ตั้งแต่เกิดมาและจำความได้ ก็มีผมและพ่อสองคน แต่ก่อนหน้านั้นปู่ย่าเล่าให้วีรกรรมพ่อให้ฟังว่าเละเทะมาก จนมาเป็นผู้เป็นคนได้ขนาดนี้เพราะมีผม (นั่นมันทำให้ผมภูมิใจในตัวเองนิดๆ) พ่อทำทุกอย่างให้ผมเองขณะที่ยังเป็นแค่วัยรุ่น เราสนิทกันมากในทุกเรื่องเพราะเขาสอนผมไม่ว่าจะเรื่องอะไร เป็นแบบอย่างให้ผมก้าวเดินตามได้อย่างไม่ลังเล
"แกมันไม่มีแม่"
"แม่แกทิ้ง สมน้ำหน้า"
"ลูกไม่มีแม่"
โอเค มันเลี่ยงไม่ได้หรอกที่ในวัยเด็กจะเจอเรื่องอะไรแบบนี้ ถามว่าผมขาดเหรอ? พ่อไม่เคยทำให้ผมรู้สึกว่าขาดเหลืออะไรเลยในชีวิต เขาสอนให้ผมมองทุกอย่างตามความจริง แต่ในบางครั้งความจริงมันก็เป็นสิ่งที่คนอื่นรับไม่ได้ ใช่ไหมล่ะ
"ฉันไม่มีแค่แม่ แต่ฉันมีทุกอย่างที่พวกนายไม่มี"
ผมพูดแค่นี้เอง แล้วเด็กพวกนั้นก็กรูกันเข้ามา และนั่นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่โรงเรียนเชิญผู้ปกครองเข้ามาพบ ผมบอกพ่อตามความจริงตามเคย ที่จริงเขางานยุ่งมากจะให้ผู้ช่วยฟิลิปมาก็ได้ผมไม่แคร์หรอก แค่ปากแตกกับรอยฟกช้ำตามตัวเล็กน้อย ซึ่งฝ่ายนั้นก็โดนไม่น้อยหรอก
พ่อโกรธมากผมดูออก ท่าทีเรียบๆ นิ่งๆ นั่งเอามือประสานกันไว้ที่เข่า
"...ครับคุณเกรย์ ผมต้องเรียนให้ทราบถึงปัญหา เรื่องอีธาน...."
"ครับ" พ่อเลิกคิ้วสูงเป็นเชิงถามกลับ
"เรื่องค่าเสียหาย กับค่าชดเชย"
"เรื่องค่าเสียหายของทางโรงเรียน ผมจะชดใช้ให้เองทั้งหมด" หน้าต่างห้องเรียนแตกเพราะผมเหวี่ยงเก้าอี้ไปโดน กับพวกโต๊ะและข้าวของในห้องที่ผมพอจะคว้าได้ตอนนั้นน่ะนะ ผมยอมรับตรงๆ กับพ่อว่าขาดสติตอนที่พวกนั้นเริ่มเอาไม้ฟาดผม ดีว่าเอาแขนรับไว้ไม่งั้นก็คงได้เลือดที่หัว หนึ่งในพวกนั้นหัวแตก อีกคนแขนหักมั้งนะ ที่เหลือก็...ไม่รู้สิ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่โดนจับแยกแล้ว
"ส่วนเรื่องค่าชดเชย อีธานเป็นฝ่ายที่โดนรุมทำร้าย 3 ต่อ 1 ไม่สิ 5 ผมเกรงว่าคุณจะพูดผิดคน" คราวนี้พ่อโยกตัวไปด้านหน้าแล้วจ้องมองครูใหญ่ตรงๆ พ่อไม่ได้ปกป้องผมเกินจริง แต่เขาเป็นนักธุรกิจที่เก่ง เรื่องยอมเสียเปรียบจะไม่เกิดขึ้น
"ทางผู้ปกครองฝ่ายนั้นส่งหนังสือร้องเรียนมาครับ" คุณครูยื่นหนังสือมาตรงหน้าและเริ่มเหงื่อตก เมื่อเห็นสีหน้าพ่อเริ่มตึงเครียด
"ที่ทางผมไม่ได้ยื่นหนังสือร้องเรียน เพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องของเด็ก อ่า...ผมคงคิดไปเองว่าทางนั้นน่าจะเข้าใจ"
"ครับ, คือทางเราเข้าใจ แต่ว่า..." ครูใหญ่ทำท่าจะพูด แต่พ่อยกมือห้าม
"ผมจะจ่ายค่าชดเชยให้ก็ได้ ถ้าเรื่องมันจบ โอเคไหม" ผมแอบผิดหวังเล็กๆ กลอกตามองบนแล้วถอนหายใจ ไม่คิดว่าพ่อจะใช้เงินให้เรื่องมันจบง่ายๆ แบบนี้ ครูใหญ่เองก็คงคิดเหมือนกัน
"ขอบคุณมากครับคุณเกรย์ ทางเรายินดีที่จะรับรองว่าจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก.." พ่อยกมือห้ามให้หยุดพูดอีกครั้ง คราวนี้ชักสีหน้าว่ารำคาญ
"อีธานจะไม่มาเรียนที่นี่อีกนับตั้งแต่พรุ่งนี้ รวมไปถึงเรื่องเงินบริจาคของเราด้วยเช่นกัน"
"คะ...คุณเกรย์…."
