สัญญาณโทรศัพท์ตัดไปสามสี่รอบถึงมีคนรับสาย
(ใครวะ) เสียงเพลงดังทะลุออกมาจนแทบไม่ได้ยินเสียงเจ้าของเครื่อง (ฮัลโหล ใครวะ)
“พี่ไฮท์ ผมเอง”
(หา? ใครวะ กูไม่ได้ยิน) ปลายสายตะโกนกลับมา ผมเลยแหกปากตอบไป
“ผมขิงเอง”
(ไอ้ขิงเหรอ มึงมีอะไรถึงโทรหากูวะ)
“หมาผมอ้วก คลินิกพ่อพี่ก็ปิดแล้ว”
(ก็มันเที่ยงคืนแล้วไงไอ้ห่า แล้วนี่มึงอยู่หน้าคลินิกพ่อกูเหรอ)
“ครับ...ปุยเมฆ” ผมตัดสายพี่ไฮท์ทิ้งทันทีเมื่อปุยเมฆเริ่มชักอยู่ในกระเป๋า ปากของมันมีน้ำเหนียวๆ ไหลออกมาอยู่ตลอด แถมอึเหลวๆ ก็ไหลออกมาจนตัวมันมีแต่สีเหลือง “ปุยเมฆเป็นอะไร เชี่ยเอ๊ย” ตอนนี้น้ำตาของผมไหลไม่ขาดสาย ทำไมผมไม่สังเกตเลยว่ามันไม่สบายหนักขนาดนี้ ถ้ามันเป็นอะไรขึ้นมาก็เพราะผมผิดเองที่ไม่ได้ดูแล
ปุยเมฆ อย่าเพิ่งทิ้งพี่ขมิ้นไปนะ อยู่ด้วยกันก่อน ไหนสัญญาว่าจะไปอยู่กับพี่ที่บ้านเราไง ไม่ลืมใช่ไหม อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะ
...TBC
สวัสดีวันปีใหม่ค่าาาาา ขอให้ทุกคนมีความสุขตลอดทั้งปีเลยนะคะ ร่ำรวยๆ เฮงๆ ถูกหวยรวยเบอร์ หุ้นขึ้นพรวดๆ มีเงินใช้ทั้งปีค่าา
(01.01.61)