ตอนที่ 7คุณธนิกกลับไปเมื่อตอนบ่ายสองเพราะมีโทรศัพท์จากเลขาฯ ของเขาบอกว่ามีการเรียกประชุมผู้บริหารด่วน เขาก็เลยต้องกลับไปด้วยสีหน้าที่เหมือนเด็กถูกขัดใจ ไอ้หลงเห่าส่งเขาด้วย มันคงชอบที่คุณธนิกลูบหัวมัน
“ดีจังน้าที่คุณธนิกเขาไม่รังเกียจพวกเรา” ผมลูบหัวไอ้หลงเบาๆ “แล้วเอ็งอยากไปอยู่บ้านใหม่หรือเปล่า บ้านหลังใหญ่ๆ สวยๆ แล้วก็อาจจะสะดวกสบายกว่านี้”
บ้านหลังนี้เต็มไปด้วยความทรงจำของผมและคนในครอบครัว ครั้งหนึ่งมันเคยมีชีวิตชีวา มีเสียงหัวเราะของผมและน้าลี คลอไปด้วยเสียงครางหงิงๆ ของไอ้หลง ชีวิตที่ไม่ต้องมีพร้อม แต่ก็มีความสุขกันดี หากถามว่าผมอยากจะไปอยู่ที่ที่ดีกว่านี้ไหม โดยธรรมชาติของความคิดมนุษย์แล้วก็ต้องอยากไปกันทั้งนั้น ทว่าผมก็ยังทิ้งความผูกพันที่มีต่อบ้านหลังนี้ไม่ลง
“ชีวิตที่ดีกว่า มันจะดีจริงๆ รึเปล่านะ อีกอย่างคุณธนิกเขาจะชอบพี่ไปตลอดมั้ยก็ไม่รู้ เกิดวันหนึ่งเขารู้สึกเบื่อขึ้นมา เราก็คงจะไม่มีที่ซุกหัวนอนกัน”
ไอ้หลงครางหงิงตอบกลับมา มันก็คงเห็นด้วยกับผม คำว่าตลอดไปมันไม่มีอยู่จริง ผมน่ะเข้าใจคำนี้ดี เพราะน้าลีที่สัญญาจะอยู่ด้วยกันตลอดไป ก็จากไปก่อนที่ผมจะทันได้ตั้งตัวเสียด้วยซ้ำ
“ไอ้ขวัญญญญญ กูมาแล้วววว” เสียงของไอ้แนนดังขึ้นมาจากหน้าบ้าน ไอ้หลงรีบลุกแล้ววิ่งไปที่ประตูทันที มันจะส่ายหางระริกระรี้ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงของไอ้แนน เพราะมันรู้ว่าไอ้แนนจะมีของกินดีๆ มาฝากมัน แต่ไอ้หลงมันคงไม่รู้หรอกว่าของกินที่ไอ้แนนเอามาให้น่ะผมฝากเงินมันซื้อแทบทุกครั้ง ไอ้แนนก็เลยได้หน้าไปตามระเบียบ
“มาเร็วจังวะ” ผมเปิดประตูบ้าน เห็นไอ้แนนยังคงนั่งคร่อมมอเตอร์ไซค์ ตะกร้าหน้ารถมีถุงใส่กับข้าวอยู่สองสามอย่าง หนึ่งในนั้นมีไก่ย่างที่ผมฝากมันซื้อด้วย
“พอดีมีเรื่องจะคุยกับมึงนิดหน่อย” ไอ้แนนบอก ลงจากมอเตอร์ไซค์ ยื่นมือลูบหัวไอ้หลงที่รอไก่ย่างของมัน “แสนรู้จริงๆ นะไอ้หลง อยากกินไก่ย่างละซี”
“เรื่องจะคุยเหรอ” คงไม่ใช่เรื่องของคุณธนิกหรอกใช่ไหม ไอ้แนนจะมีตาทิพย์รู้สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมในบ้านหลังนี้ได้ยังไงกัน เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งปล่อยไก่เสียดีกว่า “งั้นเข้ามาคุยในบ้าน กูก็มีเรื่องจะคุยกับมึงเหมือนกัน”
