<< ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 11 [21/02/2019] : P.4
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: << ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า? >> บทที่ 11 [21/02/2019] : P.4  (อ่าน 9611 ครั้ง)

ออฟไลน์ มากมายด์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0







วันนั้นเป็นวันธรรมดาวันหนึ่ง ที่ผมกลับมาจากที่ทำงาน วันที่แสนเหนื่อยก็อยากจะพักผ่อน
ไม่ทันเอนตัวลงนอนก็พบว่า แมวของผมหายไป!!
.
เจ้าอ้วนตัวสีส้มที่ชอบนอนกลิ้งอยู่ที่มุมห้องหายไป!!

     _____________________________


วันนั้นเป็นวันธรรมดาวันหนึ่ง ที่ผมก็ทำขนมอัดคลิปเตรียมลงเว็บเฉกเช่นที่ทำทุกสัปดาห์
ไม่ทันจะอัดคลิปเสร็จก็พบว่า แมวมาจากไหนไม่รู้!!
.
เจ้าอ้วนตัวสีส้มเดินวนเวียนอยู่แถวมือผมราวกับมันได้กลิ่นหอมหวานบางอย่าง!!







 **จะพยายามอัพวันเว้นวันค่ะ**
พูดคุยกันได้ในทวิต

    #แมวอยู่กับผม   
                   



<< ย้ำอีกครั้ง นิยายเรื่องนี้เป็น ชายรักชาย นะคะ ^^>>
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง
 ชื่อ สถานที่ และเหตุการณ์เป็นเรื่องสมมติ
ผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-02-2019 15:41:52 โดย มากมายด์ »

ออฟไลน์ มากมายด์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
บทนำ


         
                   ชายหนุ่มเช็คกล้องเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อตรวจเช็คแน่ใจว่ากล้องเริ่มทำงานของมันแล้ว ก่อนจะหันมาหยิบอุปกรณ์เครื่องครัวรวมทั้งวัตถุดิบต่างๆ และเริ่มลงมือทำอาหาร

             ปกติเขาจะถ่ายคลิปทำอาหารง่ายๆ แล้วอัพโหลดลงยููทูปทุกวันอาทิตย์และพฤหัส วันอื่นเๆ เขาจะทำเค้กส่งตามร้านกาแฟที่เขาเอาไปฝากขาย รวมถึงทำเค้กตามออเดอร์ที่มีคนสั่งมาผ่านไอจี เขาเปิดไอจีขายขนมเค้กตามสั่งมาได้ปีกว่าแล้ว รายได้ก็ถือว่าดีระดับนึงพอใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน โชคดีที่ที่บ้านเขาฐานะปานกลางเลยไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินอะไรมากนัก หากไม่ใช้ฟุ่มเฟือย   
                               
             เมื่อทำไปสักพักก็นำแป้งเค้กเข้าเตาอบ เอาเข้าไปได้ไม่ถึงสิบนาทีดี จู่ๆ มีแมวอ้วนตัวสีส้มโดดขึ้นมาบนโต๊ะ บังหน้ากล้องพอดี

             แมว?? มาจากไหน?? ชายหนุ่มได้แต่คิดแล้วสงสัย ก่อนจะหันไปพูดกับเจ้าแมว

             “ไง เจ้าแมวอ้วน มาจากไหนน่ะเรา”

             “….”

             แมวอ้วนได้แต่ชายตามองนิดๆ ก่อนจะหันหน้าไปอีกทางไม่สนใจชายหนุ่มที่ชวนคุย

             “เอ่อ...ยังไงคุณแมวช่วยหลบไปหน่อยได้ไหมครับ มันบังกล้องน่ะ” ไม่ว่าเปล่าชายหนุ่มชี้มือไปยังหล้องที่อยู่ด้านหลังเจ้าแมวตัวนั้น เจ้าแมวหหันไปมองชายหนุ่มก่อนจะหันกลับไปมองกล้องตามมือที่ชี้ แต่แล้วก็ล้มตัวลงนอน ไม่สนใจสิ่งใดๆ

             พูดเพราะด้วยก็แล้ว ยังจะไม่ขยับอีก ...ชายหนุ่มได้แต่ถอนหายใจอย่างหน่ายๆ แล้วเดินเข้าไปหวังจะอุ้มแมวตัวดังกล่าวออกจากบริเวณหน้ากล้อง

             เจ้าแมวหันมามองชายหนุ่มที่เดินเข้ามาหาตน แต่ก็ได้แต่นอนนิ่งเฉยๆ ปล่อยให้ชายหนุ่มยกตัวเองขึ้นมา แถมยังคลอเคลียกับมือของชายหนุ่มเมื่อเขาปล่อยตัวแล้วอีกด้วย

            น่าแปลก...ตามนิสัยแมวไม่น่าจะยอมให้เขาอุ้มง่ายๆ แถมนี่ยังมาคลอเคลียมือเขาอีก...

             ชายหนุ่มไม่สนใจ น้องแมวแล้วหันกลับมาทำสิ่งที่ค้างไว้ต่อ นั่นคือทำครีมที่จะใช้ทำเค้ก

             เขาหยิบไข่ขึ้นมาก่อนจะตอกไข่ด้วยมือเดียว

            เสียงตอกไข่เรียกให้เจ้าตัวอ้วนสีส้มที่นอนอยู่บนโต๊ะไม่ห่างนั้นหันมามองทันทีด้วยความสนใจ จากที่นอนอยู่ด้วยความสบายใจก็ลุกขึ้นมา แล้วเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ อย่างกับหวังจะได้เห็นได้ชัดขึ้นว่ามนุษย์กำลังทำอะไรอยู่

            ชายหนุ่มที่กำลังตั้งอกตั้งใจทำอาหาร เลยไม่ทันสังเกตุว่าน้องแมวตัวดังกล่าวเดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งจมูกแมวลงมาฟุดฟิดๆ ใกล้ๆ มือเขานั่นแหละเขาถึงรู้ตัว

             “นี่!! มันยังไม่เสร็จนะ ยังกินไม่ได้นะ!!” เข้าดุอย่างไม่จริงจังนักพลางยกชามที่ผสมออกให้ห่างแมวยิ่งขึ้น แล้วหันไปอุ้มเจ้าแมวไปวางทีเดิม

             ไม่ถึงห้านาที เจ้าแมวก็คงเดินกลับไปป้วนเปี้ยนแถวมือเขาต่อ เขาได้แต่ถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะปล่อยมันไป ปล่อยให้มันเดินป้วนเปี้ยนไปนั่นแหละ ส่วนเขาก็ทำได้แค่มุ่งหน้าทำอาหารต่อ โดยคอยหลบเจ้าแมวซุกซนเป็นระยะๆ เพื่อไม่ให้ขนแมวลงไปในอาหาร

             ผ่านไปไม่นานเค้กก็อบเสร็จเขาถึงเริ่มลงมือแต่งหน้าเค้ก เจ้าแมวตัวนั้นก็ยังสนใจเขามองเขาไม่วางตา จนกระทั่งแต่งหน้าเค้กเสร็จ เขาก็หันไปพูดกับกล้องก่อนจะปิดกล้องเจ้าแมวก็เดินมาที่กล้องทันทีอย่างกับรู้จังหวะ

             เสียงกริ่งหน้าห้องดังขึ้นเรียกความสนใจจากชายหนุ่ม เขาจึงรีบเดินไปเปิดประตูทันทีไม่ให้อีกฝ่ายต้องรอนาน ก่อนจะพบชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งก้มหน้าก้มตาพูดขึ้นว่า

             “ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณหรือเปล่า?”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-12-2018 23:48:38 โดย มากมายด์ »

ออฟไลน์ มากมายด์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
บทที่ 1 : แมวของผม...ติดกับเข้าซะแล้ว






                เมื่อผมกลับมาถึงห้องผมก็พบเจ้าแมวสีขาวนอนกลิ้งอยู่บนเตียง

                “เจ้าไข่ขาว เจ้าไข่แดงไปไหนหรอ”
     
                “เมี๊ยว~” ไข่ขาวตอบรับเล็กน้อยก่อนจะหันไปนอนต่ออย่างไม่สนใจอะไร

                 ผมได้แต่ส่ายหน้าน้อยๆ ให้กับเจ้าเหมียวที่นอนสบายอยู่บนเตียงผม ก่อนจะออกเดินตามหาเจ้าเหมียวอีกตัวตามห้องต่างๆ แต่จนแล้วจนรอด ไม่ว่าจะไปหาตามห้องน้ำ ห้องนั่งเล่น หรือตามซอกตู้ต่างๆ ผมก็ยังหาเจ้าแมวอ้วนตัวส้มไม่เจอ

                  “หายไปไหนของเขานะ” ผมได้แต่บ่นออกมาเล็กน้อยก่อนจะะหันไปเห็นประตูกระจกของระเบียงเปิดอยู่ ผมรีบเดินไปยังบริเวณนั้นในใจคิดว่าต้องเจอเจ้าตัวซนนอนกลิ้งอยู่แถวต้นกัญชาแมวแน่ๆ แต่แล้วผมก็ผิดหวังเพราะบริเวณนั้นไม่มีแมวอยู่สักตัว....

             อ่า....เจ้าอ้วนไปไหนกันแน่เนี่ย?? ผมเริ่มเป็นห่วงขึ้นมาอย่างจริงๆ จังๆ ซะแล้ว ปกติเจ้าสองตัวนี้ถึงจะซุกซนแค่ไหนผมก็ใช้เวลาไม่กี่นาทีตามหาเจอ แต่ครั้งนี้ผมหามาจะครึ่งชั่วโมงแล้ว หาทุกที่ในห้องนี้แล้วก็ยังไม่เจอเจ้าไข่แดงแมวอ้วนสีส้มของผม

             “ไม่ตลกแล้วนะ เจ้าไข่แดง อยู่ไหน? ออกมาเดี๋ยวนี้นะ ไม่เล่นแล้วนะ”

             “….”

             แม้ผมจะตะโกนเรียกตามหา แต่ก็ยังคงได้รับความเงียบเป็นคำตอบ
   

             “เจ้าไข่แดง!! อยู่ไหนออกมาเดี๋ยวนี้นะ!! ถ้าไม่ออกมาวันนี้ไม่ต้องกินข้าวเย็นนะ!!”

             “เมี๊ยว~” เสียงแมวร้องทำเอาผมใจชื้นขึ้นมาทันที จึงรีบหันไปมองต้นเสียง แต่กลับพบกับเจ้าแมวสีขาวตัวเดิมไม่ใช่เจ้าแมวที่ตาม ใจของผมก็วูบหายไปอีกครั้ง หายไปไหนของเขานะ?

             ไม่นานนักผมก็ได้กลิ่นหอมลอยมาจากระเบียง มันเป็นกลิ่นของเนย เป็นกลิ่นที่หอมมากๆ ทันใดนั้นเองผมก็เดาได้ว่าเจ้าแมวอ้วนของผมนั้นน่าจะไปอยู่ที่ไหน

             “เจ้าแมวตะกละเอ๊ย!!”

             ผมอุ้มแมวสีขาวที่เดินป้วนเปี้ยนไปมาในห้องก่อนจะใส่รองเท้าเดินออกไปยังห้องที่ส่งกลิ่นหอมนั้น ผมไม่กล้าปล่อยเจ้าไข่ขาวให้นอนอยู่ห้องคนเดียว กลัวว่ามันจะหายไปแบบเจ้าไข่แดงอีก ถึงแม้มันจะเป็นแมวที่ชอบอยู่เฉยๆ ต่างกับเจ้าแมวอ้วนที่ชอบซุกซนก็เถอะ แต่วินาทีนี้ผมไม่สนใจแล้ว ผมไม่อยากเหนื่อยออกตามหาอีกถ้ามันจะหายไปอีกตัว

             ผมเดินมายังห้องที่อยู่ทางซ้ายมือของผมซึ่งเป็นห้องเจ้าของกลิ่นหอมนั่น ก่อนจะลงมือกดกริ่งห้องด้วยมือซ้าย ส่วนมือขวาก็อุ้มเจ้าไข่ขาวไว้

             กดไปอยู่สองสามครั้ง ผมกลับมาอุ้มเจ้าไข่ขาวด้วยสองมือเหมือนเดิม เพียงไม่นานเจ้าของห้องก็เปิดประตูออก ผมรีบถามด้วยความรวดเร็วโดยยังไม่ได้เงยหน้ามองเจ้าของห้อง

             “ขอโทษครับแมวผมหนีไปอยู่ห้องคุณรึเปล่า?”

             “ครับ?”

             “อ่า...แมวของผมน่ะครับ หน้าตาคล้ายๆ ตัวนี้ แต่ขนเป็นสีส้ม ส่วนขนตรงท้อง จมูก กับขา เป็นสีขาว” ผมพูดพลางยื่นเจ้าไข่ขาวไปให้คนตรงหน้าดูใกล้ๆ

             ตอนนั้นเองที่ผมเห็นคนตรงหน้าอย่างเต็มๆ ตา ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่เขาหันมายิ้มให้กับเจ้าไข่ขาวพอดี

             น่ารัก....คือคำเดียวที่ลอยขึ้นมาในหัวของผมตอนนี้ รอยยิ้มของคนตรงหน้ามันทำให้ผมรู้สึกหน้าขึ้นสีเล็กน้อย...ผมจะเขินทำไมก็ไม่รู้ทั้งๆ ที่เขายิ้มให้กับแมวของผม ไม่ใช่ผมสักหน่อย

             “แมวของคุณอยู่ในห้องผมครับ”

             “คะ..ครับ?”

             เสียงของอีกฝ่ายเรียกสติของผมให้หลุดออกจากภวังค์

             “แมวสีส้มของคุณน่ะอยู่ในห้องของผม”

             “อ่า...ครับ ขอบคุณครับ”

             “…..”

             “…..”

             แล้วก็เดิดความเงียบขึ้นระหว่างพวกเรา...

             “เออคุณจะเข้ามาในห้องก่อนไหมครับ” เขาพูดขึ้นเพื่อทำลายความเงียบระหว่างเราสองคน ผมรีบตอบรับทันที

             “ครับ ขออนุญาตนะครับ”

             เมื่อก้าวเข้ามาในห้อง ผมหันไปมองรอบๆ รูปแบบห้องนั้นไม่ต่างจากห้องผมเลย เพียงแต่งเครื่องใช้เฟอร์นิเจอร์ของเขาเป็นไม้สีอ่อน โทนห้องไปในแนวสีขาวเทาอ่อน ต่างกับของผมที่จะไปในโทนสีเทาเข้มไม่ก็ดำ เดินไปไม่กี่ก้าวผมก็เห็นเจ้าแมวอ้วนของผมนอนอยู่บนโต๊ะบริเวณห้องครัว ดวงตาไม่ได้มองผมที่เพิ่งก้าวเข้ามาในห้องแม้แต่น้อย แต่สายตาของมันกลับจ้องเค้กปอนด์ที่วางอยู่ไม่ห่างจากตัวมัน

             “เจ้าอ้วน!!” ผมตะโกนเสียงดังขึ้นนิดหนึ่งก่อนเจ้าตัวถูกเรียกจะหันมาหาผมด้วยความสงสัย ละสายตาจากเค้กที่อยู่ข้างตัวด้วยท่าทางหงุดหงิด ราวกับว่าผมไปขัดจังหวะความสุขของมัน

             “เอ่อ...แมวของผมไม่ได้มาสร้างความเดือนร้อนให้คุณ หรือสร้างความเสียหายใช่ไหมครับ” ผมหันไปถามเจ้าของห้องที่กำลังเดินเข้ามาในห้องตามหลังผม

             เขายกมุมปากขึ้นยิ้ม แล้วหันไปหาเจ้าตัวอ้วนที่นอนอยู่ตรงนั้น

             “ไม่เลยครับ มันแค่เดินไปเดินมาแต่ไม่ได้สร้างความเสียหายอะไร”

             พูดแล้วก็ยังไม่หยุดยิ้ม แถมยังทำสายตาอ่อนโยนให้กับเจ้าแมวที่นอนอยู่ด้วย  ทำเอาผมหน้าแดงขึ้นอีกครั้ง อยากบอกคนตรงหน้าเหลือเกิน อย่ายิ้มได้ไหม รอยยิ้มของเขาพลังทำลายล้างยิ่งกว่าที่คิดนะ!! เขารู้ตัวบ้างไหมเนี่ย?!

             “ยังไงผมก็ขอโทษด้วยนะครับ ที่แมวของผมมารบกวน...ผมไม่รู้เลยว่ามาที่นี่ได้ยังไง” ผมพยายามก้มหน้าหลบสายตาของคนตรงหน้า ไม่อยากให้เขาเห็นว่าผมกำลังหน้าแดงขนาดไหน

             “นั่นสิ ผมก็แอบสงสัยอยู่ว่ามันมาจากไหน?”

             “เมี๊ยว?!”

             ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไรต่อเสียงร้องจากเจ้าตัวเจ้าปัญหาก็ดังขึ้น เหมือนมันพยายามจะเรียกร้องความสนใจ ก่อนที่มันจะหันไปทางเค้กก้อนโตอีกครั้ง อ่า....มันคงไม่ได้เรียกร้องความสนใจหรอก คงอยากถามว่าเค้กก้อนนี้กินได้รึเปล่าต่างหาก!! แต่เมื่อเห็นเค้กผมก็นึกได้ทันทีว่าเจ้าแมวอ้วนตัวนี้มาห้องนี้ได้ยังไง

             “ผมนึกออกแล้วครับ ผมเดาว่าเจ้าอ้วนต้องมาจากทางระเบียงแน่เลย เพราะระเบียงห้องผมเปิดอยู่ มันคงได้กลิ่นเค้กของคุณเลยตามกลิ่นมา”

             “อ่า...น่าจะใช่แฮะ เพราะผมก็ไม่ได้ปิดประตูระเบียง”

              ด้วยความที่ห้องของพวกเราอยู่ชึ้นหก จึงแทบไม่ต้องกลัวเรื่องแมลงต่างๆ จะเข้ามา เพราะห้องเราอยู่สูงเกินกว่าแมลงจะบินเข้ามาในห้อง หลายครั้งผมก็เผลอเปิดระเบียงทิ้งไว้ อีกทั้งจากระเบียงห้องของพวกเรามีระยะทางที่เป็นช่องว่างประมาณหนึ่งเมตร มีกำแพงกั้นไม่ให้เห็นห้องข้างๆ แต่ตรงปลายระเบียงก็มีพื้นที่เล็กๆ กว้างไม่ถึงยี่สิบเซนติเมตรที่ไม่มีกำแพงกั้นซึ่งเป็นระยะที่ไม่ใช่เรื่องยากอะไรหากแมวจะกระโดดมายังระเบียงห้องตรงข้างๆ
     
                  “ยังไงก็ขอบคุณนะครับที่ช่วยดูแลเจ้าแมวอ้วนไว้”

             “ไม่เป็นไรครับ” เขาพูดพลางยิ้มขึ้นอีกครั้ง ยิ้มอีกแล้ว!! ทำไมคนตรงหน้าผมนี่ช่างยิ้มง่ายเหลือเกิน!!

             ผมเดินเข้าไปอุ้มเจ้าแมวส้มตัวอ้วน แต่พอจับจัวมันยกขึ้นเล็กน้อยมันก็ส่งเสียงประท้วงทันที

             “อะไรหืม? เจ้าอ้วน!! จะโวนวายอะไร? กลับห้องเราได้แล้ว”

             ผมยกเจ้าแมวอ้วนด้วยมือข้างที่ว่าง ส่วนอีข้างก็ยังคงกอดเจ้าไข่ขาวอยู่ และเพราะผมพยายามอุ้มเจ้าไข่แดงด้วยมือข้างเดียวมันจึงดิ้นหลุดไปอย่างง่ายดาย

             “ไม่เอาน่า เจ้าอ้วนกลับบ้านได้แล้ว!!”

             ผมพยายามอุ้มมันอีกครั้ง แต่มันก็หลบหนี แถมเดินวนเวียนไปมารอบๆ เค้ก พลางใช้จมูกดมฟุดฟิดอยู่ไม่ห่าง ก่อนจะร้องเสียงดังอย่างเอาแต่ใจขึ้นอีกครั้ง

              “เมี๊ยว!!”

              ไม่ต้องสงสัยเลย มันคงประท้วงจะกินเค้กชิ้นนี้แน่ๆ

              “ไม่ได้!! กินไม่ได้ นี่มันเค้กของคุณเขานายจะไปกินได้ไง!”
 
              ผมดุเจ้าแมวงี่เง่าอีกครั้ง และพยายามอุ้มมันอีกครั้งเช่นกัน แต่มันก็ยังคงไม่ยอมให้ผมจับมันได้ง่ายๆ

              “ถ้ายังไม่ฟังกันอีกวันนี้ไม่ต้องกินข้าว!!”

             ผมยื่นคำขาดเป็นมาตรการสุดท้าย อีกฝ่ายได้ยินก็ถึงกับหยุดวิ่งไปมา แล้วยอมให้ผมจับโดยง่ายแต่ยังมิวายส่งเสียงร้องเป็นการประท้วงเบาๆ

             “จริงๆ ให้มันกินก็ได้นะครับ” เสียงเจ้าของห้องดังขึ้น หลังจากยืนมองเหตุการณ์ตรงหน้ามาสักพัก

             “เหมียว~” เจ้าแมวตะกละรีบส่งเสียงอ้อนขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินอีกฝ่ายบอกอนุญาตให้มันกินเค้กก้อนโตได้

             “เฮ้ย! ไม่ต้องก็ได้ครับ เจ้าแมวนี่มันตะกละอย่าไปให้มันกินเลย โอ๊ย!!” พูดยังไม่ทันจบคำ เจ้าแมวส้มก็งับมือผมเข้าทันที

                  “เด็กดื้อ!! กัดกันแบบนี้วันนี้อดไปเลยข้าวเย็น” ผมพูดโดยหันไปทำตาดุๆ ใส่มันหนึ่งทีก่อนจะหันไปคุยกับเจ้าของห้อง “ยังไงผมกลับก่อนดีกว่าครับ ขอบคุณอีกครั้งนะครับที่ช่วยดูแลเจ้าแมวของผม”

             “จริงๆ เอาเค้กไปกินได้นะครับ ผมไม่รู้จะเอาไปให้ใครอยู่ดี จะกินคนเดียวก็กินไม่หมด คือผมทำเพราะจะเอามาอัดคลิปเฉยๆ น่ะครับ”

             ผมหันไปมองที่เค้กก้อนโต ก่อนจะพบว่าบริเวณนั้นมีกล้องตั้งอยู่จริงๆ ด้วย

              “แต่ว่า...”

             ยังไม่ทันจบประโยคเสียงท้องผมก็ดังขึ้นเล็กน้อย ทำเอาผมหน้าแดงขึ้นอีกครั้ง ท้องบ้า!! มาดังอะไรตอนนี้...แต่จะให้ทำไงได้ พอทำงานเสร็จผมก็รีบตรงกลับมาที่ห้อง แถมพอมาถึงห้องเจ้าแมวตัวดีก็ดันหายไปอีก มัวแต่เอาเดินหามันจนไม่เป็นอันได้กินอะไรเลย

             อีกฝ่ายยิ้มนิดๆ เมื่อได้ยินเสียงท้องผมร้อง ก่อนจะเดินไปยังในครัว แล้วออกมาพร้อมกับจานใบหนึ่ง เขาค่อยๆ ตัดเค้กออกมาเป็นส่วนๆ แล้วหยิบเค้กใส่จานทั้งหมดสามชิ้น

             “นี่ครับ ขอโทษนะครับพอดีกล่องผมหมด ยังไงก็เอาใส่จานไปแทน”

             “อ่า...ครับ ขอบคุณมากนะครับ” เจ้าห้องเค้กส่งมาให้ขนาดนี้แล้วยังไงผมก็คงต้องรับแหละ จะปฏิเสธก็ดูจะเสียน้ำใจเกินไป

             พอจะหันไปรับเค้กก็พบว่า...อ่ามือผมเต็มไปด้วยเจ้าอ้วนสองตัว...แล้วผมจะถือจานตรงหน้ายังไง?

             “อ่ะ...เอ่อ.....”

             คนตรงหน้ายิ้มอีกครั้ง ยิ้มอีกแล้ว!! ทำไมเขาชอบยิ้มจังเลยนะ

             ผมทำท่าจะอุ้มเจ้าไข่ขาวลง แต่แล้วมันก็ร้องเสียงประท้วงขึ้นทันที ผมเพิ่งนึกได้ว่ามันไม่ชอบอยู่แปลกที พอเห็นผมทำท่าจะปล่อยมันเลยรีบร้องประท้วงขึ้นมาทันทีแบบนี้ ผมหันไปที่เจ้าตัวอ้วนอีกตัว เจ้าตัวนี้ก็ช่างซนดูสายตาของมันที่จับจ้องมองเค้กอย่างไม่วางตาถ้าผมปล่อยมันออกตอนนี้มันต้องรีบวิ่งเข้าไปจู่โจมก้อนเค้กแน่นอนเพราะฉะนั้นปล่อยเจ้าตะกละตัวนี้ไม่ได้ครับ!

             อีกฝ่ายยิ้มกว้างขึ้นเมื่อเห็นถ้าทีเงอะงะของผม รอยยิ้มนั่นยิ่งทำให้ผมหน้าแดงยิ่งขึ้นไปอีก ทั้งอาย ทั้งเขินเลยโว้ยยยยยย

             “เดี๋ยวผมถือจานไปให้นะครับ” อีกฝ่ายเสนอทางออกอย่างยิ้มแย้ม ผมได้แต่พยักหน้ารับพร้อมพูดขอบคุณอีกครั้ง

             _______________


             ผมเดินถือเค้กเข้าไปในห้องของเจ้าของแมวทั้งสองตัว เมื่อวางเค้กเสร็จเรียบร้อยผมก็ยิ้มให้เขาอีกครั้ง

             “ทานให้อร่อยนะครับ แล้วก็ไปแล้วนะเจ้าเหมียว วันหลังแวะมาได้อีกนะ” ผมพูดแล้วยิ้มให้เจ้าแมวก่อนจะลูกหัวทั้งสองตัว เจ้าตัวส้มดูจะยินยอมพร้อมใจให้ผมลูบมัน คงเพราะผมทำเค้กให้มันกินแน่ๆ ในขณะที่เจ้าตัวขาวพยายามหลบมือผม แต่ผมก็หาจังหวะลูบหัวมันได้อยู่ดี

              ผมเดินไปถึงหน้าประตูก่อนจะยิ้มอีกครั้งแล้วหันไปพูดกับเจ้าของห้อง

              “จานนั่นน่ะ กินเสร็จแล้วอย่าลืมเอามาคืนนะครับ”

             พูดจบผมก็รีบเดินออกมาจากห้องแต่ไม่วายหันไปมองเจ้าของห้องอีกครั้ง อีกฝ่ายก็หน้าแดงขึ้นตามคาด มือที่กอดแมวไว้ก็กอดแน่นกว่าเดิมราวกับว่าการทำอย่างนั้นจะช่วยให้อาการเขินลดลงได้

             น่ารัก....ตั้งแต่เจ้าของแมวเดินเข้ามาในห้องทุกครั้งที่อีกฝ่ายหน้าขึ้นสีทำไมเขาจะไม่สังเกตุเห็นกันเหล่า เขาเห็นตลอดไม่ว่าจะตอนที่เขาคนนั้นพยายามก้มหน้าก้มตาหลบไม่ให้ผมเห็นว่าหน้ากำลังแดงแค่ไหน แต่เขาคงไม่รู้ตัวว่าเขาไม่ได้แดงแค่หน้าแต่หูก็แดงไปด้วย เห็นแล้วรู้สึกเป็นปฏิกิริยาที่น่ารักดี มองแล้วอดที่จะยิ้มไม่ได้

             จริงๆ ผมโกหกคำโตกับอีกฝ่าย ผมทำเค้กขายนะ มีหรอที่ในครัวจะไม่มีกล่องใส่เค้กน่ะ จริงๆ ในครัวผมมีกล่องเต็มไปหมดตั้งแต่ขนาดเล็กไปยันขนาดเค้กสามปอนด์ แต่ก็นะเพราะปฏิกิริยาของเจ้าของแมวนั่นแหละทำให้ผมอยากเจอเขาอีก ถ้าให้แค่เค้กใส่กล่องไป วันหน้าผมคงไม่กล้าหาเรื่องคุยกับเขา หรือเราอาจจะแทบไม่ได้เจอกันเลยก็ได้ ก็ขนาดผมอยู่คอนโดนี่มาเกือบหนึ่งปีแล้ว ยังเพิ่งเคยพบห้องข้างๆ เป็นครั้งแรกเอง ดังนั้นผมให้เค้กใส่จานเขาไปเพราะยังไงเขาก็ต้องเอาจานมาคืน แล้วผมก็จะได้มีเรื่องคุยกับเขาอีก

             ผมยิ้มอีกครั้งเมื่อคิดถึงคนที่เข้ามาในห้องเมื่อสักครู่...น่าสนใจจริงๆ

             _______________

                  (ต่อ)

ออฟไลน์ มากมายด์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0


                  ____________________
                 
                  (ต่อ)





             หลังจากวันนั้นที่แมวของผมไปป้วนเปี้ยนห้องข้างๆ ผมก็พยายามตรวจเช็คประตูระเบียงให้เรียบร้อยทุกครั้งก่อนออกไปทำงาน ผ่านมาสัปดาห์นึงแล้ว ผมก็ยังคงไม่กล้าเอาจานไปคืนห้องข้างๆ ผมไม่รู้จะพูดอะไรดีเมื่อยืนอยู่ต่อหน้าเขา มันรู้สึกเขินไปหมด ยิ่งเวลาเห็นเขายิ้มผมก็ยิ่งเขิน มันอาการเดียวกับเวลาเราเจอดาราศิลปินที่เราคลั่งไคล้มายืนยิ้มอยู่ต่อหน้า เป็นใครใครก็เขินจริงไหมล่ะ?

             แต่อย่างไรก็ตาม ดูท่าเจ้าแมวอ้วนตัวส้มของผมจะตกหลุมรักชายหนุ่มห้องข้างๆ ซะแล้วล่ะ หลายครั้งเมื่อผมเปิดประตูระเบียงมันก็พยายามจะกระโจนไปห้องข้างๆ ทันที จนหลังๆ เวลาผมจะเปิดประตูระเบียงผมต้องจับเจ้าไข่แดงใส่กรงขังไว้ก่อน ผมไม่อยากให้เจ้าแมวอ้วนไปรบกวนเขาอีกแล้ว

             “เอาจริงๆ นะ แกนะหลงรักคนนั้นหรือหลงรักเค้กกันแน่ หึ?!” ผมหันไปพูดกับเจ้าไข่แดงแต่มันก็คงได้แต่มองผมก่อนจะหันไปตะกุยประตูระเบียง ตะกุยไปก็ไม่ได้อะไรหรอกเฮ้ย! นั่นประตูกระจกนะ!

             ผมได้แต่ส่ายหน้าน้อยๆ ให้กับความโง่ของแมวตรงหน้า ก่อนจะหันไปตรวจตราความเรียบร้อยในห้องอีกครั้ง ล็อกประตูระเบียงเรียบร้อย เทอาหารกับน้ำไว้เรียบร้อย ปิดไฟเรียบร้อย เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยผมจึงเดินออกจากห้องไป ไม่ลืมที่จะหันมากำชับกับเจ้าแมวทั้งสองตัว

             “เฝ้าห้องดีๆ ล่ะ อย่าไปเล่นซน อย่าทำห้องเลอะเทอะนะเข้าใจไหม”

             “เมี๊ยว~” เจ้าไข่ขาวส่งเสียงกลับมาราวกับพูดว่ารู้แล้วน่ามนุษย์ ในขณะที่เจ้าไข่แดงไม่แม้จะหันมาสนใจผมเลยด้วยซ้ำ มันยังคงเอามือป้อมๆ ตะกุยประตูระเบียงไม่เลิก

             ผมเดินมาเรื่อยๆ เมื่อมาถึงลิฟท์ระหว่างรอลิฟท์ขึ้นมาผมก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังห้องตรงข้างๆ ห้องของผม

             ติ๊ง~

             เสียงลิฟท์ทำให้ผมกลับไปมองยังที่มาของเสียงแต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อประตูลิฟท์เปิดออก

             “อ่ะ...เอ่อ....”

             เจ้าของห้องที่ผมแอบมองเมื่อกี้ยืนอยู่ตรงหน้าผม!! ยืนหล่อตัวเป็นๆ เลย!!

             “อ้าว! สวัสดีครับ! เป็นไงครับเค้กวันนั้นอร่อยไหมครับ?” คนตรงหน้าถามด้วยรอยยิ้มเหมือนเดิม

             ยิ้มอีกแล้ว ผมเริ่มสงสัยแล้วนะทำไมคนตรงหน้าเขาช่างยิ้มเจิดจ้า ยิ้มได้ตลอดเวลาขนาดนี้ ไม่เมื่อยหน้าบ้างรึไง?

             “อร่อยมากครับ โดยเฉพาะเจ้าอ้วนนั่นกินหมดเกลี้ยงเลยแถมยังมาแย่งผมกินอีก”

             เมื่อได้ยินดังนั้นคนในลิฟท์ก็ยกยิ้มขึ้นกว้างกว่าเดิม ทำเอาผมเริ่มรู้สึกร้อนๆ ที่ใบหน้าอีกครั้ง เดาได้เลยว่าตอนนี้หน้าผมต้องแดงมากแน่ๆ

             เขาก้าวออกมาจากลิฟท์แล้วผมก็นึกขึ้นได้

             “ขอโทษด้วยนะครับที่ไม่เอาจานไปคืนสักที”

             “ไม่เป็นไรหรอกครับที่ห้องผมจานเยอะ ไว้วันไหนว่างๆ ค่อยเอามาคืนแล้วมานั่งเล่นที่ห้องผมก็ได้ครับ” พูดพลางยกยิ้มอีกแล้ว แต่ทำไมรอบนี้เขารู้สึกว่าสายตาของอีกฝ่ายดูเจ้าเล่ห์อย่างแปลกๆ แล้วตะกี้ผมฟังผิดรึเปล่า? อีกฝ่ายพูดใช่ไหมว่าให้มานั่งเล่นที่ห้องเขาน่ะ?

