Fallen and Destined 11
ฝ่ายขอบฟ้าพอนั่งว่างๆ รอฤกษ์ระเบิดศึกยกสองจึงค่อยมีเวลามานั่งสับสนตีกับความคิดฟุ้งซ่านในหัว ทำไมกรถึงชอบทำอาการที่คนทั่วๆ ไปคงเรียกว่า หวง กับเขานัก ในเมื่อก็ไม่ได้ต้องการตัวเขาจริงๆ สักหน่อย
ใช่แล้ว เพราะตั้งแต่ย้ายเข้าไปอยู่คอนโดหรู กรก็ไม่เคยบังคับให้เขาเป็นคู่นอนอีกเลย
แปลกไหม ตอบได้เลยว่าแปลกมาก ถ้าไม่นับจูบโชว์ชาวบ้านเมื่อครู่ นับแต่เซ็กส์แบบยัดเยียดทั้งสองครั้ง กรก็ไม่แตะต้องเขาในทำนองนั้นอีก
โอเค เขารู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนมีเสน่ห์ล้นเหลือ ใครเห็นเป็นต้องน้ำลายหก กระโจนเข้าใส่ทุกครั้ง แต่...กรต้องการอะไรจากเขากันแน่ อยากให้เขามาเป็นคนทำอาหารให้งั้นเหรอ ฝีมือทำครัวเขาก็ยังไม่ได้เรื่องคงเส้นคงวา ส่วนใหญ่กรจะซื้อกลับมา ไม่อย่างนั้นก็เข้าครัวทำเอง ซึ่งขอบอกว่าอร่อยมากๆ
จะให้เป็นความสะอาดบ้านงั้นเหรอ เขาเคยถามหาไม้กวาดกับไม้ถูพื้นกลับโดนย้อนถามว่าเอาไปทำไม พอฟังคำตอบ กรกลับบอกว่าจ้างแม่บ้านมาทำทุกอาทิตย์อยู่แล้ว อย่ายุ่งไม่เข้าเรื่อง สุดท้ายเลยได้แต่เช็ดถูก๊อกๆ แก๊กๆ ไปตามมีตามเกิด
ครั้นหวังดีจะซักผ้าให้ ที่ห้องก็ดันไม่มีกาละมังสักใบ ครั้นหวังดีหอบหิ้วไป พอเห็นเข้า กรกลับทำท่าเหมือนอยากทุ่มกาละมังใส่หัวเขาพร้อมออกคำสั่งว่าห้ามซักผ้าในห้องเด็ดขาด นอกจากชั้นในและกรณีจำเป็นจริงๆ พอเขาถามเหตุผล ชายหนุ่มก็บอกว่าไม่มีที่ตาก ตรงระเบียงเป็นที่สำหรับนอนจิบเบียร์ ห้ามตากผ้า เสื้อทั้งหมดต้องส่งซักเท่านั้น จบ
ถ้าไม่นับการกอดบ้าง โอบบ้างตอนนอนร่วมเตียง แล้วเขาก็ไม่มีประโยชน์สักนิด กรจะตระหนักถึงความไร้ประโยชน์ของเขาได้เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
คิดว้าวุ่นฟุ้งซ่านจนกระทั่งเสียงเครื่องยนต์กระหึ่มจากรถแต่งโหลดเตี้ยเสียแทบติดพื้นถนนมาหยุดใกล้ๆ ยิ่งปลายฝนมองหน้าคนที่ลงจากรถแล้วตกใจ ขอบฟ้าก็รู้ว่าถึงเวลาที่รอคอย
ได้เวลาปาร์ตี้แล้วครับทุกคน