“เออๆ กูซื้อเหล้ามาด้วย ขออนุญาตฝนเรียบร้อยแล้ว วันนี้ยาวได้ถึงเที่ยงคืน” ไอ้แนนชูขวดเหล้าขาวตรารวงข้าวที่มันซื้อมาให้ดู สีหน้ามันเครียดอย่างที่ไม่ค่อยจะได้เห็นนัก ครั้งล่าสุดที่เห็นมันทำหน้าแบบนี้ก็ตอนที่มันรู้ว่าฝน แฟนของมันท้อง ทำให้ผมรู้สึกว่าเรื่องที่มันกำลังจะคุยต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ ถึงต้องใช้เวลาและต้องมีแอลกอฮอล์คอยกระตุ้น
วงเหล้าขนาดย่อมจึงเริ่มขึ้นตั้งแต่หัวค่ำ ผมจัดการปูเสื่อ ส่วนไอ้แนนจัดการหาถ้วยโถโอชามมาใส่ของแกล้มซึ่งเป็นเนื้อวัวนึ่งกับน้ำพริกข่าของโปรดของผม ต่างคนต่างทำหน้าที่ เมื่อทุกอย่างพร้อม พวกเราก็เริ่มบรรเลง ไอ้แนนเปิดเพลงเพื่อชีวิตที่มันชอบจากโทรศัพท์มือถือให้คลอไปเบาๆ สร้างบรรยากาศ โดยมีไอ้หลงนั่งแทะไก่ย่างอยู่ข้างๆ
“มึงพูดเรื่องของมึงก่อน” ไอ้แนนบอก ยกแก้วขนาดเล็กขึ้นจ่อปากแล้วดื่มไปรวดเดียว สีหน้าของมันเหยเกเล็กน้อยเพราะรสเฝื่อน จากนั้นก็ยื่นแก้วเล็กๆ ที่บรรจุน้ำสีใสอยู่ครึ่งแก้วส่งมาให้ผม “เรื่องของกูต้องใช้เวลาเรียบเรียงนิดหน่อย เพราะค่อนข้างจะงง”
ผมรับแก้วนั้นมาจากมือของเพื่อน ยกดื่มรวดเดียว รู้สึกต้องการความกล้ามากพอควร เพราะการคบหากับคนที่เพื่อนไม่สนับสนุนนั้น ผมไม่แน่ใจว่าจะทำลายมิตรภาพที่มีลงไหม ผมคงทุรนทุรายมากหากต้องตัดสัมพันธ์กับไอ้แนนไป
“มึง กูน่ะ นอนกับคุณธนิกแล้ว” ผมเริ่มเรื่อง เพราะคงดีที่สุดถ้าจะเริ่มจากตรงนี้ พอลอบสังเกตดูสีหน้าไอ้แนนก็เห็นว่ามันยังสงบ ผมจึงเริ่มพูดต่อ “เมื่อเช้ากูโกหกว่ากูไปดื่มเหล้ากับไอ้นัท แต่ที่จริงแล้วกูนอนกับเขา คือกูก็ไม่อยากโกหกมึงหรอกเว้ย แต่กูกลัวมึงด่า”
“งั้นมึงก็โกหกกูเหรอว่ามึงจะตัดใจ” ไอ้แนนถามเสียงนิ่ง
“เปล่า กูตั้งใจจะตัดใจจริงๆ เพราะกูก็รู้สึกเหมือนที่มึงพูดทุกอย่าง ตอนที่มีอะไรกันเขาก็เรียกชื่อคนอื่นด้วย”
“นั่นชั่วมากเลยนะ”
ผมยิ้ม เดาไม่ผิดจริงๆ “คิดแล้วว่ามึงต้องพูดแบบนี้ นั่นแหละ กูก็เลยคิดว่า ตัดใจก็คงดีกว่า แล้วทีนี้ตอนที่กูกลับบ้านมา เขาก็มารออยู่แล้ว”
“มาที่นี่น่ะเหรอ”
“อือ มาที่นี่ แล้วกูก็คบกับเขา”
“เดี๋ยวๆ” ไอ้แนนยกมือขึ้นห้ามแล้วอีกมือก็นวดขมับตัวเอง “กูตามไม่ทัน ยังไงนะ พอเขามาหามึงที่บ้าน มึงก็เลยใจอ่อนคบด้วยงี้เหรอ แบบมึงคิดว่าไหนๆ ก็นอนกับเขาแล้ว ผูกพันกันแล้ว งี้ใช่มั้ย”
“ก็...ใช่” ผมตอบรับเสียงอ่อย เพราะเห็นไอ้แนนแยกเขี้ยวส่งมาให้ “เขาบอกกูนะว่าคนที่เขาเผลอเรียกชื่อเป็นอดีตไปแล้ว แล้วเขาก็กำลังจะถอนหมั้นกับคู่หมั้นของเขา”
“แล้วมึงก็เชื่อเหรอไอ้โง่!”