             “เอ่อ ตะกี้หมายความว่าไงหรอครับ?” ผมถามขึ้นอีกครั้งเพราะไม่แน่ใจว่าจะกี้ที่ตัวเองได้ยินนั้น แปลความหมายถูกรึเปล่า

             “ก็ไว้คุณมีเวลาว่างค่อยเอามาคืนก็ได้ครับ จะได้มานั่งเล่นห้องผมด้วยน่ะ” ได้ยินดังนั้นผมยิ่งหน้าแดงขึ้นไปอีก ใจผมนี่คิดอกุศลแล้วนะ! อะไรคือการช่วนไปนั่งเล่นที่ห้อง จะชวนไปดูเน็ตฟลิกซ์งั้นหรอ!!

             “คือคุณจะได้พาเจ้าแมวสองตัวมาด้วยไง ผมชอบแมวนะ แต่ไม่กล้าเลี้ยงเอง”

             “อะ...อ่อ ครับ ได้ครับ” รู้สึกตัวเองหน้าแตกดังเพล้งทันทีที่คิดอะไรแบบนั้น

             “ผมไม่รบกวนคุณแล้วดีกว่า ไปก่อนนะครับ แล้วอย่าลืม แวะเอาจานมาคืนผมด้วยล่ะ” อีกฝ่ายยังคงรอยยิ้มไว้ขณะพูด แถมยังเน้นย้ำว่าให้เอาจานมาคืนอีกด้วย ผมได้แต่ตอบรับแล้วรีบเข้าไปในลิฟท์ก่อนจะกดปุ่มอย่างรัวๆ หวังให้ประตูลิฟท์ปิดเร็วขึ้นสักวินาทีก็ดี เพราะตอนนี้ผมเขินจนหน้าแดงไม่ไหวแล้ว!!

             _______________
 

             ผมเห็นปฏิกริยาของคนที่เพิ่งลงจากลิฟท์ไปนั่นยิ่งทำให้ผมยิ้มกว้างขึ้น ก็นะอีกฝ่ายหน้าแดงซะขนาดนั้น ยิ่งเห็นเขาหน้าแดงผมก็ยิ่งอยากแกล้งให้หน้าเล็กๆ นั่นหน้าแดงยิ่งขึ้นไปอีก น่าสนใจดี

             จริงๆ เรื่องที่ผมว่า ‘ไว้วันไหนว่างๆ ค่อยเอามาคืนแล้วมานั่งเล่นที่ห้องผมก็ได้’ นี่ผมหวังอย่างนั้นจริงๆ นะ ไม่ได้หวังจะเล่นกับเจ้าแมวสองตัวนั้นหรอกแต่อยาก ‘เล่นเจ้าของแมว’ ต่างหาก~ แต่เพราะเห็นเจ้าตัวดูจะหน้าแดงทำอะไรไม่ถูกขนาดนั้น ผมก็เลยคิดว่าแกล้งน้อยลงหน่อยดีกว่า เดี๋ยวแมวตื่นหนีไปซะก่อน เลยยกเรื่องแมวขึ้นมาอ้างก็แค่นั้น ของอย่างนี้ต้องค่อยเป็นค่อยไปสินะ~

             _______________
 

             วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่หนักหนาสาหัส....ผมเป็นช่างภาพครับ งานหลักๆ ของผมคือถ่ายภาพในสตู และถ่ายภาพสถานที่ท่องเที่ยว ผมเป็นนักเขียนประจำอยู่คอลัมน์หนึ่งในนิตสารท่องเที่ยวชื่อดัง โดยผมจะส่งงานให้กับทางนิตยสารเดือนละหนึ่งครั้ง เวลาที่เหลือผมก็รับจ๊อบถ่ายภาพพรีเวดดิ้งในสตู ซึ่งส่วนมากผมรับถ่ายแค่วันละหนึ่งคู่เท่านั้น เพราะกว่าจะแต่งหน้า ทำผม และกว่าจะดึงอารมณ์เจ้าบ่าวเจ้าสาวให้ไม่เกรงก็แทบหมดเวลาแล้ว แต่วันนี้ดันเกิดข้อผิดพลาด ฝ่ายรับงานดันลงตารางซ้อนกัน เมื่อเคลียร์กันแล้วคู่นึงยอมถ่ายช่วงเช้า อีกคู่ยอมถ่ายช่วงเย็น แต่ไม่สามารถเปลี่ยนวันได้ ทำให้วันนี้ผมต้องทำงานเหนื่อยกว่าทุกวันเป็นสองเท่า...ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องดีเลยถ้าผมเหนื่อย....

             “โอเคครับ เรียบร้อยครับ ขอบคุณมาก”

             ผมบอกฝ่ายเจ้าบ่าวเจ้าสาว ก่อนจะหันไปดูเวลาแล้วพบว่าเกือบสามทุ่มแล้ว ผมรีบเก็บของให้เสร็จรอพนักงานออกไปหมดแล้วถึงจะล็อกห้องสตูดิโอถ่ายภาพ แต่แล้วผมก็รู้สึกหัวใจเต้นเร็วขึ้นกว่าปกติ...แย่แล้ว...หรือควรจะนอนค้างที่นี่ดี?

             เมื่อคิดได้ดังนั้นผมรีบไขประตูเปิดหวังว่าจะใช้ห้องสตูดิโอแทนห้องนอนแต่แล้วก็นึกได้ว่าผมเทอาหารและน้ำไว้ให้เจ้าสองตัวสำหรับกลางวันเท่านั้น....ถ้าผมไม่กลับห้องวันนี้มีหวังเจ้าสองตัวนั่นต้องหิวตายแน่ๆ

             เอาวะ!! กลับก็กลับ น่าจะทันแหละน่า

             ผมรีบโบกเรียกวินมอเตอร์ไซด์ที่ผ่านมาแถวนั้นพอดี ซึ่งปกติผมจะนั่งรถเมล์กลับจากที่ทำงาน แต่วันนี้หากนั่งรถเมล์กลับผมเกรงว่ากว่าจะถึงคอนโดคงไม่ทันการแน่ๆ

             ตึกๆ ตึกๆ

             ระหว่างทางเสียงหัวใจผมเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อถึงคอนโดผมรีบถอดหมวกก่อนจะส่งแบงค์ห้าร้อยให้แล้วรีบวิ่งเข้าไปในคอนโดทันทีโดยไม่คิดจะรับแม้กระทั่งเงินทอนถึงแม้มันจะเป็นจำนวนเงินที่มากกว่าค่าโดยสารจริงๆ อยู่หลายเท่าก็ตาม

             อีกนิดเดียว...อีกนิดเดียวเท่านั้นก็จะถึงห้องแล้ว

             ตึกๆ ตึกๆ

             เสียงหัวใจผมเต้นเร็วขึ้นกว่าเดิม มันเร็วจนผมเริ่มหายใจไม่ทัน เริ่มหอบขึ้นเล็กน้อย เหงื่อต่างๆ เริ่มผุดขึ้นมาตามใบหน้า มือเริ่มเย็นและเต็มไปด้วยเหงื่อจนเปียกชชื้น ผมรีบกดลิฟท์ไปยังชั้นหก แต่ ณ เวลานี้ ลิฟท์ก็ช่างดูช้าเหลือเกินในความรู้สึกผม

             เมื่อประตูลิฟท์เปิดออก ผมรีบก้าวออกไปหวังว่าจะเข้าห้องได้ทันเวลา แต่ร่างกายกลับไปตอบสนองตามความคิดเสียเลย ใจอยากจะรีบวิ่งเข้าไปในห้อง แต่ขากลับก้าวไม่ออก เดินได้เพียงก้าวสั่นๆ อย่างช้าๆ

             “อึก!!”

             ความรู้สึกแน่นหน้าอกเริ่มประทุขึ้นมาเป็นระลอก ผมได้แต่เอามือยันพนังช่วยประคองเดินไปข้างหน้า

             อีกนิดเดียว...อีกนิดเดียวเท่านั้น

             ในที่สุดผมก็เดินมาถึงหน้าห้องตัวเอง ผมหยิบกุญแจในกระเป๋ากางเกงข้างซ้ายจังหวะนั้นเองที่ผมรู้สึกหน้ามืดก่อนทุกอย่างจะกลายเป็นสีดำ และผมไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไป....

             ______________


             ตึง!!

             เสียงอะไรบางอย่างหล่นดังขึ้นบริเวณหน้าห้องของผม เรียกความสนใจของผมออกจากโทรทัศน์ที่ผมดูอยู่ ผมส่องไปที่ตาแมวตรงประตูก็ไม่เห็นอะไร จึงตัดสินใจเปิดประตูออก

             ผมหันไปทางซ้ายก็ไม่เห็นอะไร แต่เมื่อหันไปทางขวา ผมก็พบเสื้อผ้าอยู่กองนึง...

             เสื้อผ้า? ทำไมมาวางกองอยู่ตรงนี้?

             ผมเดินไปกดกริ่งห้องข้างๆ เพราะเดาว่าเจ้าของห้องน่าจะเป็นเจ้าของเสื้อผ้ากองนี้

             “…….”

             เงียบไร้การตอบรับ

             “คุณครับ? ได้ยินไหมครับ? เสื้อผ้าหน้าห้องนั่นของคุณรึเปล่าครับ?”

             “…….”

             ก็ยังคงเงียบไร้การตอบรับ...หรือว่าจะยังไม่กลับห้องกันนะ แต่ว่า...แล้วเสื้อผ้ากองนี้มันคืออะไรกันล่ะ?

             ผมเพ่งมองดูกองเสื้อผ้านั้นอีกครั้งก็จำได้ว่านั่นเป็นเสื้อผ้าชุดเดียวกับที่เจ้าของห้องใส่เมื่อเช้า แถมกระเป๋าสะพายข้างที่เจ้าตัวสะดายไปเมื่อเช้าก็ยังวางอยู่ตรงนี้ด้วย

             “เมี๊ยว~ เมี๊ยว~” เสียงเจ้าแมวในห้องร้องดังโหวกแหวกมาจากในห้อง น้ำเสียงของทั้งสองตัวดูตื่นตกใจกว่าปกติ หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคนในห้อง?

             ผมรู้สึกร้อนรนขึ้นมาทั้งที ความจริงเสียงเมื่อกี้อาจจะไม่ใช่เสียงของหล่น แต่ถ้าเป็นเสียงของคนในห้องล้มลงล่ะ? ถ้าเกิดเขาบาดเจ็บขึ้นมาล่ะ? หรือว่าผมควรไปแจ้งนิติคอนโดให้ขึ้นมาเปิดห้องให้ดี ผมเริ่มเป็นห่วงคนข้างในขึ้นมาซะแล้ว

             “เมี๊ยว~เมี๊ยว!!”

             เสียงแมวร้องดังขึ้นอีกครั้ง ช่วยเร่งการตัดสินใจของผม จังหวะที่ผมจะหันกลับไปยังลิฟท์นั้นเองผมก็เห็นกุญแจห้องตกอยู่แถวกองเสื้อผ้านั้น

             โชคดีล่ะ!! ผมรีบหยิบกุญแจที่ตกอยู่ก่อนจะไขประตูห้องทันที โชคดีที่กุญแจนั้นเป็นกุญแจห้องจริงๆ เมื่อเข้ามาในห้องผมรีบวิ่งเข้าไปทันที ไม่ทันเห็นเจ้าแมวสองตัวที่วิ่งตรงดิ่งออกมาที่กองเสื้อผ้า

             ผมเปิดประตูห้องน้ำ ห้องนอน ระเบียง เดินดูตามห้องครัวก็ไม่พบใครอยู่ในห้อง ตอนเข้ามาในห้องไฟก็ไม่ได้เปิดอยู่ หรือว่าเจ้าของห้องจะยังไม่กลับ?

             “เมี๊ยว! เมี๊ยว~ เมี๊ยว!!” เสียงแมวเอะอะโวยวายหน้าห้องทำเอาผมต้องละสายตาจากในห้องไปมองเจ้าแมวทั้งสามตัวนั่น

             หืม? สามตัว? ทำไมมีแมวอยู่สามตัว?

             เมื่อผมหันไปมองเจ้าแมวตัวส้มกับตัวขาวกำลังเลีย คลอเคลียแมวตัวหนึ่งที่นอนอยู่ มันเป็นแมวขนสีเทาหรือที่เรียกกันว่าสีสวาด เจ้าตัวขาวพยายามเอาหัวดุนเจ้าตัวสีเทา เหมือนพยายามประคองให้เจ้าตัวสีเทาลุก ในขณะที่เจ้าตัวส้มก็พยายามเลียและส่งเสียงเรียกเจ้าตัวสีเทา แต่เจ้าตัวสีเทาก็ยังคงนอนนิ่ง

             ผมเดินเข้าไปใกล้เจ้าสามตัวนั้นมาขึ้น นั่งยองๆ ลงมองพวกมัน เห็นเจ้าแมวสีเทานอนกองปนอยู่กับเสื้อผ้า คงเพราะงี้เขาเลยไม่ทันสังเกตุเห็นเจ้าตัวเล็กที่นอนอยู่เพราะเสื้อผ้าที่กองอยู่นั้นก็เป็นสีเทากับสีดำซึ่งดูผ่านๆ ก็กลืนกับขนแมวมากๆ

             ทั้งสองตัวที่ไม่ได้สลบอยู่หันมามองผม เจ้าตัวอ้วนสีส้มหันมากัดที่ชายกางเกงผมก่อนจะออกแรงดึงน้อยๆ มาที่เจ้าแมวสีเทา

             “หืม? หมายความว่าไง?”

             ผมหันไปพูดกับมัน เจ้าตัวขาวก็ส่งเสียงร้องขึ้นพลางหันหน้ามาทางผมที ทางเจ้าแมวสีเทาที เจ้าตัวส้มก็ยังดึงผมไปทางเจ้าแมวสีเทาไม่หยุด

             ผมเห็นท่าทางอย่างนั้นก็เริ่มเดาได้

             “อยากให้ช่วยเจ้าตัวเล็กนี่หรอ”

             “เมี๊ยวๆ!” ทั้งสองร้องขึ้นอย่างตื่นเต้น โอเค ผมคงเดาถูกสินะ ดังนั้นผมจึงค่อยๆ อุ้มเจ้าแมวตัวที่สลบอยู่ด้วยมือข้างหนึ่งส่วนอีกข้างก็หอบหิ้วเสื้อผ้าที่กองอยู่และไม่มือที่จะหยิบกระเป๋าขึ้นด้วย

             เมื่อหันไปทางห้อง ก็พบว่าที่ห้องยังคงปิดไฟมืดอยู่ เขาจึงก้มลงมองเจ้าแมวสองตัว

             “นี่ เจ้านายพวกแกไม่อยู่ห้องหรอ?” ผมถามขึ้นหวังว่าจะได้รับคำตอบจากทั้งสองตัว แต่แมวก็ยังคงเป็นแมว มันคงไม่สามารถพูดตอบโต้กับผมได้ มันพูดได้แค่ เหมียว~ เมี๊ยว~ ซึ่งผมขอเดาไปเองละกันว่าใช่

             “งั้นพวกแกตามมานี่ละกัน มาอยู่ที่ห้องผมก่อน รอจนกว่าเขาจะกลับมานะ”

             “เมี๊ยว!”

             “เมี๊ยว~”

             ทั้งสองตัวตอบรับ ผมเห็นดังนั้นจึงเปิดประตูด้วยความทุลักทุเลเล็กน้อยเพราะมือข้างนึงก็อุ้มแมวที่สลบอยู่ในขณะที่อีกข้างก็เต็มไปด้วยเสื้อผ้าและกระเป๋า แต่เมื่อเปิดประตูได้ ก็รีบหันไปพยักหน้าให้เจ้าแมวสองตัวเดินเข้่ามา ซึ่งทั้งสองก็ตามเข้ามาอย่างว่าง่าย เจ้าแมวสีขาวทีอาทิตย์ก่อนทำท่ากลัวห้องเขาอยู่เลยวันนี้กลับยอมเดินเข้ามาอย่างดีๆ ไม่ส่งเสียงร้องหวาดกลัวใดๆ นั่นทำให้เขายิ้มออกเล็กน้อย

             เมื่อเข้ามาในห้องผมเอาแมววางไว้บนโซฟา ก่อนจะวางเสื้อผ้าและกระเป๋าไว้บนโต๊ะไม่ห่างกัน เมื่อวางเสื้อผ้าก็พบว่ามันไม่ได้มีแค่เสื้อและกางเกง แต่มันยังมีชุดชั้นใน?!! ทำไมชุดที่เจ้าของห้องข้างๆ ใส่เมื่อเช้ามันดันตกอยู่ที่หน้าห้อง ‘ทุกชิ้น’ แบบนี้ล่ะ?!!





___________________
หมายเหตุ ชวนไปดูเน็ตฟลิกต์ มาจากคำว่า “watch Netflix and chill” ซึ่งเป็นสำนวนที่ถ้าแปลตรงๆ ก็คือชวนไปดูเน็ตฟลิกต์และพักผ่อน แต่ความหมายโดยนัยคือ การชวนเข้าห้องไปมีอะไรกัน ไป xxx กัน~

ปล. เรื่องจริงไม่ควรให้น้องแมวทานเค้กนะคะ ^^ อาจจะไม่ได้มีอันตรายมากกับน้อง
แมวเปนสัตว์กืนเนื้อต้องการโปรตีนไม่ได้ต้องการคาร์โบไฮเดรตมาก แป้งไม่จำเป็นสำหรับแมว น้องกินเยอะก็อ้วนไม่ดีต่อสุขภาพของน้องน้าาาาาาาาาาาาาาาาาา ^W^)//
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-01-2019 22:35:04 โดย มากมายด์ »

ออฟไลน์ chancha

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +32/-0
โอ๊ะ เป็นแมวสินะ

ออฟไลน์ nikpook

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
น่ารักจังเลยผู้ชายทำขนมกับแมวสีเทา :katai2-1: ขำไข่แดงน้องน่าบีบมาก และชื่อแมวก็ตั้งได้น่ารักมากเลย :-[ มาต่อเร็วๆน้า เป็นกลจให้ไรท์ สู้ๆนะคะ สนุกมากๆๆๆ :L2:

ออฟไลน์ มากมายด์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0

บทที่ 2 แมวของผม...ไม่กลัวฟ้าร้อง






             ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้น หันไปมองรอบตัว โอเค...แน่ชัดแล้วว่าตอนนี้ผมไม่ได้อยู่ในห้องแต่ห้องนั้นก็ใช่ว่าจะไม่ใช่ห้องที่ไม่คุ้นเคย การตกแต่งห้อง เครื่องของใช้เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ บ่งบอกว่ามันเป็นห้องที่ผมเคยเข้ามาแล้วเมื่ออาทิตย์ก่อน

              หันมองดูรอบตัวอีกครั้งผมก็รู้สึกได้ว่ามุมมองสายตาของผมเปลี่ยนไป...ซึ่งแน่ชัดอีกว่า ตอนนี้ผมคงกลายเป็นแมว...

             “คุณพายคะ” เสียงจากด้านล่างเรียกให้ผมก้มลงไป เมื่อผมก้มลงไปมองก็พบกับเจ้าแมวขนสีขาวมองขึ้นมาอยู่

             เมื่อมันเห็นผมมองจ้องหน้า มันก็กระโดดขึ้นมาบนโซฟาทันที ทำให้สายตาตอนนี้เราอยู่ในระดับเดียวกัน

             “คุณพายรู้สึกดีขึ้นรึยังคะ?” แมวตรงหน้าถามผมขึ้น พลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้

                “อือ ดีขึ้นแล้วล่ะ”

             เพราะกลายเป็นแมว ผมจึงฟังภาษาแมวรู้เรื่อง ร่างกายผมเป็นอย่างนี้ตั้งแต่จำความได้ เมื่อผมเหนื่อยจนเกินไป ร่างกายก็จะกลายเป็นแมว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่ทุกครั้งที่กลายเป็นแมวเมื่อกลับเป็นร่างมนุษย์ผมก็จะรู้สึกสดชื่นขึ้นทันที ราวกับว่าร่างกายแมวของผมเป็นที่ชาร์ตพลังงานอย่างนั้นแหละ แต่มันก็มีเรื่องน่ากังวลใจอยู่แม้ตอนจะกลายร่างผมพอจะเดาได้ว่าจะกลายร่างเมื่อไหร่แต่บางครั้งก็ผิดพลาด อย่างครั้งนี้ที่ผมกะเวลาพลาดทำให้กลายร่างทั้งๆ ที่ยังไม่ทันเข้าห้องดี นอกจากนี้เมื่อกลายเป็นแมวแล้วก็ไม่มีสัญญาณอะไรบอกเลยว่าผมจะกลับเป็นมนุษย์เมื่อไหร่ บางครั้งผมก็อยู่ในร่างแมวทั้งวัน บางครั้งก็แค่หนึ่งชั่วโมง บางทีก็แค่สิบนาที ...ไม่รู้ว่ารอบนี้ผมจะอยู่ในร่างนี้อีกนานแค่ไหน ทางทีดีผมว่าผมคงต้องรีบหาทางกลับห้องก่อนที่จะกลับร่างเดิม

             “แล้วเจ้าไข่แดงล่ะ?” ผมถามอีกฝ่ายกลับเมื่อไม่หันเจ้าแมวอีกตัวอยู่แถวนี้

             เมื่อได้ยินดังนั้นอีกฝ่ายบุ้ยหน้าไปขวาเล็กน้อยก่อนจะพูดด้วยความหน่ายใจ “เจ้านั่นโดนมนุษย์หลอกล่อด้วยอาหารนั่งอย่างสบายใจอยู่ตรงแถวครัวค่ะ”

             ผมพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะกระโดดขึ้นไปยังบริเวณพนักพิงโซฟา เพราะจากจุดที่ผมนอนอยู่เมื่อกี้มันมีพนักพิงกั้นทำให้ไม่สามารถมองไปยังห้องครัวได้

             เมื่อผมกระโดดขึ้นมา ผมก็เห็นเจ้าของห้องกำลังหันหลังนั่งยองๆ กับพื้น มือขยุกขยิกอยู่ด้านหน้าทำบางอย่างอยู่ ข้างๆ กันนั้นมีเจ้าแมวตะกละของผมคอยมองตามมือคู่นั้นอย่างไม่วางตา

             “เจ้าแมวอ้วน!!” ผมส่งเสียงเรียกเจ้าตัวอ้วนสีส้มที่นั่งกลมอยู่ตรงนั้น แต่เพราะเสียงที่ดังเกินไปทำให้คนที่กำลังง่วนอยู่กับการทำบางอย่างหันมามองตามเสียงด้วย แม้เขาจะได้ยินเพียงคำว่า เมี๊ยว ซึ่งเป็นเสียงร้องของแมวก็ตาม

             “อ้าว ตื่นแล้วหรอเจ้าตัวเล็ก”

             ตอนนั้นเองที่ผมเห็นชัดว่ามือที่ดูทำอะไรบางอย่างอยู่เมื่อกี้นั้นคือกำลังแกะก้างปลาทูอยู่นี่เอง

             “ตื่นแล้วขอบคุณนะครับที่ช่วยเหลือ” ผมพูดออกไปอย่างเคยตัวลืมไปว่าตอนนี้ตัวเองเป็นแมวอยู่ เสียงที่อีกฝ่ายได้ยินก็ยังคงเป็นเสียงแมวร้องเหมียว~

             “บ่นอะไรห้ะ? เจ้าตัวเล็ก” เขายิ้มก่อนจะเดินไปล้างมือ แล้วเอามือนั้นมาลูบหัวผมเล็กน้อย

             ผมได้แต่ก้มหน้ามองเท้ามังคุดของตัวเอง โชคดีที่ตอนนี้กลายเป็นแมว เพราะถ้าเป็นมนุษย์ผมคงหน้าแดงมากแน่ๆ เลย

             ขณะที่ผมกำลังก้มหน้าเขินอยู่นั่นเอง จู่ๆ ร่างกายผมก็ตัวลอยขึ้นมา เมื่อเงยหน้าขึ้นไปก็พบว่าคนช่างยิ้มกำลังอุ้มผมอยู่ แน่นอนผมขัดขืนทันที

             “ปล่อยผมนะ!! ปล่อยผมเซ่!!” แน่นอนว่าอีกฝ่ายก็ยังคงได้ยินแค่ว่า “เมี๊ยว! เมี๊ยว!”

             “ไม่เอาไม่ดื้อครับ ไม่ดิ้นสิครับ”

             เขายกตัวผมขึ้นมาให้หน้าอยู่ตรงระดับสายตาของเขา พลางทำหน้าดุเล็กน้อยก่อนจะจับแขนขวาซ้ายโยกไปมาเล็กน้อย แล้วก้มหน้าฟัดลงกับพุงผมอย่างหมั่นเขี้ยว

             เหี้ย…..!!!

             เขินสิครับ ใครเจองี้ก็เขินไหม เจอคนที่เพิ่งรู้จักมาเอาหน้าถูไถกับท้องงี้ โอ๊ย ตายเถอะ ตายไปเลย!!! ถ้าแมวหน้าแดงได้ ผมเชื่อว่าตอนนี้ผมคงไม่แดงแค่หน้าแต่แดงไปทั้งตัวแล้วแน่ๆ นี่มันยิ่งกว่าความเขิน ยิ่งกว่าอายแล้วววววววว แต่ยังไม่ทันที่สติผมจะกลับคืนมาดีพอที่จะดีดดิ้นหนีจากมือที่อุ้มตัวเองอยู่ อีกฝ่ายก็เอาหน้าออกจากพุงของผม

             “ไปครับ ไปกินข้าวกัน” เขาเดินไปอีกไม่กี่ก้าวก็ถึงที่เจ้าแมวอ้วนตัวส้มนั่งมองปลาทูอยู่ จึงปล่อยผมลงข้างๆ มัน

             “แล้วเจ้าตัวขาวหายไปไหนเนี่ย?” ร่างสูงเดินวนไปมารอบห้องแล้วก็พบเจ้าตัวขาวนอนอยู่บนโซฟา จึงเดินเขาไปอุ้มมันมาวางรวมกับอีกทั้งสองตัวที่ยืนอยู่หน้าปลาทู แล้วลงนั่งแกะปลาทูให้เจ้าแมวทั้งหลายต่อ

             เพียงไม่นานปลาทูทั้งสามตัวก็ถูกแกะพร้อมให้เจ้าแมวน้อยทั้งสาม เจ้าของห้องแบ่งใส่จานไว้สำหรับแมวสามตัว เลยทำให้ผมไม่ต้องกินรวมจานเดียวกับเจ้าไข่ขาวและไข่แดง แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าไข่ขาวก็ยังดูจะเกรงใจผมมันเลยยังไม่กิน รอให้ผมกินก่อน ต่างจากเจ้าอ้วนไข่แดงที่ทันที่ที่เขาวางจานตรงหน้ามันมันก็รีบปรี่เข้าไปกินทันที

             ผมกินไปได้ไม่กี่คำก็รู้สึกอิ่มซะแล้ว หันไปมองนาฬิกาตั้งแต่ฟื้นมาจนถึงตอนนี้ก็ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วสินะ...ไม่ได้การณ์ล่ะ มัวแต่ไร้สาระ ต้องรีบหาทางกลับห้อง

             ผมหันไปมองทางประตู ...ทางประตูก็ไม่ได้เพราะนอกจากประตูห้องนี้จะปิดอยู่ซึ่งมือแมวๆ ก็ไม่มีทางเปิดได้ ห้องของผมก็คงปิดอยู่เหมือนกัน...

              “เป็นอะไรไปหรอครับคุณพาย” เสียงเจ้าไข่แดงที่ละจานจากปลาทูหันมาเห็นผมมองล่อกแล่กไปมาเลยถามขึ้น นั่นทำให้ผมคิดได้ ทางระเบียงไงล่ะ!! คราวก่อนเจ้าแมวอ้วนนี่ก็แอบเข้ามาห้องนี้ทางระเบียง

              แต่จังหวะที่ผมวิ่งไปทางระเบียงนั้นร่างกายผมก็ลอยขึ้นอีกครั้ง ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าฝีมือใคร! แต่ครั้งนี้ผมจะไม่ยอมแพ้หรอกนะ

              “ไข่แดง! ไข่ขาว! ถ่วงเวลาให้ที!!

              ไข่ขาวรีบทำตามคำสั่งเจ้านายทันที แต่เจ้าไข่แดงยังคงง่วนกับอาหารตรงหน้า ไม่คิดจะเดินมาชวนจนเจ้าไข่ขาวต้องไปกัดหูเบาๆ แล้วลากให้มันเดินตามมา

             เมื่อทั้งสองวิ่งมาถึงร่างสูง ไข่ขาวก็กระโดดกัดแขนเขาทันที ส่งผลให้ฝ่ายที่โดนกัดตกใจจนเผลอปล่อยมือออกจากตัวผม

             “เฮ้ยๆ ไข่ขาวใจเย็นๆ อย่าทำร้ายคนอื่นสิ!”

             “แต่คุณพายคะ?!”

             “ช่างมันๆ ยังไงก็อย่ารุนแรงอีกนะ” ไข่ขาวพยายามจะแย้งแต่ผมพูดขัดขึ้นก่อน ผมไม่มีเวลาจะมาห่วงร่างสูงมากนัก เพราะไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนตัวเองจะกลับร่างเดิม ดังนั้นนี่เป็นโอกาสผมจึงใช้จังหวะนี้กระโดดหนีไปทางระเบียง โชคดีที่ระเบียงนี่เปิดไว้นิดหน่อย พอให้ตัวผมลอดผ่านไปได้พอดี

             เมื่อออกมาตรงระเบียง ผมหันกลับไปมอง เห็นเจ้าสองตัวกระโดดไปมาป่วนเจ้าของห้องอยู่ แต่ดูท่าจะไม่ได้ทำรุนแรงอีกแล้วผมก็รู้สึกอุ่นใจ แต่อย่างไรก็ตามแมวของผมก็ทำให้เขาบาดเจ็บ ไว้กลับเป็นคนเมื่อไหร่เดี๋ยวผมค่อยมาดูแผลเขาอีกทีละกัน

              ผมหันกลับไปที่ระเบียงอีกที และพบบริเวณที่พอจะกระโดดไปยังห้องตัวเองได้ อาศัยความตัวเล็ก และความปราดเปรียวของแมว ในที่สุดผมก็ข้ามมายังระเบียงห้องตัวเองได้อย่างง่ายดาย ปัญหาตอนนี้เหลือเพียงว่าผมจะเข้าห้องตัวเองยังไงนี่แหละ ตอนเช้าก่อนออกจากห้องผมก็ล็อกห้องไว้อย่างแน่นหนาเพราะกะจะกันไม่ให้เจ้าแมวอ้วนแอบหนีมาเล่นห้องนี้อีก ใครจะไปคิดว่ามันจะกลายเป็นอุปสรรคของผมไปซะงั้น

              ผมเดินป้วนเปี้ยนอยู่ที่ระเบียงตัวเองไปมาสักพักก็รู้สึกหัวใจกระตุกวูบ

              หรือว่า?!!

              “อึก!!”

             เพียงชั่ววูบร่างกายผมก็ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น แล้วสุดท้ายร่างกายผมก็กลับเป็นมนุษย์...ดีล่ะ อย่างน้อยก็ตัวใหญ่ขึ้น มีแขนมีขา สะดวกกว่าตอนเป็นแมวละกันล่ะ

             แต่ก็ยังมีปัญหาอยู่ดี...เพราะตะกี้เป็นแมวพอกลับเป็นคนแน่นอนว่าตอนนี้ผมเปลือย...เปลือยแบบไร้ซึ่งอะไรปิดบังทั้งสิ้น...อ่า...ต้องรีบเข้าห้องซะแล้ว ถ้ามีคนมาเห็นเข้านี่ต้องอับอายยันลูกบวชแน่ๆ

              หันซ้ายหันขวาก็ไม่รู้จะทำไง กุญแจระเบียงก็อยู่ในห้อง ตอนนั้นเองที่สายตาผมหันไปเห็นกระถางต้นกัญชาแมวผมก็นึกอะไรบางอย่างออก

               ขอโทษนะไข่ขาวไข่แดง เดี๋ยวผมซื้อใช้คืนนะ

               เมื่อคิดได้ดังนั้นผมก็หยิบกระถางต้นนั้นขึ้นมาก่อนจะทุ่มกระถางไปยังกระจกประตูระเบียง

               เพล้ง!

              เสียงดังจากระเบียงเรียกความสนใจจากคนที่กำลังวุ่นอยู่กับแมวทั้งสองให้รีบออกไปดู เป็นจังหวะเดียวกับที่ผมเข้าไปในห้องได้พอดี ผมรีบตรงดิ่งเข้าไปในห้องนอนก่อนจะหยิบเสื้อผ้ามาสวมใส่ให้เรียบร้อย แต่ยังไม่ทันติดกระดุมเสื้อให้เรียบร้อยเสียงกริ่งหน้าห้องก็ดังขึ้น

             “คร้าบบบบ~” ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใครมากดกริ่ง

             “เป็นอะไรรึเปล่าครับ?!” อีกฝ่ายรีบพูดขึ้นอย่างร้อนลนทันทีที่ผมเปิดประตูออกไป

             “เอ่อ...ไม่เป็นอะไรครับ”

             “จริงๆ นะครับ? ไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหม?” ไม่ว่าเปล่าเข้ายื่นมือมาจับไหล่ผมก่อนจะจับหันซ้ายหันขวา มองสำรวจตัวผม

             “ผมไม่เป็นไรจริงๆ ครับ ว่าแต่คุณเถอะแขนที่โดนแมวกัดน่ะ เจ็บมากไหมครับ”

             “ผมไม่เป็นไรครับ ว่าแต่เกิดอะไรขึ้นครับ ผมได้ยินเสียงเหมือนกระจกแตก แล้วนี่คุณกลับมาที่ห้องตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?” อาจจะเป็นเพราะเขามัวแต่เป็นห่วงผมเลยไม่สังเกตุว่าผมรู้ได้ยังไงว่าเขาโดนแมวกัด

             “ผมเพิ่งกลับมาครับ คือพอดีซุ่มซ่ามไปหน่อยเลยทำกระจกแตกเล็กน้อยครับ” ผมตอบเขาทุกคำถามที่ได้รับมาเมื่อสักครู่ พออีกฝ่ายได้ยินคำตอบที่หน้าพอใจก็เหมือนจะได้สติขึ้นมา ก่อนจะยิ้มขึ้นเล็กน้อย

             ยิ้มอีกแล้ว....