“เพิ่งมาถึงจ้ะ หน่าลงมาได้เลย” จากเท่าที่เขาสังเกตเห็น เด็กหนุ่มคนพูดย้อมผมแดงทำทรงหนามแหลมๆ เจาะหูจนพรุนไปหมด ตัวไม่สูงมากแต่หนาเหมือนนักกีฬา พิจารณาเสร็จก็หันกลับมามองกรที่ยังพิงรถสูบบุหรี่ท่าทางไม่สนโลกแล้วได้แต่ถอนหายใจเฮือก
ไม่ถึงนาที สาวน้อยในชุดเสื้อสายเดี่ยวกับกระโปรงสั้นเสียจนน่าหวาดเสียวก็ก้าวฉับๆ ออกมา น้อยหน่าชะงักนิดหนึ่งที่เห็นพวกเขายังอยู่ที่นี่ แต่วินาทีต่อมาก็เริ่มยิ้มเดินเข้าไปเกาะแขนเพื่อนชายพร้อมกระซิบกระซาบบางอย่าง
ถึงเขาจะค่อนข้างแน่ใจว่ากรโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว และต่อให้ต้องมีเรื่องวิวาท ชายหนุ่มก็คงเอาตัวรอดได้ แต่ถ้าเป็นไปได้ เขาก็อยากให้เรื่องจบลงด้วยดีมากกว่าจึงพยายามเรียกเป็นครั้งสุดท้าย
“พี่กร เราไปกันเถอะ”
คำตอบของกรคือยกมือกอดอก มองท่าเดินอาดๆ เข้ามาหาของอีกฝ่ายด้วยสีหน้าคล้ายเบื่อหน่าย
“หน่าบอกว่ามึงคอยดักรออยู่ ทำไมวะ ผู้หญิงไม่เล่นด้วยแล้วตื๊อไม่เลิกหรือไง”
คาดว่าอีกฝ่ายคงสังเกตแล้วว่ากรก็ตัวสูงใหญ่ไม่ใช่น้อยจึงไม่ได้เอะอะก็ปรี่เข้ามาหาเรื่องอย่างที่นึกกลัว ขอบฟ้าเริ่มใจชื้น อีหรอบนี้ถ้าแค่อธิบายดีๆ ก็คงต่างคนต่างไปได้ไม่ยาก
ทว่าผู้ชายที่ชื่อกรไม่เคยชอบเรื่องง่ายๆ เลยสักครั้งนี่สิ เพราะเจ้าตัวดีดบุหรี่ทิ้ง กล่าวกลั้วหัวเราะ
“ก็แค่อยากเห็นแฟนหน้าจืดชืดจนน้องหน่าบ่นว่าเบื่อแค่นั้นเอง”
ขอบฟ้ายกมือกุมขมับในขณะที่ปลายฝนอ้าปากค้างเหมือนคนเพิ่งรู้อิทธิฤทธิ์ของพ่อเจ้าประคุณ
“ว่าไงนะ” นายหัวแดงเริ่มตะโกน “กูไม่เชื่อหรอกว่าหน่าจะพูดแบบนั้น!”
“แล้วกัน งั้นลองถามเจ้าตัวดูเองสิ ไม่งั้นก็ถามน้องฝนก็ได้ว่าเมื่อกี๊เราได้ยินกันเต็มสองรูหู แต่ดูไป นายก็ไม่เห็นจะหน้าจืด คงหมายถึงแฟนรายอื่นมั้ง” เหลียวมาส่งยิ้มหวานให้ปลายฝน “น้องฝนว่างั้นไหมจ๊ะ”
เขาสะดุ้งเฮือก มันเรื่องอะไรกรถึงจะลากน้องสาวเขาไปเกี่ยวด้วย อารามร้อนใจจึงประท้วงเสียงลั่น “น้องเขาพูดถึงผมต่างหาก อย่าไปซี้ซั้วว่าคนอื่น เพราะต่อให้หมายถึงแฟนน้องหน่าหน้าจืดคนนี้ เราจะไปพูดถึงก็ไม่สมควร...”
