บทที่24
‘คลิก’
เสียงปิดประตูที่ทำให้ผมที่กำลังยืนอยู่กลางห้องนอนใหญ่ได้แต่เลิ่กลั่ก หันซ้ายหันขวายืนทำหน้าโง่ๆ อยู่ตรงนี้ เสียงก้าวเดินช้าๆ ที่ดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ และหยุดลงอยู่ตรงด้านหลังของผม ฝ่ามืออุ่นแตะเข้าที่สะโพกเบาๆ และสัมผัสนั่นก็ทำให้ผมสะดุ้ง หัวใจเต้นถี่ๆ แม้รู้ดีว่านั่นคือสัมผัสจากใคร
“เอ่อ...”
“เข้าอาบน้ำล่างตัวก่อนไป เดี๋ยวกูลงไปเก็บของข้างล่างเอง” เสียงทุ้มที่ดูขบขันกับท่าทางของผม และเหมือนว่าเจ้าตัวจะมีความสุขมากกว่าที่เคยเป็น ไอ้อาการแบบนี้มันทำให้ผมสงสัยจนต้องหันไปมอง ใบหน้าหล่อๆ ของพี่พระจันทร์ที่ดูอารมณ์ดี มุมปากยังคงยกยิ้มอยู่ให้เห็น และสายตาอบอุ่มปนเอ็นดูที่ทอดมองผมอยู่ในตอนนี้
ได้กันแล้วมันมีความสุขขนาดนั้นเลยหรอ ... อื้มมม~ น้องสมุทรนี่มันเด็ดจริงๆ เลยนะ
“พี่พระจันทร์หมายถึงเก็บอันนั้น”
“เก็บถุงยาง”
“ผมรู้แล้วน่า! พี่จะพูดมันออกมาทำไมเล่า” อดไม่ได้ที่ตะโกนบอกออกไปแบบนั้น พอความรู้สึกจางหาย ยางอายก็เข้ามาทดแทน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่มีเลย แต่ตอนนี้อายแล้ว ผีในห้องจะอยู่ยังไงกับฉากเมื่อกี้ที่เราเยเย่มารูโกะกันอย่างโจ่งแจ้งกลางห้องอาหาร งื้อออ อายเว้ย
“หึ ที่ตอนนี้มาทำอาย”
“ก็น้องสมุทรขี้เขิน”
“จากเมื่อกี้ มึงก็ไม่น่าเขินแล้วไหม”
“ไม่อยากพูดด้วยแล้ว!” ผมตะโกนออกมาเสียงดังอีกรอบ พี่พระจันทร์จะมาล้อกันทำไม แถมยังมองกันตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วสายตาคมๆ นั่นก็อ้อยอิ่งอยู่แถวหัวนมของผมไม่เลิก แล้วแบบนั้นใครมันจะทนยืนอยู่เฉยๆ ไหว เห็นแบบนั้นน้องสมุทรเลยวิ่งหนีเข้าห้องน้ำไปแทนโดยไม่พูดอะไรอีกแล้ว เป็นบ้าอะไรชอบมาทำให้อายทุกทีเลย
น้องสมุทรที่เข้าไปอาบน้ำ ทำความสะอาดตัวเองใหม่ ออกมาจากห้องน้ำแล้วก็ยังไม่เห็นเงาของคนที่บอกกันว่าจะลงไปเก็บของทำความสะอาด มันคือยังไงนะ หรือว่าเมื่อก่อนหน้านี้มันเลอะเทอะมากหรอถึงใช้เวลานานจัง พอนึกมาถึงตรงนี้แล้วก็รู้สึกอายแบบบอกไม่ถูก นั่นมันโต๊ะทานข้าว แล้วต่อจากนี้จะมองโต๊ะทานอาหารนั่นเหมือนเดิมได้ยังไง บ้าจริง ทำไปได้ยังไงเนี่ยน้องสมุทร!