พ่อลุกขึ้นยืนตัวตรงสีหน้าเรียบเฉย ผมอยากจะหัวเราะออกมาเมื่อเห็นหน้าครูใหญ่ แต่ขืนทำแบบนั้นโทษของผมจะเพิ่มขึ้น พ่อสอนว่าอยู่ต่อหน้าคนอื่น ให้แสดงอารมณ์ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
"ทำเรื่องจ่ายค่าชดเชย ค่าเสียหายให้จบ" พ่อหันไปบอกฟิลิป "แล้วทำเรื่องฟ้องร้องทางโรงเรียน เรื่องความปลอดภัยของเด็ก รวมไปถึงผู้ปกครองฝั่งนั้นเรื่องการทำร้ายร่างกายด้วย" ฟิลิปพยักหน้ารับคำโดยไม่ถาม
"คะ...คุณเกรย์ครับ!! "
คงไม่ต้องบอกใช่ไหมว่าเรื่องจบยังไง ทีมของพ่อสามารถเข้าถึงข้อมูลกล้องวงจรปิดของโรงเรียนได้ตั้งแต่วันที่มีเรื่องกันแล้ว (นั่นไม่ใช่เพราะจะปกป้องผมหรอกนะ เพราะเขาต้องการยืนยันว่าสิ่งที่ผมรายงานเป็นเรื่องจริงต่างหาก) เพราะฉะนั้นมันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับนักธุรกิจอย่างเขาเลย
พ่อไม่ชอบที่ตัวเองจะต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบไม่ว่าจะด้วยอะไรก็ตาม
และพ่อก็แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เขาทำ...ปกป้อง และทำเพื่อผมเสมอ
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่ถูกลงโทษ ผมโดนกักบริเวณหนึ่งเดือนเต็มๆ เหตุผลคือต้องการให้ผมคิดทบทวนความผิด แม้ว่าผมจะไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มก็ตาม
"เราแก้ปัญหาด้วยวิธีอื่นได้อีธาน ไม่จำเป็นต้องหาเรื่องเจ็บตัว" พ่อสอนผมแบบนั้น
ใครจะว่าผมติดพ่อก็ได้ผมไม่เถียง การตามติดชีวิตเขาไปทำงานมันสนุกกว่าการไปเที่ยวเล่นอีก ผมชอบฟังเวลาเขาคุยข้อแลกเปลี่ยนกัน พ่ออธิบายให้ฟังทุกเรื่องทุกอย่างที่ผมอยากรู้ สอนเรื่องกลไกการตลาดทิศทางแนวโน้มในการเลือกคน เขาเป็นพ่อ เป็นเหมือนพี่ชายคนโต และเหมือนเจ้านาย ผมจึงเคารพรักและเทิดทูนเขายิ่งกว่าใคร
"ทำไมพ่อไม่หาใครสักคนล่ะ ที่แบบว่า..." ผมถามขณะที่เราอยู่ในงานเลี้ยงทางธุรกิจ ผู้หญิงมากมาย ทั้งดารานางแบบ จะเลือกเอาเลยก็ได้ที่ต้องการ แต่เขาก็ทำเป็นไม่สนใจ หรือบางทีผมคิดว่าเขาอาจจะเกรงใจผมก็ได้
"ฉันไม่ชอบเรื่องยุ่งยาก" ผมแทบหลุดหัวเราะออกมา แต่มันจะเสียมารยาทเมื่อยังอยู่ในงาน