ทั้งที่พยายามดับไฟ หากดูเหมือนสิ่งที่เขาสาดลงไปจะเป็นน้ำมันยังไงไม่รู้ ขณะที่คิดหาคำพูดเหมาะสมไม่ออก ฝ่ายตรงข้ามก็เดินอาดๆ เบนเป้ามาหาเขาแทน
“นี่มึงกล้าด่ากูเหรอ! หา มึงสิไอ้หน้าจืด...”
กำปั้นไม่มีรูซัดเข้าครึ่งปากครึ่งจมูกคนพูดแทบจะทันที กรหมุนข้อมือเหมือนคนร้างเวทีไปนาน
“พวกกูใช่เพื่อนเล่นมึงเหรอ อย่ามาซี้ซั้วเรียก”
เอ่อ ตัวคนพูดนั่นล่ะที่ชอบเรียกเขาแบบนั้น เรียกบ่อยด้วย
“มึง...!” ฝ่ายโดนชกเช็ดเลือดกำเดาที่ไหลเปรอะเปื้อนแล้วชี้หน้า ฝ่ายกรซึ่งทำท่าจะเดินเข้าไปหาอีกรอบก็โดนขอบฟ้ากับปลายฝนกระโจนคว้าแขนไว้คนละข้าง
“พี่กร พอได้แล้ว ผมไหว้ล่ะ” หมด หมดกัน ไอ้ที่คิดๆ ว่าโตๆ กันแล้วนี่มันคนละส่วนใช่ไหม ต่อมวิวาทและหาเรื่องยังทำงานคล่องเหมือนเดิมเปี๊ยบ
โชคดีที่คู่กรณีหันไปให้ความสนใจกับทางอื่นแทน น้องน้อยหน่าที่ยืนหน้าซีดร้องอุทานด้วยความเจ็บเมื่อโดนฝ่ายชายคว้าแขนลากไปพร้อมเสียงคำราม “ไปคุยกันให้รู้เรื่อง!”
“เดี๋ยว” ขอบฟ้ารีบปล่อยแขน ตั้งท่าจะวิ่งตามทั้งคู่ไปแต่กลับโดนมือแข็งคว้าไว้แน่น “ปล่อยก่อน พี่กร”
“ไม่ปล่อย” นอกจากไม่ปล่อย ยังลากเขากลับไปยัดใส่ที่เดิม “ไปกันได้แล้ว”
“ไม่ไป” พยายามดันประตูเปิด แต่ร่างสูงด้านนอกยันไว้ ตีหน้ายักษ์ใส่ ชะงักนิดหนึ่งแต่ย้ำหนักแน่น เราต้องไม่กลัวๆ “พูดให้คนเข้าใจผิดกันแบบนั้นแล้วถ้าเกิดเขาทะเลาะลงไม้ลงมือกันจะทำยังไง”
“ช่างหัวมันสิ เสือกมาแตะของของกูดีนัก” เจ้าผู้ชายหัวใจฆาตกรพูดหน้าตาเฉย “แค่สั่งสอนเด็กนิดหน่อย จะโวยวายทำไมวะ”
หมด จบกันแล้วจริงๆ ตรรกะยังหลุดจากแกนโลกเหมือนเดิม อยากรู้ว่าใครเขาสอนกันด้วยกำปั้นแบบนี้บ้าง ถึงจะตูมเดียวก็เถอะ
แถมไอ้นิสัยหวงของเหมือนเด็กนี่อีก ต่อให้เจ้าตัวไม่ยอมแตะแล้วก็ตาม เขาเริ่มรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นเสื้อผ้าเก่าๆ ที่เจ้าของไม่คิดจะใส่อีกหากจะทิ้งก็ยังเสียดาย ยังไม่ทันที่จะหาคำพูดไปต่อได้ ปลายฝนก็แตะบ่าจากด้านหลัง
“อย่าไปยุ่งกับหน่าเลย พี่ฟ้า มันมีวิธีเอาตัวรอดอยู่แล้วล่ะ ห่วงแต่คนอื่น คิดหาทางรอดให้ตัวเองก่อนดีกว่าไหม”