แบบนี้ น้องสมุทรก็ควรเป็นคนลงไปรับผิดชอบสิ่งที่ทำไว้ด้วยตัวเองไหมนะ .... ก็ที่มันเลอะเทอะอยู่ตอนนี้ ก็เป็นอะไรๆ ของน้องสมุทรเองนี่นา แค่คิดไปถึงตรงนี้ ภาพเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ก็แล่นเข้ามาที่หัวเป็นฉากๆ ภาพล่อแหลมที่เห็นตัวเองฉีกขาออกกว้างเพื่อให้ส่วนกลางกายของอีกฝ่ายสอดใส่เข้ามาได้ถนัด หรือแม้แต่ภาพแกนกายแกร่งที่ค่อยๆ แทรกเข้ามา รอยจีบที่ช่องทางด้านหลังยังรู้สึกเต้นตุบๆ เหมือนมีท่อนเอ็นใหญ่สอดใส่อยู่เลยตอนนี้
“เชี่ย ลามกว่ะไอ้น้องสมุทร” พูดกับตัวเองออกมาแบบนั้นแล้วยกมือขึ้นมาปิดหน้า ร้อนหน้าไปหมด แต่สุดท้ายผมเลือกที่จะขยับตัว สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ แล้วตัดสินใจที่จะลงไปรับผิดชอบสิ่งที่ทำไว้ร่วมกันกับอีกฝ่ายที่ครัว
เสียงพูดคุยที่ดังมาจากด้านล่างในตอนที่ผมเปิดประตูออกมาจากห้องนอนทำให้ต้องขมวดคิ้วออกมาอย่างสงสัย ขาของผมที่ค่อยๆ ก้าวเดินลงไปตามทางของบันไดอย่างช้าๆ ก่อนจะหยุดชะงักเมื่อมองลงไปเห็นคนมาใหม่ได้ชัดถนัดตา กับพี่พระจันทร์ที่ยืนหันหลังมาทางบันได เค้ายังคงใส่แค่กางเกงนอนขายาวตัวสบายและไม่สวมเสื้อ เพราะแบบนั้นแผงอกแกร่งและหน้าท้องได้รูปสวยจึงอวดสายตาของคนมาใหม่ได้อย่างถนัดตา ผมเลือกที่จะไม่ก้าวขาลงไปแล้วหยุดยืนอยู่ที่ตรงนี้แทน ใช้ผนังปูนเปลือยนี้บดบังตัวเองเอาไว้ ... อะไรบางอย่างมันหยุดผมไว้ และบอกให้ตัวเองเลือกที่จะยืนฟังอยู่ตรงนี้
“อัยย์มาที่นี่มีอะไร”
“แล้วอัยย์มาไม่ได้แล้วงั้นหรอ รหัสห้องของพระจันทร์ก็ไม่เห็นว่าจะเปลี่ยนใหม่นี่ มันยังเป็นวันเกิดของอัยย์อยู่เลย” หัวใจผมเต้นระส่ำ รู้สึกเหมือนมีมือบางอย่างบีบรัดเข้าที่ก้อนเนื้อหัวใจด้านซ้ายของผมที่ละนิด มันไม่ได้เจ็บปวด แต่เป็นความรู้สึกอึดอัดที่ทำให้เราค่อยๆ หายใจไม่ออก
“จันทร์ยังไม่ว่างเปลี่ยนรหัส แต่ถึงแบบนั้นอัยย์ก็ควรโทรมาบอกเราหรืออาทิตย์ก่อนหรือเปล่าว่าจะมา”
“อัยย์คงมาผิดจังหวะสินะ พระจันทร์ถึงแต่งตัวแบบนี้ แล้วก็ดูหัวเสียแบบนี้” พี่อัยย์เลือกที่จะไม่ตอบคำถาม เค้าแค่พูดออกมาแบบนั้นแล้วจ้องไปที่ตัวพี่พระจันทร์อย่างไม่วางตา
“...........” พอพี่อัยย์พูดแบบนั้น คราวนี้เป็นพี่พระจันทร์ที่เลือกจะไม่ตอบ มองจากมุมนี้ผมเห็นร่างสูงถอนหายใจออกมานิดหน่อย แต่พี่อัยย์ก็เลือกที่จะเมินมันแล้วเดินมาทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตัวหนึ่งของโต๊ะทานข้าว ร่างบางในชุดธรรมดาที่ไม่ใช่ชุดนักศึกษาแบบที่คุ้นชิน เค้าอยู่ในเสื้อไหมพรหมแขนยาวเนื้อบางเบาทรงโอเวอร์ไซส์สีชมพูอ่อน เข้าคู่กับกางเกงส์ยีนส์พอดีตัว ยิ่งทำให้เจ้าตัวดูน่ารักน่าถนุถนอมมากกว่าทุกที
“จันทร์สบายดีไหม จันทร์เงียบหายไปเลยตั้งแต่วันนั้น”
“จันทร์สบายดี”
“อยู่กับน้องคนนั้นมีความสุขมากเลยว่างั้นสินะ” น้ำเสียงสบายๆ ที่ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีอะไรเลย ผมเผลอขบเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่นในตอนนี้
“น้องเค้าคือคนที่ทำให้พระจันทร์เมินเราหรอ ... โทรศัพท์หาก็ไม่รับ ไลน์หาก็ไม่ค่อยอ่าน ไม่ไปรับอัยย์แม้ว่าอัยย์จะลำบากไม่มีรถกลับด้วยน่ะ”
“อัยย์” พี่พระจันทร์เรียกชื่ออีกฝ่าย ด้วยน้ำเสียงที่ผมเข้าใจว่ามันเป็นน้ำเสียงของการเหนื่อยหน่าย แต่ผมไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วพี่พระจันทร์กำลังเหนื่อยหน่ายในเรื่องอะไรกันแน่ เขาที่เรียกชื่อพี่อัยย์ออกมาแค่นั้นมันทำให้ผมรู้สึกปั่นป่วนหัวใจ ความทรงจำเก่าๆ มันวูบเข้ามาเป็นระยะๆ ภาพเก่าๆ ที่ตอกย้ำว่าคนทั้งคู่สนิทสนมกันในระดับไหน ทั้งความใกล้ชิดและความรู้สึกของพวกเค้า ความไม่มั่นคงทางความรู้สึกระหว่างผมกับพี่พระจันทร์มันกลับมาอีกแล้ว ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เรายังกอดกันอยู่ตรงนั้น ตรงที่เค้ายืนอยู่ด้วยกันในตอนนี้
“จริงใช่ไหมล่ะ...”