             “เสื้อน่ะครับ...ใส่ให้เรียบร้อยหน่อยไหมครับ?”

             เหี้ย!!! ลืม!!!

              เพราะมันแต่รีบร้อนออกมาเปิดประตูนั่นแหละเลยลืมว่าตัวเองยังติดกระดุมไม่เรียบร้อย ผมรีบรวมเสื้อปิดทันที ก่อนจะหันหลังแล้วรีบเดินเข้าไปในห้องน้ำทันที เหี้ยๆ โอ๊ยยยยยย บ้าบอ นี่มันจะน่าอายเกินไปแล้ว!!

              ผมหันไปมองกระจก แล้วพบว่าหน้าตัวเองขึ้นสีแดงไปทั้งหน้าลามไปถึงหู แดงอย่างกับลูกมะเขือเทศ หวังว่าเมื่อกี้เขาคงไม่ได้สังเกตนะ

               ผมแต่งตัวให้เรียบร้อย พลางส่องกระจกอีกครั้ง ใบหน้าที่แดงเมื่อกี้ก็ดูจะแดงน้อยลงแล้ว จึงค่อยๆ โผล่หน้าออกไปหาแขกเมื่อสักครู่ เขายังคงยืนยิ้มอยู่ตรงหน้าห้อง

              “เอ่อ...แผลที่แขนน่ะครับ เดี๋ยวผมทำแผลให้นะครับ”

              “หืม?”
 
              “แผลที่แขนน่ะครับ เลือดมันยังไหลอยู่เลย”

              “อ่อ ครับ”

               ผมเดินเข้าไปหาเขา ก่อนจะค่อยๆ พาเขามานั่งที่โซฟาห้องนั่งเล่น แล้วหยิบกล่องปฐมพยาบาลออกมานั่งลงทำแผลให้คนตรงหน้า

                “….”

                      “….”

              เงียบ....ผมก้มหน้าก้มตาทำแผล เขาก็ก้มหน้าก้มตามองผม....มันจะเงียบเกินไปแล้ว

             “แมวทั้งสองตัวของคุณอยู่ที่ห้องผมนะ”

             “ครับ ผมรู้แล้ว”

             “หืม? รู้? รู้ได้ไงครับ?”

             ฉิบหายล่ะ! ลืมไปเลย จะบอกได้ไงว่าเมื่อกี้ผมก็อยู่ในห้องด้วยน่ะ

             “หรือว่าได้ยินเสียงครับ?” อีกฝ่ายเหมือนเปิดทางสว่างให้ผมแถได้ผมก็รีบแถทันที

             “ครับ เมื่อกี้ตอนเดินผ่านห้องผมได้ยินเสียงน่ะ กะว่าจะไปรับเจ้าสองตัวพอดี แต่ดันซุ่มซ่ามทำกระจกประตูระเบียงแตกซะก่อนน่ะครับ”

              “อ่อ...ครับ”

              “….”

             “แล้วตะกี้คุณไปไหนมาหรอครับ?”

          

ออฟไลน์ มากมายด์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0




  “อ่า….” เป็นอีกครั้งที่ผมไม่รู้จะตอบอะไร จะให้พูดได้ไงวว่าตะกี้กลายร่างเป็นแมวน่ะครับ ในระหว่างที่ผมกำลังคิดหาข้ออ้างขึ้นมานั้น อีกฝ่ายก็รีบพูดขึ้นมาทันที

             “ถ้าลำบากใจ ก็ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องบอกผมหรอก”

             ผมเงยหน้าไปมองผู้พูดทันที เพราะกลัวเขาจะเข้าใจผมผิดหรือโกรธผม แต่ผมกลับเห็นรอยยิ้มที่ส่งกลับมาให้

             “ไม่โกรธผมใช่ไหมครับ...”

              “โกรธ? โกรธอะไรครับ”

             “ก็...ที่ผมไม่ยอมบอก แถมยังทำให้คุณวุ่นวาย แมวผมก็ยังมากัดคุณอีก”

             “คิดมากน่ะครับ เรื่องแค่นี้เอง คนเรามันก็ต้องมีเรื่องที่พูดไม่ได้สักสองสามเรื่องแหละ ถ้าคุณไม่อยากพูดผมก็ไม่อยากฟัง ผมรู้มันคงเป็นเรื่องสำคัญกับความรู้สึกคุณ ผมก็ไม่อยากก้าวก่าย ส่วนเรื่องแมว เราก็คนกันเอง แค่นี้ช่วยได้ก็ให้ผมช่วยเถอะครับ”

             ผมได้ยินแบบนี้ก็รู้สึกดีกับคนตรงหน้ามากขึ้นไปอีก เขารู้ว่าผมไม่สบายใจที่จะพูด เขาก็ไม่ถามย้ำให้ผมรู้สึกแย่ แถมยังพยายามเข้าใจความรู้สึกของผมอีก

             “ขอบคุณครับ...ขอบคุณจริงๆ” ผมไม่มีคำใดจะเอ่ยนอกไปจากสองคำนี้จริงๆ

             “เรื่องแค่นี้สบายมากครับ ผมเต็มใจช่วย” อีกฝ่ายยิ้มนิดๆ พลางยกมือขึ้นมาลูบหัวผมเบาๆ ทำเอาผมตกใจไปเล็กน้อย แต่ก็ยินยอมรับสัมผัสนั้นไม่หลบนี้ไปไหน แค่มือที่ลูบหัวผมเบาๆ กลับทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก...

             “เสร็จแล้วครับ” ผมบอกอีกฝ่าย เดินเอาอุปกรณ์ทำแผลต่างๆ ไปเก็บไว้ที่เดิม

             “ขอบคุณครับ”

             “……”

             “……”

             แล้วห้องก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ก่อนที่อีกฝ่ายจะเป็นคนเริ่มเปิดสนทนาอีกครั้ง

             “จริงสิ!! ตะกี้ผมเจอแมวตัวเล็กสีเทาอยู่กับแมวสองตัวของคุณด้วยครับ แต่แว่บเดียวมันก็กระโดดมาที่ระเบียงห้องคุณแล้ว เจ้าตัวนั้นก็แมวของคุณหรอครับ”

             ฉิบหายx2 ผมยังไม่ได้เตรียมข้ออ้างอะไรไว้เลยแต่ก็โดนโจมตีด้วยคำถามอีกระลอก

             “เอ่อ...ครับ เจ้าตัวนั้นแมวของผมเองแหละ ผมเพิ่งรับมาเลี้ยง ผมก็ตกใจหมดว่าทำไมมันมาโผล่ที่ระเบียงที่แท้มันไปอยู่ห้องคุณนั่นเอง” โชคดีที่มีสกิลแถติดตัว

             “น่ารักดีนะครับ” จู่ๆ ก็พูดขึ้นมาทำเอาใจผมกระตุกวูบขึ้นมา

             “เอ่อ...ครับ”

             “แล้วตอนนี้มันอยู่ไหนหรอครับ?”

             “อ่อ…มันหลับอยู่ในห้องน่ะครับ” ผมแถไปอีกครั้ง

             “หรอครับ งั้นก็ค่อยโล่งใจหน่อย ว่าแต่คุณไปรับเจ้าแมวสองตัวนั่นไหมครับ หรือจะให้ผมเอามาให้ดี?”

             “อ๋อ เดี๋ยวผมไปอุ้มกลับมาเองครับ แค่นี้ก็รับกวนคุณมากไปแล้ว”

             “บอกแล้วไงครับว่าไม่ได้รบกวนเลย” เขายิ้มราวกับจะเป็นการเน้นย้ำคำพูดที่ว่าไม่ได้รบกวนอะไรเลย

             เปรี้ยง!

             เสียงฟ้าผ่าดังเรียกความสนใจให้ผมหันออกไปมองนอกหน้าต่าง มัวแต่สนใจคนตรงหน้าจนไม่ทันสังเกตเลยว่าฝนตกตั้งแต่เมื่อไหร่

             เปรี้ยง!

             เสียงฟ้าผ่าดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ผมทันสังเกตเห็นอีกฝ่ายสะดุ้งตัวเล็กน้อย
 
             ครึก! ครื้น!

             คราวนี้เป็นเสียงฟ้าร้องดังขึ้นมาแทนเสียงฟ้าผ่า และคนตรงหน้าผมก็สะดุ้งอีกครั้ง

             “คุณกลัวฟ้าร้องฟ้าผ่าหรอครับ?” ผมถามขึ้นด้วยความสงสัย เพราะจากปฏิกริยาคนตรงหน้าดูจะชัดเจนมากว่าผมคิดถูก

             “อ่า...จะเรียกว่ากลัวก็ไม่เชิงครับ ผมแค่ไม่ชอบแล้วก็ตกใจง่ายกับเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าก็แค่นั้น พอดีเคยมีเรื่องไม่ดีฝังใจนิดหน่อย” อีกฝ่ายหน้าซีดขึ้นมาเล็กน้อย ทำให้ผมรู้ว่าเขาคงมีเรื่องฝังใจจนไม่อยากพูดถึงมัน ซึ่งถ้าเขาไม่อยากเล่าผมก็จะไม่ก้าวก่ายอย่างที่เขาทำกับผม

             “งั้นเราไปที่ห้องคุณกันเถอะครับ เจ้าแมวสองตัวนั่นคงรอผมจนรากงอกแล้ว” ผมรีบเปลี่ยนเรื่อง ลุกขึ้นแล้วลากคนตรงหน้าให้ลุกขึ้นเดิน อีกฝ่ายดูตัวสั่นนิดๆ ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงท้อง้าสั่นไหว แต่ก็คงลุกเดินตามผมมาอย่างว่าง่าย



             เมื่อเปืดประตูเข้าไปเจ้าสองตัวนั้นก็รีบปรี่เข้ามาหาผมทันที ส่วนเจ้าของห้องค่อยๆ ประคองร่างตัวเองไปนั่งที่โซฟา ตัวยังคงสั่นไม่หยุด

             ผมอุ้มเจ้าสองตัวขึ้นมา ก่อนที่เสียงฟ้าจะดังขึ้นมาอีกครั้ง

              เปรี้ยง!

              คราวนี้ร่างสูงเจ้าของห้องสะดุ้งแรงขึ้น ผมที่กำลังจะบอกลาอีกฝ่ายเห็นแล้วก็รู้สึกเห็นใจขึ้นมาทันที

             “ผมขออยู่ต่ออีกสักแป๊ปได้ไหม”

             “ครับ?” พอผมพูดไปอย่างนั้นอีกฝ่ายก็รีบหันหน้ามามองผม ดวงตามีประกายแห่งความดีใจอยู่ในนั้น

             “คือ พอดีเจ้าอ้วนนี่ดูท่าจะติดคุณซะแล้ว มันดูยังไม่อยากกลับห้อง ยังไงผมขอนั่งอยู่ในห้องคุณอีกสักพักได้ไหมครับ” ผมยกเจ้าอ้วนตัวส้มมาเป็นข้ออ้างขึ้นมา เจ้าแมวเหมือนรู้ตัวว่ากำลังพูดถึงตัวเองเลยส่งเสียงร้องเล็กน้อย

             “เหมียว~”

             “ถ้างั้นก็เชิญครับ เดี๋ยวผมไปหยิบคุกกี้มาให้นะครับ พอดีเมื่อวันนี้ผมอบไว้หลายชิ้น” ว่าแล้วอีกฝ่ายก็ค่อยๆ เดินเข้าไปในครัว สักพักก็ออกมาพร้อมกับจานในมือที่มีคุกกี้หลายชิ้น เขาวางจานลงบนโต๊ะก่อนจะนั่งลงบนโซฟา ผมเห็นดังนั้นเลยนั่งลงที่โซฟาด้านข้าง ก่อนจะปล่อยมือจากเจ้าแมวทั้งสองตัว เมื่อปล่อยมือออก เจ้าไข่แดงก็ตรงไปที่โต๊ะที่วางคุกกี้อยู่ทันที ต่างกับเจ้าไข่ขาวที่เดินมาขดตัวนอนอยู่บนตักผม

             เจ้าไข่แดงเดินรอบๆ จานนั้น พลางเอาจมุกดมฟุดฟิดเล็กน้อย เจ้าของเห็นดังนั้นจึงยิ้มขึ้นได้ แล้วหยิคุกกี้มาบิเล็กน้อยแล้วส่งให้เจ้าแมวอ้วน

              เปรี้ยง!

              เสียงฟ้าทำให้มือถือคุกกี้สะดุ้งเล็กน้อย เจ้าตัวอ้วนสังเหตเห็นปฏิกริยาคนตกหน้าดูตกใจกลัวเล็กน้อย จึงเดินเข้าไปหา แล้วล้มตัวนอนลงบนตักของเขา

              “เมี๊ยว~”

              ผมเห็นท่าทางเจ้าแมวอ้วนรู้เลยว่ามันคงอยากปลอใจอีกฝ่าย ไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้สึกกลัวสินะ

              “มันคงอยากขอบคุณคุณแหละครับยังไงก็ลองลูบหัวมันดู เวลาผมลูบหัวเจ้าสองตัวนี้ผมมักจะรู้สึกสงบขึ้นอย่างบอกไม่ถูก” ผมพูดพลางยิ้มให้อีกฝ่ายเล็กน้อยก่อนจะนึกขึ้นได้ “อ๊ะ แต่ถ้าคุณรู้สึกหนักก็อุ้มมันออกไปหรือส่งมาให้ผมได้นะครับ เจ้าอ้วนนั้นก็หนักหลายกิโลอยู่เหมือนกัน”

              “ฮ่าๆ ไม่หนักหรอกครับ” เขายิ้มขึ้นอีกครั้งก่อนจะค่อยๆ ยกมือขึ้นลูบเจ้าตัวส้ม เมื่อได้รับฝ่ามืออุ่นๆ จากมนุษย์ เจ้าไข่แดงก็ครางออกมาเพื่อบ่งบอกความรู้สึกชอบ และพออกพอใจ คนลูบก็ดูสีหน้าสบายใจขึ้น

              “ว่าแต่ คุณทำขนมบ่อยจังนะครับ” ผมหันมองคุกกี้ในมือเล็กน้อย จำได้ว่าเมื่อสัปดาห์ก่อน เขาก็เพิ่งทำเค้กไปเองนี่น่า

              “มันธ์ครับ” จู่ๆ เขาก็พูดขึ้นซึ่งดูจะไม่เกี่ยวกับบทสนทนาเมื่อกี้เลย

              “ครับ?”

             “ชื่อผมน่ะครับ มันธ์ เห็นคุณเรียกผมว่า คุณๆ เลยนึกได้ว่าเรายังไม่รู้จักกันเลยเน๊อะ” รอยยิ้มกว้างยังคงอยู่บนใบหน้าอีกฝ่าย

             จริงสินะ เขาก็เคยคุยกับคนตรงหน้าหลายครั้งแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยรู้ชื่ออีกฝ่ายเลย

             “ผมชื่อพายครับ” ผมรีบบอกชื่อผมไปเพื่อไม่ให้เสียมารยาท

             “ชื่อชวนน่ากินจังนะครับ” รอยยิ้มถูกยกกว้างขึ้น เพิ่มเติมคือสายตาที่ดูเจ้าเล่ห์ขึ้นเช่นกัน เพราะสายตาแบบนั้นแหละเลยเรียกสีแดงขึ้นหน้าผมอีกครั้ง สายตาอย่างนั้นคืออะไร ทำไมดูมีอะไรมากกว่าการชมว่าชื่อผมมันดู ‘น่ากิน’

             “เอ่อ...ชื่อมันธ์นี่ก็แปลกจังนะครับ” ผมรีบเปลี่ยนเรื่องพูดไปจากเรื่องชื่อตัวเอง โชคดีที่อีกฝ่ายยอมเปลี่ยนเรื่องจากชื่อผมไปชื่อเขาแทน ไม่งั้นผมคงทนสายตานี้ต่อไปไม่ไหวแน่ๆ

             “จริงๆ พ่ออยากให้ผมชื่อธันวาครับ เป็นเดือนเกิดพอดี แต่แม่บอกว่าชื่อมันโหล เถียงกันไป เถียงกันมาเลยให้ชื่อว่า Month ที่แปลว่าเดือน ถือว่าเป็นคนละครึ่งทาง อยากให้ลูกชื่อเดือนเกิด ก็ชื่อเดือนไปเลย”

             “ก็ดีนะครับ ชื่อแปลกไม่เหมือนใครดี”

             “ครับ อ่า...ส่วนเรื่องที่คุณพายพูดไว้เมื่อกี้ คือผมเป็นยูทูปเบอร์ ปกติผมจะอัพคลิปลงยูทูปทุกวันจันทร์กับพฤหัส แต่ถ่ายคลิปจริงๆ ทุกวันอาทิตย์กับวันพุธน่ะครับ แถมวันนี้วันอาทิตย์ คราวก่อนที่เราเจอกันก็วันอาทิตย์ ไปแปลกใจที่คุณจะรู้สึกว่าผมทำขนมบ่อย”

             “หรอครับ ก็ว่าคุณมันธ์ทำอร่อยมากจริงๆ เลยครับ”

             “ถ้าไม่รังเกียจ ไว้คราวหน้าผมทำอีกแล้วจะเอาไปให้นะครับ”

              “เฮ้ย!! ไม่เป็นไรครับ เกรงใจ”

              “ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ เพราะยังไงกินคนเดียวผมก็กินไม่หมดแถมน้ำหนักจะขึ้นเอา มีคุณพายมาช่วยกินอย่างนี้ช่วยได้เยอะเลยครับ”

              “อ่า....ถ้าไม่รบกวนก็ขอบคุณมากครับ เอาจริงๆ เจ้าสองตัวนี้ก็ดูจะติดใจฝีมือคุณมันธ์แล้วด้วย” ผมพูดไปพลางเอามือลูบหัวเจ้าตัวขาวที่หลับอยู่บนตักของตัวเอง

              “จริงๆ เรียกผมว่ามันธ์เฉยๆ ก็ได้นะครับ เราน่าจะอายุพอๆ กัน ไม่ต้องทางการขนาดนั้นก็ได้”

               “แต่ว่า...”

              “นะครับ ผมเองก็จะเรียกแค่ชื่อคุณเฉยๆ”

              “เอ่อ...แต่ว่า...” จะดีหรอที่ทำตัวสนิทสนมกันเร็วขนาดนี้

              “นะครับ พาย” เขาพูดด้วยเสียงเบาราวกระซิบแต่ผมกลับได้ยินเต็มชัดสองรูหู แค่เรียกชื่อเฉยๆ กลับทำผมใจกระตุกวูบซะงั้น

               “เอ่อ...”

                “มันธ์ครับ พาย” สายตาจริงจังหันมาจ้องผมตรงๆ น้ำเสียงที่ดูเล่นๆ เมื่อกี้ก็จริงจังขึ้นมา

                “…อะ…เอ่อ…”

               “ว่าไงครับ พาย” อีกฝ่ายอุ้มแมวตัวส้มที่อยู่บนตัก เอาไปวางไว้บนโต๊ะก่อนจะเอื้อมตัวเขยิบมาใกล้ผมมากขึ้น สายตายังไม่ละจากใบหน้าผม

               “จะเรียกดีๆ ไหมครับ” มือใหญ่ยกขึ้นมาสัมผัสหน้าผมเบาๆ นิ้วเรียวยาวลูบไปมาตรงริมฝีปากของผม

               “อะ...เอ่อ...” ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว หัวใจจะหยุดเต้นอยู่แล้วววววว

               ไม่ทันที่ผมจะพูดอะไรต่ออีกฝ่ายก็โน้มใบหน้าเข้ามาใกล้...ใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ

               “ครับๆ เรียกแล้วครับ!! มันธ์ครับ มันธ์!! หยุดก่อนนน!!” ผมรีบผลักหน้าอีกฝ่ายก่อนที่ตัวเองจะผุดลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ ตะกี้หน้าเราห่างกันไม่ถึงสิบเซนฯ ด้วยซ้ำ!! มั่นใจมากว่าตอนนี้หน้าผมต้องเห่อแดงไปหมด

               “เห็นไหมเรื่องง่ายๆ แค่นี้เอง” อีกฝ่ายยิ้ม กลับไปนั่งที่ตัวเองแล้วอุ้มเจ้าไข่แดงมานั่งตักเหมือนเดิมทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

               “อ่ะ กินแต่คุกกี้คงจะหิวน้ำนะครับ เดี๋ยวผมไปหยิบให้ละกัน” ว่าแล้วเขาก็อุ้มเจ้าแมวออกอีกครั้งก่อนจะเดินไปที่ครัว ไม่นานก็กลับมาพร้อมน้ำสองแก้ว แล้วยื่นแก้วหนึ่งมาให้ผม ผมรับมาอย่างว่าง่าย ในใจยังตกใจเหตุการณ์เมื่อกี้อยู่เลย

               “พูดเรื่องผมมาเยอะแล้ว มาคุยเรื่องคุณพายบ้างดีกว่า”

               “ครับ?”

               “คุณพายมีแฟนรึยังครับ?”

               “แค่กๆ” ผมสำลักน้ำทันทีที่ได้ยินคำถาม ใครจะไปคิดว่าจะโดนคำถามนั้นจู่โจม เจ้าของคำถามเห็นแบบนั้นเลยเอื้อมไปหยิบทิชชู่ส่งให้ผม ผมก็รับมาอย่างว่าง่ายเช่นเดิม

               “สรุปว่าไงครับ มีแฟนรึยังครับ” เขายิ้มขึ้นเล็กน้อย

               “ยะ...ยังครับ”

               ได้ยินคำตอบอย่างนั้นอีกฝ่ายก็พึมพัมอยู่สองสามคำจนผมแทบไ่ได้ยิน แต่แว่วๆ ว่า ‘ก็ดีสิ’ รึเปล่านะ...?

               “แล้วพายทำอะไรอยู่หรอครับ เพิ่งเรียนจบใช่ไหม ช่วงนี้ผมว่าเศรษฐกิจมันแย่มากๆ งานก็หายาก เด็กจบไหมนี่ดูท่าจะลำบากน่าดู” ไก้ยินอย่างนั้นผมถึงกับเอ๋อไปสักครู่

               “เอ่อ...ผมยี่สิบเจ็ดแล้วนะ นี่มันธ์คิดว่าผมอายุเท่าไหร่กันเนี่ย?!”

              “หืม? จริงหรอครับ อ้าวงี้ผมก็หน้าแตกเลย พายหน้าเด็กมากเลยนะรู้ตัวรึเปล่าครับ ผมเข้าใจว่าพายอายุยี่สิบสามยี่สิบสี่ไม่ต่างจากผมซะอีก อย่างนี้ผมต้องเรียกพายว่าพี่แล้วสิ”

               “เฮ้ย ไม่ต้องหรอกๆ ผมไม่ถือ เรียกเหมือนเดิมนั่นแหละ” อีกอย่างจริงๆ ผมว่ามันธ์นี่นิสัยดูโตกว่าผมซะอีก

               “เอางั้นหรอครับ”

                “ครับ ผมไม่ถือหรอก มันธ์เรียกผมว่าพายเหมือนเดิมก็ได้” ผมยิ้มไปนิดเพื่อตอกย้ำว่าตัวเองพูดจริง และไม่โกรธถ้าอีกฝ่ายไม่เรียกผมว่าพี่

               มันธ์ยิ้มกลับนิดๆ พลางส่งสายตาแบบเดิมมาให้ผม สายตาที่ผมว่ามันดูเจ้าเล่ห์ยังไงก็ไม่รู้ เป็นสายตาที่ชวนให้ผมใจกระตุกวูบ พลางหน้าขึ้นสีขึ้นมาเล็กน้อย

              “อย่างนี้พายก็ไม่ได้ว่างงานใช่ไหมครับ?” เมื่อพูดขึ้นสายตานั้นก็หายไปกลับมาเป็นสายตาสดใสยิ้มแย้มแบบเดิม

              “อ่าครับ ตอนนี้เป็นนักเขียนกับช่างภาพครับ”

              “โห้...สุดยอดจังครับ เป็นนักเขียนกับช่างภาพอะไรหรอครับ?”

              “ผมเป็นช่างภาพพรีเวดดิ้งน่ะ ส่วนงานเขียนผมเขียนคอลัมน์ท่องเที่ยวพร้อมรูปประกอบ มีคอลัมน์ประจำอยู่ในนิตสาร”

               “อย่างนี้พายก็ต้องเคยไปท่องเที่ยวมาหลายที่แล้วสิ”

              “ก็ไม่เยอะมากหรอก ปกติก็ออกทริปแค่เดินละครั้งเอง”

                 “แค่นั้นก็สุดยอดแล้วครับ ผมนี่ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวไหนเลย วันๆ ก็อยู่แต่ในครัว”

              เปรี้ยง!!

              เสียงฟ้าผ่าดังลั่นขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ดังกว่าครั้งที่ผ่านๆ มา มันธ์ที่ดูสีหน้าสบายใจขึ้นเหมือนจะลืมเรื่องฝนตกข้างนอกไปแล้ว กลับมาหน้าซีดอีกครั้ง ผมเห็นอย่างนั้นเลยอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปจับมืออีกฝ่าย อีกฝ่ายเห็นอย่างนั้นเลยหันมามองผมอย่างงงๆ

              “มีคนเคยบอกผมว่า เวลาเรากลัวอะไร หรือเวลารู้สึกแย่ ให้จับมือกันไว้ เราจะได้รู้ว่าเราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในโลกใบนี้”

             มันธ์ก้มลงมองมือผมอีกครั้งก่อนจะเงยหน้ามามองผม ก่อนจะเอามือของตัวเองออกไปแล้วพลิกกลับมาจับมือผมพลางบีบเบาๆ “ขอบคุณครับ”

              ผมยิ้มให้กับท่าทางเหมือนเด็กน้อยนั้น เมื่อเห็นอีกฝ่ายสบายใจ ผมก็เริ่มรู้สึกผ่อนคลาย ก่อนสายตาจะค่อยๆ เลื่อนลอยขึ้นรู้ตัวอีกทีภาพตรงหน้าก็วูบเป็นสีดำไปเสียแล้ว

               _________________________
   

               ผมบีบมือเล็กๆ นั่นอยู่สองสามครั้ง เมื่อหันไปมองเจ้าของมือก็พบว่า พายหลับไปแล้ว หลับไปพร้อมๆ กับเจ้าแมวสองตัวที่เหลือ

               ผมขยับตัวเล็กน้อยเจ้าแมวส้มก็รู้สึกตัวทันที มันงัวเงียนิดหน่อย แล้วกระโดดไปยังที่ว่างบนโซฟาก่อนจะล้มตัวลงนอนอย่างไม่สนใจผมอีก

               “พาย...พายครับ” ผมส่งเสียงพลางสะกิดปลุกแต่อีกฝ่ายแต่เขาก็เพียงแต่ส่งเสียงงืมงัมกลับมาแถมยังปัดมือผมออกอย่างรำคาญ

               ดูท่าว่าคนตรงหน้าจะไม่ตื่นง่ายๆ แต่จะปล่อยให้นอนตรงนี้ พรุ่งนี้ตื่นเช้ามามีหวังต้องปวดตัวแน่ๆ ...ช่วยไม่ได้ล่ะนะ ผมช้อนตัวอีกฝ่ายก่อนจะอุ้มขึ้นมา ความจริงพายตัวเตี้ยกว่าผมแค่ไม่กี่เซน แต่ก็ไม่คิดเลยว่าจะตัวเบาหวิวขนาดนี้ แถมยังหลับลึกเหลือเกิน ขนาดผมอุ้มขึ้นเขาก็ยังไม่รู้สึกตัว

               ผมเดินเข้ามาในห้องนอน แล้ววางอีกฝ่ายลง คนบนเตียงเหมือนรู้ตัวว่าตัวเองอยู่บนเตียงแล้ว ก็ขยับตัวนิดหน่อยให้สบายแล้วหลับต่ออย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว ผมค่อยๆ หยิบผ้าห่มขึ้นห่มให้

              ตอนแรกผมกะว่าจะพาเขากลับห้องนั่นแหละ แต่จนแล้วจนรอดก็หากุญแจห้องของอีกฝ่ายไม่เจอ เลยต้องพาเขามาไว้ที่ห้องตัวเองอย่างนี้

              เมื่อจัดผ้าห่มเข้าที่เข้าทางแล้ว ผมหันไปมองพายอย่างชัดๆ อีกครั้ง อดไม่ได้ที่จะเอามือลูบหน้าเขาเบาๆ อีกฝ่ายก็เหมือนจะรู้สึกได้ถึงไออุ่นจากมือผมเลยเอาหน้าคลอเคลียกับมือผมไปมา...

               นิสัยอย่างกับแมว....พายจะรู้ตัวไหม ว่าเขาน่ะไว้ใจคนอื่นง่ายเกินไป ไม่รู้จักระวังตัวเลย....กับผมที่แทบไม่รู้จักแต่กลับไว้ใจ ไม่มีกำแพงใดๆ ขนาดเมื่อกี้เป็นใครก็ต้องดูออกว่าผมทำท่าจะจูบเขา แต่ตอนนี้เขาก็ยังมานอนหลับได้อย่างสบายใจเฉิบไม่คิดจะกลัวผมเลยสักนิด....จะว่าน่ารักก็น่ารัก แต่มันก็แอบอดเป็นห่วงไม่ได้...คนอย่างนี้รอดมาได้ไงนะตั้งยี่สิบเจ็ดปี....

               คิดถึงเรื่องในวันนี้ผมก็ยิ้มออกมาอีกครั้ง โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงเรื่องที่อีกฝ่ายยังโสด และยอมให้เขาเรียกแค่ ‘พาย’ ไม่ใช่ ‘พี่พาย’ ก็นะ...พายคงไม่รู้ว่าผมก็ไม่อยากเรียกเขาว่าพี่หรอก เพราะผมอยากให้เขาเป็น ‘มากกว่าพี่’ ยังไงล่ะ



ออฟไลน์ P.PIM

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 236
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
น่าร๊ากกกก ชอบการแปลงเป็นแมวได้ด้วยแบบไม่ต้องพึ่งคำสาปใดใด

ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ มากมายด์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0

บทที่ 3 : แมวของผม...บาดเจ็บเล็กน้อย






             ผมตื่นขึ้นมาพบว่าไม่ได้อยู่ในห้องตัวเอง นั่นสิ...เมื่อคืนผมเผลอหลับไปนี่น่า....หันมองซ้ายมองขวาก็ไม่เจอเจ้าของห้องอยู่เลย เมื่อมองไปที่นาฬิกา เข็มสั้นชี้เลขหกในขณะที่เข็มยาวชี้เลขสอง...หกโมงเช้าแล้ว โชคดีที่วันนี้ไม่มีคิวถ่ายรูป ผมเลยว่างทั้งวัน 

             ใจอยากจะนอนต่อแต่ก็เกรงใจเจ้าของห้อง ฝืนตัวลุกขึ้นมา พอเดินออกไปนอกห้องก็เห็นเจ้าของห้องนอนขดตัวอยู่บนโซฟา ไม่ห่างกันนั้นมีแมวสองตัวของผมเดินป้วนเปี้ยนวนไปมา

             “มันธ์ครับ...มันธ์” ผมสะกิดตัวคนที่นอนอยู่เล็กน้อย หวังให้เขาตื่นไปนอนที่เตียงดีๆ นอนอย่างนี้ทั้งคืนคงปวดหลังแย่

             “อืม…” อีกฝ่ายส่งเสียงในคอเล็กน้อย พลางขยับตัว แล้วก็นิ่งไปเช่นเดิม

             “มันธ์ครับ ตื่นไปนอนที่เตียงก่อนครับ”

               “อืม….~”

             คราวนี้มันธ์ขยับตัวเล็กน้อย ยื่นมือมาดึงผม ผมที่ไม่ทันตั้งตัวเลยเซล้มไปทับเขาอย่างจัง

             เหี้ย!!

             ตอนนี้หน้าของอีกฝ่ายห่างจากหน้าผมแค่คืบ แต่เหมือนเจ้าตัวจะยังไม่รู้ตัวแถมยังกอดผมแน่นขึ้นราวกับผมเป็นหมอนข้างใบโต

             นิ่งสิครับ....ผมไม่กล้าขยับเขยื้อนตัวเลยที่เดียว ไม่นานนักเจ้าแมวสีขาวก็กระโดดขึ้นมาบนพนักพิงโซฟา ผมหันไปมองพลางส่งสายตาขอความช่วยเหลือ โชคดีที่อีกฝ่ายเหมือนจะเข้าใจที่มต้องการจะสื่อ มันเลยกระโดดลงมาบนตัวผม ก่อนจะฝังเขี้ยวลงไปบนมือที่กอดผมอยู่ทันที

             “โอ๊ย!!”

             “โอ๊ย!!”