...ยัยฝน ชักจะไม่น่ารักเท่าไหร่แล้วนะ พี่ชายเริ่มไม่ปลื้มอย่างแรง
++++++++++
กว่าพวกเขาจะจัดการขนย้ายสัมภาระทั้งหมดเข้าหอใหม่ได้ ท้องฟ้าก็เริ่มมืดเสียแล้ว
หอที่ปลายฝนย้ายเข้ามาอยู่ไกลจากมหาวิทยาลัยไม่มาก สภาพห้องพักค่อนข้างใหม่เลยทีเดียว โดยเฉพาะหนิง รูมเมทคนใหม่ของน้องสาวที่ขอบฟ้าให้คะแนนเต็มร้อยหลังจากเผชิญรูมเมทเก่าแบบน้องระเบิดน้อยหน่ามาแล้ว
ที่สำคัญ หอนี้มีสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างลิฟต์อีกด้วย ถึงจะมีแค่ตัวเดียวและเล็กเหมือนกล่องขนาดยืนสี่คนเต็มก็ตามที
“อืม ดีจัง สะดวกดีเนอะ มีลิฟต์ด้วย” ขอบฟ้าพยักเพยิดหน้าอย่างชอบใจ
“แคบ” ใครพูดคงไม่ต้องบอก มิหนำซ้ำยังปรายตามาทางเขา “เตี้ยก็เตี้ย แต่คงพอดีกับมึง”
“ผมไม่ได้เตี้ยนะ แต่พี่กรต่างหากที่สูงมากเกินไป” ตอบโดยมองอีกฝ่ายผ่านเงาสะท้อนบนบานประตูลิฟต์ตรงหน้า อืม เขาสูงกว่าปลายฝนราวช่วงศีรษะ แต่กรก็สูงกว่าเขาขึ้นไปอีกหนึ่งช่วงศีรษะ เหมือนหัวกรเกือบจะชนเพดานลิฟต์จริงๆ นั่นล่ะ
แต่ต่อให้คับแคบและเตี้ยแค่ไหน มันก็ช่วยให้พวกเขาสามารถขนย้ายข้าวของได้โดยไม่ลำบากมากนัก เพราะแค่เข้าช่วงพลบค่ำก็เสร็จเรียบร้อย
“หิวแล้ว” ชายหนุ่มที่เพิ่งยัดขนมปังหมดไปทั้งถุงร้านสะดวกซื้อเมื่อชั่วโมงที่แล้วประกาศหลังวางกล่องกระดาษใบสุดท้ายลงบนพื้นห้องได้ “ไปหาข้าวกินกัน”
ใจจริง เขาอยากอยู่ช่วยน้องสาวจัดโน่นจัดนี่ต่ออีกหน่อย แต่พอเห็นหน้ากรก็เปลี่ยนใจ “ก็ได้ งั้นเราไปหาอะไรกินกันก่อน ฝน น้องหนิงก็ไปด้วยกันนะ”
หนิง เด็กสาวที่ไม่ได้สวยจัด แต่น่ารักแบบใสๆ ตั้งท่าจะปฏิเสธ หากปลายฝนรีบขัด “ไปด้วยกันเถอะ หนิง อุตส่าห์มีเจ้ามือมาเลี้ยงถึงที่ทั้งที”
“แถวนี้มีอะไรกินบ้าง เอาที่ใกล้ๆ เร็วๆ” ร่างสูงพูดระหว่างที่ยกแขนเสื้อป้ายเหงื่อบนหน้าผาก “หิวแล้ว”
“ตรงหน้าปากซอยมีร้านหมูกะทะค่ะ ของสดใช้ได้ พวกนักศึกษากินกันเยอะ” เจ้าถิ่นเสนอซึ่งทุกคนก็เห็นด้วย
ทว่าเห็นสภาพเหงื่อโทรมของคนตรงหน้า ขอบฟ้าจึงเอ่ยแนะ “พี่กรไปล้างหน้าล้างตาหน่อยไหม หรือถ้าไงขอใช้ห้องน้ำอาบน้ำเลยดีกว่าจะได้สดชื่น...”