“เราบอกอัยย์ไปแล้ว ว่าสมุทรคือคนที่เรากำลังจริงจังด้วย”
“ก่อนหน้านั้นจันทร์ก็เคยพูดกับเราแบบนี้เหมือนกันไม่ใช่หรอ ตอนที่จันทร์อยู่ม.6ก็มาบอกอัยย์แบบนี้เหมือนกันไม่ใช่หรอว่าอยากจริงจังด้วย จะทำทุกอย่างให้อัยย์ พระจันทร์พูดแบบนั้นเหมือนกันไม่ใช่หรอ”
“อัยย์ ... จะมาพูดแบบนี้เพื่ออะไร”
“ก็เพื่อให้พระจันทร์ได้เข้าใจไง” ดวงตากลมสวยของพี่อัยย์ช้อนขึ้นมองพี่พระจันทร์ มันใสแจ๋ว กระจ่างชัดดูน่ารักเหมาะกับเครื่องหน้าสวยของเจ้าตัว
“เข้าใจอะไร จันทร์ไม่จำเป็นต้องเข้าใจอะไรมากไปกว่านี้ เราคุยเรื่องนี้กันไปแล้วนะอัยย์”
“ยังหรอก พระจันทร์ยังไม่เข้าใจ ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำอ่ะว่าที่ทำอยู่ตอนนี้มันคือการประชดกันน่ะ”
“เราไม่ได้ประชดอัยย์ นี่ไม่ใช่ละครนะ จันทร์ไม่ว่างมาทำอะไรแบบนั้นหรอก อีกอย่าง...จันทร์ว่าจันทร์ทำมามากพอแล้วด้วยกับเรื่องของอัยย์ และตอนนี้จันทร์อยากบอกว่าจันทร์มีความสุขดี”
“ความสุขปลอมๆ น่ะสิ น้องเค้ารู้หรือเปล่าล่ะ ว่าจันทร์เคยชอบเรามากแค่ไหน เค้ารู้หรือเปล่าล่ะว่าเราสนิทกันขนาดไหน เค้ารู้หรือเปล่าล่ะว่าเค้ากำลังเป็นตัวแทนเราในวันที่เธออยากยอมแพ้จากเราแล้วน่ะ”
“อัยย์ ขอร้องเหอะ...”
“เราสิต้องเป็นคนขอร้อง”
“อะไร...”
“เราผิดหรอที่ตอนนั้นเราไม่เลือกจันทร์”
“ไม่ผิด จันทร์ไม่เคยโทษอัยย์เลย” พี่พระจันทร์ตอบออกไปแบบนั้นด้วยเสียงราบเรียบ
“แล้วถ้าแบบนั้นมันทำไม ทำไมจันทร์ถึงต้องทำแบบนี้กับอัยย์ล่ะ ทำไมต้องห่างเหินแบบนี้ล่ะ ทั้งๆ ที่เคยบอกว่าจะอยู่กับอัยย์เสมอไม่ใช่หรอ จันทร์ก็รู้เรื่องของเราดีไม่ใช่หรอ แล้วทำไมถึงยังทำแบบนี้ล่ะ”
“อัยย์กำลังต้องการอะไรจากจันทร์วะ” พี่พระจันทร์ถอยหลังออกมาก้าวนึงให้ห่างจากคนตรงหน้าของเค้า ที่ตอนนี้ก็ลุกขึ้นยืนแล้วก้าวเข้ามาประชิดตัว เสียงของพี่พระจันทร์ยังคงราบเรียบเช่นเดิม แต่ผมรับรู้ได้ถึงความไม่มั่นคงของเค้า ฝ่ามือหนาที่ยกขึ้นเสยผมตัวเองแบบคนกำลังหัวเสีย คนร่างสูงที่กำลังข่มอารมณ์ของตัวเองเอาไว้อย่างเต็มที่
“อัยย์ก็แค่อยากได้พระจันทร์คนเดิมกลับมา”“..............”
“ทำไมล่ะ ทำไมพระจันทร์ถึงไม่ตอบอัยย์ล่ะว่าจะกลับมา” พี่อัยย์พูดออกมา ท่าทางของเค้าที่ผมกำลังเห็นว่านัยย์ตาสวยกำลังสั่นไหว ความเสียใจทั้งหมดถูกถ่ายทอดออกมาทางสีหน้า
“ก็ไหนว่าจะไม่มีวันทิ้งกันไง!”
“อัยย์...”
“อัยย์ยืนหลบอยู่ตรงนั้น....” เสียงใสที่พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเคลือ พร้อมกับใช้มือชี้ไปทางโซนด้านหน้าทางเข้าที่เป็นเส้นทางทอดยาวเพื่อนำไปสู้ประตูหน้าห้อง มันมีรูปปั้นประดับ รวมถึงตู้โชว์วางเรียงรายอยู่แถวนั้น ...