ผมสะดุ้งเล็กน้อย เพราะไอ้แนนเสียงดังมากๆ ไอ้หลงยังรีบคาบไก่ย่างของมันไปกินที่อื่นเลย คงกลัวโดนลูกหลง
“แต่คำพูดเขาน่าเชื่อมากเลยนะ”
“ไอ้ขวัญ มึงนะมึง กูจะเป็นลม” ไอ้แนนตบอกตัวเอง ท่าทางเหมือนพ่อที่รู้ว่าลูกสาวท้องก่อนแต่ง ผมนึกภาพมันในอีกยี่สิบปีข้างหน้าออกเลยว่ามันต้องเป็นพ่อที่เข้มงวดกับลูกสาวมากแน่ๆ “กูไม่อยากจะโทษที่น้าลีสอนมึงให้มองโลกในแง่ดี แต่นี่มันดีเข้าขั้นโง่แล้ว แค่เขาหลุดปากเรียกชื่อคนอื่นตอนเอามึง แค่นั้นก็รู้แล้วมั้ยว่าเขาลืมคนคนนั้นไม่ได้”
ความจริงจากปากของไอ้แนนทำเอาหัวใจของผมเจ็บจี๊ดขึ้นมา “ก็อาจจะเป็นอย่างที่มึงพูด”
“ไม่ใช่แค่อาจจะ แต่มันต้องเป็นอย่างที่กูพูดสิ ร้อยทั้งร้อยนะเว้ย หลุดปากออกมาแสดงว่าต้องคิดถึงตลอดเวลาแน่ๆ” ไอ้แนนปิดประตูหาข้ออ้างของผมจนหมด ผมก็เลยยอมนั่งฟังมันเงียบๆ “อีกอย่างนะ คู่หมั้นที่บอกว่าจะถอนหมั้น มันก็เป็นแค่คำพูดของผู้ชายเจ้าชู้ที่อยากจะมีชู้เพิ่มเข้ามาในชีวิต”
คำพูดของไอ้แนนกับคำหวานของคุณธนิกตีกันวุ่นอยู่ในหัวของผม คำพูดของไอ้แนนนั้นมีน้ำหนักมากพอๆ กับความอยากเชื่อในตัวของคุณธนิกที่ผมมี
“แล้วกูต้องทำยังไงวะ กูตกลงคบกับเขาไปแล้ว”
“เลิกสิ รออะไร”
“จะให้กูบอกเลิกทั้งๆ ที่ยังคบกับเขาไม่ทันข้ามวันเหรอมึง”
“หรือมึงจะรอให้มันครบปีแล้วค่อยเลิกล่ะ จะทนน้ำตาเช็ดหัวเข่าหรือไง”
“แล้วถ้ากูไม่อยากเลิกล่ะ มึงจะโกรธกูมั้ย”
ไอ้แนนถอนหายใจ มันรินเหล้าให้ผมแล้วยื่นมาตรงหน้า “กูไม่โกรธ เพื่อนก็ต้องดูแลเพื่อน แนะนำสิ่งดีๆ ให้เพื่อน ถ้าเพื่อนกำลังตาบอดก็ต้องทำให้ตาสว่าง แต่ถ้ามึงตัดสินใจเลือกแล้ว กูก็ไม่มีอะไรจะว่า แต่กูไม่สนับสนุน”
“กูอยากให้มึงยินดีกับกู”
“ไม่ล่ะ” ไอ้แนนส่ายหน้า ใช้ช้อนตักเนื้อวัวนึ่งมาป้อนให้ผม “กูจะรอเช็ดน้ำตาให้มึงดีกว่า”
ผมคงไปบังคับไอ้แนนไม่ได้ เหมือนๆ กับที่หัวใจของผมก็บังคับได้ยากเย็น “แล้วเรื่องที่มึงจะคุยกับกูล่ะ”
ไอ้แนนเงียบไปเกือบหนึ่งนาที ก่อนมันจะเริ่มต้นคำถาม “มึงจำที่กูบอกว่าเจอคนหน้าเหมือนมึงได้มั้ย”
“จำได้”
“วันนี้กูเจออีกครั้ง แล้วครั้งนี้กูได้คุยกับเขาด้วย เขาบอกกูว่าเขาชื่อขิม”
ขิม... ทำไมถึงมีคนชื่อนี้คอยวนเวียนสร้างความวุ่นวายให้หัวใจของผมกันนะ เมื่อคืนผมได้ยินชื่อนี้จากปากของคุณธนิก ตอนนี้ก็มาได้ยินจากไอ้แนน คนชื่อขิมนี่มันจะมีสักกี่คนบนโลกกันวะ
“มึงกำลังไม่เชื่อกูสินะ แต่กูไม่ได้ตาฝาดไอ้ขวัญ กูมีรูปมาให้มึงดู” ไอ้แนนยื่นโทรศัพท์มือถือของผมมาให้ “กูใช้โทรศัพท์มือถือของมึงถ่าย แล้วก็เอารูปในโทรศัพท์ให้เขาดูด้วย”
ผมรับโทรศัพท์มือถือมาเปิดดู แล้วก็ได้เห็นจริงๆ คนชื่อขิมที่หน้าเหมือนผม
ขิมคนนี้มีใบหน้าเรียวกว่าใบหน้าของผม ผิวดูเนียนละเอียดกว่าเพราะคงถูกดูแลมาอย่างดี แต่ทั้งดวงตา จมูก ริมฝีปาก หรือแม้กระทั่งขนาดของใบหู พวกเราเหมือนกันจนไม่อาจพูดได้ว่าไม่ใช่ฝาแฝด