“ไม่เอา หิวแล้ว”
ขอบฟ้าส่ายหน้า อมยิ้มกับกรเวอร์ชั่นหิวแล้ว แต่ก็ยังเดินไปดันบ่าเข้าห้องน้ำเล็กๆ ตรงมุมห้อง “งั้นแค่ล้างหน้าก็ได้”
“มึงนี่จู้จี้ว่ะ” บ่นพึมแต่เจ้าตัวก็ยอมเดินเข้าห้องน้ำ ทิ้งให้ขอบฟ้าซึ่งยังยิ้มกับกิริยาแบบเด็กๆ หันมาเจอสองสาวกำลังยืนจ้องตาแป๋วอยู่
“หืม มีอะไรหรือเปล่า ฝน พี่ขอยืมผ้าเช็ดตัวผืนเล็กๆ ให้พี่กรหน่อย”
ปลายฝนคุ้ยได้ผ้าขนหนูผืนเล็กมาส่งให้พร้อมถอนหายใจเฮือกๆ โดยไม่ยอมอธิบายอะไรเพิ่มนอกจากหันไปหวีผม ประแป้งเตรียมออกไปหามื้อเย็นกิน
สิบนาทีต่อมา สี่ชีวิตก็มาถึงร้านหมูกะทะเป้าหมาย ลูกค้าดูเหมือนจะเป็นนักศึกษาวัยเรียนเป็นส่วนใหญ่ หลังได้โต๊ะบริเวณริมทางเดิน ร่างสูงก็เดินตรงดิ่งไปตักอาหารที่วางเรียงรายเป็นแถวทันที
สองสาวเลือกสั่งน้ำเปล่า ในขณะที่ขอบฟ้าสั่งน้ำอัดลมให้กรกับตัวเอง พอพนักงานเดินไป เขาก็หันไปบอก “ฝนกับหนิงไปตักเถอะ เดี๋ยวพี่เฝ้าของให้”
ไม่ถึงอึดใจ กรก็เดินถือจานใส่ของสดพูนจานกลับมา ขอบฟ้ามองภูเขาเนื้อสดแล้วรีบรับมาถือไว้
“พี่กรไปตักของกินเล่นมากินก่อนสิ เดี๋ยวผมย่างพวกนี้ให้” โบกมือสั่งแล้วเขาก็กุลีกุจอวางเนื้อลงบนกะทะ เนื้อชุดแรกยังไม่ทันสุก ชายหนุ่มก็กลับมาพร้อมข้าวผัดจานโต
“สุกหรือยัง” ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ได้ กรก็เอ่ยเร่ง ขอบฟ้านิ่งไปนิด รอฟังคำต่อไปอย่างค่อนข้างแน่ใจ “หิวแล้ว”
คราวนี้ เขาอดไม่ไหว ถึงกับขำพรืด เอ่ยกลั้วหัวเราะ “ครับๆ รอแป๊บนะ เดี๋ยวก็สุก กินได้แล้ว”
“หัวเราะอะไรวะ เมาโค้กหรือไง” คนชำเลืองมองขวางๆ เอาตะเกียบจิ้มหัวเขาอย่างไม่มีมารยาท แต่ขอบฟ้าก็ยังเอาแต่หัวเราะ ยิ่งเห็นเขายิ้มกว้างขึ้น กรยิ่งเพ่งสายตา ถามจริงจัง “เฮ้ย ถามจริง ขำอะไร”
“หืม ไม่มีอะไรหรอกครับ กินเถอะ ชิ้นนี้สุกแล้ว” คีบเนื้อชิ้นแรกประเดิมใส่จานอีกฝ่าย
“ไม่มีอะไรได้ไง ก็มึงขำกู” กรพลิกเนื้อบนกะทะ เลือกชิ้นที่สุกแล้วคีบใส่จานตัวเองอย่างคนเปี่ยมน้ำใจพลางกล่าวว่า “วันหลังกูจะได้พูดอีก เผื่อมึงจะหัวเราะอีกไง”