"สมัยไหนแล้วน่าพ่อ สนุกกับชีวิตบ้างเถอะ" แบบว่าบางครั้งผมก็กลัวว่าเขาจะกลายเป็นคนเย็นชาไม่มีหัวจิตหัวใจไปซะก่อนแก่น่ะนะ
"ความสนุกชั่วครั้งชั่วคราวมันไม่ทำให้ชีวิตเราดีขึ้นหรอกนะ"
อ่า...ผมเข้าใจว่าความสนุกครั้งล่าสุดของเขาคือการมีผม
"ผมอยากให้พ่อมีความสุข" พ่อหัวเราะกับคำพูดของผม
"ทุกวันนี้ฉันดูไม่มีความสุขขนาดนั้น? " อ่า...และเขาก็ดูมีเสน่ห์ขึ้นไปอีกสิบเท่าได้มั้งเวลาทำหน้าแบบนั้น ดูจากกิริยาสาวๆ ที่เล็งเขาไว้ต่างหน้าแดงกันไปแถบๆ
ผมรู้เขามีความสุข...เพราะมีผม (จากคำยืนยันของปู่กับย่าน่ะนะ) ชีวิตเขามีความหมายเพราะมีลูกชายอย่างผม และผมสัญญากับตัวเองว่าจะไม่มีวันทำให้เขาผิดหวัง
จนวันที่มีใครเข้ามาในชีวิตเราสองคน...ในวันแรกที่เราพบกัน พ่ออุ้มร่างที่โชกเลือดไว้ในอ้อมแขน ตัวเล็กกว่าที่ผมคิดเอาไว้เสียอีก ผอมบาง แต่กลับไม่ร้องเลยสักแอะทั้งที่เจ็บขนาดนั้น ภาพนั้นยังติดตาจำถึงทุกวันนี้
“มานี่มา” ผมโอบไหล่น้องเอาไว้ตอนที่พวกเราเดินสวนคนแปลกหน้าแล้วน้องก็มักจะสะดุ้งหรือไม่ก็หยุดก้าวขาทุกครั้งที่มีคนเดินเฉียดเข้ามาใกล้
ปกติแล้วเราจะไปไหนกัน 3 คนเสมอ พ่อกับผมจะช่วยเดินขนาบข้างน้องตลอด แต่วันนี้เราหนีเที่ยวกันแค่สองคน แรกๆ มันก็สนุกดี แต่พอเห็นอาการน้องแล้วผมก็ว่ามันน่าเป็นห่วงมากกว่า จะโทรชวนพ่อมาตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว กลับไปมีหวังไม่พ้นโดนด่ายาว
“ขะ..ขอโทษครับ” น้องเอ่ยเสียงเบา
“คราวหน้าชวนพ่อมาด้วยดีกว่า” ผมบอกพร้อมกับหัวเราะท่าทางของน้อง แล้วก็โดนสายตาคู่นั้นมองค้อนเข้าให้ นี่กับคนรู้จักนะผมควรภูมิใจที่ได้รับสิทธิ์นั้นใช่ไหม พักนี้ชักจะทำตัวให้น่ามันเขี้ยวขึ้นทุกที
“พี่...พี่กับชาร์ลรำคาญผมไหม” น้องถามเสียงสั่นเครือ ไม่รู้ว่าคิดอะไรไปไกลแค่ไหนแล้ว ผมกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น
“เห็นเป็นแบบนั้นเหรอ”
น้องส่ายหน้ารัวกับอกผมแทนคำตอบ
“งั้นก็ไม่ต้องคิดมาก โอเคไหม? ” ผมอดยื่นมือไปบีบปลายจมูกเจ้าตัวด้วยความมันเขี้ยวไม่ได้ เวลาน้องทำหน้างอนๆ แล้วมองค้อนใส่ มันทำให้หัวใจผมรู้สึกไหววูบ