“เขาเหมือนมึงแม้กระทั่งตอนยิ้ม” ไอ้แนนมีสีหน้าที่บ่งบอกความเครียดถึงขีดสุด “แล้วเขาก็บอกกูว่าเขาอยากเจอมึง”
“มึงไปเจอที่ไหน” ผมถาม รู้สึกน้ำเสียงนี้ไม่ใช่น้ำเสียงของตัวเอง ราวกับว่าผมได้ยืมเสียงของคนในรูปมาใช้
“ซุ้มวิน เขามาที่ซุ้ม มาถามถึงมึง เขาตั้งใจมาหามึงไอ้ขวัญ”
ผมรู้สึกยังไง ตอนนี้ก็บอกไม่ถูก “ถ้ากูมีฝาแฝด แล้วทำไมน้าลีถึงไม่บอกกูล่ะไอ้แนน”
คำถามของผมมีแต่ความเงียบเท่านั้นที่เป็นคำตอบ เพราะไอ้แนนก็คงไม่รู้ คนที่รู้ดีที่สุดก็คงจะเป็นน้าลีที่ไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว ผมมีฝาแฝด ความจริงบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือคงบิดเบือนไปจากนี้ไม่ได้ แล้วความจริงที่ผมคิดมาตลอดตั้งแต่เล็กจนโต ความจริงที่ว่านอกจากน้าลีแล้วผมก็ไม่มีสายสัมพันธ์อื่นใดบนโลกนี้อีก แม้กระทัั่งญาติพี่น้อง ก็ไม่มีเลยสักคน มันออกจะยอมรับได้ยากที่จู่ๆ ก็ต้องมารับรู้ว่ามีใครอีกคนที่หน้าเหมือนผม เติบโตและใช้ชีวิตมาโดยที่ต่างฝ่ายก็ต่างไม่ได้พบเจอ แต่มีอะไรบางอย่างในใจของผมที่มันผุดขึ้นมา สายสัมพันธ์บางอย่างที่แค่เห็นหน้าก็รู้สึกว่า ดีจังนะ ดีจังที่ในที่สุดก็ได้เจอ
“เฮ้อ ชีวิตกูช่วงนี้มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นวะ” ผมพ่นลมหายใจออกมา “ตอนแรกก็คุณธนิกที่กูแอบมองมานานมาขอคบ ตอนนี้ก็เรื่องที่ตัวเองมีฝาแฝด”
“ปีชงแน่ๆ มึงอะ” ไอ้แนนคลายสีหน้า “กูกังวลว่ามึงจะโวยวายแล้วสติแตกไปรึเปล่า แต่เห็นมึงยังโอเค กูก็โล่งอก”
“ไม่โอเคว่ะ แต่ก็บอกไม่ถูก แล้วเขานัดเจอกูรึเปล่า”
“เขาบอกกูว่าเขาจะรอที่ร้านกาแฟ เขาแอดไลน์มึงแล้วส่งโลเกชั่นไว้ให้แล้วด้วย” ไอ้แนนบอก ผมจึงรีบเปิดไลน์ดูทันที จากนั้นก็เห็นว่ามีห้องแชทใหม่ที่อยู่บนสุดของลิสท์รายการ ดิสเพลย์เนมที่มีชื่อว่า เขมินทรา พร้อมกับรูปโปรไฟล์ทำให้ผมแน่ใจว่าเรื่องที่ไอ้แนนพูดมานั้นไม่ใช่เรื่องแต่งที่มันเอามาอำเล่น ตอกย้ำความจริงว่าผมไม่ได้ตัวคนเดียวบนโลกนี้อีกต่อไป
“ไอ้แนน มึงว่าน้าลีจะใช่น้าแท้ๆ ของกูรึเปล่าวะ” ผมมีเรื่องสงสัยเป็นร้อยๆ เรื่อง แต่คนให้คำตอบนั้นไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว ที่ทำได้ตอนนี้ก็มีแต่ต้องขอความเห็นจากไอ้แนนเพื่อนซี้เพียงคนเดียวเท่านั้น
“จะใช่หรือไม่ใช่ แต่เขาก็เลี้ยงมึงมาด้วยความรัก ไม่เห็นต้องไปคิดมากเรื่องนี้เลย”
เหมือนความอึมครึมในใจสลายหายไปในทันที ใช่...ใช่แล้ว ต่อให้จะใช่หรือไม่ใช่ แต่เรื่องที่น้าลีรักผมก็ไม่ใช่เรื่องโกหก ใครจะยอมลำบากเลี้ยงเด็กอย่างผมให้เติบใหญ่ เพราะบางครั้งผมก็คิดว่าถ้าน้าลีไม่ต้องเลี้ยงดูผม น้าคงมีชีวิตที่สุขสบายมากกว่าที่เป็นอยู่
“จริงด้วยว่ะมึง ขอบใจที่เตือนสติกูนะ”
“เออ ไม่เป็นไร พรุ่งนี้มึงก็ไปเจอเขาละกัน หรือถ้ายังไม่พร้อมก็ไลน์ไปบอกเขา”
“ไม่ๆ กูพร้อม ถึงจะไม่รู้จะทำหน้ายังไง จะพูดอะไรดี แล้วก็หลายๆ อย่างนะ แต่กูก็อยากไปเจอ”
“สู้เว้ย พรุ่งนี้กูจะไปส่ง”
“ขอบใจจริงๆ ว่ะ”