ขอบฟ้าชะงัก หันขวับไปมองฝ่ายที่กำลังจ้องหมูกะทะราวกับเป็นสิ่งที่น่าสนใจที่สุดในโลก ขณะที่เขาคิดจะเอ่ยปากพูดนั่นเอง สองสาวก็เดินกลับมาเสียก่อน เขาจึงหันไปง่วนกับการย่างเนื้อเหมือนเก่า
บอกไม่ถูกว่าเขามีความสุขหรือเปล่าและเขาทำผิดหรือไม่กับการยอมรับสภาพความสัมพันธ์เช่นนี้ แต่อย่างหนึ่งที่แน่ใจคือสิ่งที่คาดหวังมักมอบความผิดหวังให้กับเขามาตลอดชีวิต วินาทีนี้เขากับกรอาจนั่งหัวเราะด้วยกัน แต่ใครจะรู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น วันนี้มันอาจเป็นความรู้สึกดีๆ แล้วพรุ่งนี้กรจะรักเขาบ้างหรือยัง
บางครั้ง เขาก็อดคาดหวังอะไรเกินตัวไม่ได้อยู่ดี
“พี่ฟ้า มัวแต่นั่งเหม่อ เดี๋ยวเนื้อก็ไหม้หมดหรอก” เสียงของน้องสาวเรียกเขาหลุดจากภวังค์ ขอบฟ้ารีบเอื้อมมือไปกลับเนื้อตรงหน้า แต่ด้วยความรีบร้อนทำให้นิ้วพลาดไปโดนขอบกะทะร้อนๆ จนได้
“โอ๊ย!” สะบัดมือด้วยความตกใจ แต่กรก็รีบคว้ามือเขาไปพลิกดู
“น้องฝน เทน้ำแข็งใส่ผ้าเปียกให้หน่อย เร็ว” กรยึดมือเขาไว้แน่น ไม่ยอมให้เขายกสะบัดหรือเอานิ้วมาเป่าตามความเชื่อว่าจะช่วยให้หายเจ็บ พอรับผ้าเย็นเฉียบมาได้ก็เอามาประคบนิ้วบวมแดงทันที “โดนไม่เยอะเท่าไหร่ กลับไปแล้วเดี๋ยวค่อยหายาทา”
“อื้อ” น่าแปลก น้ำแข็งเย็น ปลายนิ้วก็เย็น แต่มือกรอุ่น เช่นเดียวกับหัวใจเขา
“ซุ่มซ่าม เซ่อตลอด มึงอ่ะ”
“อื้อ”
“กูหิวก็จริง แต่ไม่ได้อยากกินนิ้วย่าง”
ขอบฟ้าขมวดคิ้ว ขยับจะดึงนิ้วออก เอ่ยอย่างเริ่มหงุดหงิดเล็กๆ “อื้อ รู้แล้ว”
แต่กรกลับโยนผ้าเย็นลง รวบปลายนิ้วเย็นเฉียบรวมทั้งมือเขาไปกุมไว้
“รู้แล้วก็ทำอะไรระวังๆ หน่อย กูเป็นห่วง”
ก่อนจะยอมปล่อยมือและหันกลับไปสนใจหมูกะทะต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ขอบฟ้าชำเลืองมองสองสาว เห็นว่ากำลังก้มหน้าก้มตา พยายามไม่มองข้ามกะทะกลางโต๊ะมาทางพวกเขาเท่าไหร่
ไม่ได้การ เขาเป็นพี่ชายนะ มีศักดิ์ศรีค้ำคออยู่ มาทำตัวจู๋จี๋ต่อหน้าน้องสาวกับเพื่อนใช้ได้ที่ไหน เขาต้องวางตัวให้เหมาะสม ต้องทำตัวเป็นผู้ใหญ่ใจเย็น...