ผมจิกมือเข้าหากันตอนที่ได้ยินพี่อัยย์พูดออกมา หัวใจของผมสั่นกับการที่ได้รับรู้ว่าก่อนหน้านี้มีใครอีกคนกำลังยืนมองดูเราทำอะไรกันอยู่ ... เขาต้องเป็นคนแบบไหน
“อัยย์ใช้เวลาหลายนาทีมองภาพพวกนั้น เพื่อทำความเข้าใจว่าที่พระจันทร์กำลังเปลี่ยนไป ไม่สนใจอัยย์เหมือนเดิมเพราะกำลังกอดอยู่กับเค้า เพราะน้องคนนั้นที่ทำให้พระจันทร์เปลี่ยนไปแบบนี้ ... ทั้งๆ ที่ตอนนั้นเคยบอกว่าไม่ว่าจะมีอะไรเปลี่ยน แต่พระจันทร์จะไม่เปลี่ยนไป แล้วทำไมสุดท้ายพระจันทร์ถึงยังทิ้งเราไปเหมือนทุกคนอยู่ดี”
“มันไม่ใช่ความผิดของสมุทร อัยย์อย่าพูดแบบนี้ออกมาเลยจะดีกว่า”
“ถ้างั้นมันเป็นความผิดของใครล่ะ จะบอกว่าเป็นความผิดของอัยย์หรอ!” พี่อัยย์ย้อนถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความประชดประชัน มองเห็นใบหน้าน่ารักที่เปรอะเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้มแต่ไม่มีเสียงสะอื้นให้ได้ยินสักนิด มีแต่ท่าทางที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังเสียใจและโกรธ เป็นความโกรธที่แฝงมาด้วยความประชดประชัน
“จันทร์ไม่เคยคิดว่ามันเป็นความผิดของอัยย์เหมือนกัน ไม่เคยคิดแบบนั้น” เสียงทุ้มที่ตอบออกไป ผมมองไม่เห็นสีหน้าของพี่เค้าว่ากำลังแสดงออกมาแบบไหน
“แล้วคิดแบบไหน...อัยย์จะต้องทำยังไงให้ได้พระจันทร์คนเดิมกลับมา” พี่อัยย์ถามออกมาแบบนั้นพร้อมๆ กับฝ่ามือเล็กที่เอื้อมมือจับฝ่ามืออุ่นที่ก่อนหน้านี้เป็นผมที่ได้กุมมันเอาไว้
“อัยย์ยืนอยู่ตรงนั้นแล้วทบทวนอยู่หลายอย่าง มีอะไรที่อัยย์ทำไม่ได้บ้าง ทั้งๆ ทุกอย่างที่น้องคนนั้นทำ อัยย์ก็เคยทำมันมาก่อนไม่ใช่หรอ จันทร์จะให้อัยย์ทำมันก็ได้ ถ้าทุกอย่างจะกลับมาเหมือนเดิม จันทร์ชอบอัยย์ไม่ใช่หรอ”
หัวของผมเหมือนถูกตีด้วยของแข็งๆ คำพูดของพี่อัยย์เหมือนค้อนหรือท่อนไม้ใหญ่ๆ ที่ทุบเข้าที่ท้ายทอยของผมจากทางด้านหลัง คำพูดที่ว่าเค้าเคยทำมันมาก่อนนั่น ผมไม่ได้ไร้เดียงสาจนไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร
“อัยย์พอเหอะว่ะ ถ้าจะมาพูดอะไรแบบนี้ เราไม่สดวกจะคุยกับอัยย์แล้วว่ะ”
“เพราะอะไรล่ะ เพราะอะไรถึงไม่สดวกล่ะ”
“อัยย์กลับไปเหอะ จันทร์ไม่ไปส่งนะ” พี่พระจันทร์พูดออกมาแค่นั้นแล้วหันหลัง ผมหลบตัววูบแล้วเอาแผ่นหลังพิงลงกับผนังปูนเปลือย
“จันทร์จะทิ้งอัยย์ไปจริงๆ สินะ”
“เราไม่เคยทิ้งอัยย์ แต่มันแค่จะไม่กลับไปเป็นในแบบนั้นแล้ว”
“จันทร์ไม่เหมือนเดิมเลย ไม่เลยสักนิด จันทร์โกหก! จำเอาไว้เลยนะว่าจันทร์กำลังฆ่าอัยย์ไม่ต่างจากคนอื่นๆ เลย!!” เสียงตะโกนที่ปนมากับเสียงสะอื่น ก่อนมันจะดังตามมาด้วยเสียงตึงตังอย่างคนที่ออกวิ่ง และสุดท้ายก็เป็นเสียงประตูถูกกระแทกปิดอย่างแรง ความเงียบถูกก่อตัวขึ้นในตอนนี้ ไม่มีเสียงเคลื่อนไหวอะไรนานอยู่หลายนาทีหลังจากที่พายุอารมณ์ถูกซัดให้พัดกระจายไปทั้งห้อง รวมถึงพัดมาถึงผมด้วย ผมนิ่งอึ้งและยืนอยู่ตรงนี้ เรื่องราวที่ได้รับรู้เหมือนหมัดน็อคที่ทำให้มึนงงจนทำให้ต้องยืนโง่งมอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน นานหลายนาทีกว่าที่ผมเองจะต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงก้าวฉับๆ ขึ้นบันไดมา อยากจะก้าวกลับขึ้นไปบนห้อง ทำเหมือนว่าไม่เคยได้ยินได้ฟังได้รับรู้อะไรมาก่อนหน้านี้เลย แต่ก็ไม่ทัน