“เออน่า เพื่อนกัน แล้วมึงน่ะ ถ้ารู้ว่าตัวเองเป็นลูกคนรวย ก็อย่าถีบหัวส่งกูนะเว้ย”
ผมหัวเราะ ที่ไอ้แนนทำหน้าเครียดมันคงจะเครียดเรื่องนี้ด้วยแน่ๆ “กูจะทำอย่างนั้นได้ไงวะ ไม่ว่าจะมีอะไรเปลี่ยน แต่ระหว่างกูกับมึงก็ยังเหมือนเดิมเว้ย กูทิ้งทุกคนบนโลกนี้ได้ แต่ยกเว้นมึง น้าลี แล้วก็ไอ้หลง”
“ให้มันจริง ถ้ามึงพูดแบบนี้ แสดงว่ามึงทิ้งคุณธนิกได้ใช่มั้ย”
ผมครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้า “ใช่ กูทิ้งได้ ตอนนี้กูเหมือนเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงชอบกู มึงรู้มั้ยไอ้แนนว่าชื่อที่เขาเรียกนั่นคือชื่อของขิม”
“เรื่องจริงเหรอวะ” ไอ้แนนถามอย่างไม่อยากเชื่อ “ไม่จริงน่า งั้นแสดงว่าคุณธนิกกับคุณขิม เขาเคยเป็นอะไรๆ กันมาก่อนเหรอ”
“กูก็ไม่รู้ แต่คิดว่าใช่ ถ้าขิมหน้าเหมือนกูขนาดนี้ ก็ไม่แปลกหรอกที่คนระดับคุณธนิกจะลดตัวลงมาหากู”
ไอ้แนนมองหน้าผม ส่วนผมก็มองหน้ามันกลับ “อย่าพูดหน้าตาเฉย ทั้งๆ ที่กูรู้ว่ามึงอยากร้องไห้”
“ไม่มีเรื่องโรแมนติกอะไรแบบนั้นอยู่จริงๆ ว่ะ มึงพูดถูกทุกอย่างนั่นแหละ มาหลอกกูให้ตายใจ”
“หลอกเก่งด้วย มึงถึงขั้นเสียตัวให้แล้ว”
ผมพยักหน้า เทเหล้าใส่แก้วให้ตัวเองแล้วยกดื่ม ทำครั้งแล้วครั้งเล่าจนไอ้แนนต้องห้ามเอาไว้
“เปลืองเหล้าไอ้ห่า ซื้อมากินสองคน ไม่ใช่ให้มึงกินคนเดียว”
“ไอ้ขี้งก เห็นกูเป็นอย่างนี้แล้วยังจะมาหวงของ”
“ก็มึงเสือกโง่ให้เขาแดกเองทำไมวะ กูก็เตือนแล้วเตือนอีก ยังจะแสล๋นหน้าเสนอตัวไปให้เขาเอา”
ไอ้แนนพูดมาขนาดนี้ก็ไม่ถูก “กูขัดขืนนะเว้ย กูร้องจะกลับบ้าน แต่เมื่อคืนกูไม่มีแรงเลย คนหนุ่มสุขภาพดีอย่างกูก็เลยโดนกินง่ายๆ”
“เดี๋ยวนะ คนที่ปล้ำไอ้หลงให้อาบน้ำได้อย่างมึงนี่นะจะไม่มีแรง หมามึงนี่แรงไม่ใช่น้อยๆ กูว่าถ้ามันสู้ขึ้นมา คุณธนิกก็แรงน้อยกว่ามันเลย” ไอ้แนนเริ่มทำหน้าคิดวิเคราะห์แยกแยะแล้ว ส่วนผมสนใจก็แต่ขวดเหล้าตรงหน้า คืนนี้ผมจะกินให้เมาไปเลย เอาให้ลืมผู้ชายปากหวานหลอกล่อเก่งอย่างคุณธนิก!
“ไอ้ขวัญ มึงไม่ได้โดนมอมยาใช่มั้ย”
“ห้ะ! มอมยา ไม่นะ กูก็นั่งอยู่ข้างเขาตลอด ไม่ได้ลุกไปเข้าห้องน้ำ กูเคยเห็นในละครนะมึง แบบลุกไปเข้าห้องน้ำก็จะโดนใส่ยาในแก้วน่ะ แล้วคุณธนิกก็ไม่ได้ใส่อะไรลงไปด้วย แค่ยกแก้วมาจ่อปากกู แล้วบังคับให้ดื่ม”
จำได้อยู่เลย ตอนนั้นเขาบังคับด้วยเสียงนุ่มๆ แก้วก็ยกขึ้นจ่อปาก ป้อนให้อย่างเอาใจ แล้วผมตอนนั้นก็โอนอ่อนตาม ที่จริงไม่ว่าจะเมื่อไหร่ เจอคำหวานกับการกระทำดีๆ ของเขาเข้าไป ผมก็ใจอ่อน ไปไม่เป็นแล้ว
“เหรอวะ งั้นมีอะไรที่แปลกๆ มั้ย ถ้ามึงยืนยันว่ามึงขัดขืน มันก็ต้องมีอะไรที่แปลกๆ บ้างสิ ไม่งั้นมึงคงไม่โดนกินง่ายๆ หรอก”
ผมคิด ลำดับภาพเหตุการณ์หวานๆ ระหว่างผมกับคุณธนิกในความทรงจำ ก่อนจะจำได้ว่ามีช่วงจังหวะหนึ่งที่ผ้าเช็ดหน้ากลิ่นฉุนของเขามาโดนจมูก “ผ้าเช็ดหน้าของเขา เขาเอามาปิดปาก ปิดจมูกกู ตอนกูกำลังจะพูด กลิ่นมันฉุนมากเลยมึง”