“หมูหมดแล้ว” กรเงยหน้า เอาตะเกียบจิ้มเขา มันเสียมารยาทนะ ไม่รู้หรือไง “เฮ้ย กูบอกว่าหมูหมดแล้ว”
“รู้แล้ว” เขากำลังทำตัวเป็นผู้ใหญ่อยู่ ฉะนั้นจะไม่โกรธกับแค่โดนตะเกียบจิ้มเร่งยิกๆ อยู่นั่น “ผมย่างให้อยู่ไง”
ยอมหันไปคีบผักกินอยู่แป๊บเดียว เจ้าสัตว์กินเนื้อก็กลับมาจิ้มแขนเขาต่อด้วยตะเกียบเจ้ากรรมคู่เดิม “เฮ้...”
“บอกว่ารู้แล้ว แล้วก็เลิกเอาตะเกียบจิ้มผมสักที มันเสียมารยาทนะ พี่กร” เขาหันไปทำเสียงดุเท่าที่ความสามารถจะอำนวย
“อะไรวะ แค่นี้ต้องทำเป็นโมโห” ใช่สิ ถ้าลองเป็นเขาที่เอาตะเกียบจิ้มบ้าง คงไม่แคล้วโดนหลังแหวน
หากบ่นพึมพำแล้วกรก็ลุกไป เปิดโอกาสให้เขาย่างเนื้อโดยไม่มีคนคอยเร่งและกวนใจ
ปลายฝนคีบหมูส่งให้เขากินเองเสียบ้างหลังจากเห็นเขาคีบชิ้นที่สุกแล้วลงจานข้างๆ หมด “พี่ฟ้า ฝนไม่เคยชอบนิสัยเหวี่ยงๆ แบบพี่กรเลยนะ ไม่ชอบมาตั้งแต่สมัยก่อนจนมาเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่ชอบ”
เอ่อ ฉลาดมาก ปลายฝนที่รู้จักพูดตอนเจ้าตัวไม่อยู่ที่โต๊ะ
“ฝนเคยสงสัยว่าระหว่างพี่พลกับพี่กร ทำไมพี่ฟ้าถึงทิ้งพี่พล มาหลงผิดกับผู้ชายนิสัยติดลบแบบนี้ เพราะถึงพี่พลจะไม่ได้ดีเว่อร์แต่ยังไงก็ดีกว่าตานี่แน่ๆ”
“ฝน พี่ว่า...ไว้เราค่อยคุยกันทีหลังดีไหม” ลอบชำเลืองมองน้องหนิง หากผู้เป็นน้องสาวกลับไม่สนใจจะฟัง
“ไม่ คุยกันตอนนี้ดีแล้ว” ปลายฝนย้ำ มองไปที่ร่างสูงเด่นที่ตักโน่นตักนี่แบบไม่สนใจสายตาชาวบ้าน โดยเฉพาะสาวๆ ที่บ้างก็ลอบมอง บ้างก็มองอย่างออกหน้าออกตา “กับคนเงียบๆ จืดๆ ไม่หือ ไม่อือ ไม่เถียงใครแบบพี่ฟ้า ฝนไม่เข้าใจว่าจะอยู่กันรอดได้ยังไง แต่ตอนนี้ ฝนชักเริ่มเข้าใจ”
“เข้าใจอะไรของเธอ” ย้อนถามพลางเพ่งตามองกรที่ยังง่วนอยู่กับการตักอาหารไม่เลิก กินไม่หมด เขาปรับเงินนะพี่กร