พี่พระจันทร์ยืนนิ่งอยู่ตรงนี้ เค้าเบิกตามองผมอย่างตกใจวูบหนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด
“มานานหรือยัง”
“เอ่อผม ผมหิวน้ำน่ะ...” ผมแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวแล้วยิ้มออกไป ท่าทางที่พยายามทำเหมือนน้องสมุทรคนโง่ที่ทุกคนคิดว่าแบบนั้น มันเป็นทางเลือกที่ดีไม่ใช่หรือไง ที่จะแกล้งทำเป็นบ้าใบ้แล้วไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องเมื่อกี้
พี่พระจันทร์ช้อนตามองผม ก่อนจะก้าวขึ้นบันไดมาอีกคั่น แล้วเอื้อมมือมาจับมือของผมเอาไว้ ฝ่ามืออุ่นที่กุมกระชับให้แน่นขึ้นนั่นทำให้ผมเกือบเผลอร้องไห้ออกมา มันเป็นความรู้สึกและอารมณ์ที่บอกไม่ถูกว่าต้องจัดการกับมันยังไงในตอนนี้
“สมุทร...เรื่องของอัยย์น่ะ” เค้าเอ่ยออกมาด้วยเสียงทุ้มอบอุ่น ผมเสตาหลบหน้าของเค้า เลี่ยงที่จะไม่มองตาคมสวยที่ผมชอบนั่น
“อยากคุยกันไหม” เค้าถามผมออกมาแบบนั้น คำพูดที่เกริ่นออกมาแบบนั้น แล้วรอให้ผมเป็นคนตัดสินใจ การกระทำแบบนั้นมันบอกได้ชัดว่าเค้ารู้ว่าผมได้ยินอะไรมาบาง ขายาวที่ก้าวขึ้นมาที่บันได้อีกขั้นให้ได้ยืนอยู่ในระดับเดียวกันแล้วในตอนนี้
“พี่ปล่อยพี่อัยย์กลับไปแบบนั้นจะดีหรอครับ” ผมถามออกไปแบบนั้น พยายามทำท่าทีว่าไม่ได้รู้สึกอะไรกับเรื่องราวก่อนหน้านี้ หน้าตาโง่ๆ ซื่อๆ ผ่านกรอบแว่นตาอันใหญ่ที่มักจะปกปิดความรู้สึกของผมเอาไว้ได้เป็นอย่างดี ผิดกับความรู้สึกในใจของผมตอนนี้ที่มันร้อนรนไปหมด ผมเป็นใคร ผมมีน้ำหนักในใจเท่าคนที่พึ่งเดินออกไปก่อนหน้านี้หรือเปล่า
“อัยย์ไม่ใช่เด็กแล้ว เค้าไม่เป็นอะไรหรอก”
“แต่นี่มันดึกแล้ว...แล้วเค้าก็กลับไปด้วยสภาพแบบนั้น พี่จะไม่คุยกับเค้า...”
“อยากให้กูไปคุยหรอ อยากให้กูตามไปหรอ”
“ผม...” เม้มปากแน่นๆ แล้วพูดออกไปไม่ได้ด้วยซ้ำว่าไม่อยาก ผมทรยศความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ แต่ถ้ามองตามเหตุผล เค้าก็ไม่ควรจะปล่อยพี่อัยย์ไปด้วยสภาพเสียใจแบบนั้นหรือเปล่า แต่ผมเองก็ไม่อยากจะบอกว่าไปเถอะ ไปคุยให้เรียบร้อยเถอะ หรืออย่างน้อยๆ ก็ไปส่งบ้านนะ ผมไม่อยากทำแบบนั้น
“กูไม่ไปหรอก...เคยสัญญากับมึงไว้แล้วนี่ จะไม่ทำผิดสัญญากับมึงหรอก อีกอย่าง...มึงเองก็อยู่ตรงนี้ จะให้กูหันหลังไปจากมึง ทำไม่ได้หรอกครับ”
“พี่พระจันทร์”
“โอเคนะ ... ขึ้นห้องนอนกันเถอะ วันนี้มึงเหนื่อยมามากแล้ว” เค้าพูดออกมาแบบนั้น แม้ว่าสายตาและท่าทางของเค้าจะยังคงดูกังวล แต่ถึงแบบนั้นก็ยังส่งยิ้มอบอุ่นมาให้ผม พร้อมๆ กับฝ่ามืออุ่นๆ ที่วางลงมาบนหัวของผม ความอบอุ่นแล่นวาบลงมาถึงหัวใจ ความรู้สึกไม่มั่นคงทั้งหลายเหมือนจะเลือนหายไป เมื่อมีเค้าอยู่ตรงนี้
...