“นั่นแหละๆ” ไอ้แนนทำหน้าราวกับโคนันเพิ่งไขคดีได้ “ต้องเป็นไอ้ผ้าเช็ดหน้านั้นแน่ๆ”
“เขาร้ายเนอะ”
“ไม่เรียกร้าย เรียกชั่วต่างหาก มึงแจ้งความจับฐานล่อลวงได้เลยนะ ล่วงละเมิดทางเพศด้วย”
ผมส่ายหน้า “ไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่ กูก็เสียให้เขาไปแล้ว ไม่ท้องด้วย ให้มันจบๆ ไปดีกว่า อีกอย่างนะแจ้งจับไปก็ทำอะไรคนรวยๆ อย่างเขาไม่ได้หรอก แล้วเมื่อคืนกูค่อนข้างเต็มใจด้วยนะ หลังจากขัดขืนนิดหน่อยๆ พอต่อกันอีกหลายยก กูก็ขึ้นให้เขาเอง”
“มึงมันหน้าไม่อาย” ไอ้แนนหน้าแดงเล็กน้อย “เป็นควายดีๆ ไม่ชอบ ชอบเป็นแรด”
ผมหัวเราะกับคำสรรเสริญของไอ้แนน “แต่คุ้มนะมึง เสียซิงให้คนที่ชอบ แล้วกูไม่อยากคุย คุณธนิกหุ่นโคตรดี เขาสักรูปงูที่ท้องด้วย เท่ฉิบหาย”
ไอ้แนนเบ้ปาก ทำหน้ารับไม่ได้ “ในสายตามึงนี่จะมีอะไรมาสั่นคลอนคุณธนิกได้บ้างมั้ย”
“มีสิ อย่างน้อยตอนนี้กูก็ไม่คิดจะเอาหัวใจไปให้เขากระทืบทิ้งแล้ว” ผมคงแสดงความเสียใจออกทางสีหน้าจนไอ้แนนต้องยื่นมือที่มันเคยใช้ลูบหัวไอ้หลงแล้วยังไม่ได้ล้างมาผลักหัวผมสองสามที
“ตัดใจมันไม่ง่าย แต่มึงทำได้แน่ไอ้ขวัญ”
“อืม ครั้งนี้กูจะทำให้ได้จริงๆ กูสาบานกับมึง สาบานต่อหน้ารูปของน้าลีเลย”
“กูจะเป็นกำลังใจให้ เอ้า ดื่ม!”
เรื่องราวของผมกับคุณธนิก เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและจบลงอย่างรวดเร็ว เป็นช่วงเวลาที่เหมือนไม่จริง แต่ผมมีความสุข หนึ่งคืนในอ้อมกอดของเขาก็สุขล้ำ ทว่าหากปล่อยให้มันดำเนินต่อไปอย่างนี้ ผมคงมีชีวิตอยู่อย่างทุกข์ใจ
คุณธนิกครับ ต่อให้ผมอยากจะเชื่อว่าคุณธนิกชอบผมมากจริงๆ แต่ตัวตนของขิมที่เป็นจริงอยู่นี้ก็ทำให้ความเชื่อของผมลดลงจนแทบไม่เหลือ ถ้าขิมคนนี้ไม่ใช่คนที่มีหน้าตาเหมือนผม ผมก็อาจจะยังพอเชื่อได้อยู่บ้างว่าเขาเป็นอดีต แต่เพราะความเหมือนที่แทบไม่มีความต่างนี้ มันทำให้เหตุผลที่คุณธนิกไม่ได้มองผมเพราะผมเป็นผมเด่นชัดขึ้นมา
หอคอยงาช้างของคุณธนิก ผมคงไม่คิดอยากปีนขึ้นไปอีกแล้ว ผมคงต้องขอมองจากบนพื้นดินตรงนี้ดีกว่า
“มึงเชื่อมั้ยไอ้แนน ต่อให้จะรู้จนแทบหาข้ออ้างมาอ้างต่อไม่ได้ แต่กูก็ยังชอบเขาอยู่ดี”
“กูเชื่อ เดี๋ยวมันจะดีขึ้นเองน่า ร้องออกมาเถอะ รักครั้งแรกมันก็เจ็บแบบนี้แหละเว้ย”
นิ้วมือสากๆ ของไอ้แนนกำลังพยายามต่อสู้กับน้ำตาของผม มันปัด มันเช็ด แต่เมื่อเห็นแล้วว่าไม่มีประโยชน์มันจึงลุกขึ้นแล้วเดินมานั่งลงเคียงข้างผม ก่อนท่อนแขนแข็งๆ ของมันจะรั้งให้ผมเข้าไปอยู่ในอ้อมแขน
“กูบอกแล้วนะว่ากูปลอบไม่เก่ง แต่มึงก็ยังขยันหาเรื่องให้กูต้องทำแบบนี้อยู่เรื่อย”
ไอ้แนนบ่น แต่ผมรู้ว่ามันบ่นไปอย่างนั้น ไอ้แนนพูดไม่ผิด มันปลอบไม่เก่ง ไม่มีความโรแมนติกเหมือนอย่างคุณธนิก ใช้คำพูดหวานๆ ก็ไม่เป็น แต่บนโลกใบนี้ ผ้าเช็ดหน้าที่ดีที่สุดของผม ก็คือไอ้เพื่อนรักเพื่อนตายอย่างมัน
ขอบใจที่คอยอยู่เคียงข้างกู.................................
