๑๘
“ท่านบอกว่าอยากอาบน้ำที่แม่น้ำมิใช่หรือ” จันทริ ถามคนที่นั่งโอบกอดตนอยู่ด้านหลัง
“เดี๋ยวค่อยอาบ” พูดจบ รพีพันธ์ ก็ฝังจมูกลงไปบนแก้มของคนที่อยู่ในอ้อมกอด
“อย่าได้ช้านัก เห็นเมฆฝนนั่นหรือไม่” จันทริ พูดพลางหันหน้าไปดูเมฆฝนซึ่งตั้งเค้ามาแต่ไกล
“ถ้าฝนตกก็อาบน้ำฝนซะเลยไง” รพีพันธ์ พูดกลั้วหัวเราะ แล้วฝังจมูกลงไปบนลำคอของ จันทริ
“อืม...” จันทริ ครางในลำคอ พลางทิ้งน้ำหนักตัวลงไปบนแผงอกกว้าง ของคนที่นั่งซ้อนอยู่ด้านหลัง
เสียงนั้นทำให้ รพีพันธ์ ยิ่งเคลื่อนไหวทั้งจมูก ปาก และมือมากขึ้น แล้วทุกอย่างก็ดำเนินไปบนริมฝั่งแม่น้ำนั่นเอง เพราะ จันทริ ไม่เคยขัดใจเขาเลยสักครั้ง ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนหรือเมื่อไร ที่ รพีพันธ์ เกิดความต้องการขึ้นมา จนกระทั่งทุกอย่างผ่านพ้นไป ชายหนุ่มยังคงซอกซอนจมูกไปตามลำคอระหง สูดกลิ่นหอมอ่อนๆอย่างไม่รู้เบื่อ
“จันทริ รู้มั๊ย ตัวคุณทั้งหอมทั้งนุ่ม จนผมจะคลั่งใจตายอยู่แล้ว” รพีพันธ์ กระซิบเสียงกระเส่า ท่ามกลางฝนที่เริ่มตกปรอยๆ
.................................................................
............................
“ทำไมท่านไม่สวมสร้อยที่ข้ามอบให้”
อัสสะ ถามขึ้น หลังจากนำอาหารเย็นและสิ่งของเครื่องใช้บางอย่าง เข้าไปเก็บในถ้ำเรียบร้อยแล้ว และเดินออกมาคุยกับ จันทริ ที่ปากถ้ำ ในขณะที่เพื่อนอีก ๓ คนที่นำสิ่งของมาด้วยกัน เดินกลับหมู่บ้านไปก่อน
“รพีพันธ์ ไม่พอใจที่ข้าสวมมัน แต่ข้ายังเก็บไว้เป็นอย่างดี” จันทริ ตอบพลางยิ้มให้
“จันทริ ข้า...” ชายหนุ่มพูดพลางจ้องตา จันทริ ด้วยสายตาที่ปวดร้าว
“ข้ารู้ถึงความรู้สึกของท่านเป็นอย่างดี อัสสะ ... ข้าคงทำได้แต่เพียงขอบคุณท่าน”
ชายหนุ่มจับมือของ จันทริ ขึ้นมาลูบอย่างแผ่วเบา
“เขาดีต่อท่านหรือไม่” อัสสะ ถามด้วยแววตาที่ห่วงใย จันทริ ได้ฟังก็ยิ้มให้อย่างอบอุ่น
“ข้าเชื่อว่า หากเป็นท่าน ก็จะดีต่อข้าเฉกเช่นเขาในตอนนี้ รพีพันธ์ ทั้งอ่อนโยนต่อข้า และห่วงใยข้า เช่นเดียวกับที่ท่านปรารถนาจะเป็น”
“ถ้าเช่นนั้นข้าก็วางใจ” อัสสะ พูดแล้วก็ก้มหน้าถอนหายใจ
“เจ้ามิต้องกังวล หรือมิรู้ว่าข้าย่อมไม่ยอมให้ผู้ใดทำอะไร จันทริ ได้” น้ำเสียงที่อ่อนโยน เปลี่ยนเป็นเสียงที่แข็งกร้าว อัสสะ เงยหน้าขึ้นมองหน้าของ จันทริ แล้วก็ต้องตกใจรีบปล่อยมือของ จันทริ ออก แล้วยืนห้อยมือด้วยความสำรวม
“นี่คือความแตกต่างของเจ้ากับ รพีพันธ์ หากเป็นเขา จะไม่ทำกิริยาเช่นนี้” คิ้วของ จันทริ ขมวดมุ่นด้วยความไม่พอใจ กลางหน้าผากมีรอยจันทร์เสี้ยวสีทองเปล่งประกายแวววาว