ผมไม่เคยนึกอยากปกป้องอะไรเลยในชีวิต จนมีน้องเข้ามา อ่อนแอบอบบาง และตามติดผมเหมือนลูกแมว เวลาน้องยิ้มหรือหัวเราะมันทำให้โลกของผมสดใส นอกจากพ่อแล้วชีวิตผมไม่เคยมีใคร เวลาที่น้องต้องการผม มันทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองสำคัญ
วันนั้นที่สระน้ำ ผมเองก็ได้เห็นกับตาแล้วว่าสิ่งที่ผมคาดคิดไว้เป็นเรื่องจริง สายตาของพ่อที่มองน้อง มันไม่เหมือนที่ผมเคยเห็นตอนพ่อมองใคร มันลึกซึ้ง มันมีความหมาย เพราะเราพ่อลูกสนิทกันอย่างที่เรียกได้ว่าแทบจะอ่านใจกันได้ ...ทำไมผมจะไม่รู้
พ่อให้ผมได้ทุกอย่าง เพียงแค่ผมเอ่ยปาก
และชีวิตผมไม่เคยอยากได้อะไร...ที่เป็นของพ่อ...ไม่เคย...
ที่อยากให้พ่อมีความสุข ผมก็พูดจริงจากใจ แต่ผมก็หักห้ามใจตัวเองไม่ได้เลยเช่นเดียวกัน
“ทำไม...พี่ถึงกอดผม..” ผมได้แต่ยืนนิ่งไปกับคำถามของน้อง พร้อมกับหัวใจที่หนักอึ้ง ผมอยากจะยื่นมือไปรั้งร่างเล็กบอบบางนั่นมากอดปลอบ แล้วสารภาพทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ด้วยทิฐิที่ไม่ควรมี ไม่ควรมีเลย...มันทำให้ผมเลือกที่จะเดินจากไปอย่างเงียบๆ
วันแรกที่ผมได้ครอบครองน้อง ยิ่งได้ประกาศตัวเป็นเจ้าของ มันทำให้ผมก็ยิ่งได้ใจ
แต่ไม่ว่ายังไงผมไม่สามารถทำให้น้องหันกลับมามองผมได้ ด้วยสายตาอย่างที่น้องมองพ่อ
ความอิจฉาทำให้ผมสร้างกับดักกักน้องเอาไว้ด้วยความเห็นแก่ตัว ความอยากได้ อยากครอบครอง ทำให้ลืมมองน้องว่าเจ็บปวดแค่ไหน
และเป็นผมเองที่เป็นคนผลักไสให้น้องไปซบอกพ่อ
น้องรักผม ผมรู้ดี .......และก็รักพ่อด้วย ผมก็รู้อีกเช่นกัน
ผมอยากเอาชนะพ่อ จนลืมหันไปมอง ว่าน้องเป็นยังไง… จนวันที่น้องเลือกที่จะหนีไป ความรู้สึกผิดมากมายกัดเซาะในใจ
เจ็บปวด และคิดถึงน้องเจียนตาย นับคืนนับวันในการตามหาน้อง
ฝันร้ายทุกคืนหลอกหลอน สภาพน้องโชกเลือด น้องร้องไห้ แค่ในฝัน มันทำให้ผมเกือบจะเป็นบ้าตาย
"ฉันขอโทษ...ขอโทษทุกอย่าง...ทุกอย่างเลย" พ่อเอ่ยขอโทษราวกับว่าจะรับเอาความผิดทุกอย่างมาไว้ที่ตัวคนเดียว
ผมจ้องมองคนตรงหน้าราวกับจะมองให้ทะลุไปถึงจิตใจ
พ่อเองก็พ่ายแพ้จนหมดสภาพไม่ต่างกัน
*************************
กราบขอบพระคุณทุกคนที่ติดตาม และคอมเม้นท์ทุกคอมเม้นท์
อิพี่กำลังถูกลงโทษแล้ว #วานเห็นใจ
#รักน้องสงสารน้อง ฝากน้องด้วยจ้า