“ฮาย เฮลโหล อันยอง...เมื่อคืนน้องสมุทรมานอนที่นี่หรอคะ” เสียงทักทายดังขึ้นมาทันทีที่ผมเดินลงมาจากชั้นสองในตอนเช้าของวันใหม่ พร้อมกับใบหน้าหล่อคมที่มีรอยยิ้มสดใสประดับอยู่ที่กรอบหน้านั่นทำให้ผมยิ้มออกมาทักทายอีกฝ่ายไปเช่นกัน
“สวัสดีครับพี่อาทิตย์” ยกมือไหว้คนที่โบกมือทักทายกันอย่างอารมณ์ดี วันนี้พี่อาทิตย์ก็อยู่ในเสื้อช็อปเหมือนทุกที แต่ว่าไม่ได้ เค้าเป็นนักศึกษาคณะวิศวะที่มีลุคนายแบบเท่ๆ อยู่ในตัว แม้ว่าจะใส่เสื้อช็อปกับกางเกงยีนส์สีดำเข้มๆ มันดันเหมือนนายแบบที่ใส่ชุดถ่ายซีรี่ย์มากกว่าคนจะไปเรียน
“เป็นเช้าที่สดใสมาเลยสินะ พี่พนันได้เลยว่าหน้าตาของไอ้พี่เหี้ยต้องดูสดใสมากแน่ๆ” คนที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้บาร์หน้าเคาเตอร์ที่ประจำของพี่เค้าว่าออกมาแบบนั้นพร้อมหรี่ตามอง ผมยิ้มออกมาบางๆ แล้วส่ายหน้านิดๆ ก่อนจะเดินลงไปหาพี่อาทิตย์แทน
“พี่อาทิตย์ทานอะไรหรือยังครับ”
“พึ่งได้กาแฟมาแก้วนึงค่ะ” บอกแบบนั้นพร้อมยกแก้วกาแฟขึ้นมาให้ผมเห็น พี่อาทิตย์ที่โยกหัวนิดๆ ไปตามเพลงอาร์แอนด์บีที่เจ้าตัวเปิดคลอเอาไว้เบาๆ
“งั้นน้องสมุทรทำแซนวิชอะโวคาโดไข่ให้ทานคู่กับกาแฟดีไหมครับ”
“เยี่ยมเลยค่ะ น้องสมุทรนี่น่ารักที่สุดในหัวใจของพี่” ผมยิ้มขำออกมานิดๆ กับท่าทางขี้เล่นแบบนั้นของเค้า
“พี่หมายถึงในใจของไอ้พี่ชายเหี้ยของพี่นะ ขืนมันได้ยินพี่บอกว่าน้องสมุทรน่ารักที่สุดในหัวใจพี่ หัวไอ้อาทิตย์คนนี้ต้องหลุดจากบ่าแน่ๆ ค่ะ” ยกมือขึ้นป้องปากกระซิบกระซาบกับผมแบบนั้น ท่าทางที่ทำเหมือนว่ากลัวพี่พระจันทร์จะมาได้ยินนั่นทำให้ผมยิ้มออกมาบางๆ ... ก็ท่ามันจริงแบบที่พี่อาทิตย์ว่าก็คงจะดีสินะ
เมื่อคืนนี้เราสองคนหลังจากที่ขึ้นไปถึงห้องนอน เราไม่ได้พูดอะไรกันต่อ ทำแค่ล้มตัวลงนอน โดยมีพี่พระจันทร์กอดผมเอาไว้ไม่ปล่อย จนสุดท้ายผมก็เผลอหลับไปในอ้อมกอดของเค้า จนที่ได้ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เค้าก็ยังคงไม่ปล่อยกอดออกจากตัวผม สุดท้ายเลยต้องแงะตัวเองออกมา อยากให้เค้าได้นอนสบายๆ คิดว่าเหน็บคงกินมือมาทั้งคืน
ผมหันหลังไปหันอะโวคาโด้และปิ้งขนมปัง ส่วนไข่ก็จัดการต้มแล้วในตอนนี้ เป็นเมนูง่ายๆ ที่ไม่ได้ทำยากอะไร แต่ถึงแบบนั้นในหัวสมองของผมมันก็อดคิดไปถึงเรื่องราวเมื่อคืนไม่ได้ คำพูดของพี่อัยย์มันยังคงดังอยู่ในหัวของผมมาตลอดทั้งคืน ในทุกๆ ประโยคเหมือนถูกฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“น้องสมุทรเป็นอะไรหรือเปล่าคะ” เสียงของพี่อาทิตย์ทำเอาผมหลุดออกจากภวังค์ ผมสะบัดหัวไล่เรื่องราวเหล่านั้นออกจากหัวก่อนจะหันมาหาพี่อาทิตย์ที่นั่งเอามือเท้าคางมองกันอยู่ในตอนนี้
“อ่ะเอ่อ...เปล่าหรอกครับ”
“มีใครเคยบอกไหมว่าโกหกไม่เก่ง หน้าน้องสมุทรเหมือนมีป้ายแปะเอาไว้ว่า
กูคิดมากอยู่นะไอ้สัด อะไรแบบนี้เลย” มันขนาดนั้นเลยนะ
“ทะเลาะกับไอ้พระจันทร์หรอ”