             เพราะลุกขึ้นมาอย่างปุ๊ปปั๊ป ทำให้ผมไม่ทันตั้งตัว หัวของพวกเราเลยเขกกันไปหนึ่งที ผมลุกขึ้นนั่งลูบหัวที่โขกกันไปเมื่อกี้เล็กน้อย อีกฝ่ายก็ทำไม่ต่างกัน แรงที่โขกกันเมื่อกี้ก็ไม่ใช่เบาๆ เลย ส่วนเจ้าตัวก่อเรื่องนั่นกระโดดไปที่โซฟาอีกตัวแล้ว

             “ตะกี้มันอะไรกันหรอครับ?” คนเพิ่งตื่นดูจะยังไม่ได้สติเต็มร้อย หันมาถามด้วยความงุนงง เมื่อเห็นเลือดที่แขนตัวเองก็ยิ่งเกิดความสงสัย

              “อ่า...ขอโทษครับ พอดีแมวผมมันกัดมันธ์อีกแล้ว” ผมเลือกตอบไม่หมด เรื่องน่าอายที่ว่าถูกกอดก็พยายามทำลืมๆ ไป แม้ใบหน้าผมตอนนี้จะยังแดงอยู่นิดหน่อยก็เถอะ

             “แมวของพายเนี่ย ดูท่าจะเกลียดผมนะเนี่ย แค่สองวันนี้ผมก็โดนกันไปสองรอบแล้ว” เขาพูดยิ้มๆ ดูไม่ได้โกรธอะไรเจ้าไข่ขาว

             “ขอโทษครับ” ไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากขอโทษ จริงๆ เจ้าไข่ขาวไม่ได้เกลียดมันธ์หรอก มันทำเพราะผมสั่งต่างหาก แต่ผมก็ไม่คิดว่ามันจะกัดเขา ผมแค่ให้มันช่วยผมเองนะ!!

              “ช่างมันเถอะครับ ว่าแต่พายหิวรึยังครับ?”

             “ไม่หรอกครับ ยังเช้าอยู่เลย ปกติผมไม่กินข้าวเช้าน่ะ”

              โครก~

              เสียงท้องร้องดังขึ้น ขัดกับคำพูดผมเมื่อสักครู่ รู้สึกเขินขึ้นมานิดๆ ในขณะที่อีกฝ่ายได้ยินเสียงท้องร้องของผมเขาก็ยิ้มกว้างขึ้น

             “งั้นพายไปล้างหน้าล้างตาก่อนเถอะครับ เดี๋ยวผมไปทำอะไรให้กิน”

             “เฮ้ย ไม่เป็นไรครับ”

             “ไม่เป็นไรหรอกครับ ยังไงผมก็จะทำอะไรกินอยู่ดี เพิ่มอีหนึ่งคนไม่ลำบากหรอกครับ” เข้ายิ้มอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้น จังหวะนั้นเองที่ผมเห็นแผลเล็กๆ บนแขนเขา ผมรีบคว้ามือล้างสูงไว้ทันที

             “เอ่อ...แผลที่แขนน่ะ ทำแผลก่อนดีกว่าไหมครับ?”

               “พายจะทำให้ผมหรอครับ?” ผมหันไปมองหน้าคนพูด จึงสบกับสายตาเจ้าเล่ห์ที่ส่งมาให้ สายตาอย่างนั้นมันคืออะไร?! ผมรู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างแปลกๆ

             “เอ่อ...แผลนิดเดียวเอง มันธ์คงทำแผลเองได้แหละครับ เอ่อ...ยังไงผมขอกลับห้องไปล้างหน้าล้างตาก่อนดีกว่ายังไงเดี๋ยวผมมานะครับ” รีบพูดรีบลุกรีบวิ่งกลับห้องเลยครับ ณ จุดนี้

             เพราะรีบออกมาจากห้องนั้นเลยไม่ทันได้ยินประโยคของเจ้าของห้องที่พูดขึ้นมาเบาๆ สีหน้าดูมีความสุขที่ได้แกล้งอีกฝ่าย แต่ก็ยังมีแมวสองตัวที่วนเวียนอยู่แถวนั้นได้ยินเป็นพยาน

              “ว้า~ แมวตื่นตกใจหนีกลับห้องไปซะแล้ว~”





              พอจะเข้าห้อง ห้องก็ล็อก....ผมค้นกระเป๋ากางเกง กระเป๋าเสื้อก็แล้ว แต่ก็ไม่เจอเลย สงสัยลืมอยู่ในห้องแน่ๆ เมื่อวานน่าจะรีบจนไม่ทันได้หยิบกุญแจออกมา โชคดีที่ที่คอนโดที่นี่นอกจากมีระบบกุญแจแล้วยังมีระบบรหัสผ่าน ผมกรอกรหัสผ่านที่เป็นเลขสี่ตัวเข้าไป ไม่นานประตูก็เปิดออก

             เมื่อเข้าไปในห้องก็ต้องช็อคกับสภาพห้องที่เห็น ลืมไปเลยว่าเมื่อคืนทุบกระจกระเบียงเข้ามาในห้อง สภาพห้องตอนนี้คือบริเวณแถวระเบียงเต็มไปด้วยน้ำ กระดาษกระจัดกระจายเต็มห้องไปหมด น่าจะเพราะลมเพราะฝนที่สาดเข้ามาจากทางประตูระเบียงที่ไร้กระจกนั่น ไหนจะเศษซากกระจกอีก

             เฮ้อ.....

             ได้แต่ถอนหายใจนิดๆ แล้วลงมือเก็บห้อง โชคดีที่ไม่มีอะไรเสียหาย ยกเว้นประตูกระจกนั่นน่ะนะ

             ใช้เวลาไม่นาน ก็เก็บห้องได้เรียบร้อย แต่เหงื่อก็ออกเยอะมาก เห็นทีแค่ล้างหน้าล้างตาคงไม่ไหว ตอนนี้ผมอยากจะอาบน้ำมากๆ เพราะเหนียวตัวเหลือเกิน จริงๆ ก็แอบเกรงใจห้องข้างๆ ว่าจะรอเขานานรึเปล่า แต่พอคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ ทั้งโดนกอด ทั้งสายตานั่นอีก เอาเป็นว่าอาบน้ำด้วยเลยละกัน อย่างน้อยก็ช่วยถ่วงเวลาได้อีกนิด เอาจริงๆ ผมเขินจนไม่อยากไปเจอหน้าคนที่อยู่ห้องข้างๆ แล้ว แต่เมื่อกี้ปากเจ้ากรรมดันไปพูดมาได้ว่าเดี๋ยวจะกลับไป อย่างนี้ไม่ไปก็น่าเกลียดเกิน แถมผมยังมีเจ้าแมวสองตัวเป็นตัวประกันอยู่ที่ห้องนั้นด้วย

             อาบน้ำเสร็จ มองเวลาก็เห็นว่าเกือบแปดโมงแล้ว...เฮ้อ....คงหาเรื่องถ่วงเวลาไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้วแหละ...ว่าแล้วก็ได้แต่เดินก้มหน้าไปยังห้องข้างๆ อยู่กับคนๆ นั้นเขารู้สึกเสียการควบคุมจริงๆ!!
   



              กดกริ่งไม่กี่ครั้ง ประตูห้องตรงหน้าก็เปิดออก อีกฝ่ายก็อยู่ในชุดใหม่เหมือนผม แสดงว่าเขาก็คงอาบน้ำแล้วเหมือนกันสินะ

              “นึกว่าพายจะไม่มาซะแล้ว” มันธ์ยิ้มตอนรับผมก่อนจะเบี่ยงตัวเล็กน้อยให้ผมเดินเข้ามาในห้อง

              “แฮะๆ…” ไม่รู้จะพูดอะไรตอบไป ก็นะ ใจจริงก็ไม่ได้อยากจะมาหรอก....

              พอเข้ามาในห้อง กลิ่นอาหารก็ปะทะเข้ามาทันที เมื่อเดินมาเรื่อยๆ จนถึงครัวก็เห็นเจ้าแมวทั้งสองตัวก้มหน้าก้มตากินอาหารอยู่

             “ผมทำข้าวต้มน่ะ พายทานได้ใช่ไหมครับ”

             “ครับ”

             แต่แล้วก็เหมือนเจ้าของห้องก็ดูจะชะงักไปเมื่อหันมาเห็นหน้าผมชัดๆ สายตาที่มองผมอยู่ขมวดคิ้วขึ้นนิดๆ

             “อะไรหรอครับ?” หรือว่าหน้าผมมีอะไรติดอยู่? เขาเลยมองผมขนาดนั้น

             “พายรู้ตัวไหมครับ ว่าหัวพายโนขึ้นมานิดๆ”

             “ห้ะ?” ได้ยินดังนั้นผมเลยรีบจับมือที่หน้าผากตัวเอง แล้วค้นพบว่าหัวผมโนขึ้นมานิดนึงจริงด้วย ตะกี้ตอนอาบน้ำไม่ทันได้สังเกตเห็นเลยแฮะ ส่งสัยหัวโนเพราะโขกกันเมื่อกี้แน่ๆ

             “มานั่งนี่ก่อนครับ” เขาว่าพลางดึงมือผมนิดๆ ให้ไปนั่งที่โซฟา พอนั่งปุ๊ป เขาก็ลุกขึ้นไปที่ตู้ยา แล้วเดินต่อไปที่ห้องครัว

             “โชคดีนะครับที่ผมยังมีดินสอพองเหลืออยู่” เขาพูดแล้วก้มหน้าก้มตาทำบางอย่าง ผมมองดูจากโซฟา เห็นเขาหั่นอะไรสักอย่างก่อนจะบีบลงในชาม แล้วก็เอามือบดๆ ลงในชาม จากนั้นก็ถือชามนั่นเดินมาหาผม

             “มันคืออะไรหรอครับ?” ผมรีบถามขึ้นทันทีที่เห็นของที่อยู่ในชามนั่น มันดูเป็นครีมสีขาวๆ มีกลิ่นเปรี้ยวๆ ของมะนาวลอยมา

             “ดินสอพองผสมมะนาวน่ะครับ”

             “ดินสอพองผสมมะนาว?”

             “ครับ ตอนเด็กๆ ผมชอบเล่นซนหัวโนอยู่บ่อยๆ แม่ก็จะเอาดินสอพองผสมมะนาวมาพอกไว้ตรงที่ผมหัวโนนะครับ ทำแบบนี้วันสองวันตรงที่โนก็จะยุบไป แต่ของพายดูจะโนไม่เยอะ ทาทิ้งไว้แค่วันเดียวก็น่าจะหาย”

             ว่าแล้วเขาก็เอามือจิ้มดินสอพองดังกล่าว ยื่นหน้าเข้ามาแล้วค่อยๆ ทาที่หน้าผากผมโดยที่ผมยังไม่ทันตั้งตัว เพียงแค่ครู่เดียวเขาก็ลุกออกไป

             ผมเอามือสัมผัสหน้าผากตัวเองดูก็สัมผัสได้ถึงความเฉอะแฉะของดินสอพอง

             “อย่าเอามือไปจับสิครับ” มันธ์รีบพูดขึ้นเมื่อเห็นผมทำแบบนั้น ตะกี้เข้าลุกเอาชามไปเก็บนั่นเอง

             “แต่ว่า...”

             “พอกเอาไว้อย่างนั้นแหละครับ อย่าไปโดนมันนะ” เขาส่งสายตาจริงจังมาให้ผม ทำให้ผมไม่กล้าขัดขืน

             “ก็ได้ครับ”

             เมื่อได้ยินดังนั้น อีกฝ่ายก็ดูจะพอใจเป็นอย่างมากเลยยิ้มหน้าระรืนให้ผม

             “มากินข้าวกันเถอะครับ ผมทำเสร็จสักพักแล้ว แต่เห็นพายยังไม่มาสักทีเลยไปอาบน้ำ ยังไงเดี๋ยวผมขออุ่นข้าวต้มสักแป๊ปนึงนะครับ พายไปนั่งรอก่อนที่โต๊ะก็ได้” เขาพูดแล้วชี้ไปที่โต๊ะที่ตั้งอยู่หน้าครัว

             “อ่าครับ”

              ผมเดินไปนั่งที่เก้าอี้ตรงโต๊ะที่มันธ์ชี้เมื่อกี้ ระหว่างรอก็นั่งมองหลังของเจ้าของห้องก้มหน้าก้มตาทำอาหารอย่างอารมณ์ดี ผมแอบรู้สึกผิดนิดหน่อยที่เขาอุส่าต์ทำอาหารเผื่อผม แถมรอกินข้าวพร้อมผม เขาเลยต้องเสียเวลามาอุ่นอาหารอีกรอบ

             “ผมขอโทษนะครับที่มาช้า พอดีเก็บห้องนิดหน่อย”

             “เก็บห้อง?” มันธ์ละสายตาจากหมอแล้วหันหลังมามองผม

             “อ่า...ก็เมื่อคืนที่ประตูระเบียงห้องผมแตกไงครับ แล้วฝนมันก็ตก น้ำเลยสาดเข้ามาในห้อง ห้องก็เละเทะนิดหน่อย”

             “จริงด้วยสิครับ ผมลืมไปเลย”

             สักพักเขาก็ปิดเตาแก๊ส ตักอาหารในหม้อใส่ชาม แล้วเดินเอามาให้ผม แล้วก็กลับไปตักของตัวเอง ก่อนจะนั่งลงตรงข้ามผม

             “กินสิครับ อร่อยนะ” มันธ์พูดขึ้นเมื่อเห็นผมไม่ยอมลงมือกินสักที

              “อ่า...ครับ”

             ผมตักอาหารเข้าปากคำแรกสัมผัสได้กับคำว่า...อร่อย...อร่อยจริงๆ ไม่ใช่อีกฝ่ายคุยโวเลย

             “ว่าแต่เจ้าตัวเล็กสีเทาไปไหนหรอครับ”

             ฉิบหาย....ลืมเรื่องนั้นไปเลย....

              “อ่า....เจ้าของมารับกลับไปแล้วน่ะครับ” ผมรีบโกหกไปอย่างรวดเร็ว

              “หืม? เจ้าของมารับ?”

             “ครับ เมื่อเช้าน่ะครับ พอกลับไปถึงห้อง เจ้าของเขาก็โทรมาพอดี แล้วเขาก็รีบมารับกลับไปน่ะครับ” ผมรีบโกหกต่อไปเป็นเรื่องเป็นราวอย่างรวดเร็ว

             “แต่เมื่อวานพายบอกว่า พายเป็นเจ้าของเจ้าตัวเล็กไม่ใช่หรอ”

             ฉิบหาย....ลืม.....!!

             “อ่า...คือ....”

             “คือ?”

             “คือจริงๆ ผมก็เป็นเจ้าของครึ่งหนึ่งน่ะครับ”

             “เจ้าของครึ่งหนึ่ง?”

             ผมรีบคิดเรื่องโกหกอย่างรวดเร็ว พลางคิดถึงเพื่อนสนิทสมัยเด็ก ขอยืมมันมาอ้างหน่อยแล้วกัน

              “คือผมกับเพื่อนไปเจอแมวตัวนี้ป้วนเปี้ยนอยู่แถวคอนโด ด้วยความสงสารเลยเก็บมาเลี้ยง ตกลงกันว่าจะผลัดกันดูแล เพราะเพื่อนกับผมก็ทำงานยุ่ง เลยผลัดกันดูแลเมื่ออีกฝ่ายมีเวลาว่างอะไรแบบนี้ แต่โดยหลักเจ้าตัวเล็กจะอยู่กับเพื่อนผมน่ะครับ”

              “อ่อ...อย่างนี้นี่เอง”

              คนฟังยอมเชื่อไม่ติดใจถามอะไรอีก



   
          

ออฟไลน์ มากมายด์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
   





                  ไม่นานนักผมกับมันธ์ก็กินเสร็จ ผมจึงหยิบชามทั้งของตนและของเขาเดินไปล้างที่ครัว

              “เดี๋ยวผมล้างเองครับ พายวางเอาไว้เลย”

              “ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมล้างเอง แค่นี้เอง”

              “แต่ว่า....”

              “ให้ผมล้างเถอะครับ มันธ์ก็ทำอาหารให้ผมแล้วแถมยังเลี้ยงพวกแมวผมอีก อย่างน้อยก็ให้ผมทำอะไรตอบแทนหน่อยเถอะ” ผมเถียงมันธ์อย่างจริงจัง จนอีกฝ่ายยอมให้ผมทำตามใจ พอปรายตามองก็เห็นอีกฝ่ายเข้าไปหยิบอะไรบางอย่างก่อนจะกลับมานั่งที่โต๊ะที่กินข้าวเมื่อสักครู่

              พอล้างจานเสร็จผมเลยอุ้มเจ้าแมวสองตัว แล้วเดินเข้าไปหาเจ้าของห้อง กะว่าจะขอบคุณอีกฝ่ายแล้วขอตัวกลับห้อง แต่พอเดินเข้าไปใกล้เข้าก็หันมาถามขึ้น

              “พายเป็นช่างภาพใช่ไหมครับ?”

              “ครับ?” ผมงงๆ อยู่นิดหน่อย ว่าทำไมจู่ๆ อีกฝ่ายถึงถามขึ้นมา

              “คือเมื่อวานที่คุยกันน่ะครับ ผมจำได้ว่าพายเป็นช่างภาพใช่ไหมครับ”

              “ครับ ก็ใช่”

                  “อ่า....งั้นพายพอจะใช้โปรแกรมนี้เป็นไหมครับ?” เขาว่าพลางชี้มือมาที่จอคอมพ์

              ผมยื่นหน้าเข้าไปมองที่จอตามที่พายชี้ให้ดูก็พบว่ามันเป็นโปรแกรมตัดต่อโปรแกรมหนึ่ง จริงอยู่ที่ผมเป็นช่างภาพ โปรแกรมส่วนใหญ่ที่เคยใช้ก็เป็นพวก Photoshop ไม่ก็ Lightroom แม้จะไม่ค่อยถนัดพวกโปรแกรมตัดต่อแต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยใช้

              “มันเป็นอะไรหรอครับ?” ผมถามอย่างสงสัยเพราะจากที่มองก็ยังไม่เห็นปัญหาอะไร

              “คือตะกี้ผม Import คลิปเข้ามา พอดึงมาตัดต่อมันก็ไม่ได้อ่ะครับ พยายามทำมาหลายนาทีแล้วแต่ไม่ได้สักที”

              “หรอครับ งั้นขอผมลองหน่อยนะ”

              ผมนั่งลงเก้าอี้ข้างๆ ของอีกฝ่าย ปล่อยเจ้าสองตัวให้ไปวิ่งเล่นในห้องนี้ แล้วหันโน้ตบุ๊คมาตรงหน้าตัวเอง พอลองกดอิมพอร์ตคลิปที่มันธ์บอกว่าจะใช้ตัดต่อ มันก็เออเร่อ...เอ? เพราะอะไรกันหว่า? หรือว่าไฟล์ต้นฉบับที่อยู่ในคอมพ์จะเสียหายพอจะดึงมาตัดต่อมันเลยใช้ไม่ได้ แม้จะอิมพอร์ตเข้ามาแล้วก็เถอะ ยังไงก็ลองเช็คที่ไฟล์ต้นฉบับก่อนดีกว่า

               “คลิปนี้อยู่ในโฟลเดอร์ไหนหรอครับ”

               “อยู่ในนี้ครับ” มันธ์เอื้อมมือมาเลื่อนเม้าส์คลิกสองสามทีเข้าไปที่โฟลเดอร์

               “เอ...อยู่ไหนหว่า?” เขาพึมพำกับตัว คิ้วก็เริ่มขมวดเข้าเรื่อยๆ “แป๊ปนึงนะครับ”

               มันธ์ยกคอมพ์กลับไปอยู่ตรงหน้าตัวเองแล้วพยายามคลิกนั่นนี่อยู่สองสามที คิ้วก็ยิ่งขมวดขึ้นเรื่อยๆ

               “เป็นอะไรไปหรอครับ?” ผมถามขึ้นด้วยความสงสัย

              “คือผมหาคลิปไม่เจอน่ะครับ”

              “หืม? หมายความว่ายังไง?”

              “คือทุกครั้งผมจะเอาคลิปลงในโฟลเดอร์นี้นะครับ มันก็ไม่น่าจะหายไปไหน”

              “แปลกจัง” จริงๆ คลิปก็ไม่น่าจะหายไปนะ ถ้ามันธ์ยืนยันว่าเอาคลิปไว้ในโฟลเดอร์นี้จริงๆ

              “มันจะเกี่ยวกับที่ผมสแกนไวรัสหรือเปล่าครับ?” จู่ๆ มันธ์ก็ถามขึ้นมา

               “ก็เป็นไปได้ครับ อาจจะเพราะไฟล์มันมีไวรัสพอสแกนไวรัสไฟล์มันเลยหายไป อย่างนี้ก็ไม่ยากแล้วครับยังไงมันธ์ก็เอาเมมมาแล้วลากไฟล์ลงคอมพ์ใหม่ดู ส่วนที่โปรแกรมมันดึงคลิปไม่ได้ก็น่าจะเพราะไฟล์ต้นฉบับในคอมพ์มันไม่มีอยู่ มันเลยเหมือนไม่มีข้อมูล เลยดึงมาตัดต่อไม่ได้” ผมอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจ

               “งั้นก็แย่แล้วล่ะครับ”

               “ทำไมหหรอ?”

               “คือผมเห็นว่าผมดึงคลิปลงในคอมพ์แล้วผมก็เลยลบคลิปในเมมกล้องไปแล้วน่ะครับ”

               “งั้นก็แย่จริงๆ นั่นแหละ แล้วคลิปนี้มันคืออะไรหรอมันธ์ถ่ายใหม่ได้ไหม”

               “เป็นคลิปที่ผมทำคุกกี้เมื่อวานน่ะครับ ผมต้องอัพมันวันนี้”

               “จะทำใหม่ก็ดูจะลำบากนะ ถ้างั้นเลื่อนไปลงคลิปวันอื่นแทนได้ไหม?” ผมพยายามเสนอทางออกอื่นให้กับอีกฝ่าย

              “ผมก็อยากทำอย่างนั้นนะ แต่ไม่ได้น่ะครับ พอดีคลิปนี้มีสปอนเซอร์สนับสนุน ผมตกลงกับเขาว่าจะอัพคลิปวันนี้น่ะครับ”

              “งั้น มันธ์จะทำยังไงครับ จะทำใหม่หรอ?”

              “คงต้องอย่างนั้นแหละครับ”

              “จะทำทันใช่ไหมครับ มันธ์ตกลงกับสปอนเซอร์ว่าจะลงคลิปกี่โมงหรอครับ” ผมถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง ถึงแม้ตอนนี้จะเป็นเวลาเช้ามาก แต่กว่าอีกฝ่ายทำคุกกี้ กว่าจะตัดต่อคลิป ถ้าต้องลงคลิปตอนเย็นๆ หรือตอนค่ำก็น่าจะทัน    

              “ผมตกลงกับสปอนเซอร์ว่าจะลงคลิปตอนบ่ายสองน่ะครับ คือถ้าแค่ถ่ายคลิปช่วงทำคุกกี้ก็น่าจะทัน แต่อาจจะตัดต่อไม่ทัน”

              มันธ์ทำหน้าเครียดขึ้นมานิดหน่อย ผมเห็นอย่างนั้นก็อดไม่ได้ที่จะช่วย

              “ถ้ามีอะไรให้ผมช่วยได้ก็บอกนะครับ”

              “ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวผมทำเองไม่อยากให้พายลำบาก”

              “ไม่ลำบากอะไรหรอก วันนี้ผมว่างด้วย”

              “งั้นหรอครับ...งั้นพายช่วยผมทำคุกกี้ได้ไหมครับ?”

              “เฮ้ย ผมช่วยได้ทุกอย่างนะ แต่กับอาหารนี่ผมทำไม่เป็นเลย” ผมรีบบอกปฏิเสธอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว

              “ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่ช่วยผสมนั่นผสมนี่ เดี๋ยวผมคอยบอกเองครับ”

              “แต่ว่า...”

              “นะครับ ทำสองคนน่าจะเร็วกว่าทำคนเดียวแน่ๆ” มันธ์ทำสายตาเป็นประกาย ราวกับจะออดอ้อนผมขึ้นมา

              “ครับ ก็ได้ แต่มันธ์ต้องบอกผมเป๊ะๆ เลยนะ เพราะผมทำไม่เป็นจริงๆ” รีบย้ำอีกฝ่ายให้ชัดๆ เพราะผมทำอาหารไม่เป็นเลยจริงๆ ไม่อยากเป็นตัวถ่วงอีกฝ่าย

              “ได้ครับ ขอบคุณมากนะครับ”

              มันธ์ยิ้มให้ผมแล้วเดินไปที่ครัว ก้มหน้าก้มตัวมองหาอะไรสักอย่าง แล้วหันมาพูดกับผม

              “คือว่า พายครับ คือผมลืมไปว่าแป้งที่ใช้มันหมดไปแล้ว”

              “อ้าว!! แล้วอย่างนี้จะทำยังไงล่ะครับ?” ผมหันไปมองเวลา ตอนนี้ก็เพิ่งเก้าโมงกว่าเองห้างต่างๆ ก็ยังไม่เปิด แล้วอย่างนี้จะไปซื้อแป้งที่ไหน

              “คงต้องออกไปซื้อแหละครับ”

              “ซื้อ? ซื้อที่ไหนหรอ ตอนนี้เพิ่งเก้าโมงกว่าเองนะครับ ห้างก็ยังไม่เปิด”

              “ไม่เป็นไรครับ ผมมีร้านอุปกรณ์เบเกอรี่เจ้าประจำอยู่ห่างไม่ไกลจากที่นี่มากนัก ขับรถไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ถึง”

              “อ่อครับ งั้นมันธ์จะไปเลยใช่ไหมครับ”

                   “ครับ พายไปด้วยกันนะครับ”

              “ห้ะ? จะให้ผมไปด้วยทำไม??”

              “ไปช่วยกันหา ไปช่วยกันถือไงครับ”

              “มันธ์ขาดแค่แป้งไม่ใช่หรอ แป้งไม่กี่ถุงก็ไม่น่าหนักนะครับ”

              “เผื่อซื้ออย่างอื่นด้วยไง นะครับ ไปเป็นเพื่อนหน่อยนะ”

              “….”

              “นะครับ”

              “เออ ก็ได้ ไปก็ไป” เจออีกฝ่ายทำสายตาออดอ้อนใส่ก็ยากจะปฏิเสธ

              “งั้นเอารถผมไปนะครับ”

              ผมพยักหน้าเบาๆ อีกฝ่ายเห็นอย่างนั้นก็ยิ้มระรื่นขึ้นมา ก่อนจะเดินไปหยิบกุญแจรถ ระหว่างนั้นผมเลยหันไปหาเจ้าแมวทั้งสองตัวก่อนจะพูดกับพวกมัน

              “เดี๋ยวมานะ แกสองตัวอยู่ที่ห้องนี้ก่อนนะ อย่าหนีไปไหนล่ะ”

              “เมี๊ยว! /เมี๊ยว~” ทั้งสองตัวรับคำพร้อมกัน ไข่ขาวส่งเสียงมาอย่างหนักแน่นราวกับบอกว่าจะเฝ้าเจ้าตัวน้องอย่างดีไม่ให้หนีไปเล่นที่ไหน ในขณะที่ไข่แดงที่เป็นเจ้าตัวน้องกลับส่งเสียงส่งๆ ไม่ได้สนใจอะไรเขาเลย เพราะมันกำลังล้มตัวลงนอนอย่างสบายใจอยู่บนหมอนของโซฟา

              “ผมล็อกระเบียงนะครับ” ผมหันไปถามเจ้าของห้องก่อน เมื่อเห็นเขาพยักหน้าก็ก้มหน้าล็อกระเบียง เป็นการป้องกันไม่ให้เจ้าแมวทั้งสองตัวหนีออกไปทางระเบียง กับเจ้าไข่ขาวอ่ะผมพอไว้ใจ แต่กับเจ้าไข่แดงนี่เดาใจยากจริง มันชอบซุกซนไปนั่นไปนี่ ผมก็แอบกลัวอยู่ว่าสักวันมันจะเผลอผลัดตกระเบียงลงไปไหม...

              “จริงด้วย...พายครับ จะล้างหน้าก่อนไหมครับ?” ก่อนออกจากห้องมันธ์ก็หันมาถามผม

               ล้างหน้า? ล้างทำไม? ก็เพิ่งอาบน้ำไป หน้าไม่ได้เลอะอะไรสักหน่อย หรือว่าหน้าผมมันเกินไป? พอเห็นผมทำหน้าสงสัยอีกฝ่ายก็เลยตอบข้อสงสัยให้ผมฟัง

              “คือดินสอพองที่หน้าผากน่ะครับ”

              ผมรีบเอามือแตะที่หน้าผากทันทีด้วยความอายแต่เพราะกดแรงไปหน่อยมันเลยปวดขึ้นมา จนเผลอส่งเสียงร้องไปนิดหน่อย

               “โอ๊ย!”

               “เจ็บไหมล่ะครับนั่น?” มันธ์พูดยิ้มๆ ราวกับเห็นท่าทางของผมเป็นเรื่องสนุก

               “ก็เจ็บสิ ถามมาได้ ยังไงผมขอยืมห้องน้ำแป๊ปนะครับ” ไม่ทันให้เจ้าของห้องอนุญาตผมก็ตรงเจ้าไปในห้องน้ำแล้ว   




   

              ผมมองที่กระจกห้องน้ำ หน้าของผมแดงขึ้นมานิดหน่อยไม่มากเท่าครั้งก่อนๆ สงสัยเริ่มมีภูมิต้านทานแล้วมั้ง หน้าเลยไม่ค่อยแดงมาก

              สายตาผมเริ่มไล่ไปมองยังหน้าผาก ดินสอพองที่แห้งเกาะติดอยู่บนหน้าผาก มือค่อยๆ ยกมือขึ้นสัมผัสดินสอพองนั้นอย่างเผลอเรอ ในหัวก็คิดถึงคนที่ทามันให้...

              ตอนนั้นหน้าเราอยู่ใกล้กันมากๆ ใกล้กันเหมือนเมื่อคืนที่มันธ์ทำท่าเหมือนจะจูบผมตอนที่ผมไม่ยอมเรียกชื่อ....

               บ้าไปแล้ว!! คิดอะไรบ้าๆ เขาทั้งสองคนเป็นผู้ชายนะ ถึงอีกฝ่ายจะดูมาล้อเล่นกับผมราวกับว่าสนใจในตัวผมยังไง แต่ผมก็ค่อนข้างมั่นใจว่ามันธ์เป็นผู้ชายแท้ๆ ยังไงเขาก็คงล้อผมเล่น สนุกๆ คงไม่ได้คิดจะจู่โจมผมจริงๆ หรอก

              ผมสะบัดหัวสองสามครั้ง ไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไปจากหัว ก่อนจะลงมือล้างหน้า เพียงล้างน้ำแค่สองสามครั้งดินสอพองบนหน้าผากก็ออกไปหมด

              เมื่อออกจากห้องน้ำก็เห็นอีกฝ่ายใส่รองเท้าเรียบร้อย ผมจึงรีบตามออกไป

              “เดี๋ยวกลับมาก้พอกดินสอพองไว้อีกรอบนะครับ”

              “ห้ะ?”

              “ก็ตะกี้เพิ่งพอกไว้ยังไม่ถึงชั่วโมงเลยมั้งครับ ยังไงก็กลับมาพอกไว้อีกรอบเถอะ”

              “แต่ว่า...”

              “นะครับ หัวที่โนจะได้ยุบเร็วๆ ไงครับ” มันธ์ยกมือขึ้นมาลูกหน้าผากบริเวณที่ผมหัวโนอย่างเบามือ มองด้วยสายตาที่ผมก็บอกไม่ถูก ผมได้แต่พยักหน้ายอมทำตามเขาโดยไม่บ่นอะไร แล้วนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

              “ว่าแต่ มันธ์ไม่เป็นอะไรเลยหรอครับ?” ผมหันไปถาม เพราะอีกฝ่ายก็เป็นคนโขกหัวผมนะ ความแรงที่โขกมามันก็แรงในระดับนึง ถ้าผมหัวโนเขาก็น่าจะหัวโนด้วยสิ!!

              ผมยื่นมือไปเปิดผมหน้าม้าที่บังหน้าผากเขาทันทีที่คิดได้ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบคำถาม แล้วก็จริงด้วย อีกฝ่ายก็หัวโนนิดๆ ไม่ต่างจากของเขาเลย

              “นั่นไง! ว่าแล้วเชียว แล้วมันธ์ก็ปล่อยให้ผมพอกดินสอพองอยู่คนเดียวเนี่ยนะ?”

              “ของผมมันนิดเดียวเอง ไม่ต้องพอกหรอกเดี๋ยวก็ยุบ”

              ใช่ซะที่ไหนล่ะ?!! ตะกี้ที่เขาเห็นหน้าผากของตัวเองในกระจก เทียบกับของอีกฝ่ายชัดๆ แล้ว มองดีๆ ของามันธ์ดูจะหัวโนมากกว่าผมเสียอีก

              “ผมว่าของมันธ์ โนกว่าของผมอีกนะ!! เพราะงั้นถ้ามันธ์จะบังคับให้ผมพอกดินสอพองอีก มันธ์ก็ต้องพอกด้วย”

              “แต่่ว่า...”

              “ถ้ามันธ์ไม่พอก ผมก็ไม่พอกด้วย” ผมยื่นคำขาดให้อีกฝ่าย เรื่องอะไรผมจะยอมอายคนเดียวล่ะ จริงอยู่ที่การพอกดินสอพองมันก็ไม่ได้ดูแย่อะไร แต่พอผมพอกไว้แต่อีกฝ่ายไม่ได้พอก แล้วมองดูหน้าผากผมด้วยสายตาเอ็นดูแบบเด็กๆ นั่นมันก็ทำผมอายอยู่เหมือนกัน

               “เฮ้อ...ครับ พอกก็พอก” อีกฝ่ายพูดด้วยเสียงหน่ายๆ นิดหน่อย แต่แค่แว่บเดียวก็หันมายิ้มให้ผมเช่นเดิม




   
               เพราะการจราจลของกรุงเทพทำให้กว่าพวกเราจะไปถึงร้านก็สิบโมงกว่าแล้ว เมื่อเข้าไปในร้านผมก็ต้องตกใจเล็กน้อย ผมไม่เคยเข้าร้านแบบนี้เลย ไม่คิดว่ามันจะมีของเยอะแยะขนาดนี้ นอกจากพวกวัตถุดิบเบเกอรี่แล้ว ที่นี่ยังมีขนม อุปกรณ์เครื่องใช้ ทั้งของเบเกอร์รี่และเครื่องดื่ม เต็มไปหมด

                มันธ์เดินเข้าไปที่โซนแป้งก่อนเป็นที่แรก ดูไม่นานเข้าก็หยิบแป้งลงใส่ตะกร้ามาสามถุง

               “ได้ครบแล้วใช่ไหม?” ผมหันไปถาม

              “ยังครับ...ผมว่าจะซื้อพวกของตกแต่งหน้าคุกกี้ด้วย”

               “อ่อ มันอยู่ตรงไหนหรอ?”