ขวัญพัฒน์: ผมมาถึงแล้วครับ
เขมินทรา: ผมรอที่โต๊ะตัวในสุด เดินตรงเข้ามาแล้วเลี้ยวซ้ายนะ
ผมรู้สึกหัวใจเต้นแรง เดินเข้าร้านกาแฟด้วยขาสั่นๆ ไอ้แนนมาส่งผมแล้วก็กลับไปทำงาน ปล่อยให้ผมเผชิญกับชะตากรรมประหลาดนี้เพียงลำพัง แต่ผมจะรบกวนมันมากไม่ได้ เมื่อคืนก็รบกวนไปนอนที่บ้านของมัน ฝนแฟนของมันก็ไม่บ่นอะไรเลย ทั้งๆ ที่ปกติจะขี้บ่นแท้ๆ คงเป็นเพราะเห็นผมตาบวมปูดจากการร้องไห้ เธอก็เลยปูที่นอนให้นอนหน้าทีวีอย่างที่ไม่ถามอะไรสักคำ แต่คงไปถามกับไอ้แนนทีหลัง
ร้านกาแฟที่นัดหมายกับเขมินทรานั้นเป็นร้านกาแฟชั้นดีที่ตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้า ราคาต่อแก้วไม่ต้องพูดถึง คงบวกนั่นบวกนี่จนมีราคาเกินร้อย บรรยากาศในร้านก็ดูต่างจากร้านกาแฟทั่วไป ทั้งชุดฟอร์มพนักงาน ทั้งลูกค้าที่จับจองโต๊ะเพื่อนั่งดื่มกาแฟและทำงาน แต่ละคนใช้แต่ของแพงๆ คงมีแต่ผมที่เป็นสิ่งแปลกปลอมของที่นี่ ผมรีบเดินตรงเข้าไปด้านในสุด ได้ยินพนักงานกล่าวต้อนรับด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรอย่างแข็งขัน แต่ผมก็เดินเร็วๆ ผ่าน ยิ้มแหยแล้วไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ผมเลี้ยวซ้ายไปตามทาง แล้วจากนั้นก็เจอ...
ผมชะงักเท้าเล็กน้อย มองคนที่กำลังเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์มือถือ เขากำลังมองตรงมาที่ผมเช่นที่ผมมองเขา เป็นนานกว่าผมจะรู้สึกตัวว่าต้องเดิน เราสองคนเหมือนกันราวกับภาพสะท้อน คงมีแต่เพียงทรงผม สีผม และการแต่งตัวเท่านั้นที่แยกเราออกในตอนนี้ อ้อ...ขนาดรูปร่างด้วย ผมอ้วนกว่านิดหน่อย แต่เขมินทรานั้นผอมบางกว่า
“เอ่อ...สวัสดีครับ” ผมเริ่มประโยคทักทาย ในขณะที่เขายิ้มตอบกลับมา
“มีอยู่จริงๆ ด้วยสินะ” แค่น้ำเสียง ผมก็ยังรู้สึกได้เลยว่าเราใช้โทนเสียงเดียวกัน หรืออาจจะมีความต่างอยู่นิดหน่อย เพราะเอาเข้าจริงแล้วผมก็ไม่รู้ว่าน้ำเสียงของตัวเองเป็นแบบไหน ผมว่าต่อจากนี้ผมจะอัดเสียงตัวเองแล้วเปิดฟังดูว่าคล้ายจริงๆ ไหม “มีอยู่จริงๆ คนที่เหมือนกันกับผม”
ผมไม่รู้จะตอบยังไงก็เลยนั่งลงบนเก้าอี้ตัวตรงข้าม มองสำรวจเขมินทราเงียบๆ เขาแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่ดูก็รู้แล้วว่ามีราคาที่มอเตอร์ไซค์รับจ้างอย่างผมซื้อไม่ได้ ที่นิ้วของเขาสวมแหวนที่ไม่มีลวดลายข้างเดียวกับนาฬิกาแบรนด์ดัง นอกจากนั้นแล้วก็ไม่มีเครื่องประดับอย่างอื่นเลย
“เรา...เป็นฝาแฝดกันใช่มั้ย” เขมินทราตั้งคำถาม
“จากที่เห็นก็น่าจะใช่” ผมตอบ บอกไม่ถูกเหมือนกัน ตอนนี้เหมือนกำลังคุยกับตัวเองในกระจก แม้ว่าผมจะพูดกับตัวเองในกระจกบ่อยๆ ว่าหน้าตาดีอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เจ้ากระจกก็ไม่เคยตอบกลับมาเลย
“ผมไม่รู้มาก่อน จนเมื่อไม่นานมานี้” เขมินทรามีรอยยิ้มเศร้า แต่เราสองคนก็คงไม่ต่างกัน “ผมว่าพ่อแม่บุญธรรมของผมก็คงไม่รู้”
“อยู่กับพ่อแม่บุญธรรมเหรอ ผมนึกว่าอยู่กับ เอ่อ...”
เขมินทราหัวเราะ “ผมก็คิดไม่ต่างจากขวัญนะ ผมก็คิดว่าขวัญอยู่กับพ่อแม่ของพวกเรา”
ชั่ววินาทีที่ผมนึกอิจฉาที่เขมินทราอาจจะได้อยู่กับพ่อแม่ที่แท้จริงของพวกเรา แต่ในทางกลับกันเขมินทราก็กำลังนึกอิจฉาผม นั่นเพราะพวกเราต่างก็ไม่รู้เรื่องของกันและกันเลย
“ผมอยู่กับน้าลี น้าลีบอกว่าเป็นน้องสาวของแม่” ข้อมูลเดียวที่ผมมีเกี่ยวกับครอบครัวถูกถ่ายทอดออกไป เห็นเขมินทราเลิกคิ้วน้อยๆ คงสงสัยไม่ต่างจากผม
“พ่อบุญธรรมก็บอกผมเหมือนกันว่าเขาเป็นเพื่อนของพ่อแท้ๆ”
“พวกเราถูกทิ้งสินะ”
เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่ามีคนมาช่วยแบ่งเบาความรู้สึกทุกข์ใจ แค่เพียงเขมินทรายิ้ม ผมก็รู้สึกได้ว่าตัวผมกำลังยิ้มอยู่ด้วย
“แล้วขิมตามผมเจอได้ยังไง”
“พี่ธนิก” หัวใจของผมรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมา เพราะแบบนั้น คุณธนิกถึงชอบให้ผมเรียกว่าพี่ เพราะเขมินทราเรียกเขาอย่างนั้น “ผมตามพี่ธนิกจนเจอขวัญ เพราะผมคิดว่าเขาจะต้องหาขวัญเจอ”
“ทำไม...”