“เปล่าครับ ไม่ได้ทะเลาะกับพี่พระจันทร์ครับ” ผมบอกออกไปแบบนั้น และมันก็เป็นความจริงที่ว่า เราสองคนไม่ได้ทะเลาะกัน แต่มันเป็นความอึดอัดที่เกิดขึ้น เพราะเหมือนกับว่าเราสองคนเอาแต่คิดถึงเรื่องราวบางอย่างที่อยู่ในใจ
“งั้นหรอ แล้วมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นล่ะ น้องสมุทรถึงมีสีหน้าแบบนี้” พี่อาทิตย์สบตากับผม สายตาคมๆ นั่นจ้องผมไม่ละสายตา แต่มันกลับไม่ทำให้อึดอัดเพราะในกรอบหน้ายังมีรอยยิ้มนิดๆ ที่ไม่เร่งเร้าให้ผมต้องพูด เค้ากำลังทำเหมือนว่าเรื่องที่ถามก็แค่ถามดู ไม่ได้อยากซักไซ้หรือบังคับให้ผมต้องตอบ ผมรู้สึกว่า พี่อาทิตย์เป็นคนจับความรู้สึกคนอื่นเก่ง เค้าแตกต่างจากพี่พระจันทร์ แม้ว่าคนทั้งคู่จะหน้าตาเหมือนกันอย่างกับแกะก็ตาม
พี่พระจันทร์จะนิ่งกว่า แล้วชอบทำหน้าตานิ่งๆ เหมือนคนไม่อยากรับแขก พี่พระจันทร์มีเส้นแบ่งชัดเจนระหว่างคนที่สนิทกับคนที่ไม่สนิท นึกไปถึงช่วงแรกๆ ที่ผมพยายามเข้าหา ทั้งเฉยชาและไม่ใส่ใจความรู้สึกกัน แถมยังบอกชัดเจนว่าให้ผมรับผิดชอบความรู้สึกตัวเองด้วยซ้ำ แต่พอได้สนิทกันแล้วหัวใจด้วงนั้นก็คล้ายกับว่าจะเปิดออก มันราวจะเป็นอีกเรื่องนึงเลย และจากที่อยู่กับพระจันทร์มาหลายเดือน การกระทำต่างๆ ของเค้าก็พอบอกได้ว่า เค้าไม่ได้จับความรู้สึกของคนอื่นเก่ง และเลือกจะทำทุกอย่างออกไปอย่างตรงไปตรงมา ถ้าชอบเค้าก็บอกว่าชอบ แต่ไม่พอใจเค้าก็ด่าออกมา
ทว่า พี่อาทิตย์คือตรงกันข้ามกันเลย พี่อาทิตย์มีเสน่ห์ และมักจะมีรอยยิ้มที่หลากหลาย นัยย์ตาของเค้าเป็นประกายสดใสที่แฝงไว้ด้วยความวาววับของคนที่ชอบแกล้งชอบกวนอยู่นิดๆ เป็นคนที่เหมือนว่าถ้าอยู่ท่ามกลางงานปาร์ตี้ เราจะเห็นว่าเค้าจะตกเป็นจุดสนใจก่อนใครเสมอ นั่นล่ะพี่อาทิตย์
“ผมแค่...มีเรื่องคิดนิดหน่อยครับ”
“ถ้ามันเป็นเรื่องที่น้องสมุทรคิดคนเดียวแล้วไม่ได้คำตอบ พี่แนะนำว่าน้องสมุทรควรถามนะ”
“ถามหรอครับ”
“อืม ไม่ถามแล้วจะรู้หรอ ถ้าเลือกจะเก็บทุกอย่างมาคิดไปเอง แล้วมั่นใจมากแค่ไหนว่ามันคือคำตอบที่ถูกล่ะ”
“แล้วถ้าผมถามออกไปแล้ว คำตอบที่ได้จะทำให้ผมเสียใจล่ะครับ” ผมจ้องตาคนตรงหน้า พี่อาทิตย์ที่ยกยิ้มมุมปากออกมานิดๆ ด้วยท่าทางเท่ๆ ที่ทำผมรู้ตัวว่ากำลังโดนจับความรู้สึกได้อีกแล้ว
“ถึงจะต้องเสียใจ แต่อย่างน้อยเราก็รู้ไม่ใช่หรือไงว่าจะไปต่อ หรือพอแค่นี้ ...
อย่ากลัวที่จะเสียใจเลย กลัวที่จะไม่ได้รู้สึกเถอะ”
คำพูดของพี่อาทิตย์เหมือนกุญแจที่แกะสลักบางอย่างในหัวใจของผมถอดทิ้ง เลื่อนสายตาขึ้นไปมองหน้าเค้าตรงๆ อีกครั้ง พี่อาทิตย์ทำแค่ยิ้มให้ผมอย่างใจดี ท่าทางที่ไม่ได้เหมือนกำลังพูดสอนอะไร เหมือนเป็นแค่การพูดคุยกันในวันธรรมดาๆ วันนึงทำให้ผมรู้สึกดี เค้าเลื่อนมือไปยกแก้วกาแฟขึ้นดื่ม ทั้งๆ ที่สายตาก็ยังเอาแต่จ้องมาที่ผม ก่อนสายตานั้นจะเปลี่ยนเป็นความแพรวพราววาววับที่ผมรู้สึกได้ สะดุ้งนิดหน่อยก่อนจะหันหลังหนี
“อย่ามาจ้องน้องสมุทรแบบนั้นนะ”
“ว้า แย่จัง โดนจับได้ซะละ แหม ว่าจะอ้อนใส่ซะหน่อยนะเนี่ย”
‘เพี้ยะ’
“โอ๊ย!”