               “พายชอบกินคุกกี้อะไรครับ” มันธ์หันมาถามผมโดยไม่สนใจคำถามของผมเลย

               “ว่าไงครับ? พายชอบคุกกี้อะไร?” เขาถามย้ำอีกครั้งเมื่อเห็นผมไม่ตอบ

                “อ่า...ผมกินคุกกี้อะไรก็ได้ครับ ไม่ได้มีแบบที่ชอบเป็นพิเศษ”

                “จริงหรอครับ?” อีกฝ่ายทำหน้าสงสัย

               “จริงๆ ครับ”

              “ไม่มีเลยจริงๆ หรอ สักแบบ แบบที่ชอบซื้อบ่อยๆ” อีกฝ่ายยังคงไม่ยอมเชื่อผม แล้วถามย้ำอีกครั้ง พอได้ยินอย่างนั้น ผมเลยมาลองนึกๆ ดูอีกที

               “ถ้าจะว่าแบบที่ชอบซื้อบ่อยๆ ก็มีอยู่ครับ”

                “นั่นแหละครับๆ แบบไหนหรอครับ”

              “ก็แบบที่มีเม็ดมะม่วงหิมพานต์อยู่ข้างบนน่ะครับ ผมก็ไม่รู้ว่ามันคือคุกกี้อะไร”

              “เม็ดมะม่วงหิมพานต์งั้นหรอ...โอเคครับ” ว่าแล้วเขาก้เดินตรงดิ่งไปยังโซนที่อยู่ข้างๆ กัน ก่อนจะหยิบเม็ดมะม่วงหิมพานต์ขึ้นมาแพ็คหนึ่ง ผมมองอย่างสงสัย

              “อย่าบอกนะครับว่าจะทำคุกกี้เม็ดมะม่วงหิมพานต์น่ะ?” ผมถามขึ้นเพราะจำได้ว่าที่เมื่อคืนกินมันเป็นคุกกี้ที่มีชอกโกแลตชิพนี่ ไม่ใช่เม็ดมะม่วง ถ้าจะทำใหม่ก็น่าจะทำแบบเดิมไม่ใช่หรอ

              “ครับ ก็พายชอบนี่” เขาพูดด้วยรอยยิ้มหันมามองผม ในมือก็เอาเม็ดมะม่วงหิมพานต์ใส่ลงตะกร้า

              “เฮ้ย! แล้วเกี่ยวอะไรกับความชอบของผม? ทำไมมันธ์ไม่ทำแบบเดิมล่ะ?”

              “ก็จะทำขนมทั้งที ก็ต้องทำให้ถูกปากคนกินสิครับ” คราวนี้รอยยิ้มสดใสมาพร้อมกับสายตาที่ราวกับคิดเรื่องสนุกได้ ทำเอาผมหน้าขึ้นสีอีกครั้ง ผมเลยรีบเดินหนีคนตรงหน้าไปอีกทางทันที ไม่อยากให้เขาเห็นว่าผมหน้าแดงอีกแล้ว ....แล้วใครบอกกันว่าผมจะเป็นคนกิน!!







__________________________________
สุขสันต์วันปีใหม่ค่ะ ขอให้ทุกคนมีความสุขมากๆ ขอให้ปีนี้เป็นปีที่ดีนะคะ ยังไงปีนี้ก็ขอฝากนิยายเรื่องนี้ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ ^^

ออฟไลน์ มากมายด์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0




บทที่ 3.5 : เรื่องของคนที่ไม่ใช่แมว





             วันนี้ผมตื่นมา พบว่าตัวเองนอนอยู่บนโซฟา ...จริงสินะ เมื่อคืนผมสละเตียงใหม่กับเพื่อนบ้าน ห้องข้างๆ นี่น่า

             ผมหันมองนาฬิกาที่ติดอยู่ตรงพนังพบว่าตอนนี้หกโมงกว่าแล้ว ยังไม่ทันจะได้ลุกขึ้นมาก็ได้ยินเสียงจากห้องนอน ผมรีบแกล้งหลับต่อทันทีเพื่อรอดูปฏิกริยาของอีกคน

             “มันธ์ครับ...มันธ์” เสียงเรียกผมดังขึ้น มีแรงสะกิดเล็กน้อยที่ไหล่

             “อืม…” ผมแกล้งส่งเสียงงัวเงีย พลางขยับตัวเล็กน้อย

             “มันธ์ครับ ตื่นไปนอนที่เตียงก่อนครับ” อีกฝ่ายยังคงไม่ละความพยายามที่จะปลุกผม

             “อืม….~”

             งั้นขอแกล้งสักนิดละกัน ผมขยับตัวยื่นมือไปหาอีกฝ่ายแล้วดึงลงมาในอ้อมกอด เมื่อคืนผมก็ได้อุ้มพายแล้วก็คิดแหละว่าอีกฝ่ายตัวเล็กกว่าที่คิด แต่พอได้กอดก็รู้สึกว่าจริงๆ ก็ไม่ได้เล็กขนาดนั้น ก็ยังคงมีรูปร่างแบบผู้ชาย กล้ามเนื้อไม่เยอะมาก ตัวก็นุ่มนิ่มนิดหน่อย

             น่าเสียดายที่ตอนนี้ผมแกล้งหลับอยู่ เลยไม่ได้เห็นว่าอีกฝ่ายทำใบหน้าแบบไหม แต่ก็พอจะเดาได้ว่าเขาคนหน้าแดงมากแน่ๆ คิดภาพพายกำลังหน้าแดงเป็นลูกมะเขือเทศอยู่ก็อดไม่ได้ที่จะกอดคนในอ้อมกอดแน่นขึ้นอีก

             พายนอนตัวแข็งไม่ยอมขยับไปไหน ผมลอบยิ้มมุมปากขึ้นนิดๆ อย่างห้ามตัวเองไม่ได้ แล้วจู่ๆ ก็เกิดเรื่องไม่ขาดคิดขึ้นเมื่อผมรู้สึกเหมือนโดนตัวอะไรกัดที่แขน!!   

             ผมเด้งตัวลุกขึ้นอัตโนมัติหัวเลยไปโขกกับคนที่อยู่ในอ้อมกอดเข้าอย่างจัง

             “โอ๊ย!!”

             “โอ๊ย!!”

            ผมกุมหัวที่โขกกันเมื่อกี้ เจ็บชะมัด!

            “ตะกี้มันอะไรกันหรอครับ?” ผมถามขึ้นอย่างงุนงง เมื่อกี้อะไรกัดแขนผมน่ะ?! แต่แล้วหันไปมองก็พบแมวสีขาวกระโดดไปไม่ไกลจากโซฟานัก...ผมโดนกัดอีกแล้วสินะ เจ้าแมวตัวนี้มันเกลียดอะไรผมรึเปล่าเนี่ย?

             “อ่า...ขอโทษครับ พอดีแมวผมมันกัดมันธ์อีกแล้ว”

             “แมวของพายเนี่ย ดูท่าจะเกลียดผมนะเนี่ย แค่สองวันนี้ผมก็โดนกันไปสองรอบแล้ว” ผมยิ้มขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าแดงๆ ของพาย โดนกัดก็คุ้มแหละงานนี้

             “ขอโทษครับ”

             “ช่างมันเถอะครับ ว่าแต่พายหิวรึยังครับ?” ช่างมันจริงๆ โดนกัดนิดกัดหน่อยช่างมัน ถือว่าเป็นกรรมที่ผมดันไปแกล้งเจ้าของมันละกัน

             “ไม่หรอกครับ ยังเช้าอยู่เลย ปกติผมไม่กินข้าวเช้าน่ะ”

             โครก~

              เสียงท้องร้องดังขึ้น ขัดกับคำพูดของคนตรงหน้า ผมยิ้มออกมานิดๆ เนี่ย...คนปากไม่ตรงกับใจ~

                   “งั้นพายไปล้างหน้าล้างตาก่อนเถอะครับ เดี๋ยวผมไปทำอะไรให้กิน”

              “เฮ้ย ไม่เป็นไรครับ”

               “ไม่เป็นไรหรอกครับ ยังไงผมก็จะทำอะไรกินอยู่ดี เพิ่มอีหนึ่งคนไม่ลำบากหรอกครับ” ว่าแล้วผมก็ลุกเพื่อที่จะเดินไปยังห้องครัว แต่จังหวะนั้นมือผมกลับโดนพายรั้งไว้ซะก่อน

              “เอ่อ...แผลที่แขนน่ะ ทำแผลก่อนดีกว่าไหมครับ?” พายทำหน้าเป็นห่วงเป็นใยผม นั่นแหละทำให้อดไม่ได้ที่จะแกล้งเขาอีกครั้ง

             “พายจะทำให้ผมหรอครับ?”ผมถามขึ้นอย่างจริงจัง ส่งสายตาที่สื่อว่าอยากให้พายทำ ‘มากกว่าทำแผล’

             “เอ่อ...แผลนิดเดียวเอง มันธ์คงทำแผลเองได้แหละครับ เอ่อ...ยังไงผมขอกลับห้องไปล้างหน้าล้างตาก่อนดีกว่ายังไงเดี๋ยวผมมานะครับ”

             เดาว่าอีกฝ่ายคงรู้สึกได้ถึงอันตรายจากสายตาของผมเลยรีบกุลีกุจอเดินออกจากห้องไป ผมยกยิ้มขึ้นมุมปากอย่างไม่รู้ตัวเมื่อเห็นท่าทางนั้น

             “ว้า~ แมวตื่นตกใจหนีกลับห้องไปซะแล้ว~”





             พอพายออกไปจากห้อง ผมก็เข้าไปดูที่ครัว ในตู้เย็นยังพอมีเนื้อหมูอยู่บ้าง แล้วก็มีข้าวอยู่นิดหน่อย งั้นทำข้าวต้มน่าจะง่ายสุดแหละนะ

              “เมี๊ยว~” เสียงเจ้าแมวส้มเรียกร้องความสนใจให้ผมหันไปมอง

              “หืม? มีอะไรหรอเจ้าเหมียว?”

              “เมี๊ยว~” ไม่ว่าเปล่าเจ้าตัวอ้วนเดินเข้ามาเอาหัวถูไถ คลอเคลียกับขาผม ราวกับจะอ้อนผมอย่างนั้น “จะอ้อนเอาอะไรหรือไง?”

              “เมี๊ยว~” พูดให้ตายอย่างไร อีกฝ่ายก็ตอบได้แค่เมี๊ยวนั่นแหละ

              ผมส่ายหัวเล็กน้อยอย่างจนปัญญา แล้วหันไปเริ่มทำอาหาร เจ้าแมวส้มกระโดดขึ้นไปหลังตู้เย็น แล้วก้มลงมาดูผม หรือว่าที่มันร้องเมื่อกี้เพราะหิว?

              “หิวหรอ?”

               “เมี๊ยว!!” มันร้องเสียงดังขึ้นราวกับจะพูดว่า ‘ถูกแล้วล่ะเจ้ามนุษย์!!’

               “ครับๆ เดี๋ยวทำของเจ้านายแกเสร็จแล้วจะทำให้นะ” ผมยิ้มพลางลูบหัวมันเล็กน้อย แล้วหันไปทำอาหารต่อ แต่ก็ไม่ลืมที่จะล้างมืออีกครั้งนะ

               ไม่ถึงยี่สิบนาทีผมก็ทำข้าวต้มเสร็จ ก่อนจะหยิบปลาทูในตู้เย็นออกมาทอดให้เจ้าแมวทั้งสองตัว โชคดีที่ยังมีปลาทูเหลือติดตู้เย็น เมื่อวันก่อนแม่เขาเพิ่งมาเยี่ยมที่บ้านเลยเอาปลาทูของโปรดผมมาให้อยู่หลายตัว ไว้กินไปได้อีกหลายวัน

              ทอดเสร็จก็หยิบจานกระดาษมาวางแล้วแกะปลาทูให้พวกมัน พวกมันเดินมากินทันทีอย่างไม่อิดออด ไม่เว้นแม้แต่เจ้าตัวขาว สงสัยจะหิวจริงๆ

              ผมหันไปมองเวลาก็พบว่าเกือบเจ็ดโมงครึ่งแล้ว อีกฝ่ายหายไปเกือบชั่วโมงแล้วแต่ก็ยังไม่กลับมาหรือจะกลัวผมจนไม่มาแล้วกันนะ? ผมควรจะรอเขาดีไหม? แต่เขาก็พูดแล้วว่าจะมา...งั้นระหว่างรอถ้าผมไปอาบน้ำสักแป๊ปคงจะไม่เป็นไรนะ?




   

              ไม่นานหนักพวกเราก็กินข้าวเสร็จ ยังไม่ทันที่ผมจะหยิบจาน คนตรงหน้าก็คว้าจานไปซะแล้ว

              “เดี๋ยวผมล้างเองครับ พายวางเอาไว้เลย”

              “ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมล้างเอง แค่นี้เอง”

              “แต่ว่า....”

              “ให้ผมล้างเถอะครับ มันธ์ก็ทำอาหารให้ผมแล้วแถมยังเลี้ยงพวกแมวผมอีก อย่างน้อยก็ให้ผมทำอะไรตอบแทนหน่อยเถอะ”

               เห็นอีกฝ่ายเถียงอย่างเป็นจริงเป็นจังแบบนั้น ผมได้แต่พยักหน้านิดหน่อยแล้วปล่อยให้เขาล้างจานไป ระหว่างนั้นผมก็เดินไปหยิบโน้ตบุ๊คในห้อง หวังจะเอามาตัดต่อคลิปที่ถ่ายไว้เมื่อวาน

              ผมเงยหน้ามองอีกฝ่ายที่หันหลังให้ผม กำลังตั้งใจล้างจานอยู่

              ถ้าล้างจานเสร็จเขาก็คงหนีกลับห้อง แล้วเราก็คงจะแทบไม่ได้เจอกันอีกแล้วสินะ เหมือนอย่างที่เจอกันครั้งแรก ขนาดเอาจานให้เขาไปหวังจะให้เขาเอามาคืนจะได้หาเรื่องคุยกันอีก จนป่านนี้พายก็ยังไม่เอาจานมาคืนผมเลย...พูดตรงๆ ผมยังอยากอยู่กับคนๆ นี้อีกสักพัก

              แล้วผมก็นึกอะไรดีๆ ออก ก่อนจะจัดการลบคลิปที่ตัวเองกะจะนั่งตัดต่อเมื่อกี้ทิ้งไปซะ พออีกฝ่ายล้างจานเสร็จผมก็เงยหน้าขึ้นมาทำถามแผน กดลบคลิปที่เพิ่งลงทันที

               “พายเป็นช่างภาพใช่ไหมครับ?”

               “ครับ?” พายดูจะงงๆ เล็กน้อย ผมเลยย้ำไปอีกครั้ง

               “คือเมื่อวานที่คุยกันน่ะครับ ผมจำได้ว่าพายเป็นช่างภาพใช่ไหมครับ”

               “ครับ ก็ใช่”

               “อ่า....งั้นพายพอจะใช้โปรแกรมนี้เป็นไหมครับ?” ผมชี้ไปที่จอคอมพ์เขายื่นหน้าเข้าไปมองที่จอตามที่ผมชี้
   
               "มันเป็นอะไรหรอครับ?” เขาถามขึ้นอย่างงงๆ อีกครั้ง ผมก็รีบโกหกคำโตไปทันที

               “คือตะกี้ผม Import คลิปเข้ามา พอดึงมาตัดต่อมันก็ไม่ได้อ่ะครับ พยายามทำมาหลายนาทีแล้วแต่ไม่ได้สักที”

              “หรอครับ งั้นขอผมลองหน่อยนะ”

              เขานั่งลงเก้าอี้ข้างๆ ของผม มือปล่อยเจ้าสองตัวให้ไปวิ่งเล่น แล้วหันโน้ตบุ๊คมาตรงหน้าตัวเอง กดนั่นนี่สักสองสามครั้งจึงหันมาถามผม

              “คลิปนี้อยู่ในโฟลเดอร์ไหนหรอครับ”

              “อยู่ในนี้ครับ” ผมเอื้อมมือมาเลื่อนเม้าส์คลิกสองสามทีเข้าไปที่โฟลเดอร์

              “เอ...อยู่ไหนหว่า?” ผมแกล้งพึมพำทำท่าทางหาคลิปที่ว่าแล้วค่อยๆ ขมวดคิ้วทำหน้าเครียดขึ้น“แป๊ปนึงนะครับ”

              ผมยกโน้ตบุ๊คกลับมาตรงหน้าตัวเอง แกล้งทำหน้าเครียดทำเป็นหาคลิปอย่างจริงจัง ทั้งๆ ที่ในใจก็รู้อยู่แล้วว่ามันไม่มีหรอก ก็ผมเพิ่งลบมันไปเองกับมือเมื่อกี้นี่น่า

              “เป็นอะไรไปหรอครับ?” พายถามขึ้น

              “คือผมหาคลิปไม่เจอน่ะครับ”

             “หืม? หมายความว่ายังไง?”

             “คือทุกครั้งผมจะเอาคลิปลงในโฟลเดอร์นี้นะครับ มันก็ไม่น่าจะหายไปไหน”

             “แปลกจัง” พายบ่นขึ้นเล็กน้อย ผมเลยรีบยกข้ออ้างที่คิดไว้ขึ้นมาพูดทันที

             “มันจะเกี่ยวกับที่ผมสแกนไวรัสหรือเปล่าครับ?”

             “ก็เป็นไปได้ครับ อาจจะเพราะไฟล์มันมีไวรัสพอสแกนไวรัสบางทีไฟล์มันก็เสียหรือหายไป อย่างนี้ก็ไม่ยากแล้วครับยังไงมันธ์ก็เอาเมมมาแล้วลากไฟล์ลงคอมพ์ใหม่ดู ส่วนที่โปรแกรมมันดึงคลิปไม่ได้ก็น่าจะเพราะไฟล์ต้นฉบับในคอมพ์มันไม่มีอยู่ มันเลยเหมือนไม่มีข้อมูล เลยดึงมาตัดต่อไม่ได้”

             นั่นไง เข้าเป้าเป๊ะ อีกฝ่ายตกหลุมผมเต็มๆ

             “งั้นก็แย่แล้วล่ะครับ”

             “ทำไมหรอ?”

             “คือผมเห็นว่าผมดึงคลิปลงในคอมพ์แล้วผมก็เลยลบคลิปในเมมกล้องไปแล้วน่ะครับ”

             “งั้นก็แย่จริงๆ นั่นแหละ แล้วคลิปนี้มันคืออะไรหรอมันธ์ถ่ายใหม่ได้ไหม”

             “เป็นคลิปที่ผมทำคุกกี้เมื่อวานน่ะครับ ผมต้องอัพมันวันนี้”

              “จะทำใหม่ก็ดูจะลำบากนะ ถ้างั้นเลื่อนไปลงคลิปวันอื่นแทนได้ไหม?”

              “ผมก็อยากทำอย่างนั้นนะ แต่ไม่ได้น่ะครับ พอดีคลิปนี้มีสปอนเซอร์สนับสนุน ผมตกลงกับเขาว่าจะอัพคลิปวันนี้น่ะครับ” เรื่องคลิปนี้เป็นของสปอนเซอร์น่ะเป็นเรื่องจริง สปอนเซอร์รอบนี้เป็นแป้งยี่ห้อหนึ่ง ผมตกลงกับเขาไว้ว่าจะลงคลิปภายในสัปดาห์นี้ ซึ่งความจริงถ้าไม่ลงวันนี้ก็เลื่อนไปลงวันพฤหัสก็ได้ แต่ใครจะไปบอกให้อีกฝ่ายรู้กันล่ะ

              “งั้น มันธ์จะทำยังไงครับ จะทำใหม่หรอ?”

              “คงต้องอย่างนั้นแหละครับ” ผมทำเสียงสลดเล็กน้อยหวังให้อีกฝ่ายสงสาร

              “จะทำทันใช่ไหมครับ มันธ์ตกลงกับสปอนเซอร์ว่าจะลงคลิปกี่โมงหรอครับ”

              “ผมตกลงกับสปอนเซอร์ว่าจะลงคลิปตอนบ่ายสองน่ะครับ คือถ้าแค่ถ่ายคลิปช่วงทำคุกกี้ก็น่าจะทัน แต่อาจจะตัดต่อไม่ทัน”  บ่ายสองผมว่าผมกะเวลานี้กำลังดีนะ เพราะกว่าจะทำคุกกี้เสร็จ กว่าจะตัดต่อ น่าจะเป็นเวลาทีจวนเจียนจะไม่ทันอยู่ ทำแกล้งทำหน้าเครียดกว่าเดิมขึ้นเล็กน้อย

              “ถ้ามีอะไรให้ผมช่วยได้ก็บอกนะครับ”

              โป๊ะเช๊ะ!! พายตกหลุมผมเต็มๆ

              “ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวผมทำเองไม่อยากให้พายลำบาก” ผมพูดแกล้งทำเป็นเกรงใจเล็กน้อย

              “ไม่ลำบากอะไรหรอก วันนี้ผมว่างด้วย”

              “งั้นหรอครับ...งั้นพายช่วยผมทำคุกกี้ได้ไหมครับ?” ผมรีบหย่อนเบ็ดลงไปทันที แต่กลับได้รับคำตอบที่ไม่คาดคิด

             “เฮ้ย ผมช่วยได้ทุกอย่างนะ แต่กับอาหารนี่ผมทำไม่เป็นเลย”

              ได้ยินดังนั้นผมเลยรีบตอบกลับไป จริงๆ ผมก็ไม่ได้หวังจะให้พายมาช่วยอะไรมากมายหนักหรอก แค่อยากให้อยู่ด้วยกันก็แค่นั้น

             “ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่ช่วยผสมนั่นผสมนี่ เดี๋ยวผมคอยบอกเองครับ”

             “แต่ว่า...”

             “นะครับ ทำสองคนน่าจะเร็วกว่าทำคนเดียวแน่ๆ” ผมส่งสายตาออดอ้อนคนตรงหน้าขึ้นเล็กน้อย จนในที่สุดอีกฝ่ายก็ยอมตกลง แต่ก็ยังไม่วายจะเน้นย้ำว่าทำอาหารไม่เป็น

             “ครับ ก็ได้ แต่มันธ์ต้องบอกผมเป๊ะๆ เลยนะ เพราะผมทำไม่เป็นจริงๆ”

             “ได้ครับ ขอบคุณมากนะครับ”

             แค่นี้ก็พอแล้ว ผมยิ้มขึ้นนิดก่อนจะรีบหันกับไปที่ครัว เพราะกลัวตัวเองจะเก็บสีหน้าไม่มิดว่าดีใจมากแค่ไหน ผมก้มลงหาวัตถุดิบที่จะใช้ทำคุกกี้ในวันนี้ แล้วก็นึกขึ้นได้ เมื่อคืนพายกินคุกกี้ไปแค่ชิ้นเดียวเอง หรือว่าเขาจะไม่ชอบคุกกี้ชอคโกแลตชิพกันนะ? งั้นผมควรทำอย่างอื่นดีไหมนะ? แต่จะถามตรงๆ อีกฝ่ายก็ไม่บอกแน่ๆ 

              แล้วผมก็คิดเรื่องบางอย่างออกทันที เลยรีบแอบเอาแป้งที่างอยู่ในตู้ ดันมันเข้าไปลึกๆ แล้วเอาแก้วมาบังๆ ถุงแป้งเหล่านั้น ก่อนจะหันไปหาพาย

              “คือว่า พายครับ คือผมลืมไปว่าแป้งที่ใช้มันหมดไปแล้ว”

             “อ้าว!! แล้วอย่างนี้จะทำยังไงล่ะครับ?”

             “คงต้องออกไปซื้อแหละครับ”

             “ซื้อ? ซื้อที่ไหนหรอ ตอนนี้เพิ่งเก้าโมงกว่าเองนะครับ ห้างก็ยังไม่เปิด”

             “ไม่เป็นไรครับ ผมมีร้านอุปกรณ์เบเกอรี่เจ้าประจำอยู่ห่างไม่ไกลจากที่นี่มากนัก ขับรถไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ถึง”

              “อ่อครับ งั้นมันธ์จะไปเลยใช่ไหมครับ”

              “ครับ พายไปด้วยกันนะครับ” ผมเอ่ยชวนพายขึ้น ผมกะว่าพอไปถึงที่ร้านผมจะค่อยๆ เรียบๆ เคียงๆ ถามอีกฝ่ายได้ อาจจะแกล้งทำเป็นไม่รู้จะทำคุกกี้อะไรแล้วถามอีกฝ่ายก็ได้ เดี๋ยวค่อยคิดวิธีถามอีกที แต่ตอนนี้คงต้องหลอกล่อให้อีกฝ่ายไปทีร้านกับผมให้ได้ซะก่อน

              “ห้ะ? จะให้ผมไปด้วยทำไม??”

              “ไปช่วยกันหา ไปช่วยกันถือไงครับ”

             “มันธ์ขาดแค่แป้งไม่ใช่หรอ แป้งไม่กี่ถุงก็ไม่น่าหนักนะครับ”

             “เผื่อซื้ออย่างอื่นด้วยไง นะครับ ไปเป็นเพื่อนหน่อยนะ”

             “….”

             “นะครับ”ผมส่งสายตาอ้อนไปอีกครั้ง จนอีกฝ่ายยอม

             “เออ ก็ได้ ไปก็ไป”

             “งั้นเอารถผมไปนะครับ” ผมยิ้มหน้าระรื่นเดินไปเอากุญแจรถในห้องนอนทันที




   
              เมื่อถึงร้าน พอผมหยิบแป้งลงตะกร้าแล้ว พายก็ดูกระตือรือร้นที่จะหลับบ้านเหลือเกิน

              “ได้ครบแล้วใช่ไหม?” เขาถามขึ้น

              “ยังครับ...ผมว่าจะซื้อพวกของตกแต่งหน้าคุกกี้ด้วย” และเป็นจุดประสงค์หลักที่ผมพาเขามาที่นี่ด้วย

              “อ่อ มันอยู่ตรงไหนหรอ?”

              “พายชอบกินคุกกี้อะไรครับ” ผมถามขึ้นทันที แต่เขาก็ยังไม่ยอมตอบ หรือถามตรงๆ แบบนี้ไม่เวิร์คกันนะ...แต่ว่าลองถามย้ำดูอีกครั้งละกัน

              “ว่าไงครับ? พายชอบคุกกี้อะไร?”

              “อ่า...ผมกินคุกกี้อะไรก็ได้ครับ ไม่ได้มีแบบที่ชอบเป็นพิเศษ”

              เขาบอกว่าไม่ชอบแบบไหนเป็นพิเศษ ผมไม่เชื่อหรอก อย่างคุกกี้ชอคโกแลตชิพเมื่อวานเขายังดูไม่ค่อยชอบเลย ถ้ามีแบบไม่ชอบก็ต้องมีแบบที่ชอบด้วยสิ!!

              “จริงหรอครับ?”

              “จริงๆ ครับ”

              “ไม่มีเลยจริงๆ หรอ สักแบบ แบบที่ชอบซื้อบ่อยๆ” ผมถามย้ำไปอีกครั้ง หวังว่าจะได้คำตอบที่คาดหวัง

              “ถ้าจะว่าแบบที่ชอบซื้อบ่อยๆ ก็มีอยู่ครับ”

              “นั่นแหละครับๆ แบบไหนหรอครับ”

              “ก็แบบที่มีเม็ดมะม่วงหิมพานต์อยู่ข้างบนน่ะครับ ผมก็ไม่รู้ว่ามันคือคุกกี้อะไร”

              “เม็ดมะม่วงหิมพานต์งั้นหรอ...โอเคครับ” ในที่สุดผมก็ได้คำตอบที่ต้องการ ...เอ...จำได้ว่าเม็ดมะม่วงเหมือนจะอยู่โซนที่อยู่ข้างๆ พอเดินเข้าไปในโซนผมก็เห็นสิ่งที่ต้องการเลยตรงดิ่งเข้าไปหยิบมาแพ็คหนึ่ง

              “อย่าบอกนะครับว่าจะทำคุกกี้เม็ดมะม่วงน่ะ?” พายถามขึ้นด้วยสีหน้าสงสัย

                 “ครับ ก็พายชอบนี่” ผมตอบไปตามตรง มุมปากยกยิ้มขึ้นอย่างไม่รู้ตัว แล้วก็เอาเม็ดมะม่วงหิมพานต์ใส่ลงตะกร้า

             “เฮ้ย! แล้วเกี่ยวอะไรกับความชอบของผม? ทำไมมันธ์ไม่ทำแบบเดิมล่ะ?” อีกฝ่ายโวยวายขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคำตอบของผม

              “ก็จะทำขนมทั้งที ก็ต้องทำให้ถูกปากคนกินสิครับ” อยากทำขนมให้ถูกปากผู้ทานก็ต้องทำขนมที่ผู้ทานชอบกินจริงไหมล่ะครับ?






_______________________________
ปีใหมีนี้เอาไปสองตอนเลยค่ะ ก่อนจะหายไปสักแปปเจอกันอีกทีวันที่ 3 นะคะ >___< (ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด แฮะๆ)

ออฟไลน์ เพียงเพื่อน

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
สวัสดีปีใหม่ค่ะคุณผู้แต่ง :)

ออฟไลน์ Noina_Pn

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 277
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :L2: :pig4:
น่ารัก

สวัสดีปีใหม่

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6
น่ารักทั้งคนและแมว

สวัสดีปีใหม่ค่ะ

 :L2: :L2:

ออฟไลน์ มากมายด์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0


บทที่ 4 : แมวของผม...ทำอาหาร





             พอมาถึงที่ห้องมันธ์ก็เอาวัตถุดิบทั้งหลายที่ซื้อจากร้านวางไว้ที่ครัว แล้วเดินหายเข้าไปในห้องนอนสักพัก ก่อนจะออกมาพร้อมกับกล้องและขาตั้งกล้อง ผมเห็นอย่างนั้นจึงรีบเข้าไปช่วยทันที

             “มันธ์ไปเตรียมวัตถุดิบเถอะครับ เดี๋ยวผมตั้งกล้องให้” อะไรช่วยได้ก็ช่วย

             “ขอบคุณครับ” เขาส่งอุปกรณ์ทั้งหลายมาให้ผม ส่วนตัวเองก็เดินเข้าไปในครัว

             เจ้าแมวทั้งสองตัวเห็นผมก้มหน้าก้มตาต่อขาตั้งกล้อง มันก็เดินเขามาดูด้วยความสนใจใคร่รู้ พอเซ็ทกล้องเรียบร้อยเจ้าของห้องก็เดินมาทางผมก่อนจะยื่นชามมาให้

             “อะไรหรอครับ?” ผมถามขึ้นมองดูของที่อยู่ในชามนั่นก็พบว่ามันคือ...ดินสอพอง

             “พายจะทาเองหรือให้ผมทาให้ครับ?” เขาถามขึ้นใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

             ได้ยินอย่างนั้นผมเลยรีบรับชามนั้นมาทันที แล้วเดินไปส่องกระจกที่ห้องน้ำ ทาดินสอพองตรงบริเวณที่หัวโนบางๆ พอออกจากห้องน้ำก็เห็นอีกฝ่ายเท้าแขนนั่งมองมาทางผมด้วยรอยยิ้มแป้นแล้น

             “อะไรกันครับ?” ผมถามขึ้น ทำไมต้องมองผมด้วยสายตาแบบนั้นล่ะ

             “เปล่าครับ”

             ยัง...ยังไม่หยุดยิ้มอีก....ผมมองเลยริมฝีปากของอีกฝ่ายขึ้นไปยังหน้าผาก นึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายก็หัวโนเหมือนกันนี่น่า ผมเดินไปนั่งข้างๆ มันธ์ หันหน้าไปมองอีกฝ่าย อีกฝ่ายก็มองผมกลับอย่างงงๆ  ผมเลยหันไปจิ้มดินสอพองในชามแล้วยื่นมือไปทางเขา

             “อะไรกันครับ?”

             “ก็ที่ตกลงไว้ไง ถ้าให้ผมพอกดินสอพองอย่างนี้ มันธ์ก็ต้องทำด้วย”

             “เดี๋ยวผมทาเองก็ได้ครับ”

             “ไม่ครับ ยื่นหน้ามา เดี๋ยวผมทาให้” ก็เมื่อเช้ามันธ์ทาให้ผม เล่นทาซะหนาเลย ปล่อยให้ผมอายอยู่คนเดียว ทีนี้ถึงตาผมเอาคืนบ้างล่ะ 

             ตอนแรกนึกว่าอีกฝ่ายจะอิดออดไม่ยอม แต่ที่ไหนได้ มันธ์กลับยื่นหน้ามาให้ผมอย่างเต็มใจ เล่นเอาผมที่อยากจะแกล้งอีกฝ่ายรู้สึกประหม่าราวกับว่าผมเป็นคนถูกแกล้งแทนซะงั้น

             ด้วยความหมั่นไส้ มือที่ทาหน้าผากเขาอยู่เลยกดหนักๆ ไปหนึ่งที

             “โอ๊ย! แกล้งกันหรอครับ”

             “เออ หมั่นไส้” ผมตอบกลับอย่างไม่แคร์ มันธ์หัวเราะขึ้นมานิดๆ

             “เสร็จหรือยังครับ?” เขาเหล่ตาขึ้นมองมือที่หน้าผาก

             “เสร็จแล้วๆ” ผมกดหนักๆ ไปอีกครั้ง

             “ขี้แกล้ง”

             เกิดเสียงบ่นเล็กน้อยจากอีกฝ่าย ผมได้แต่หยักไหล่อย่างไม่สนใจ มันธ์ลุกเดินไปที่ครัว มือก็หยิบชามใส่ดินสอพองติดไปด้วย

             “พายออกกล้องได้ไหมครับ?”