“เรื่องมันค่อนข้างจะวุ่นวายนิดหน่อย ขวัญสั่งอะไรก่อนมั้ย เราคงคุยกันยาว”
“ไม่ล่ะ มีแต่ของแพงๆ ผมไม่มีเงินจ่าย”
“ผมเลี้ยง”
ผมเริ่มเห็นแล้วว่าเราต่างกันยังไง ต่อให้รูปร่างหน้าตาเหมือนกัน แต่ชีวิตความเป็นอยู่ของเรานั้นต่างกันราวฟ้ากับเหว เขมินทราอยู่ในชุดที่มองดูดีๆ แล้วคือชุดนักศึกษาที่ตัดจากผ้าเนื้อดี ในขณะที่ผมอยู่ในชุดเสื้อยืดสีซีดกับกางเกงยีนตัวเก่าเข้าชุดกับรองเท้าแตะราคาไม่ถึงร้อย
เขมินทราสั่งเครื่องดื่มให้ผม เขาอ่านภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่วจนผมรู้สึกใจแป้วเล็กน้อย
“เอาล่ะทีนี้ ผมถามก่อนว่า ขวัญคบกับพี่ธนิกแล้วหรือยัง”
แค่คำถามแรกก็เล่นเอาสะอึก ผมพยักหน้า ก่อนจะรีบพูด “แต่ผมตั้งใจจะเลิกกับคุณธนิกแล้ว เขาเป็นคนรักของขิมใช่มั้ยล่ะ”
“ก็ตอบได้ทั้งใช่และไม่ใช่ เมื่อก่อนก็เหมือนจะเคยรู้สึกแบบนั้นต่อกันอยู่นะ แต่หลังจากที่แม่ของเขาทำรอยนี้ไว้ เราก็ไม่ได้อยู่ในชีวิตของกันแล้ว” เขมินทรายื่นรอยที่ข้อมือให้ผมดู มันเป็นรอยกรีดราวกับถูกของมีคมกรีดลงไปอย่างแรง
“แม่ของคุณธนิกเหรอ...”
“ใช่” เขมินทราตอบ แล้วไม่อธิบายอะไรไปมากกว่านั้น
“แล้ว...”
“แต่ดีแล้วล่ะ ขวัญอย่าไปรู้สึกอะไรกับเขามากเลย เพราะเขามันเป็นจอมโกหก”
แววตาของเขมินทรานั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายยามที่พูดถึงคุณธนิก ทั้งรักทั้งแค้นก็น่าจะพูดแบบนั้นได้
“คุณธนิกยังรักขิมอยู่นะ ผมดูออก” แค่เพียงชั่วครู่ที่ผมเห็นความหวั่นไหวในแววตาของคนตรงหน้า แต่ไม่นานก็เลือนหายไป “ขิมเลิกกับคุณธนิกเพราะแม่เขาทำร้ายขิมเหรอ”
“ผมไม่ค่อยอยากจำเรื่องนั้น แต่ส่วนหนึ่งก็ใช่”
“แค่ส่วนหนึ่งเหรอ”
“ก็ยังมีอีกหลายอย่างล่ะนะ พี่ธนิกก็มีส่วนนั่นแหละ ผมบอกแล้วไงว่าเขาไม่เคยพูดความจริง เขาแสดงเก่งจนไม่มีใครดูออกเลยว่าเขากำลังโกหก แม้ผมจะเคยอยู่กับเขาหลายปี แต่ผมก็ไม่รู้ตัวตนของเขาเลย”
นั่นสินะ แล้วนับประสาอะไรกับคนอย่างผมที่เพิ่งได้ทำความรู้จักกันล่ะ
“แล้วขิมอยากเจอผมเพราะอะไรเหรอ หรือแค่อยากจะมาพูดเรื่องของคุณธนิก”
เขมินทรายิ้ม “ไม่ใช่แค่นั้นหรอก ผมอยากเจอขวัญมานาน รู้มั้ยว่าผมเอาแต่คิดถึงคนอีกคนที่เหมือนกันกับผม คนที่ผมรักและก็เป็นห่วงโดยไม่เคยแม้จะได้พูดคุยกัน แต่ผมกลัวว่าคนอื่นจะตามขวัญเจอ ผมก็เลยไม่คิดจะมา แต่ตอนนี้พวกเขาเจอขวัญแล้ว เพราะถ้าพี่ธนิกรู้ พวกนั้นก็ต้องรู้”
[ต่อด้านล่าง]