เสียงร้องของพี่อาทิตย์ทำให้ผมสะดุ้ง พอหันไปมองก็พบกับคนที่พึ่งเดินลงมาจากชั้นสอง พี่พระจันทร์ที่ทำหน้านิ่งๆ เหมือนอย่างเคย แต่คิ้วสวยนั่นขมวดเข้าหากันในตอนที่จ้องหน้าน้องชายตัวเอง ผมเลื่อนสายตาไปมองพี่อาทิตย์ที่ก็กำลังยกมือลูบหัวตัวเองปอยๆ
“เจ๊าะแจ๊ะเหี้ยไร”
“เจ๊าะแจ๊ะอะไรอ่าซิส ทิตย์แค่คุยกับน้องอ่า” ร้องออกมาแบบนั้น จีบปากจีบคอใส่พี่ชายตัวเอง แล้วแกล้งยกมือขึ้นซับน้ำตาอย่างน่าสงสาร ท่าทางที่ทำให้ผมหลุดขำออกมานิดๆ
“น้องสมุทร ไอ้เหี้ยนี่มันตบตีทุบหัวพี่ค่ะ พี่เสียใจอ่ะ ใจร้าว เบาๆ ก็ขาดเบาๆ ก็ปลิวเลยค่ะ” หันมาทำตาละห้อยฟ้องผมอย่างน่าสงสาร เห็นแบบนั้นแล้วอดไม่ได้ที่จะหลุดยิ้มออกมาอีกครั้งไม่ได้
“งั้นรับแซนวิชอะโวคาโดไข่ไปทานปลอบใจดีไหมครับ นี่นะ น้องสมุทรทำเสร็จแล้ว” ผมบอกออกมาแบบนั้น แล้วส่งแซนวิชร้อนๆ ที่พึ่งจัดใส่จานเสร็จส่งไปให้
“น้องสมุทรน่ารักที่สุดเลยค่ะ”
“น่ารำคาญ” พี่พระจันทร์พึมพำออกมาแบบนั้น พร้อมหน้าที่งอลงเหมือนปลาทูแม่กลอง หน้างอคอหักแบบสุดๆ
“ว๊าย งอนถือว่าแพ้”
“กูไม่ได้งอนไอ้สัด” พี่พระจันทร์กระแทกตัวลงนั่งที่เก้าอี้ข้างๆ กัน พอมองแบบนี้แล้วเห็นคนสองคนที่หน้าตาเหมือนกันยังกับแกะนั่งเถียงกันอยู่แบบนั้น มันเป็นภาพที่ชวนตกตะลึงอยู่หน่อยๆ แต่ถ้าได้เจอบ่อยๆ ก็จะรู้ว่าสองคนนี้นิสัยต่างกันเอามากๆ
“น้องสมุทรดูไอ้หน้าเหี้ยที่บอกว่าไม่งอนดิ”
“มึงสิหน้าเหี้ย หุบปากแล้วแดกไปเลย!”
“ว๊าย งอนๆ” ร้องออกมาแบบนั้นแล้วเอานิ้วชี้ไปเขี่ยที่ข้างแก้มพี่ตัวเอง แต่โดนพี่พระจันทร์เอามือปัดออก
“สัดทิตย์” พี่พระจันทร์ว่าแบบนั้นด้วยเสียงเข้ม พี่อาทิตย์หดคอหนีแล้วเขยิบตัวออกห่างอีกนิด ผมเห็นพี่เค้ายังทำปากพงาบๆ พึมพำว่าพี่พระจันทร์อยู่ไม่เลิก แค่ไม่มีเสียงก็เท่านั้น
ผมอมยิ้มออกมากับท่าทางแบบนั้นของเค้า และในตอนที่เค้าละสายตาออกมาจากพี่อาทิตย์ ... เราสบตากัน
เป็นครั้งแรกหลังจากเหตุการณ์เมื่อคืน ผมเลือกที่จะยิ้มออกมาบางๆ ส่งไปให้เค้าก่อน พี่พระจันทร์ที่เห็นท่าทางของผมแบบนั้น เค้าดูเบาใจลง แล้วใช้ฝ่ามืออุ่นเอื้อมมาจับมือของผมที่วางอยู่ที่เคาน์เตอร์
“ว่าไงครับ”
“แล้วไม่มีของกูหรอ...ทำไมทำให้แต่มันล่ะ ของกูล่ะ ของพี่ล่ะสมุทร” พูดออกมาแบบนั้น ท่าทางและน้ำเสียงที่ทำให้ผมหลุดยิ้ม พูดได้ไหมว่าพี่พระจันทร์ในตอนนี้ดูอ้อนกันสุดๆ สายตาที่มองผมแฝงด้วยความอ้อนนิดๆ และหงุดหงิดหน่อยๆ เหมือนเด็กเล็กๆ ที่กำลังถามว่าทำไมไม่ได้รับบ้าง
“ทำไมจะไม่มีล่ะ ของพี่พระจันทร์อยู่นี่ครับ” ผมละตัวออกมานิดนึง แล้วยกจานที่ทำเตรียมไว้ให้ก่อนแล้วส่งไปให้อีกคน พี่พระจันทร์ยิ้มกว้างออกมา แล้วปรายตาไปมองพี่อาทิตย์ที่มองมาอยู่ก่อน
“กูได้ไข่ต้มชิ้นใหญ่กว่า” พี่พระจันทร์หันไปพูดแบบนั้นแล้วยักคิ้วให้น้องตัวเองหนึ่งที ท่าทางเย้ยๆ แบบนั้นของพี่พระจันทร์ ทำเอาพี่อาทิตย์เบ้ปากใส่ พี่อาทิตย์หันมามองหน้าผมแล้วพูดต่อ
“แค่นี้มันก็อวด...เด็กสัด”
.
.
.