“เข้าใจว่าพี่ฟ้าก็หัวเราะ ก็โกรธเป็นกับเขาด้วยไง แถมยังกล้าดุคนแบบหมอนั่นอีก เอ แต่เรียกว่าดุหรือสอนก็ไม่รู้ แล้วเห็นหมอนั่นก็ดูห่วงใยเทคแคร์ดี แถมยังตลกด้วย งั้นก็ช่างเถอะ เอาเป็นว่าฝนจะยังไม่บอกพี่หมอกแล้วกัน” สรุปแล้วน้องสาวยังทิ้งคำเตือนสุดท้ายไว้ “อย่าลืมพี่พลล่ะ เขากลับมา พี่ฟ้าต้องเจอปัญหาใหญ่มากแน่”
เขาเข้าใจดีว่าปลายฝนหมายถึงอะไร ต่อให้เขากับพลชนะจะไม่ได้คบหากันในฐานะพิเศษ ถึงพลชนะจะชอบหยอดนิดหยอดหน่อยแล้วก็ทำเป็นเรื่องขำขัน แต่อีกฝ่ายจะรู้สึกอย่างไรที่กลับมาเจอสภาพของพวกเขาในยามนี้ สภาพความสัมพันธ์แบบไม่รู้จะนิยามว่าอะไรดี คนสองคนที่อาศัยอยู่ในห้องเดียวกันดูจะใกล้เคียงที่สุด แต่ต่อให้ไม่มีเรื่องอย่างว่าเข้ามาข้องเกี่ยว แค่คราวก่อนตอนรู้ว่าเขาบังเอิญเจอกร พลชนะยังมีท่าทีฉุนเฉียวจนถึงขั้นมีปากมีเสียงกันอยู่เลย
ถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาอาจคิดหาทางออกง่ายๆ ด้วยการแยกตัวออกมาจากกรอีกครั้ง แม้ตอนแรกเขาจะนึกกลัวคำขู่อยู่บ้างก็ตาม หากหลังจากคิดใคร่ครวญดีๆ แล้ว ชายหนุ่มไม่ใช่คนที่จะทำอันตรายครอบครัวหรือเพื่อนเขาได้ กรอ่อนโยนกว่าที่คิด เหมือนกับที่พลชนะก็น่ากลัวกว่าที่คาด
และหลังจากคิดทบทวนหาคำตอบให้การกระทำของตนเองที่ยังทู่ซี้อยู่ตรงนี้ ขอบฟ้าได้แต่ยอมรับตรงๆ ว่าเขาอยู่เพราะอยากอยู่...ก็แค่นั้นเอง
ส่วนมันจะเป็นสิ่งที่เรียกว่าความรักหรือเปล่า เขาก็ยังไม่แน่ใจ สิ่งเดียวที่แน่ใจคือการอยู่กับกรไม่ใช่เรื่องง่าย มันไม่เคยเป็นเรื่องง่ายดายเลยสักครั้ง
“พี่กร ตักอะไรมาตั้งเยอะตั้งแยะ พี่กรกินไม่หมด ฝนกับหนิงไม่ช่วยนะ” ปลายฝนตาเหลือกมองภูเขาเนื้อกับผักที่ถูกวางลงบนโต๊ะ “ถ้าโดนปรับจนเงินไม่พอจ่าย เอาพี่ฟ้าไปช่วยล้างจานแล้วกัน”
“พูดบ้าๆ” เจ้าตัวเอ่ยกลั้วหัวเราะ “พี่มึงงุ่มง่ามจะตาย ให้มันนั่งมองกูล้างอย่างเดียวก็พอ”
มันไม่เคยเป็นเรื่องง่าย แต่การจะให้แยกจากไปคือเรื่องที่ยากเย็นยิ่งกว่าทุกครั้ง
เขาไม่เคยร้องขอความเห็นใจ ไม่เคยคิดอยากเรียกร้องความเมตตาจากฟ้า แต่ตอนนี้ ทั้งหมดที่เขาต้องการคืออยากให้วันเวลาดีๆ แบบนี้คงอยู่ตลอดไป
+++++++++++