“จันทริ ผมหิวแล้ว” เสียงของ รพีพันธ์ ตะโกนออกมาพร้อมกับตัวที่เดินออกมาจากถ้ำ ใบหน้าที่ยิ้มแย้มก็เปลี่ยนเป็นงุนงง เมื่อเห็นท่าทางของคนทั้งสอง “คุยอะไรกันน่ะ ท่าทางซีเรียสจัง”
จันทริ หันหน้ามอง รพีพันธ์ ด้วยความสงสัย ประกายสีทองบนหน้าผาก ค่อยๆอ่อนจางลงจนหายไป
“ผมหมายความว่า พวกคุณคุยกันดูจริงจังน่ะ” พูดจบก็หัวเราะเบาๆ แล้วก็ยกมือขึ้นเกาหัวด้วยความเก้อเขิน
“มิมีใด ข้ากำลังจะกลับ” อัสสะ ตอบพลางหันไปหา จันทริ “แล้วข้าจะหมั่นขึ้นมาเยี่ยมเยียนท่าน”
จันทริ หันมายิ้มให้ก่อนที่ อัสสะ จะเดินลงเขาไป
“กินข้าวเหอะ ผมหิวแล้ว” รพีพันธ์ เดินเข้ามาโอบเอว จันทริ แล้วทั้งสองคนก็พากันเดินเข้าไปในถ้ำ
.................................................................
............................
“อะไรกัน คุณอิ่มแล้วเหรอ” รพีพันธ์ ถามขึ้นเมื่อเห็น จันทริ กินอาหารได้เพียงเล็กน้อยก็อิ่มเสียแล้ว
จันทริ ได้แต่ยิ้มน้อยๆไม่ตอบอะไร
“๒-๓ วันมานี่คุณกินน้อยนะ ไม่สบายรึเปล่า” พูดจบ รพีพันธ์ ก็เอื้อมมือไปแตะที่หน้าผาก จันทริ
นับตั้งแต่คืนที่ทั้งสองมีความสัมพันธ์กัน เฉกเช่นสามีภรรยา ก็ผ่านมาได้เกือบสิบวันแล้ว รพีพันธ์ บอกให้ จันทริ กินอาหารพร้อมๆกับเขาทุกมื้อ จันทริ ยังคงกินแต่ผัก ผลไม้ น้ำผึ้ง บางมื้อก็กินข้าวบ้างเล็กน้อย ชายหนุ่มเคยคะยั้นคะยอให้ลองกินเนื้อสัตว์ แต่พอ จันทริ กินไปได้ไม่นาน ก็อาเจียรทุกอย่างออกมาจนหมด
“ข้ามิเป็นไร เพียงแต่ช่วงนี้ข้าไม่ค่อยอยากกินอะไรเท่านั้นเอง”
“ถ้าอย่างนั้นก็แล้วไป”
รพีพันธ์ มองหน้า จันทริ ด้วยความห่วงใย สักพักก็หัวเราะขึ้นมาเบาๆ จน จันทริ ต้องมองด้วยความสงสัย
“ผมกำลังคิดว่า ถ้าคุณเป็นผู้หญิง คุณจะใช้ชื่อว่าอะไร”
“นามของข้าเป็นเช่นเดียวกับนามของผู้เฒ่าทั้งสี่ เป็นนามอันมีไว้แต่บุคคลเฉพาะ บุคคลอื่นมิสามารถนำไปใช้เรียกขานตนได้” จันทริ บอกช้าๆ “ผู้เป็นตัวแทนแห่งเทพจันทรา หากเป็นชายจะใช้นาม จันทริ เช่นดังข้า”
“อืม...” รพีพันธ์ ทำท่าคิด “ถ้าเป็นผู้หญิงก็ใช้ จันทรา หรือเปล่า”
“มิใช่ จันทรา นั้นเป็นนามของวิญญาณอีกดวงหนึ่ง ดวงวิญญาณอันมีพลังแห่งเทพสถิตย์อยู่ แต่นามของสตรีอันเป็นร่างของดวงวิญญานนั้น จักใช้นามว่า จันทิรา”
“จันทิรา” รพีพันธ์ ทวนคำด้วยความงุนงงปนไปด้วยความตกใจ
เขาคิดไปถึงหญิงสาวรูปร่างกลมกลึง ผมดำขลับยาวสยาย ใบหน้าคมขำ หญิงสาวอันเป็นที่รักของเขา ... จันทิรา