             จู่ๆ มันธ์ก็ถามขึ้น

             “ออกกล้อง? หมายถึงอะไรครับ?”

             “คือ เดี๋ยวผมจะถ่ายคลิป แล้วให้พายช่วยทำครับ มันอาจจะมีบางช่วงที่อาจจะถ่ายติดหน้าพายน่ะครับ”

             “อ๋อ...ได้ครับ ไม่มีปัญหา” จริงๆ ผมชอบอยู่หลังกล้องมากกว่า แต่มองจากเวลาตอนนี้แล้ว ถ้าผมมาเรื่องมากตอนนี้ กว่าจะถ่ายคลิปเสร็จคงไม่ทันการณ์แน่ๆ

             “ครับ งั้นเดี๋ยวผมบอกสคลิปคร่าวๆ ก่อนนะครับ”

             แล้วมันธ์ก็เริ่มอธิบายขั้นตอนต่างๆ รวมถึงมุมกล้องที่เขาคิดว่าจะถ่าย มันธ์บอกว่าจะแค่ตั้งกล้องเฉยๆ ซึ่งก็ดูสะดวกดี ส่วนผมต้องคอยช่วยหยิบนั่นนี่ แล้วก็ผสมส่วนผสมต่างๆ ฟังแล้วก็ดูไม่ยากเท่าไหร่

             พอมันธ์เอาวัตถุดิบออกมาจัดเตรียมเจ้าอ้วนตัวส้มก็รีบกระโดดขึ้นไปตรงเคาน์เตอร์ครัวที่วางของเหล่านั้นทันที ราวกับมันรู้ว่ากำลังจะมีอาหาร

             “อะไรหึ? เจ้าอ้วน” มันธ์ลูบหัวเจ้าแมวส้มไปมา

             “มันคงรู้ว่าพวกเรากำลังจะทำขนมมั้งครับ”

             “ฮ่าๆ เก่งมากเจ้าอ้วน” เขายังคงลูบหัวเจ้าตัวส้มไปมาไม่หยุด “ผมเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้วครับ พายพร้อมไหมครับ”

             ถามเป็นจริงเป็นจังอย่างกับจะชวนผมไปออกรบอย่างนั้นแหละ

             “พร้อมครับ”

             “โอเค”

             พอกล้องเริ่ม เขาก็เริ่มจากอธิบายวัตถุดิบต่างๆ ผมได้แต่ยืนเงอะงะอยู่ข้างๆ เขา

             “พายครับ เดี๋ยวพายเอาตะกร้อตีส่วนผสมให้หน่อยนะครับ”

             ผมทำตามอย่างว่าง่าย ส่วนเขาก็หันไปวุ่นกับเตา สักพักเขาก็หันกลับมาหยิบชามที่ผมกำลังกวนส่วนผสมอยู่ มันธ์ตักส่วนผสมลงอะไรสักอย่างที่มีลักษณะเป็นถุงพลาสติกแบบกรวยตรงปลายมีหัวพลาสติก โดยแบ่งใส่เป็นสองอัน ก่อนจะยื่นมาให้ผม

             “อะไรครับ?”

             “ก็พายช่วยผมบีบคุกกี้ใส่ถาดหน่อยได้ไหมครับ”

             “บีบคุกกี้?”

             “ครับ เดี๋ยวผมทำให้ดูก่อน”

              มันธ์ก้มหน้า ลงมือบีบเนื้อครีมออกมาจนได้ขนาดไม่ใหญ่มาก ผมก้มหน้าลงไปมองตามมือของมันธ์ ระหว่างบีบไปเขาก็พูดไปด้วย “พายแค่บีบไปเบาๆ ให้ได้ขนาดประมาณเส้นผ่านศูนย์กลางสองนิ้วนะครับ แล้วก็บีบแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนหมด”

             “อ่าโอเค”

             มันธ์หันมามองหน้าผม ผมหยิบที่บีบนั่นขึ้นมาก่อนจะตั้งใจบีบ บีบเสร็จหนึ่งชิ้นผมก็หันไปมองมันธ์ที่กำลังมองผมอยู่พอดี

             “แบบนี้ใช่ไหม?”

             “ครับ แบบนั้นแหละ” มันธ์ยิ้มให้ผมแล้วหันกลับไปทำของตัวเอง ผมเห็นอีกฝ่ายโอเค ก็เลยลงมือทำต่อ

             ใครว่าทำขนมไม่ยาก ผมนี่ขอเถียงเลย ผมตั้งใจกับการบีบคุกกี้ตรงหน้ามากๆ แต่ตั้งใจแค่ไหนมันก็ไม่เท่ากันสักที ผมพยายามทำให้มันชิ้นเท่ากันนะ แต่บางทีมันก็ใหญ่เกิน บางทีก็เล็กเกิน แต่เห็นมันธ์ไม่ว่าอะไร ผมก็คงทำไม่แย่ล่ะมั้ง?

             ไม่กี่นาทีมันธ์ก็ทำเสร็จ ในขณะที่ที่บีบของผมยังเหลือเนื้อแป้งอีกเกือบครึ่งเลย

             “เป็นไงบ้างครับพาย”

             “ยากอ่ะ”

             “ครั้งแรกก็งี้แหละครับ เดี๋ยวพายมาทำอันนี้ดีกว่าเดี๋ยวทีเหลือผมทำเอง”

             “หืม? ให้ทำอะไรหรอ”

             “พายไปหยิบเม็ดมะม่วงหิมพานต์ที่ตรงเตามาให้หน่อยนะครับ แล้วก็เอาเม็ดมะม่วงเหล่านั้นมาวางบนคุกกี้ ชิ้นละสองถึงสามเม็ดครับ”

              “อ่า...โอเค”

             ผมส่งที่บีบคุกกี้ให้กับมันธ์ หันซ้ายหันขวาเล็กน้อย ก็เห็นเม็ดมะม่วงหิมพานต์แล้วค่อยๆ บรรจงวางมันลงบนคุกกี้ ก่อนจะหันไปถามคนข้างๆ “แบบนี้ได้ไหม”

              เขาหันมายิ้มนิดๆ “ครับ แบบนั้นแหละครับ จริงๆ พายอยากวางแบบไหนก็แล้วแต่เลยนะครับ”

              “เอางั้นหรอ”

              “ครับ อยากใส่น้อยเยอะยังไงแล้วแต่พายเลย”

              “เหมียว~” เสียงแมวดังขึ้นพร้อมกับร่างอ้วนๆ เดินอุ้ยอ้ายมาทางมันธ์ เจ้าไข่แดงก้มลงดมคุกกี้ในถาดไปมา

             “ไม่เอาครับ ยังกินไม่ได้ครับ” มันธ์ดุเล็กน้อย

             เจ้าแมวหยุดดมคุกกี้ แล้วหันไปมองหน้ามันธ์

              “เหมียว!” บ่นเสร็จก็เดินมาหาผม

               “ไม่เอา เจ้าอ้วน ไปเล่นที่อื่นก่อน” ผมดุมัน มันเลยมองหน้าผมกลับด้วยสายตาเบื่อๆ ก่อนจะกระโดดไปที่เก้าอี้ที่อยู่ไม่ไกลนัก และนั่งมองดูพวกผมอย่างสายตาสงสัยใคร่อยากรู้ เจ้าไข่ขาวเห็นน้องตัวเองมานั่งเล่นตรงนี้ มันก็เลยกระโดดตามมานั่งด้วย

              มันธ์เอื้อมมือมาหยิบเม็ดมะม่วงหิมพานต์จากชามที่อยู่ข้างๆ ผม ตอนนั้นเองผมเลยเห็นว่าอีกฝ่ายบีบคุกกี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่ผมเพิ่งวางเม็ดมะม่วงหิมพานต์ลงในคุกกี้ได้ไม่ถึงสิบชิ้นเลย...ทำเร็วเว่อร์ นี่สินะมืออาชีพ

              “เมี๊ยว~” เสียงเจ้าแมวดังขึ้นอีกครั้ง เรียกความสนใจให้ผมหันไปมอง

                  “อะไรไอ้อ้วน บ่นอะไรอีก”

              “เมี๊ยว~?”

              “เฮ้อ เจ้าตะกละเอ๊ย!” ผมบ่นงืมงัมใส่เจ้าแมว

              “พายฟังมันออกด้วยหรอครับ?”

               “เปล่าหรอกครับ ไม่ได้ฟังออก แค่พอจะเดาได้น่ะ” ผมตอบตามความจริง ก็ปกติผมก็ฟังพวกมันไม่ออกหรอก ยกเว้นเวลาผมกลายเป็นแมว แต่ด้วยความที่อยู่กับเจ้าพวกนี้มาเกือบปี ก็เลยพอจะเดานิสัยมันได้บ้าง อย่างตอนนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเจ้าไข่แดงต้องกำลังถามผมแน่ๆ ว่าเมื่อไหร่พวกมันจะได้กิน

              “แล้วมันพูดว่าอะไรหรอ?”

               “มันบ่นน่ะครับว่าเมื่อไหร่พวกมันจะได้กิน”

              “อ๋อ อย่างนี้นี่เอง....อีกแป๊ปนะครับ เดี๋ยวก็ได้กินแล้ว” ประโยคหลังมันธ์หันไปพูดกับเจ้าแมวทั้งสองตัว

              ไม่นานนักมันธ์ก็หยิบคุกกี้ทั้งสองถาดเข้าเตาอบ ระหว่างรอคุกกี้อบเสร็จผมเลยเดินไปนั่งโต๊ะกินข้าว ส่วนมันธ์ก็เดินไปปิดกล้อง

              ผมหันมองเวลาก็พบว่าตอนนี้เที่ยงแล้ว กว่าคุกกี้จะอบเสร็จก็น่าจะไม่เกินเที่ยงครึ่ง ถ้ารวมเวลาตัดต่อคลิปยังไงก็น่าจะเสร็จทัน

               “ตอนนี้ก็เหลือแค่รอคุกกี้อบเสร็จ แล้วก็ถ่ายตอนเสร็จแล้วแค่นั้นครับ ขอบคุณนะครับที่ช่วย เพราะพายแท้ๆ มันเลยเสร็จทันเวลา”

              “ไม่เป็นไรครับ แค่นี้เอง”

              “นี่ก็เที่ยงแล้ว งั้นระหว่างรอคุกกี้เสร็จเดี๋ยวผมทำอะไรให้กินนะครับ”

              ยังไม่ทันที่ผมจะปฏิเสธอีกฝ่ายก็ลุกไปที่ตู้เย็นซะแล้ว เขามองที่ตู้เย็นไปมาสักพักแล้วหันมาพูดกับผม

              “ในตู้เย็นผมเหลือแค่ไข่กับปลาทู ถ้าผมทำไข่น้ำกับปลาทูทอด พายกินได้ไหมครับ?”

              “จริงๆ มันธ์ไม่ต้องทำก็ได้นะครับ”

             “ไม่เป็นไรหรอกครับ ถือว่าตอบแทนไงที่ช่วยผมทำคุกกี้”

             “แต่เมื่อเช้ามันธ์ก็เพิ่งทำข้าวต้มให้ผมเองนะ เรื่องช่วยทำคุกกี้ก็ตอบแทนที่เลี้ยงข้าวเช้าแล้ว ยังจะมาเลี้ยงข้าวกลางวันอะไรอีก”

             “ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ ยังไงผมก็ต้องทำของตัวเองไง เพิ่มอีกสักคนก็ไม่ได้ลำบากอะไร”

             “แน่ะ...พูดเหมือนเมื่อเช้าอีกแล้ว”

             “ก็จริงนี่ครับ”

             “โอเค ก็ได้ งั้นกลางวันนี้ขอฝากท้องไว้ด้วยละกันครับ” ผมยอมคนตรงหน้าเพราะเถียงไปก็ดูจะไม่ชนะอีกฝ่ายแน่ๆ

             “ว่าแต่พายกินไข่น้ำกับปลาทูทอดได้ไหมครับ”

             “แค่ไข่น้ำก็พอแล้ว” ผมตอบกลับ กว่าจะทอดปลาทู กว่าจะทำไข่น้ำ ผมกลัวว่ามันจะเสียเวลาอีกฝ่ายเกินไป เพราะเขายังเหลือถ่ายคลิปช่วงสุดท้ายอีก แถมยังไม่ได้ตัดต่อเลยด้วย

              “เอางั้นหรอครับ”

             “อืม แค่ไข่น้ำก็พอ หรือว่ามันธ์อยากกินปลาทู ถ้ามันธ์อยากกินปลาทูผมกินด้วยก็ได้นะ เอาที่มันธ์สะดวก”

             “ผมกินที่พายอยากกินนั่นแหละครับ” เขาพูดแล้วก็หันไปวุ่นวายกับในครัว ผมได้แต่มองตามแผ่นหลังนั้นเดินไปเดินมาในครัว ไม่ทันรู้สึกตัวเลยว่าโดนอีกฝ่ายตามใจอีกแล้ว





             ไม่ถึงสิบห้านาทีไข่น้ำก็มาวางข้างหน้าผมพร้อมทาน มันธ์ตักข้าวมาสองจานแล้วส่งให้ผม ผมรับมาพร้อมพูดขอบคุณเบาๆ

             คำแรกที่ผมตักไข่น้ำเข้าปาก....อร่อย...คนตรงหน้าผมนี่ทำอะไรก็อร่อยหรือไงกันนะ

             “อร่อยไหมครับ?” มันธ์หันมาถามผม

             “อร่อยมากครับ นี่มันธ์ทำอาหารมานานหรือยังครับ” ผมอดไม่ได้ที่จะถามคนตรงหน้า

             “เอาจริงๆ ผมเริ่มทำมาตั้งแต่จำความได้แล้วแหละครับ ผมชอบเข้าครัวไปช่วยแม่ทำบ่อยๆ พอขึ้นมหาลัยเลยเลือกเรียนทางนี้โดยตรง”

             “อ่อ อย่างนี้นี่เอง ก็ว่ามันธ์ทำอร่อยจริงๆ แหละครับ สมกับที่ทำมาตั้งแต่เด็ก”

              “อ่า....ขอบคุณครับ” มันธ์หน้าขึ้นสีนิดๆ ซึ่งเป็นภาพหายากก็ว่าได้ ทุกทีมีแต่ผมที่หน้าแดงไปฝ่ายเดียวเพิ่งเคยเห็นอีกฝ่ายหน้าแดงก็คราวนี้แหละ “แน่ะ~ ชมนิดเดียวถึงกับเขินเลยหรอครับ”

               ได้ทีผมก็รีบแซวอีกฝ่ายทันที

              “ก็มีคนมาชมตรงๆ อย่างนี้ ผมก็เขินสิครับ” นั่น...ไม่ปฏิเสธด้วย

              กิ๊ง~!

             จู่ๆ เสียงเตาอบดังขึ้นขัดบทสนทนาของพวกเรา

             “สงสัยคุกกี้อบเสร็จแล้วน่ะครับ”

             “งั้นเราจะถ่ายคลิปต่อเลยไหมครับ?”

             “เดี๋ยวกินข้าวให้เสร็จก่อนก็ได้ครับ”

             “อ่า...โอเค” ได้ยินดังนั้นผมเลยรีบกิน จะได้รีบไปถ่ายวิดิโอต่อ จะได้ไม่เสียเวลา




    
             ไม่นานนักพวกเราก็กินเสร็จผมเลยหยิบจานไปเก็บเช่นเดิม
 
             “พายวางไว้ก็ได้ครับเดี๋ยวผมล้างเอง” มันธ์ก็ยังคงพูดคำเดิมๆ

             “เดี๋ยวผมล้างเองครับ มันธ์ไปถ่ายคลิปต่อเถอะ”

             โชคดีที่คราวนี้ผมมีข้ออ้าง เลยไม่ต้องเสียเวลาต่อปากต่อคำกับมันธ์ มันธ์ยอมว่าง่ายหันไปเปิดกล้อง จังหวะนั้นเองที่เสียงโทรศัพท์ผมดังขึ้น

             “ขอโทษครับ เสียงมือถือผมเอง”

             ผมรีบเดินไปหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะกินข้าว พอเห็นเบอร์ที่โทรมาก็รู้สึกแปลกใจนิดๆ แต่ก็ยอมกดรับ

             “มีเรื่องไร?”

             [แหม เพื่อนโทรมาแค่นี้ทำเสียงเขียวใส่เชียว]

             “ก็ปกติมึงโทรมาก็ไม่เคยมีเรื่องดีๆ เลยนี่หว่า” ผมพูดกลับไปพลางเดินไปทางระเบียงเพื่อไม่ให้รบกวนอีฝ่ายที่กำลังจะอัดคลิป “สรุปมีอะไร?”

             [เพื่อนรักกกกกกกก Help me~]

             “อะไรอีก?”

              [เอาน่า มึงมาหากูก่อน กูต้องการความช่วยเหลือด่วน!!]

              “อะไรของมึงเนี่ย?”

             [เออน่ามาก่อน กูรออยู่ที่โรงพยาบาลนี้นะ รีบมาล่ะมึง ด่วนๆ ตอนนี้เลย] มันบอกชื่อโรงพยาบาลมา ด้วยน้ำเสียงร้อนลนขึ้นเล็กน้อย

             “เดี๋ยวก่อน มึงบอกมาก่อนว่าเรื่องอะไร แล้วทำไมมึงไปอยู่โรงพยาบาล?”

             [เออมาก่อนน่า เดี๋ยวมึงก็รู้เอง รีบมานะ]
 
             “เดี๋ยวมึง...!!”

             ยังไม่ทันที่ผมจะได้แย้งอะไรมัน มันก็ชิงวางสายไปซะแล้ว สรุปนี่มันเป็นอะไรเนี่ย? แล้วทำไมไปอยู่ที่โรงพยาบาล?

              ผมเดินกลับเข้าไปในห้อง ก็เห็นอีกฝ่ายเดินมาปิดกล้องพอดี

              “เอ่อ ผมต้องกลับแล้วล่ะครับ”

              “อ้าว! ไม่อยู่ทานคุกกี้กันก่อนหรอครับ?” มันธ์ถามขึ้นทันทีที่ได้ยินแบบนั้น

              “คือตะกี้เพื่อนผมโทรมาตามให้ไปหาด่วนน่ะครับ” ผมตอบอีกฝ่ายไป แต่ก็ไม่ได้ลงรายละเอียดอะไรนัก

              “งั้นหรอครับ” มันธ์ทำน้ำเสียงดูหดหู่ลงนิดๆ ไม่รู้ทำไมผมถึงมองเห็นเขาเหมือนหมาตัวโตกำลังนั่งหงอยหูลู่ซะงั้น

              “มันธ์ตัดต่อคลิปเองได้ใช่ไหมครับ?” ผมถามขึ้นอย่างเป็นห่วง เพราะตอนนี้เหลือเวลาอีกชั่วโมงกว่าเอง

               “ครับ ทำได้ครับ ไม่ยากหรอก ยังไงวันนี้ก็ขอบคุณมากนะครับ”

              “อ่า...ครับ งั้นผมไปก่อนนะครับ”

              อยากพูดอะไรกับอีกฝ่าย แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไร ผมเลยได้แต่พูดไปแค่นั้น...พอเดินไปถึงหน้าประตูเจ้าแมวตัวขาวก็เดินตามผมมา แต่ตัวอ้วนตัวส้มกลับอยู่ไหนก็ไม่รู้

             “เจ้าอ้วน?” ผมตะโกนขึ้นนิด หันมองซ้ายมองขวา ก็ยังไม่ไม่เห็นมัน เลยเรียกขึ้นด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม “เจ้าอ้วนอยู่ไหน?”

              “เจ้าอ้วนอยู่ในครัวครับ” เสียงตอบรับกลับมาเป็นเสียงเจ้าของห้อง ไม่ใช่เสียงเจ้าแมวของผม

              ผมเลยรีบเดินกลับไปที่ครัว เจ้าไข่แดงกำลังนั่งดมคุกกี้อยู่ในครัวนั่นเอง

              “เจ้าอ้วนกลับห้องได้แล้ว”

             “เมี๊ยว!!”

             มันรีบส่งเสียงกลับทันที ราวกับจะประท้วงว่าจะไม่กลับ จะอยู่กินคุกกี้
 
              “ไม่ต้องมาดื้อ กลับห้องเราได้แล้ว!!”

              “เมี๊ยว! เมี๊ยว! เมี๊ยวววว!!” มันร้องโวยวายขึ้นทันทีที่ผมจับตัวมันอุ้ม แถมไม่ใช่แค่ร้องด้วย มันดิ้นไปมาอีกต่างหาก!! เจ้าอ้วน!! เจ้าตะกละ!!

              “จริงๆ ให้พวกมันอยู่ที่นี่ก่อนก็ได้นะครับ”

              “เมี๊ยว~” เสียงเจ้าไข่แดงดังขึ้นทันที อยากบอกว่าเห็นด้วยกับอีกฝ่ายสินะ

              “ไม่เอาหรอก รบกวนมันธ์เปล่าๆ”

              เจ้าตัวอ้วนเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยสายตาอาฆาตเล็กน้อย

              “ไม่รบกวนหรอก ผมอยู่คนเดียว มีเจ้าแมวสองตัวเป็นเพื่อนเล่นก็สนุกดีครับ”

              “เอางั้นหรอครับ?” ผมถามขึ้นย้ำอีกทีด้วยความเกรงใจ

              “ครับ เอางี้แหละ”

               “อ่า...งั้นก็ขอบคุณครับ เดี๋ยวถ้ากลับมาจากธุระ แล้วผมจะมารับนะครับ”

               “ครับ” มันธ์ยิ้มให้ผมนิดๆ แล้วรับเจ้าตัวอ้วนสีส้มไปอุ้ม พอเจ้าไข่แดงอยู่ในอ้อมกอดคนตัวสูงก็รีบคลอเคลียใส่ทันที นี่สรุปใครเป็นเจ้าของกันเนี่ย?

               “ดูแลน้องดีๆ ด้วยนะ อย่าให้น้องเล่นซนล่ะ” ผมก้มลงพูดพลางลูบหัวเจ้าไข่ขาวสองสามครั้ง

               “เออพายครับ!” จู่ๆ เจ้าของห้องก็เรียกผมไว้ขณะที่ผมกำลังจะก้าวขาออกจากห้อง

               “?”

               “หน้าผากน่ะครับ อย่าลืมล้างล่ะ”

               “รู้แล้วน่า!!” ผมรีบหันหลังเดินกลับห้องทันที หวังว่าอีกฝ่ายจะไม่เห็นว่าผมหน้าแดงอีกแล้ว เอาจริงๆ ถ้ามันธ์ไม่บอก ผมก็คงลืมไปเลยว่าที่หน้าผากผมยังคงมีดินสอพองพอกไว้อยู่

               เมื่อก้าวเข้าไปในห้องตัวเอง ผมก็รีบเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าก่อนเลย แล้วจึงเดินไปหยิบกระเป๋ามือถือของใช้จำเป็นสองสามอย่าง ก่อนจะรีบออกไปยังโรงพยาบาลที่อีกฝ่ายนัดไว้





              “ไอ้พายเพื่อนรักกกกกกกก”

              เสียงเพื่อนผมดังมาแต่ไกลทันทีที่ผมก้าวเข้ามาในห้องพักผู้ป่วยส่วนตัว ผมได้แต่ทำหน้าเบื่อหน่ายใส่มัน

              “สรุปเรียกกูมาทำไม แล้วนี่มึงเป็นอะไรเนี่ย?” ผมถามขึ้นเพราะตอนนี้มันอยู่ในชุดผู้ป่วยนอนอยู่บนเตียง แต่ดูจากสีหน้าท่าทางมันแล้วก็ไม่เห็นจะดูเจ็บป่วยอะไร

             “พอดีกูเพิ่งผ่าตัดไส้ติ่งอ่ะ แล้วมันมีงานต้องส่งให้บอสด่วน กูเลยจะให้มึงเอาไปให้บอสกูหน่อย” มันว่าพลางโบกซองสีน้ำตาลในมือไปมาสองสามที

             “แค่เนี้ย? แล้วทำไมมึงไม่ให้บอสมาเอา หรือให้ไลน์แมนไปส่งวะ?”

             “ก็กูอยากเจอมึงด้วยไง”

             “แค่เนี้ย?”

             “เออแค่นี้แหละ ช่วงนี้กูไม่ได้เจอมึงเลย ก็คิดถึงอ่ะ แล้วเรื่องนั้นเป็นไงบ้าง” ประโยคหลังมันถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง ‘เรื่องนั้น’ ของมันก็ไม่พ้นเรื่อง ‘แมวๆ’ ของผม

             ผมกับไอ้คนที่นอนบนเตียง หรือที่เพื่อนๆ เรียกว่า ‘นิว’ มันเป็นเพื่อนกับผมมาตั้งแต่สมัยจำความได้ และเป็นหนึ่งในคนที่รู้ว่าผมกลายเป็นแมวได้ด้วย

             “ก็สบายดี ส่วนเรื่องนั้นก็ยังเป็นเหมือนเดิม แต่ช่วงนี้ไม่ได้เปลี่ยนเป็นแมวบ่อยนักหรอก เพราะกูก็พยายามไม่ให้ตัวเองเหนื่อยเกินไป”

             “ก็ดีแล้ว ยังไงช่วงที่เป็นแมวมึงก็ระวังๆ หน่อย เกิดเป็นแมวในที่แปลกๆ ขึ้นมาล่ะจะเป็นเรื่อง”

             “เออ รู้แล้วน่า”

             “พาย นี่กูจริงจังนะ จนถึงทุกวันนี้มึงก็ยังหาสาเหตุหรือวิธีรักษาไม่ได้อีกหรอ”

             “ก็อย่างที่มึงรู้นั่นแหละ กูก็พยายามหาข้อมูลแล้วแต่ก็ไม่ได้อะไรเลย กูไม่รู้ว่าทำไมกูถึงเป็นแบบนี้ กูไม่รู้เลย ไม่รู้จริงๆ” ใช่ว่าผมไม่อยากหายจากอาการประหลาดนี่นะ ผมอยากหาย ผมอยากรู้ว่าผมเป็นเพราะอะไร แต่ผมพยายามเสิร์ชเน็ต เข้าห้องสมุด อ่านนิยาย ลองทุกอย่างแล้วก็ยังไม่รู้เลยว่าผมเป็นอะไรกันแน่

             “กูขอโทษ กูไม่ได้ตั้งใจทำให้มึงรู้สึกแย่”

             “เออกูรู้ ช่างมันเถอะ” ผมบอกปัดอย่างไม่ใส่ใจ ก็รู้แหละว่ามันเป็นห่วงผม

             “กูเป็นห่วงมึงจริงๆ นะ ถ้าวันไหนจู่ๆ มึงกลายเป็นแมวขึ้นมาในที่ๆ ไม่รู้จัก หรือในที่แปลกๆ ขึ้นมางี้ มึงจะทำไง หรือถ้าจู่ๆ มีคนไม่ดีมารู้เรื่องของมึง แล้วทำไม่ดีกับมึงล่ะ”

             “กูรู้ กูดูแลตัวเองได้น่า”

             “ได้จริง?”

             “เออ ได้!!” ถ้าไม่รวมถึงเหตุการ์เมื่อคืนที่ผมดันกลายร่างหน้าห้องตัวเองอ่ะนะ... “สรุปมึงเรียกกูมาแค่นี้?”

             “จริงๆ นอกจากเรื่องที่กูจะฝากให้มึงเอาเอกสารไปให้บอสกูแล้ว กูมีเรื่องอยากจะคุยด้วยแหละ อาทิตย์หน้าเดี๋ยวมึงจะไปออกทริปช่ะ?”

             “อือ เดี๋ยวกูเอาแมวไปฝากมึงเหมือนเดิม ฝากดูแลมันด้วย ไอ้ไข่แดงก็ไม่ต้องข้าวให้มันเยอะมาก มันเริ่มจะอ้วนเกินไปแล้ว”

             ทุกเดือนผมจะมีออกทริปไปถ่ายรูปเขียนคอลัมน์นิตยสาร ปกติก็จะไปสี่วัน แต่บางครั้งก็ไปนานหนึ่งอาทิตย์ แล้วแต่สถานที่ที่ไป

             “นั่นแหละประเด็น”

             “ประเด็น?”

             “คืออาทิตย์หน้ากูต้องไปดูงานที่ญี่ปุ่นกับบอสอ่ะ ไม่อยู่สองอาทิตย์ เพราะฉะนั้นกูคงดูแลแมวให้มึงไม่ได้แล้ว”

              “อ้าว...จริงดิ”

              “เออ กูเลยรีบบอกมึงเนี่ย มึงจะได้หาคนมาดูแลเจ้าสองตัวนั้นได้ทัน”

              “เออ ยังไงก็ขอบใจมาก เดี๋ยวกูลองดูอีกทีว่าจะฝากใครได้บ้าง ถ้าไม่ได้จริงก็คงเอาพวกมันไปด้วย”

              “เฮ้ย จะไม่ลำบากหรอ?”

             “ก็ลำบากแหละ แต่จะทิ้งพวกมันอยู่ห้องเฉยๆ สองตัวทั้งอาทิตย์กูก็แอบเป็นห่วงว่ะ ยิ่งช่วงนี้เจ้าไข่แดงชอบซนหนีไปนั่นไปนี่”

              “เออ ถ้ามึงหาไม่ได้จริงๆ ยังไงบอกกูได้นะ เดี๋ยวกูช่วยหาอีกแรง กูก็เป็นห่วงพวกมันเหมือนกัน”

              “ขอบใจมากมึง”

              “สรุปที่เรียกมามีแค่นี้?” ผมถามย้ำมันอีกครั้ง

              “มึงนี่ก็เพื่อนบาดเจ็บ ไม่เป็นห่วงเลยเร๊อะ เอาแต่ถามอยู่นั่นแหละว่าเรียกมาแค่นี้ เรียกมาแค่นี้”

               “มึงพูดมากขนาดนี้กูคงไม่ต้องห่วงอะไรแล้วมั้ง แล้วนี่ทำไมมึงไม่กินข้าว?” ผมรีบเปลี่ยนเรื่องเมื่อหันไปเห็นอาหารของโรงพยาบาลวางอยู่ไม่ไกล

             “ก็มันไม่อร่อยอ่ะ กูอยากกินพิซซ่า สั่งมากินกันไหม? กูโทรถามน้ำแล้ว วันนี้มึงไม่มีงาน มึงก็อยู่กับกูหน่อยนะ กูเหงาปากไม่มีเพื่อนคุย สั่งพิซซ่ามากินด้วยเดี๋ยวกูเลี้ยงเองเลย” ไอ้นิวนี่ก็จริงๆ ถึงกับโทรหาหนึ่งในทีมงานของผมเพื่อเช็คตารางงานเลยทีเดียว

             “คนป่วยไม่ควรกินอาหารอื่นนอกจากอาหารของโรงพยาบาลนะครับ” เสียงนุ่มเข้มดังขึ้นมาจากทางประตู เรียกเอาคนป่วยและผมหันไปมองผู้มาใหม่

             “บอส!!”

             “คุณธาริณสวัสดีครับ” ผมรีบยกมือไหว้ผู้มาใหม่ทันที

             ผมกับนิวด้วยความที่เป็นเพื่อนสมัยเด็กกันมาจนถึงปัจจุบัน เลยพอจะรู้จักคนรอบตัวของกันและกันอยู่บ้าง อย่างคุณธาริณหรือบอสของมันเนี่ย ผมก็เคยเจอกันอยู่สองสามครั้ง เวลาไปหาไอ้นิวที่คอนโด

              “สวัสดีครับพาย มานานหรือยังครับ?”

             “สักพักแล้วครับ แล้วคุณธาริณมาเยี่ยมไอ้นิวหรือมาเอางานหรอครับ?”

             “ทั้งคู่เลยครับ เอาจริงผมก็เพิ่งรู้นี่แหละครับว่านิวเข้าโรงพยาบาลเลยเพิ่งมา”

             “บอสรู้ได้ไงเนี่ย?” คนป่วยบนเตียงโวยวายขึ้นมานิด

             “ผมควรจะรู้เป็นคนแรกมากกว่านะครับ นิว” น้ำเสียงเข้มขึ้นหันไปมองคนถามพลางขมวดคิ้วนิดๆ เล่นเอาคนบนเตียงสะดุ้งไปเล็กน้อย

             บรรยากาศภายในห้องเริ่มมาคุขึ้น เป็นสัญญาณว่าผมไม่ควรจะอยู่ที่นี่แล้วแหละ...

             “นิว ถ้าบอสมึงมาแล้วกูกลับแล้วนะ”

             “เดี๋ยวสิมึง ไอ้เหี้ย! อย่าเพิ่งทิ้งกู”

             ผมรีบเดินออกมาทันที ไม่สนใจเสียงเรียกของเพื่อน ได้ยินเสียงมันไล่หลังมานิดหน่อย พร้อมกับเสียงเข้มของคนเป็นบอส “นิวครับ เด็กดีห้ามดื้อต้องกินข้าวนะครับ”

             อ่า....รีบกลับคอนโดไปหาเจ้าแมวทั้งสองดีกว่า~






____________________________________
มาแล้วค่ะ ชอบไม่ชอบ คิดเห็นกันยังไงก็บอกกันได้นะคะ อย่าลืมนะคะ ทวิต #แมวอยู่กับผม
ฝากแชร์ ฝากเม้นต์ให้กำลังใจกันด้วยน้าาาาา >___<

ออฟไลน์ P.PIM

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 236
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
บอสกับนิวนี่มีซัมติงกันแน่นวลลลลล

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0

ออฟไลน์ nikpook

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
น่ารักกก มันธ์อ่อยเก่งเวอร์ :-[ นิวกับบอสนี้ยังไงกันน้า :hao7: ไข่ขาวเหมือนแม่ที่หวงลูกเลยกัดมันธ์2ครั้งแล้ว เจ้าไข่แดงก็สนใจแต่ของกิน อยากบีบทั้งสองตัวเลย มาต่อเร็วน้า รอๆสนุกมากๆ o13

ออฟไลน์ มากมายด์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0


บทที่ 5 : เรื่องของคนที่ไม่ใช่แมว...เมา





             [ฮัลโหล ไอ้มันธ์แกอยู่ไหน]

             เสียงเพื่อนผมดังขึ้นมาจากปลายสาย

             “อยู่คอนโด”

             [วันนี้ว่างป่ะ?]

             “ก็ว่าง” ผมว่าพลางนึกถึงหน้าคนที่เพิ่งพาแมวกลับห้องไป วันนี้คงไม่ได้เจอพายอีกแล้ว เพราะงั้นก็ว่าง...

             [เออ งั้นเดี๋ยวคืนนี้มาเจอกันที่ผับเดิมนะมึง]

             “หืม? วันนี้วันจันทร์นะ พวกมึงจะดริ๊งกันตั้งแต่ต้นสัปดาห์เลยหรอ?”

             [เออ ก็ไอ้พลอยมันกลับมาไทยแล้วไง เนี่ยมันก็นั่งอยู่ข้างๆ กูเนี่ย เฮ้ยไอ้พลอยมาทักไอ้มันธ์ดิ๊!!] เสียงมันเอะอะโวยวายอยู่สักพัก เสียงผู้หญิงก็แทรกเข้ามาในโทรศัพท์ [งายยยยย ไอ้มันธ์เพื่อนรักกกกก มาเจอกันหน่อยเร็ววววว กูรออยู่ กูคิดถึงมึงมากเลย]

             เสียงในโทรศัพท์ที่ดังแทรกเข้ามาทำเอาผมขมวดคิ้วเล็กน้อย

             “พลอย? ทำไมกลับมาไม่บอกกันก่อน กูได้ไปรับที่สนามบิน”

             [กูเคยบอกมึงแล้ว แต่มึงลืม อีเพื่อนเวร]

             “อ้าว...เออกูขอโทษ” มานึกๆ ดูมันเคยบอกผมแล้วจริงๆ ด้วย แต่มันบอกตั้งแต่เดือนที่แล้ว ใครจะไปจำได้ “เอองั้นเดี๋ยวกูไป เจอกันกี่โมง?”

             [สามทุ่ม ผับเดิม]

             “เออได้ ดีล”





              ผมมาถึงผับชื่อดังย่านทองหล่อ โทรหาเจ้าพวกนั้นมันก็บอกว่ามาถึงแล้วให้เข้าไปได้เลย พอผมก้าวเข้าไป หันซ้ายหันขวาเล็กน้อยก็เห็นเจ้าพวกนั้นนั่งอยู่ที่โต๊ะมุมห้อง

             “ไง พวกมึง” ผมทักพวกมันไปก่อน พวกนั้นก็โบกมือทักผมตอบ ผมนั่งลงข้างๆ ผู้หญิงคนเดียวในโต๊ะ “ไง พลอย กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่”

             “เพิ่งมาถึงไทยเมื่อวาน มึงเป็นไงบ้าง”

             “ก็เรื่อยๆ ยังไม่มีงานทำเป็นหลักแหล่งเหมือนเดิม”

             “ไม่มีงานเป็นหลักแหล่ง แต่เป็นคนดังมีคนติดตามกว่าห้าล้านคน” เสียงไอ้ต้าเพื่อนผู้ชายที่นั่งตรงข้ามผมพูดขึ้น

             “หมายความว่าไง?” พลอยถามขึ้น

             “ก็ไอ้มันธ์อ่ะ เดี๋ยวนี้มันถ่ายคลิปทำอาหารอัพลงยูทูป คนติดตามเป็นล้าน ไม่สิต้องบอกว่าห้าล้าน ไม่รู้ติดตามเพราะหน้าตามันหรือเพราะฝีมือกันแน่” เสียงจากคนที่นั่งข้างผมอีกด้านดังขึ้น ...ไอ้กันต์แซะผมเบาๆ

             “กูว่าก็ทั้งสองอย่างแหละ ฝีมือไอ้มันธ์ก็ดีจริงๆ หน้ามันก็หล่อกว่าพวกมึงเยอะ นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นเพื่อนนี่กูจับทำผัวไปแล้ว” พลอยพูดขึ้นมาพลางหัวเราะเยาะเบาๆ

             “เป็นสาวเป็นนางอย่าพูดคำว่าผัว มันดูไม่ดี” ผมหันไปติพลอย และเอามือโยกหัวมันไปทีนึง

              “ค่ะๆ คุณพ่อ~ว่าแต่กูอยากเห็นคลิปจังเลย”

              “ได้เดี๋ยวกูเสิร์ชแปป กูสับตะไคร้ช่องมันไว้อยู่”

              “Subscribe ไหมล่ะ ไอ้ต้า” ผมแย้งมันไป

              “เออนั่นแหละๆ นี่ไงพลอย...อ้าว! ไอ้มันธ์วันนี้มึงเพิ่งอัพคลิปหรอ?” ประโยคหลังต้าหันมาถามผม

              “อือ เพิ่งถ่ายเมื่อเช้า”

              พวกมันไม่ฟังผมเสียแล้ว แต่หันไปมุงก้มดูจอมือถือไอ้ต้าที่พลอยถืออยู่ ด้วยความที่เสียงในผับดังมาก ผมเลยไม่ได้ยินเสียงคลิปที่พวกมันเปิดกัน ไม่ถึงสิบนาทีพวกมันก็หันมามองหน้าผม

             “อะไร?” ทำไมมองผมแปลกๆ แบบนั้น

             “เดี๋ยวนะ...” พลอยพูด

             “??” ผมทำหน้าสงสัยใส่พวกมัน

             “คนนี้ใคร?” พลอยว่า แล้วหันโทรศัพท์ในมือมาให้ผมดู ผมก้มลงมองนิดๆ แล้วก็รู้ว่าพวกมันหมายถึงใคร

             “พาย”

               “พาย?”

             “อือ พาย”

             ไอ้กันต์ที่นั่งข้างๆ ผมเอื้อมมือมาตบหัวผมทีนึง “ไอ้เหี้ยมันธ์ มึงก็บอกมาสิวะว่าพายเขาคือใคร มัวแต่อมพะนำอยู่นั่นแหละ”

             “เออก็...เขาชื่อพาย เป็นพี่ที่อยู่ห้องข้างๆ กู”

             “แค่นั้น?” พลอยถามเสียงสูง ดวงตาเป็นประกายราวกับว่าพบเรื่องสนุก

             “เออ แค่นั้น”

             “จริงอ่ะ กูไม่เชื่อว่ะ มองในจอมือถือเล็กๆ กูก็มองออกนะว่าสายตาที่มึงมองเขาน่ะ มันไม่ใช่แค่นั้นแน่ๆ แค่พี่ข้างห้องจริงดิ?” ต้าถามขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง

             “นั่นดิ พวกกูรู้จักมึงมาเกือบสิบปีแล้วนะเว้ยมันธ์ ถึงกูจะไม่ได้อยู่ไทยมาหลายปีแต่กูก็มองมึงออกนะ มันไม่แค่นั้นแน่ๆ” พลอยหันมาคะยั้นคะยอกับผมอีกคน

             “สรุปว่าไง แค่พี่หรือคิดมากกว่าพี่?” กันต์เข้ามาสมทบ

             “เออ!! บอกก็ได้ เขาอ่ะคิดกับกูแค่คนข้างห้อง แต่กูอ่ะคิดเกินกว่านั้น จบ”

             “ไม่ยังไม่จบ เล่ามาก่อน อะไรยังไง” พลอยไม่ยอมจบง่ายๆ

             “ใช่ ทำไมมึงไม่เคยเล่าให้พวกกูฟัง กับพลอยกูยังเข้าใจนะ แต่กับพวกกูที่เจอมึงบ่อยๆ ทำไมไม่เคยรู้เลย” ต้าโวยวายขึ้นมา มีไอ้กันต์พยักหน้ารับเป็นลูกคู่

             “…” ผมเงียบ ไม่พูดอะไร หันไปมองเพื่อนทั้งสามคน ที่ตอนนี้มีแต่สายตาอยากรู้อยากเห็นส่งมาให้

             “…” พอผมเงียบ พวกมันก็เงียบ สายตายังจ้องผมไม่หยุด ราวกับจะใช้ความเงียบและสายตากดดันผม

             “เออ เล่าก็ได้”

             “ก็แค่เนี่ย? มัวแต่อมพะนำอยู่นั่นแหละ มาค่ะ!! กูพร้อมฟังแล้ว” พลอยทำหน้าดีใจราวกับผู้ชนะเล็กน้อย มันหันมามองหน้าผมตั้งใจฟังสิ่งที่ผมกำลังจะพูด

             “ก็คือกูเพิ่งรู้จักพี่เขาเมื่ออาทิตย์ก่อน พอดีแมวของเขาหลุดเข้ามาในห้องกู...” แล้วผมก็เริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาให้พวกมันฟัง พวกมันก็รับฟังอย่างเงียบๆ มีพยักหน้าบ้างเป็นครั้งคราว จนผมเล่าจบต้าก็ถามขึ้น

             “สรุป เอาจริงๆ มึงก็เพิ่งเจอพี่เขาเมื่ออาทิตย์ก่อน แล้วได้คุยกันจริงๆ จังๆ อีกทีคือเมื่อวานกับวันนี้?”

             “เออ”

             “แล้วมึงก็ชอบเขา?” คราวนี้เป็นกันต์ที่ถามผม

             “เออ”

             “ง่ายจังวะ” พลอยด่าผมกลับมา

             “อ้าว...ไอ้พลอย”

             “ก็จริงนี่หว่า มึงเพิ่งเจอเขา เพิ่งเคยคุยกับเขาไม่กี่ครั้งเองนะ ทำไมถึงตัดสินใจง่ายจังว่าชอบเขา ยังไม่รวมประเด็นที่ว่าเขาก็เป็นผู้ชายเหมือนมึงอีกนะ”

             “พลอย กูถามจริงๆ คนเราจำเป็นต้องมีเหตุผลมากมายในการตกหลุมรักใครสักคนหรอวะ ความรักมันเป็นเรื่องของความรู้สึก ไม่ใช่เหตุผล แค่มันเกิดถูกที่ ถูกเวลา ถูกคน มันก็คือใช่ไหมวะ?” ผมตอบกลับไปอย่างจริงจัง จนพลอยได้แต่เงียบ ผมหวังว่ามันคงกำลังคิดทบทวนในสิ่งที่ผมพูด

             “คนนี้มึงจริงจัง?” กันต์ถามขึ้นมา

             “เออกูจริงจัง กูก็ไม่รู้ทำไม แต่ความรู้สึกกู พายคือคนที่ใช่”

              “พอๆ เลิกๆ เลิกรุมไอ้มันธ์มันได้แล้ว วันนี้เรามาฉลองกันนะ อย่างนี้ก็ถือโอกาสฉลองที่ไอ้มันธ์มันมีความรักไปด้วยเลย เพราะฉะนั้น ไอ้มันธ์มึงเป็นเจ้าภาพเลี้ยงเลย” ไอ้ต้าชวนทุกคนเปลี่ยนเรื่องซึ่งผมต้องขอบคุณมันมาก เพราะมันทำให้บรรยากาศในโต๊ะดีขึ้นทันตา

             “เออได้เดี๋ยวกูเลี้ยงเอง”

             “เชี้ยยยยยย ใจมึงได้ว่ะ” และก็เป็นเสียงไอ้ต้าเช่นเดิม

              พวกมันเริ่มส่งเหล้ามาให้ผม ดื่มกันไปได้สักพัก คนข้างๆ ก็สะกิดเรียกผม

             “มึงไม่โกรธกูใช่ป่ะที่กูถามมึงแบบนั้น” พลอยถามขึ้น

             “มึงไม่ต้องคิดมาก กูเข้าใจที่มึงจะสงสัยความรู้สึกกู ทุกอย่างมันก็ดูเร็วไปจริงๆ นั่นแหละ”

             “อือ กูขอโทษจริงๆ ถ้ามึงจริงจังกับคนนี้กูก็ยินดีด้วย กูไม่เคยเห็นมึงจริงจังกับใครมาก่อนเลย”

             “กูก็แปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกัน...เออแล้วมึงกับสตีฟอะไรนั่นล่ะเป็นยังไงบ้าง” ผมถามถึงความรักของอีกฝ่าย

             “เลิกกันแล้ว เพิ่งเลิกก่อนกูกลับไทยไม่กี่วันเอง”

             “อ้าวเฮ้ย! ทำไมล่ะ? กูเห็นมึงรักเขาจะตาย”

             “ไม่รู้ว่ะ เหมือนมันต่างคนต่างอิ่มทางความรู้สึก ก็เลยเลิกกัน แต่ก็เลิกกันด้วยดีนะ กูก็ยังคุยกับเขาแบบเพื่อนอยู่”

             “มึงโอเคไหมเนี่ย?”

             “โอเคดิมึง บอกแล้วเลิกกันด้วยดี”

             “เออถ้างั้นก็ดีแล้ว”

             “มาๆ ชนแก้วๆ” ไอ้ต้ายื่นแก้วเข้ามากลางวง

             “โบราณมากมึง” พลอยหันไม่ด่าเพื่อนรักครั้งนึง แต่ก็ยอมยกแก้วขึ้นมา

              “ฉลองการกลับมาของเพื่อนรักและฉลองเพื่อนรักจะมีแฟนเว้ย เอ้าชน!!” พวกเราทำหน้าหน่ายๆ ใส่มันไปนิดแต่ก็ยอมยกแก้วชนตามที่มันต้องการ

              ดื่มไปสักพัก ไอ้พลอยกับไอ้ต้าก็ออกไปเต้น เหลือผมกับกันต์นั่งเฝ้าโต๊ะ

             “อ่ะมึง” กันต์ชงเหล้าแล้วส่งมาให้ผม ก่อนจะพูดขึ้น​ “หมดแก้ว”

             ว่าแล้วมันก็ดื่มเข้าไปรวดเดียวหมด ซึ่งมีหรอผมจะยอม ผมรีบกระดกเหล้าในแก้วนั้นหมดรวดเดียวตามมันไป

             พอหมดแก้ว กันต์ก็หันไปชงเหล้า แล้วส่งมาให้ผมอีก “คราวนี้ใครหมดที่หลังต้องโดนเบิ้ลสองช็อต”

             “เออจัดไป”

             “พร้อมนะ หนึ่ง! สอง! สาม!”

             พอกันต์พูดจบปุ๊ปผมก็รีบกระดกแก้วนั่นทันที แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว ไอ้กันต์ดันดื่มหมดก่อนผมเพียงเสี้ยววินาที มันหันหน้ามายักคิ้วให้ผมอย่างผู้ชนะ แล้วหันไปชงเหล้าก่อนจะยื่นมาให้ผมอีกครั้ง “รางวัลสำหรับคนแพ้”

               ผมรับมาก่อนจะกระดกรวดเดียว จากนั้นภาพตรงหน้าผมก็เหลือแต่ความมืดมิด

             _________________________


              “เฮ้ยไอ้กันต์ ไอ้มันธ์น็อคไปแล้วหรอวะ?” ต้าถามขึ้นทันทีที่กลับมาที่โต๊ะแล้วเห็นสภาพเพื่อนหัวฟุบลงกับโต๊ะไปแล้ว

             “นี่ยังไม่ทันชั่วโมงเลยนะ หรือว่ามึงมอมเหล้ามัน?” พลอยหันไปถามกันต์ด้วยเช่นกัน

             “เออ กูมอมเหล้ามันเองอ่ะ ไอ้นี่ก็รู้ว่าตัวเองคออ่อนแต่ก็ทำเป็นใจสู้คอแข็งอยู่นั่นแหละ”

             “แล้วมึงมอมเหล้ามันทำไมเนี่ย? งั้นมึงมอมเหล้ามันมึงก็ต้องรับผิดชอบไปส่งมันนะเว้ย กูไม่ช่วยด้วยขี้เกียจแบกมัน”

             “ส่วนกูเป็นผู้หญิง กูไม่เกี่ยว”

             “แหม มึงนี่รีบอ้างสิทธิเพศแม่เลยนะ”

             “พวกมึงไม่ต้องเกี่ยงกัน กูมีแผนอยู่แล้วน่า” ว่าแล้วกันต์ก็ค้นตัวคนที่สลบอยู่ พอเจอสิ่งที่ต้องการก็รีบกดปลดล็อกและกดเข้ารายชื่อทันที โชคดีนะที่ไอ้มันธ์ไม่เคยเปลี่ยนรหัสมือถือ

             “มึงเอามือถือมันมาทำอะไรวะ” ไอ้ต้าก็ยังคงสงสัยอยู่ว่าเพื่อนตรงหน้าจะทำอะไรกันแน่

             “กูก็จะเป็นเพื่อนที่ดีเป็นพ่อสื่อให้มันไงล่ะ”

             “หืม?” ต้ายังคงทำหน้าสงสัยอยู่ในขณะที่หญิงเดียวในกลุ่มดูเหมือนจะเขาใจการกระทำของเพื่อนขึ้นมา

             “มึงจะโทรไปให้พี่พายมารับไอ้มันธ์สินะ”

             “เยส! ฉลาดมากเพื่อนรัก” กันต์หันไปวิ๋งตาใส่พลอยทีนึง ก่อนจะก้มลงดูโทรศัพท์มือถือเพื่อนเหมือนเดิม “เหี้ย...ไม่มีว่ะ”

             “ไหนเอามาดิ๊” พลอยแย่งโทรศัพท์มันธ์ไปก่อนจะค้นเอง “เออว่ะ...ไม่มีจริงด้วย”

             “เฮ้ยไอ้มันธ์! เบอร์พายอยู่ไหน?” กันต์หันไปเค้นเอาความจริงจากเจ้าของโทรศัพท์มือถือ

             เจ้าของก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงสไตล์คนเมา “ไม่มีโว้ยยยยย! ไม่เคยขอ!!”

             ได้ยินดังนั้นทั้งสามคนรีบหันมามองคนที่ฟุบอยู่กับโต๊ะก่อนจะพร้อมใจกันพูดว่า

             “โถ่!! ไอ้อ่อน!!!”

             “เออกูอ่อน แต่กูก็หล่อ” คนเมายังไม่วายเถียงกลับมาเรียกสีหน้าระเอือมระอาให้เพื่อนร่วมโต๊ะ

             “แล้วทีนี้จะเอาไง?” ต้าหันมามองสองคนที่เหลือ

             “…”

             “…”

             ทั้งโต๊ะเงียบกริบ ไม่มีใครตอบคำถามของต้า มีแต่เสียงคนเมาพึมพำออกมาท่ามกลางความเงียบนั้น

             “ไม่เอา~ ไม่กินแล้ว~ อิ่มแล้วครับพายยยย~”

             ทั้งสามได้แต่หันไปมองสภาพอันน่าสมเพชของเพื่อน

             “มึงๆ กูนึกออกแล้ว” จู่ๆ หญิงแกร่งคนเดียวของกลุ่มก็พูดขึ้นมา

             “มันธ์ๆ” พลอยสะกิดเรียกเจ้าของชื่อ อีกฝ่ายได้ยินชื่อตัวเองก็ได้แต่งืมงัมออกมา

             “อะรายยย~”

             “พี่พายเขาอยู่ห้องไหน?”

             “ก็ข้างห้องกูงายยย~”

             “เลขห้องอะไร?”

             “หกศูนย์สี่~”

              พอได้ยินคำตอบที่พึงพอใจ พลอยก็ปล่อยให้มันธ์นอนต่อไป มุมปากของหญิงสาวยกยิ้มขึ้นอย่างไม่รู้ตัว หันไปหาเพื่อนอีกสองคนที่ยังคงงงว่า เธอทำอะไรอยู่

             “เดี๋ยวพวกมึงฟังกูนะ...”

             _________________________


             เสียงกริ่งหน้าห้องดังขึ้นเวลาประมาณเที่ยงคืนกว่า ผมที่กำลังนั่งแต่งรูปอยู่เลยลุกขึ้นไปที่ประตู

              “ใครมากดกริ่งดึกๆ ดื่นๆ กันนะ?”

              ผมส่องตาแมวประตูดูก็พบผู้หญิงคนหนึ่งพยุงผู้ชายร่างสูงที่ฟุบหน้าลงกับพื้น ยืนอยู่หน้าห้องผม

              “ใครกันนะ? หรือจะกดกริ่งผิดห้อง?” ผมยักไหล่อย่างไม่สนใจก่อนจะหันหลังเดินกลับไป แต่แล้วกริ่งก็ดังขึ้นรัวๆ อีกสองสามครั้ง จนสุดท้ายผมต้องยอมเปิดประตู

              “เอ่อ...พี่พายใช่ไหมคะ?” ผู้หญิงคนนั้นทักผมขึ้นก่อนที่ผมจะได้พูดอะไร

              เธอเป็นผู้หญิงสวย เตี้ยกว่าผมไม่มาก เดาว่าเธอน่าจะสูงร้อยเจ็ดสิบ รูปร่างเพรียวการแต่งตัวดี ชุดรัดรูปแต่กลับไม่ดูโป๊เกินไป ตรงกันข้ามกลับทำให้ผู้หญิงคนนี้ดูเซ็กซี่มากขึ้นด้วยซ้ำ

             “ครับ” ผมตอบกลับอีกฝ่ายไป

             “คือ หนูชื่อพลอยนะคะ เป็นเพื่อนกับมันธ์”

             “ครับ...แล้ว?” ผมก็ยังสงสัยอยู่ดีว่าเพื่อนมันธ์มาเคาะห้องผมทำไมดึกๆ ดื่นๆ ตอนนั้นเองที่ผมเห็นว่าร่างสูงที่ผู้หญิงตรงหน้าแบกอยู่ก็คือเพื่อนข้างห้องของผมนี่เอง ผมรีบเข้าไปช่วยผู้หญิงคนนั้นประคองมันธ์อีกแรง

             “ขอบคุณค่ะ” เธอหันมาขอบคุณผมเล็กน้อย ก่อนจะอธิบายต่อ “คือ พวกพลอยไปสังสรรค์กันน่ะค่ะ แล้วมันธ์มันเมาหลับไม่รู้เรื่องเลย พลอยเลยมาส่ง ทีนี้พอจะเข้าห้องมันพลอยก็หากุญแจมันไม่เจอ รหัสผ่านมันก็ไม่รู้”

              “อ่าครับ...แล้ว?”

              “คือพลอยได้ยินมันพูดถึงพี่พายน่ะค่ะ ว่าช่วงนี้สนิทกัน พลอยเลยกะว่าจะมาฝากมันไว้ที่ห้องพี่ได้ไหมคะ?”

              “….” อ่า…ผมจะทำยังไงดีนะ....

              “คือรบกวนเกินไปจริงๆ สินะคะ ขอโทษด้วยค่ะ แต่พลอยไม่มีทางเลือกจริงๆ จะพามันไปบ้านก็กลัวพ่อแม่เข้าใจผิดคิดว่าพาผู้ชายเข้าบ้าน แต่จะทิ้งมันไว้หน้าห้องก็กลัวจะโดนด่าหาว่าทิ้งเพื่อน คือพลอยก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว” พลอยพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเล็กน้อย น้ำตาเริ่มคลอเบ้า ผมเห็นแบบนั้นก็รู้สึกสงสารเธอขึ้นมานิดๆ

             จริงๆ มันธ์ก็ช่วยดูแลแมวผมทั้งเมื่อวานกับวันนี้ แถมผมยังเคยไปรบกวนยึดเตียงนอนมันธ์ด้วย ถ้าคืนนี้ผมจะดูแลมันธ์บ้างก็ถือเป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ที่เพื่อนบ้านควรดูแลกันใช่ไหมนะ?

              “ครับ ให้มันธ์มาอยู่ห้องพี่ก่อนก็ได้ครับ”

              “จริงนะคะพี่พาย?!”

               “ครับ ยังไงพวกเราพยุงมันธ์ไปวางไว้ที่เตียงพี่ก่อนละกัน”

             แล้วพวกเราสามคนก็ค่อยๆ เดินเข้ามาในห้องอย่างทุลักทุเล เจ้าแมวสองตัวที่วิ่งเล่นอยู่ในห้องก็หันมามองด้วยความสงสัยใคร่รู้

              พอวางมันธ์ลงบนเตียงเรียบร้อย พลอยก็หันมาพูดกับผม

              “ขอบคุณมากนะคะพี่พายที่ช่วยพลอย ยังไงพลอยฝากเพื่อนพลอยด้วยนะคะ”

              “ได้ครับ แค่นี้เอง ผมก็รบกวนมันธ์อยู่บ่อยๆ”

              “ค่ะ งั้นเดี๋ยวพลอยกลับแล้วนะคะ ไม่รบกวนพี่พายแล้วค่ะ”

              “อ่าครับ...เดี๋ยวพี่เดินไปส่งนะ”

              ผมเปิดประตูให้หญิงสาว พอเธอเดินออกไปยังไม่ทันที่ผมจะได้ปิดประตูเธอก็หันมามองผม

              “คือพี่พายคะ”

              “ครับ?”

                “มันธ์มันเมาแล้วหลับลึก พี่ไม่ต้องกลัวมันอ้วกหรือทำเลอะเทอะนะคะ”

              “ครับ”

              “แล้วก็มันเป็นพวกเมาแล้วหลับลึกมากกกกกกกกกก พี่จะทำอะไรกับมันมันก็ไม่รู้ตัวหรอกค่ะ”

              “ครับ?” ทำไมประโยคนี้มันฟังดูแปลกๆ

              “พลอยไม่รบกวนพี่แล้วค่ะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะ”

              “ครับ กลับดีๆ นะครับ” ผมยิ้มให้อีกฝ่ายเล็กน้อย ก่อนปิดประตูห้องไป แล้วเดินกลับมาสนใจคนที่นอนอยู่บนเตียง

               ร่างสูงนอนนิ่งเงียบ ไม่ขยับเขยื้อนตัวสักนิด ใบหน้าแดงเห่อไปถึงคอบ่งบอกว่าคนที่นอนอยู่ดื่มแอลกอฮอล์ไปเยอะแค่ไหน ผมเดินเข้าไปจัดท่าทางให้ร่างสูงนอนสบายขึ้น ก่อนจะห่มผ้าให้เขา ส่วนตัวเองก็เดินออกมาที่ห้องทำงาน เพื่อมานั่งทำงานที่ค้างไว้ให้เสร็จ

             _________________________


             เพราะพายรีบปิดประตูห้องเลยไม่ทันได้เห็นว่าฝ่ายที่มารบกวนยามดึกนั้น ใบหน้ายกยิ้มแค่ไหน สายตานั้นเป็นประกายเต็มไปด้วยความสนุก

             พลอยกดลิฟท์เดินลงมาข้างล่าง เดินออกจากคอนโด ไปยังรถที่จอดอยู่ไม่ห่างจากคอนโดนัก

             “เป็นไงบ้างพลอย?” ต้ารีบถามขึ้นทันทีที่หญิงสาวก้าวขาเข้ามาในรถ

             “เรียบร้อย พี่พายเชื่อสนิทใจ รับเจ้าลูกหมามันธ์เข้าไปนอนในห้องเรียบร้อย!”

             “เริ่ด!!”

             “แล้วกุญแจห้องไอ้มันธ์จะเอาไง?” เสียงกันต์ที่นั่งอยู่ข้างๆ คนขับหันมาถาม

              “ก็เอาไว้ที่มึงก่อนละกัน”

              “เออได้”

              หญิงสาวคนเดียวในรถยิ้มขึ้นอีกครั้งเมื่อคิดถึงเรื่องสนุกๆ เมื่อครู่ พี่พายตัวจริงน่ารักกว่าในคลิปเยอะ แถมดูจะไม่ทันคนเอาซะเลย โดนพวกเขาหลอกเอาง่ายๆ จริงๆ พวกเขาน่ะมีกุญแจห้องมันธ์ แต่อีกฝ่ายก็เชื่อซะสนิทใจเลยว่าเธอน่ะไม่มีกุญแจ ทั้งๆ ที่การจะเข้าคอนโดนี้จากชั้นล่างต้องใช้คีย์การ์ด ถ้ามีคีย์การ์ดก็ย่อมต้องมีกุญแจ แต่พี่พายก็ดูจะลืมความจริงข้อนี้ไปเลย กลับยอมรับพากมันธ์เข้าไปในหเ้องอย่างง่ายดาย งานนี้มันธ์คงต้องขอบคุณพวกเขาไปอีกนานที่ทำให้มันได้นอนบนเตียงของคนที่ชอบ!! ช่วยขนาดนี้แล้วถ้ามันยังไม่ได้อะไรกลับมาก็ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว~!!







_________________________________
อย่าลืมนะคะมาหวีดกันได้ที่แท็ก #แมวอยู่กับผม ในทวิตเตอร์
ถ้าชอบอย่าลืมคอมเม้น กดไลค์ กดแชร์ ให้กำลังใจกันหน่อยน้าาาา >__<
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-01-2019 10:27:24 โดย มากมายด์ »

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
+1
ขยันลงด้วย อ่านเพลินเลย

 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6
ติดตามต่อค่ะ
กำลังสนุกเชียว

 :L2: :L2:

ออฟไลน์ meteexp

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
เข้ามาเพราะชื่อเรื่อง 5555

เพราะน้องเหมียวจะต้องซน แน่ ๆ ฮื้อ อยากฟัดไข่แดง ส่วนไข่ขาว นั่งสวย ๆ ยื่นหนมแมวให้ แหะ ๆ

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ มากมายด์

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
บทที่ 6 : เรื่องของคนที่ไม่ใช่แมว...กับแมวหลงทาง




           เสียงเพลงดังลั่นปลุกผมตื่น ผมงัวเงียขึ้นมาเล็กน้อย มือยื่นไปทางโต๊ะข้างหัวเตียง หวังจะปิดเจ้าที่มาของเสียงที่กำลังรบกวนการนอนของผม แต่แล้วมือของผมก็ปัดไปโดนอะไรสักอย่างจนมันตกลงมาจากโต๊ะแต่ผมก็ไม่ได้สนใจนัก ในที่สุดผมก็พบมือถือเจ้าที่มาของเสียงนั้น ผมรีบกดปิดทันที ก่อนจะลุกขึ้นมาพยายามเรียกสติตัวเองแต่ก็ง่วงและปวดหัวเกินกว่าจะมีสติครบถ้วน

           เมื่อมองไปรอบๆ ห้องก็ได้แต่ขมวดคิ้วเล็กน้อย...นี่มันที่ไหน? ผมก้มหน้ามองมือถือที่ส่งเสียงปลุกเมื่อครู่ แล้วก็พบว่าโทรศัพท์มือถือในมือผมนี่...ไม่ใช่ของผมนี่น่า....ถึงมันจะรุ่นเดียวกันแต่มันก็คนละสี

           ผมกดปุ่มโฮม หน้าจอมือถือก็สว่างขึ้นมา รูปพักหน้าจอเป็นรูปแมวสองตัวที่มีขนสีขาวกับสีส้ม...แมวสองตัวนี้นี่มันของพายนี่...หรือว่าผมอยู่ในห้องพาย?!

           ผมรีบลงจากเตียง ตอนนั้นเองที่ผมเหยียบอะไรบางอย่างที่ผมปัดมันตกจากโต๊ะเมื่อกี้ ผมก้มลงมองแล้วหยิบมันขึ้นมาดู มันเป็นผ้าเก่าๆ ยาวเป็นเส้น สีน้ำเงินซีด ขนาดใหญ่เกินกว่าจะเป็นกำไลข้อมือแต่ก็เล็กกว่าสร้อย ผมมองมันแล้วขมวดคิ้วขึ้นอีกครั้ง ดูคุ้นๆ อย่างบอกไม่ถูก....แต่ด้วยความง่วงมีมากกว่าความสงสัย ผมเลยเก็บมันขึ้นมาวางไว้ที่เดิม แล้วเลิกสนใจกับผ้านั่น

           “มันธ์ตื่นแล้วใช่ไหมครับ?” เสียงนอกห้องตะโกนเข้ามา เสียงนั่นเป็นการยืนยันว่าที่ผมคิดนั้นถูกจริงด้วย ผมอยู่ในห้องของพายจริงๆ

           “ครับ ตื่นแล้ว” ผมเดินออกไปนอกห้อง ทันเห็นพายกำลังเทอะไรบางอย่างลงชามอยู่พอดี “อะไรหรอครับ?”

           “โจ๊กน่ะครับ ผมไปซื้อมาเมื่อกี้ มากินก่อนครับ”

           ผมเดินเบลอๆ ไปนั่งลงตรงโต๊ะกินข้าว พายวางชามลงตรงหน้าผม ส่วนผมก็ยื่นโทรศัพท์มือถือไปให้อีกฝ่าย

           “มือถือพายครับ”

           “ครับ...ขอโทษนะครับที่ตั้งปลุกไว้ ตื่นเพราะเสียงปลุกใช่ไหมครับ?”

           ผมพยักหน้าเล็กๆ

           “พอดีผมกลัวมันธ์ไม่ตื่นน่ะครับ เลยตั้งปลุกไว้”

           “อ่า...ครับ” ผมอยากถามคนตรงหน้านิดๆ ว่าจะตั้งปลุกทำไม แต่ก้รู้สึกเหนื่อยเกินกว่าจะพูด

           “โกรธผมหรอ?”

           “เปล่าครับไม่ได้โกรธ”

           “…”

           “ขอโทษครับพอดีผมยังมึนๆ แฮงค์ๆ อยู่น่ะ พายอย่าสนใจผมเลย แล้วก็ขอบคุณนะครับสำหรับโจ๊ก” ผมบอกอีกฝ่ายอย่างเนือยๆ

           “อือ ผมรู้แหละว่ามันธ์แฮงค์อยู่ แต่ผมก็ไม่อยากให้มันธ์อดข้าวเช้า ก่อนลงไปซื้อข้าวผมเลยตั้งปลุกไว้ ถ้าผมจุ้นจ้านเกินไปก็ขอโทษด้วยครับ”

           “ไม่หรอกครับ ผมต่างหากที่ต้องขอโทษที่มารบกวนพาย”

           “เมี๊ยว~” เสียงเจ้าแมวตัวอ้วนดังขึ้น มันกระโดดขึ้นมานั่งบนตักผม ดูท่ามันจะติดผมเหมือนกันนะ

           “เจ้าอ้วน...ลงมา!!” พายดุแมวของตัวเองเล็กน้อย แต่เจ้าแมวก็ดูจะไม่ฟังเจ้าของ มันยังคงนั่งตักผมไม่ยอมลุกออกไปไหน ผมเอามือลูบหัวมันไปสองสามที

           “ปล่อยมันนั่งไปแบบนี้ก็ได้ครับ”

           “เอางั้นหรอ?”

           “ครับ มันก็น่ารักดี”

           “ถ้ามันธ์ว่างั้นก็แล้วแต่ครับ”

           ตลอดเวลารับประทานอาหารเช้า พวกเราก็ได้แต่นิ่งเงียบก้มหน้าก้มตากิน ผมก็ปวดหัวและง่วงเกินกว่าจะพูดอะไร อีกฝ่ายก็ดูจะรู้ว่าผมเหนื่อยเกินกว่าจะพูดเลยไม่พูดอะไร ไม่นานพวกเรากินข้าวเช้าเสร็จเรียบร้อย ตอนนั้นเองที่พายหันมาพูดกับผม

           “เออมันธ์ครับ เดี๋ยวผมไปทำงานแล้วนะครับ ยังไงถ้ามันธ์อยากนอนต่อก็ตามสบายนะครับ”

           ประโยคยืดยาวอะไรไม่รู้ ผมก็ฟังได้ไม่ทันหมด เข้าใจแต่ว่าผมนอนได้...อืม...ตอนนี้ผมอยากล้มตัวลงนอนแล้ว

           “แล้วก็นี่มือถือของมันธ์นะครับ เมื่อคืนมันแบตหมด ผมเห็นมันรุ่นเดียวกันกับของผมเลยเอามาชาร์ตแบตให้”

            ผมรับมือถือมาจากคนตรงหน้าอย่างงงๆ สมองยังรู้สึกประมวลผลอะไรไม่ได้มากนัก “ขอบคุณมากครับ”

           เขาพูดอะไรกับผมอีกสองสามประโยค ผมได้แต่อือออไป รู้ตัวอีกทีก็โดนคนโตกว่าลูบหัวซะแล้ว

           “ทำอะไรครับพาย?” ผมหันไปมองคนที่ลูบหัวผมอยู่

           “ไปนอนต่อเถอะครับ”

           “อือ” ผมไม่ปฏิเสธ เจ้าแมวก็เหมือนรู้ตัวว่าผมจะลุกมันเลยชิงรีบกระโดดลงจากตักผมไปก่อน ผมเดินงัวเงียไปที่เตียงนอน ตอนนี้ผมไม่ต้องการอะไรนอกจากการนอน พอเห็นเตียงก็ล้มตัวลงและหลับไปทันที





           RRRRR

           เสียงโทรศัพท์ปลุกผมตื่นขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือผม ผมกดรับอย่างหงุดหงิดที่โดนขัดจังหวะการนอน

           “ฮัลโหล!!”

           [งายยยย เพื่อนรัก นอนกับพี่พายเป็นไงบ้าง] เสียงไอ้ต้าดังเข้ามาในโสตประสาทผมเป็นเสียงแรก

           “พี่พายอะไร?!” ผมถามกลับอย่างหงุดหงิด

           [ก็เมื่อคืนมึงไปนอนห้องพี่พายไง]

           “เดี๋ยว!! อะไรนะ?!!” จังหวะนั้นผมรีบดีดตัวขึ้นลุกนั่งหันไปมองรอบๆ ห้องอย่างเต็มตาอีกครั้ง...เชี้ย! ผมไม่ได้อยู่ห้องตัวเองจริงด้วย!! เมื่อเช้าผมก็เบลอๆ ก็คิดอยู่ว่าเหมือนตัวเองนั่งกินข้าวกับพาย นี่ไม่ได้ฝันจริงๆ ด้วย    โอ๊ย!! ปวดหัวฉิบหาย เมื่อคืนไม่น่ารับคำท้าไอ้กันต์มันเลย

           [แล้วสรุปเมื่อคืนเป็นไง?] เสียงพลอยดังเข้ามาจากปลายสาย

           “เป็นไงเหี้ยไรล่ะ!! แล้วนี่ทำไมกูมาอยู่ห้องพายได้? กูจำได้ว่าความทรงจำสุดท้ายกูดวลเหล้ากับไอ้กันต์นะ”

           [อย่าเรียกว่าดวล เพราะไม่กี่แก้วมึงก็น็อคแล้ว ไอ้อ่อน!!] คราวนี้เป็นเสียงกันต์ดังเข้ามา

           “แล้วสรุปยังไง ทำไมกูมาอยู่ห้องนี้ได้?”

           [เออน่า มึงไม่ต้องรู้หรอก รู้แค่ว่าที่มึงไปอยู่ในห้องคนที่ชอบได้ก็เพราะฝีมือพ่อสื่อแม่สื่ออย่างพวกกู จงขอบคุณซะ!! แล้วสรุปเมื่อคืนเป็นไง?]

           “เป็นไงอะไรล่ะ กูเพิ่งตื่น”

           [โถ่!! ไอ้อ่อน!!] เสียงทั้งสามคนดังลั่นเข้ามาในโทรศัพท์ผม แหม พร้อมใจกันด่าผมเชียวนะ

           [สรุปเมื่อคืนไม่มีอะไรเกิดขึ้น?] เสียงพลอยถามขึ้นอีกครั้ง

           “เออไม่มี จริงๆ เมื่อเช้าพายซื้อข้าวมาให้กู เราก็ได้คุยกันนิดหน่อย แต่กูก็จำไม่ค่อยได้ มันแฮงค์ๆ อยู่”

            [มึงนี่ก็นะ เพื่อนอุส่าต์ยื่นอ้อยเข้าปากให้แล้วแท้ๆ เสือกไม่แดก] ต้าบ่นขึ้นมา ฟังแค่น้ำเสียงผมก็เดาสีหน้ามันออก

            [นี่มึงยังอยู่ห้องพี่เขาใช่ป่ะ] เสียงพลอยดังแทรกขึ้นอีกครั้ง

           “เออ ทำไมอ่ะ”

            [เหยดๆ เที่ยงแล้วยังอยู่ด้วยกันอีก มันไม่มีอะไรจริงดิ?] ต้าถามผมขึ้นอีกครั้ง ได้ยินอย่างนั้นผมก็นึกขึ้นได้...เจ้าของห้องอยู่ไหน?

            ผมลุกขึ้นมาออกเดินตามหาเจ้าของห้อง แต่จนแล้วจนรอดผมก็ไม่เห็นใครสักคนในห้อง มีแต่เจ้าแมวสองตัวที่เดินวนไปวนมาตามผมเนี่ย แล้วผมก็พบกระดาษโน้ตแผ่นหนึ่งแปะไว้ที่ตู้เย็น

           ‘ถ้าตื่นแล้วหิว มีข้าวผัดอยู่ในตู้เย็นนะครับ เอามาอุ่นกินได้ แล้วถ้ามันธ์จะกลับห้องฝากล็อกห้องให้ด้วยนะครับ ผมไปทำงานจะกลับมาตอนเย็นๆ ครับ’

           แค่ข้อความในกระดาษเล็กๆ ก็ทำให้มุมปากผมยกยิ้มขึ้น กระดาษโน้ตแผ่นนั้นตอบทุกคำถามที่ผมสงสัยว่าเจ้าของห้องไปไหน

           [ไอ้มันธ์!! ไอ้มันธ์โว้ยยย ยังอยู่ไหม?!!] เสียงเพื่อนผมโวยวายดังผ่านมือถือออกมา จริงด้วยผมยังไม่วางสายนี่น่า

           “ยังอยู่”

           [เออแล้วสรุปยังไง ไม่มีอะไรจริงๆ?] ยัง ยังไม่เลิกถามคำถามนี้กันอีก

           “ไม่มีอะไร”

           [แล้วอยู่จนถึงตอนนี้ทำไมไม่มีอะไร?]

           “ก็พายเขาออกไปทำงานตั้งนานแล้ว จะมีอะไรได้ไง”

           [โถ่! ไอ้อ่อน!!] เสียงเพื่อนด่าผมเข้ามาอีกที

           [เฮ้อ งั้นก็ช่างมัน ยังไงเดี๋ยวมึงมาเจอพวกกูนะ ที่ร้านไอ้กันต์] พลอยเปลี่ยนเรื่องและชวนผมไปที่ร้านเพื่อนสนิทในกลุ่ม กันต์มันเปิดร้านกาแฟเล็กๆ ตั้งแต่สมัยปีสี่แต่ก็ยังทำมาจนถึงทุกวันนี้

           “ได้ งั้นอีกสองชั่วโมงเจอกัน”

           [เออ ดีล] แล้วมันก็วางสายไป





   
            ผมกลับมาที่ห้องของตัวเอง ไม่ลืมที่จะหยิบกระดาษโน้ตและข้าวผัดติดมือกลับมาด้วย ผมเดินเข้ามาที่ห้องครัว หยิบคุกกี้ที่ทำเมื่อวานมาใส่ถุง เขียนโน้ตบอกอีกฝ่ายไว้

           ‘คุกกี้ตอบแทนครับ ขอบคุณสำหรับเตียงนอน โจ๊ก และข้าวผัดครับ’

           ผมยิ้มขึ้นมานิดเมื่อนึกถึงหน้าของพาย แล้วบรรจงติดกระดาษโน้ตไปกับถุงคุกกี้เหล่านั้น ก่อนจะเอาไปแขวนไว้ที่หน้าห้องของอีกฝ่าย

            พอกลับเข้ามาที่ห้องผมก็อาบน้ำแต่งตัว กว่าจะทำอะไรเสร็จก็ปาเข้าไปบ่ายสองแล้ว มีข้อความ miss call ว่าผมไม่ได้รับสายจากไอ้ต้าอยู่สามสาย เห็นดังนั้นผมเลยรีบหยิบกระเป๋าออกจากห้องจังหวะนั้นเองเพิ่งถึงนึกขึ้นได้ว่ากุญแจห้องผมหายไปไหน? เมื่อกี้ตอนผมเข้าห้องผมก็เจ้ามาด้วยรหัสผ่านไม่ทันได้คิดเรื่องกุญแจ

            ผมเดินหาไปจนทั่วห้องก็ยังไม่เจอกุญแจที่ว่า จะออกจากห้องไปทั้งอย่างนี้ก็ไม่ได้ แม้ประตูห้องจะเข้าได้ด้วยรหัสผ่าน แต่การจะเข้าคอนโดได้ก็ต้องใช้คีย์การ์ดที่ติดอยู่กับกุญแจห้องอยู่ดี

           RRRRR

           เสียงโทรศัพท์มือถือผมดังขึ้นอีกครั้ง และก็เป็นไอ้ต้าคนเดิมที่โทรเข้ามา

           [ฮัลโหลมึง อยู่ไหนแล้ว พวกกูรอจนรากงอกแล้วเนี่ย?!]

           “ยังอยู่คอนโด”

           [อ้าว! ทำไมยังไม่ออกมาอีก]

           “กูหากุญแจคอนโดไม่เจอว่ะ”

           [ก็นั่นแหละที่กูเรียกมึงมาที่ร้านไอ้กันต์ กุญแจมึงอยู่ที่พวกกู]   

           “อ้าว! ไอ้เหี้ย แล้วก็ไม่บอก”

           [เออ! รีบๆ มาล่ะ]

           “เออได้ๆ เดี๋ยวกูรีบไปเดี๋ยวนี้แหละ”





           พอผมลงมาข้างล่างคอนโด ขณะกำลังเดินออกจากประตูสายตาผมก็หันไปเจอเจ้าแมวตัวเล็กตัวหนึ่งยืนอยู่แถวนั้น ผมมองมันด้วยความสงสัย มันเป็นแมวตัวเล็กสีสวาด ในปากคาบอะไรบางอย่างอยู่ซึ่งเรียกความสนใจจากผมมากๆ ผมเดินเข้าไปหาเจ้าตัวเล็กนั้นเพื่อจะได้มองให้เห็นชัดๆ ว่ามันคาบอะไรอยู่

           “ไงเจ้าตัวเล็ก”

           ผมลูบหัวมันเบาๆ สองที มันทำท่าจะวิ่งหนีผมจนผมต้องจับมันไว้ไม่ให้มันหนี และบังคับให้มันปล่อยสิ่งที่คาบอยู่ที่ปากลงมาบนมือผม

           “หืม? นี่กุญแจคีย์การ์ดนี่?”

           “เมี๊ยว!”

           “ทำไมแกมีคีย์การ์ดได้ล่ะ หึ?”

           มันร้องขึ้นมาอีกครั้งราวกับจะตอบคำถามผม พอผมมองชัดๆ ก็พบว่ามันน่าจะเป็นแมวตัวเดียวกับที่ผมเจอวันก่อน ที่ว่าเป็นแมวของพายกับเพื่อน

           “แกใช่แมวของพายไหม?”

           “เมี๊ยว! เมี๊ยว! เมี๊ยว!!” มันร้องโหวกเหวกเสียงดังขึ้นทันทีที่ผมพูดชื่อพาย เดาว่าน่าจะใช่สินะ แล้วทำไมมันมาอยู่ตรงนี้คนเดียวเนี่ย?

            ผมอุ้มมันขึ้นมาในอ้อมกอดมันดิ้นเล็กน้อยผมก็กอดแน่นขึ้น หันมองบริเวณนั้นก็ไม่เห็นบุคคลที่เป็นเจ้าของเจ้าแมวน้อยตัวนี้

            ครืน~ ครืน~

            เสียงท้องฟ้าดังขึ้นเบาๆ ผมเงยหน้ามองก็เห็นเมฆครึ้มลอยมาแต่ไกล...อีกไม่นานฝนคงตก

            “เหมียว~”

           เสียงแมวในอ้อมกอดผมเรียกให้ผมหันไปมอง ผมยิ้มให้มันเล็กน้อย ไม่รู้เจ้าของหายไปไหน แต่จะปล่อยไว้แบบนี้ก็น่าสงสาร ฝนทำท่าจะตกด้วย....

           “แกไปอยู่ห้องฉันก่อนละกัน โอเคไหม?”

           “เมี๊ยว! เมี๊ยว!!” เสียงของมันตอบกลับมา ผมไม่รู้หรอกว่ามันพูดว่าอะไร แต่ก็เข้าข้างตัวเองไปก่อนว่ามันตกลงจะไปห้องผม

            ผมใช้กุญแจคีย์การ์ดที่เจ้าแมวคาบมานั้นกลับเข้าไปในคอนโด แล้วตรงกลับเข้าห้องตัวเอง





            เมื่อมาถึงห้องผมก็ปล่อยแมวในอ้อมกอดก่อนจะกดโทรไปหาเพื่อนๆ เพื่อบอกพวกมันว่าไปไม่ได้แล้ว มันก็โวยวายนิดหน่อย แต่ผมก็ตัดสาย ตัดปัญหาไป ขี้เกียจฟังพวกมันบ่น

           “เมี๊ยว”

           เสียงเล็กๆ เรียกความสนใจจากผมอีกครั้ง ผมก้มลงลูบหัวมันเบาๆ จริงๆ เจ้าตัวเล็กตรงหน้าผมก็ไม่ได้ตัวเล็กมากหรอก ขนาดมันก็เท่าแมวทั่วๆ ไป แต่พอเทียบกับขนาดตัวของแมวสีส้มสีขาวของพาย เจ้าตัวนี้ก็ดูตัวเล็กไปทันที

           “กินนี่ไหม?”

           ผมเดินมาที่ครัวแล้วยื่นคุกกี้ชิ้นเล็กๆ ให้เจ้าแมวตัวนั้น มันรับมากินโดยไม่ปฏิเสธ ผมยิ้มให้มันแล้วอุ้มมันขึ้น มือข้างนึงถือจากคุกกี้เดินไปนั่งที่โซฟา พอถึงโซฟาปุ๊ปเจ้าตัวเล็กก็กระโดดออกจากอ้อมกอดผมทันทีโดยที่ผมยังไม่ปล่อย

           “ว่าแต่แกไม่อยู่ตรงนั้นได้ไง เจ้าของแกไปไหนล่ะ?” ผมหันไปคุยกับเจ้าแมวตัวเดิม แต่มันก็ยังคงตอบผมไม่ได้อยู่ดี ได้แต่ส่งเสียงร้องของแมวตอบผมมา

           “เฮ้อ...พูดอะไรมาฉันก็ไม่เข้าใจแกอยู่ดีแหละ เอาเป็นว่ายังไงแกก็อยู่กับฉันจนกว่าเจ้าของจะมาละกัน”

            “เมี๊ยว~”   

            “อ่ะนี่ กินอีกสิ”

            ผมดันจานที่ใส่คุกกี้เข้าไปใกล้เจ้าแมวตัวเล็กอีกครั้ง มันร้องขึ้นเหมือนกับจะขอบคุณผมแล้วก็ก้มลงกินคุกกี้ในจาน

            เปรี้ยง!

            เสียงฟ้าผ่าดังขึ้น ทำเอาผมที่ไม่ทันตั้งตัวสะดุ้งขึ้นมาเล็กน้อย

            ผมไม่ชอบเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า เพราะมันทำให้ผมคิดถึงความทรงจำแย่ๆ ในวัยเด็ก ถึงแม้จะเป็นความทรงจำที่เลือนลางจนผมแทบจะจำไม่ได้แล้วว่ามันคือเรื่องอะไร แต่พอได้ยินเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า ความรู้สึกแย่ๆ ตอนนั้นมันก็ตีกลับขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ

           “เมี๊ยว~”

            เจ้าแมวน้อยเข้ามาคลอเคลียที่มือผม ราวกับต้องการจะปลอบโยนผม ผมยิ้มให้มันแล้วลูบหัวมันเล็กน้อย

            “ปลอบใจฉันหรอ...ขอบคุณนะ”

            “เมี๊ยว~”

           ผมทนความน่ารักของมันไม่ไหวเลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหวังจะถ่ายรูปมันเป็นที่ระลึก

           แชะ!

           เพราะดันลืมปิดเสียงพอกดถ่ายปุ๊ปเจ้าแมวน้อยมันก็เงยหน้ามองผมทันที มันยกขาหน้าขึ้นมาแตะไปที่บริเวณกล้องก่อนจะใช้แรงน้อยๆ ดันโทรศัพท์ผมนิดๆ ราวกับเป็นการประท้วงว่าไม่ให้ผมถ่ายรูปมันอย่างนั้นแหละ

           “โอเคๆ เข้าใจแล้ว ไม่ถ่ายแล้ว โอเคไหม?”

           “เมี๊ยว!”

           เช่นเดิมเสียงตอบกลับมาก็ยังคงเป็นเสียงแมวๆ เหมือนเดิม ผมยิ้มให้มันเล็กน้อย จังหวะนั้นเองที่เสียงแจ้งเตือนมือถือผมดังขึ้น เมื่อก้มลงไปมองก็พบว่ามันเป็นแจ้งเตือนของแอพพลิเคชั่นหนึ่ง ผมรีบกดเข้าไปดู

           มันคือแจ้งเตือนเชิญชวนผมกดไลค์เพจเพจนึง ผมเปิดเข้าไปดู คิ้วขมวดขึ้นทันที นี่มันอะไร? ผมแคปหน้าจอแล้วส่งเข้าไปในไลน์กลุ่มเพื่อน



           Month : นี่มันอะไรวะพลอย

           ตาต้าไงล่ะ จะใครอีก : เหยดดดดด ถึงกับมีเพจจจจจจจ ฮ็อตเว่อร์~

           P. : เพื่อนกูส่งมาให้ดู กูเลยเชิญมึงกดไลค์ไงจ๊ะ

           กันต์ : สติ๊กเกอร์กระต่ายชูนิ้วโป้ง

            P. : ต้องยอมรับนะว่าคลิปล่าสุดของมึงน่ะ ออร่าความรักมันแผ่ซ่านสุด ไม่งั้นเพจนี้คงไม่เกิดขึ้นมา


            ใช่ครับ...เพจที่พลอยเชิญชวนผมกดไลค์ มันชื่อเพจ ‘Month-Pie Fanclub’

   
            Month : สาบานว่ามึงไม่ได้เป็นคนสร้าง

            P. : สาบานเลยค่ะ คุณพ่อ!!

            ตาต้าไงล่ะ จะใครอีก : กูก็เปล่าาาาาา

            กันต์ : ส่งสติ๊กเกอร์ตัวเดิม

            Month : ไอ้เหี้ยแล้วใครสร้างวะ

            P. : มึงก็จะเครียดไปทำไม เดี๋ยวนี้มีเพจแบบนี้เยอะแยะไปน่า ขำๆ

            Month : กูกลัวพายเข้าใจผิด!

            ตาต้าไงล่ะ จะใครอีก : เข้าใจผิดอะไร ก็มึงชอบเขาจริงๆ นี่

            กันต์ : ก็ยังคงส่งสติ๊กเกอร์ตัวเดิมมาอีก



           เฮ้อ...ผมได้แต่ถอนหายใจ แล้วปิดแอพพลิเคชั่นนั้น ไม่สนใจพวกมันอีก เรื่องนี้ผมคงต้องหาทางบอกพาย หวังว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจผม

           ผมส่องเพจนั้นดู รูปดิสเพจก็เป็นรูปที่แคปมาจากคลิปที่ผมเพิ่งลงยูทูปเมื่อวาน มันเป็นจังหวะที่เราสบตากันตอนบีบคุกกี้พอดี

           เอาจริงๆ ตอนตัดต่อคลิป ผมจะตัดตอนนั้นทิ้งก็ได้ แต่เพราะอะไรก็ไม่รู้ผมไม่อยากตัดฉากนั้นทิ้ง ไม่รู้สิ อาจจะเพราะผมรู้สึกว่ามันเป็นช่วงเวลาดีๆ ผมเลยไม่อยากลบทิ้งล่ะมั้ง

           ปกติคลิปผมจะยาวไม่เกินยี่สิบนาที แต่คลิปนี้ก็ปาเข้าไปสามสิบกว่านาที เพราะฉากที่มีพาย ผมแทบจะไม่กล้าตัดทิ้ง

           ผมเลื่อนดูโพสแรกของเพจนั้นก็เป็นรูปที่แคปมาจากในคลิปเดิมเช่นกัน แต่คราวนี้เป็นรูปเดี่ยวของผมกับพายรวมเป็นสองรูป แคปชั่นโพสว่า

           ‘ที่หน้าผากทาดินสอพองเหมือนกันด้วย แม่บอกว่าดินสอพองไว้ทาตอนหัวโน หัวโนที่เดียวกันแบบนี้รู้เลยนะคะว่าเพราะอะไร #อิอิ’

            ผมกดดูคอมเม้นรูปนั้นทันที

            ‘โอ๊ย ฟินอ่ะะะ โอ๊ยยยยยย มันจะมีกี่สาเหตุกันนะที่หัวโนที่เดี่ยวกัน แค่คิดก็เขินแล้ว’

            ‘ไม่ไหวแล้วต้องการฟิคค่ะ!!’

            ‘อาจจะแค่เลอะแป้งก็ได้ อาจจะไม่ใช่ดินสอพอง’

            ‘โอ๊ย!! แอดมินคะ!! ฟินมากค่ะ มีข้อมูลเพิ่มเติมของทั้งคู่ไหมคะ?’

            แล้วก็คอมเม้นต์แนวฟิน แนวจิ้นอีกหลากหลายคอมเม้น ก็มีบ้างที่แย้งความเห็นเหล่านั้นแต่ก็ถูกกลบไปด้วยคอมเม้นต์อื่นอย่างรวดเร็ว

           ผมกดออกจากเพจ แล้วเข้าไปดูในคลิปของตัวเอง เลื่อนอ่านคอมเม้น

           ‘พี่พายน่ารักจังเลยค่ะ เขาเป็นใครหรอคะพี่มันธ์ แฟนพี่รึเปล่าสายตาหวานกันซะ’

           ‘หวานกว่าคุกกี้ก็คู่นี้แล่วค่ะ!! มีเพจด้วยนะ’ แล้วก็แนบเพจที่ผมเพิ่งกดออก

           ‘แมวก็น่ารัก คนก็น่ารัก’

           ‘ลองทำตามแล้วค่ะ คุกกี้อร่อยมาก’

           ‘คลิปหน้าขอพี่พายอีกนะคะพี่มันธ์!!’

           ‘เจ้าแมวอ้วนน่าบีบมาก’

            คอมเม้นต์ทั้งหลายใต้คลิปนั้นส่วนมากก็พูดถึงพาย ไม่ก็แมว มีพูดถึงคุกกี้ผมไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์เลยด้วยซ้ำ พอมองยอดวิวก็พบว่าคลิปนั้นก็ทะลุไปเกินครึ่งล้านแล้วภายในระยะเวลาสั้นๆ

            จริงๆ คลิปคราวก่อนที่ถ่ายติดเจ้าแมวส้มของพายนั่นก็ยอดวิวสูงกว่าคลิปอื่นๆ ของผม แต่เจอคลิปนี้เข้าไปคาดว่าอีกไม่กี่วันยอดวิวต้องสูงแซงทุกคลิปที่ผมเคยลงแน่ๆ

             ส่วนเรื่องที่คนดูรู้ว่าอีกฝ่ายชื่อพาย ก็คงเป็นเพราะผมเรียกพายในคลิปนั่นแหละ...อ่า...คงต้องหาเวลามานั่งคุยกับพายเรื่องคลิปและเรื่องเพจนั้นอย่างจริงๆ จังๆ ซะแล้วล่ะ....

             เปรี้ยง!!

             เสียงฟ้าผ่าดังขึ้นอีกครั้ง ผมหันออกไปมองทางระเบียง พบว่าตอนนี้ข้างนอกฝนตกหนักมาก ท้องฟ้ามืดครึ้มเปลี่ยนเวลายามบ่ายกลายเป็นเหมือนเวลาโพลเพล้คงเพราะเมฆครึิ้มบดบังแสงดวงอาทิตย์เสียหมด

             ผมปิดโทรศัพท์แล้ววางไว้บนโต๊ะ เจ้าแมวตัวเดียวในห้องเดินเข้ามาใกล้ผมอีกนิด ก่อนที่มันจะยกขาหน้าของมันขึ้นมาแตะหลังมือผมเบาๆ

            “หืม? อะไรเจ้าตัวเล็ก ปลอบผมอีกแล้วหรอ?”

            “เมีี๊ยว~” เสียงมันตอบกลับมา ตอนนั้นเองที่จู่ๆ คำพูดของคนข้างห้องก็ลอยเข้ามาในความคิดของผม

            ‘มีคนเคยบอกผมว่า เวลาเรากลัวอะไร หรือเวลารู้สึกแย่ ให้จับมือกันไว้ เราจะได้รู้ว่าเราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในโลกใบนี้’

            ผมยิ้มเล็กๆ ให้กับคนที่ลอยเข้ามาในความคิด มือก็ยกลูบหัวเจ้าแมวตัวเล็กอีกครั้ง

           “แกนี่มันเหมือนเจ้าของแกจริงๆ เลยนะ”





           เสียงกริ่งหน้าห้องดังขึ้นตอนเวลาเกือบห้าโมง ผมลืมตาตื่นหันไปมองทางประตูเล็กน้อย นี่ผมหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้...มองออกไปข้างนอกท้องฟ้าก็กลับมาใสเหมือนเดิมแล้ว...ฝนหยุดตกแล้วสินะ...ผมหันไปหาเจ้าตัวที่อยู่เป็นเพื่อนผมเมื่อกี้ก็พบว่ามันนอนหลับอยู่เช่นกัน

           เสียงกริ่งหน้าห้องดังขึ้นอีกครั้ง ผมเลยลุกไปที่ประตู พอส่องตาแมวก็เห็นผู้ชายที่ไม่รู้จักยืนอยู่หน้าห้อง

           ใคร?

           เสียงกริ่งดังย้ำขึ้นอีกครั้ง ผมเลยยอมเปิดประตู

            พอเปิดประตูเจ้าแมวตัวสีส้มกับสีขาวก็วิ่งเข้ามาในห้องผมทันที

            เมื่อกี้ มันแมวของพายนี่?

            “เอ่อสวัสดีครับ คือผมเป็นเพื่อนพายที่อยู่ห้องข้างๆ คุณนะครับ ไม่ทราบว่าคุณเห็นแมวขนาดตัวไม่ใหญ่มาก ประมาณมาตรฐานแมวปกติน่ะครับ ขนเป็นสีเทา ตาสีเหลืองน่ะครับ คุณเห็นมันบ้างไหมครับ?”

            ผมฟังคนตรงหน้าแล้วสมองประมวลผลคิดตามนิดนึง

            “ครับ มันอยู่ที่ห้องผมครับ”

            “จริงหรอครับ!!” อีกฝ่ายตอบกลับด้วยสีหน้าดูโล่งอก ดีใจ จังหวะนั้นเองที่มีอะไรบางอย่างผ่านหน้าผมไปหาอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว

            “เมี๊ยว!!”

            เป็นเจ้าตัวเล็กนั่นเองที่กระโดดเข้าไปหาคนตรงหน้าผม ซึ่งคนนั้นเขาก็อ้าแขนรับมันไว้ในอ้อมกอดอย่างทันท่วงที แล้วหันไปพูดกับเจ้าแมวในอ้อมกอดด้วยน้ำเสียงดุเล็กน้อย “ไงพาย!! หาตั้งนาน!! มึงนี่นะ!!”

            “หืม? พาย? แมวตัวนั้นชื่อพายหรอครับ ชื่อเหมือนเจ้าของมันหรอครับ?” ผมถามขึ้นอย่างสงสัย ก็มันจะมีจริงๆ หรอคนที่ตั้งชื่อสัตว์เลี้ยงเป็นชื่อตัวเองน่ะ ถึงพายจะเป็นเจ้าของมันแค่ครึ่งเดียวก็เถอะ แต่จะชื่อเดียวกันมันก็ออกจะแปลกไปซะหน่อย

            อีกฝ่ายทำหน้าอึ้งๆ แต่เพียงเสี้ยววิ ก็ตอบคำถามของผม

            “จริงๆ ชื่อเต็มๆ มันคือพายแอปเปิ้ลน่ะครับ แต่ก็มีบ้างที่ผมเผลอเรียกมันว่าพายน่ะครับ แฮะๆ”

            “อ่อ ว่าแต่คุณไปไหนมาครับทำไมปล่อยให้มันอยู่ตัวเดียว ผมบังเอิญเจอมันที่หน้าคอนโดแล้วจำได้ว่าเป็นแมวของพาย พอดีเห็นว่าฝนจะตกจะทิ้งมันไว้คนเดียวก็เป็นห่วง เลยอุ้มมันมาไว้ที่ห้องน่ะครับ ถ้าผมไม่เจอมันคุณไม่คิดบ้างหรอครับว่ามันจะเป็นอันตรายหรือเปล่า?” ผมอดไม่ได้ที่จะต่อว่าคนตรงหน้าอย่างยาวเหยียด

             “อ่า...ขอบคุณนะครับที่ช่วย ผมขอโทษจริงๆ ครับเป็นความผิดผมเอง” อีกฝ่ายก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด ตอนนั้นเองที่ผมได้มองเห็นคนตรงหน้าชัดๆ เขาตัวเปียกทั้งตัว ใบหน้าดูแดงเล็กน้อย แถมตอนพูดก็ดูมีอาการหอบนิดๆ

            “นี่คุณตามหามันตลอดที่ฝนตกหรอครับ?” ผมถามขึ้นตามข้อสันนิษฐานของตัวเอง

            “ครับ...ผมก็ตกใจที่มันหายไปเลยออกตามหา”

            “หรอครับ งั้นผมก็ขอโทษนะครับที่ต่อว่าคุณไปเมื่อกี้”

            “ครับ ไม่เป็นไรครับ ความผิดผมเอง ยังไงก็ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยมันไว้”

            “ไม่เป็นไรครับ ผมยินดี”

            “ครับงั้นผมไม่รบกวนคุณแล้วนะครับ สวัสดีครับ” ว่าแล้วเขาก็เดินหันหลังไปพร้อมกับในมืออุ้มเจ้าตัวเล็กไปด้วย เจ้าแมวสองตัวที่วิ่งเข้ามาในห้องผมก็เดินตามคนนั้นออกไปเช่นกัน







______________________________________
มาแล้วคร่าาาาาาาาาา ตอนแรกกะว่าจะลงวันเว้นวัน แต่ยังไงก็ขอเปลี่ยนเป็นลงตามใจฉัน ละกันนะคะ ๕๕๕๕๕ อยากลงก็จะมาลงค่ะ แต่สาบานว่าจะไม่ทิ้งนานเกินไปแน่ๆ แฮะๆ

ยังไงก็ขอบคุณนะคะ ที่มาอ่านมาติดตามกัน ใครชอบยังไงก็อย่าลืมมาหวีดกันได้ในทวิต #แมวอยู่กับผม แล้วก็อย่าลืมเม้นต์ กดไลค์ กดแชร์กันด้วยนะคะ >___< ขอบคุณมากคร่าาาาาาาา

ออฟไลน์ PandP

  • Déjame vivir esa fantasía.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1170
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +137/-0
    • http://www.facebook.com/iAMpingPINGping
เราแพ้ผู้ชายทำขนมได้ ฮืออออ
รอตอนต่อไปนะคะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด