37.2
เย็นวันถัดมา
การตัดสินจัดขึ้นในห้องโถงใหญ่กลางปราสาท มันเป็นห้องกว้างที่ตกแต่งไว้อย่างยิ่งใหญ่สมฐานะราชาผู้ปกครองประเทศ มีภาพเขียนตามฝาผนังและหลังคา เครื่องทอง เครื่องเงินวางประดับตามโต๊ะไม้ลงลาย ที่จุดลึกสุดของโถงมีบัลลังก์ตั้งอยู่ หนึ่งราชบัลลังก์ของราชา หนึ่งบัลลังก์ของราชินีผู้ล่วงลับ และ หนึ่งบัลลังก์ขององค์หญิง หลังแท่นบัลลังก์มีผลึกคริสตัลสีน้ำตาลก้อนใหญ่ เป็นที่สิงสถิตของสัตว์อสูรแอตลาส (Atlas) อสูรกวางผู้ปกป้องดินแดนแห่งนี้โดยมีองค์หญิงเดลิซ่าเป็นร่างทรงคนปัจจุบัน ตราประจำราชวงศ์นี้จึงเป็นรูปเขากวาง
หลังจากรับฟังคำปราศรัยแสดงความยินดีจากองค์ราชาจบก็เป็นคราวขององค์หญิงที่จะขึ้นกล่าวคำตัดสิน ทุกคนในห้องต่างก็ตื่นเต้น ทั้งขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่ยืนรอบห้อง และผมกับชายอีกสามคนที่ยืนอยู่หน้าบัลลังก์ วาเรเรี่ยน เดรโกนัส พี่ชายของรอส ถัดมาคือชายหนุ่มผมทองยาวประบ่า รูปร่างปราดเปรียว ฟัลเก้ ฮอว์คอาย (Falke Hawkeye) และโทโร่ แบล็คฮอร์น (Toro Blackhorn) ชายร่างท้วมท่าทางไม่มั่นใจ
“อย่างที่ท่านพ่อกล่าวไป เราต้องขอแสดงความยินดีอีกครั้งที่ผ่านการทดสอบของเรามาได้ สมแล้วที่เป็นลูกหลานของเสาหลักของประเทศ เราหวังว่าการที่พวกท่านได้เดินทางไกลไปในที่ๆแปลกใหม่ ที่ๆแตกต่างจากความสุขสบาย (comfort zone) ของตนเองจะทำให้พวกท่านได้รู้จักตนเองมากขึ้น และพร้อมที่จะรับการทดสอบถัดไป” เมื่อเสียงอ่อนหวานของนางจบลงก็เกิดเสียงเซ็งแซ่ไปทั้งห้อง ทุกคนต่างมองหน้าซุบซิบกัน แม้แต่องค์ราชายังแปลกใจ...นี่ยังไม่จบอีกเหรอเนี่ย
“พวกท่านไม่ต้องห่วง การทดสอบนี้ง่ายๆ แต่ก่อนอื่นเราต้องขอรบกวนให้แขกผู้มีเกียรติทุกท่านออกไปก่อน เราขอเวลาส่วนตัวกับผู้รับการคัดเลือกสักประเดี๋ยว” เหล่าขุนนางต่างทำหน้างุนงง บ้างก็ไม่พอใจแต่ก็ยอมออกไปแต่โดยดี “รวมถึงท่านด้วยค่ะ ท่านพ่อ”
“ลูกจะทำอะไร” องค์ราชาเอียงคอสงสัยการกระทำของธิดา
“หน่านะ ขอเวลาหนูแปปเดียว” เดลซ่าทำท่าออดอ้อนจนผู้เป็นพ่อยอมใจอ่อนออกจากห้องไป “เห้อ เอาล่ะ ออกไปกันหมดแล้ว” นางเดินไปนั่งที่บัลลังก์ของนางเอง บรรยากาศที่ตึงเครียดอ่อนลง
“เป็นไงบ้าง พวกท่านเหนื่อยไหม” องค์หญิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง
“มากกกก” ฟัลเก้ลากเสียงยาว พอไร้ซึ้งพิธีรีตองก็กลับมาเป็นบรรยากาศสบายๆอย่างสมัยเด็กๆ
“ฮือ เดลซ่า ทำไมเจ้าถึงโหดร้ายแบบนี้ บอสที่ข้าเจอทำให้อุปกรณ์เวทมนตร์ใช้การไม่ได้ ข้าเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดเลยนะ” โทโร่คร่ำครวญ
“แหม เรื่องนั่นจะโทษเราฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ เพราะจริงๆแล้วคนที่สร้างบอสขึ้นมาคือเทวะภัณฑ์ของพวกท่านต่างหาก”
“หา!! อาเทมิส นี่เจ้าเป็นคนสร้างบอสที่ล่องหนได้ตัวนั้นขึ้นมาเองเรอะ” ฟัลเก้โวยวายใส่คันธนูสีทองของตน
“คนขี้ขลาดที่เอาแต่สู้จากระยะไกลอย่างเจ้ามันก็ต้องเจออะไรที่ขี้ขลาดพอๆกันนั่นแหละ” คันธนูเปล่งแสงออกมาพร้อมเสียงหญิงสาวที่ฟังดูเย่อหยิ่ง
“หนอยยยย” ชายผมทองยกอาวุธของตนมาเขย่าอย่างหัวเสีย
“ที่ข้าต้องเจอบอส 2 ตัวนี่หมายความว่ายังไง โอทห์คีปเปอร์” ผมกระซิบถามดาบในฝักข้างเอว
“ก็นายท่านมากัน 2 คน มันก็ต้องยากขึ้นเป็นธรรมดา” มันตอบกลับด้วยน้ำเสียงกวนโมโห หนอย...ไอ้เจ้าดาบบ้านี่
“แล้วการทดสอบต่อไปคืออะไร” เป็นวาเรเรี่ยนที่แทรกขึ้นมาด้วยเสียงเรียบนิ่ง
“อ่า...จริงจังตลอดเลยนะท่านวาเรเรี่ยน” นางยังคงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสบายๆ “ท่านทั้งสี่คนคือผู้ที่ถูกเลือกโดยเทวะภัณฑ์ที่เคยกอบกู้อาณาจักรจากภัยร้ายในอดีต เราจึงจัดการทดสอบแรกตามคำขอของพวกเขาเพื่อให้ผู้ถือครองได้พิสูจน์ตนเอง กระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นขึ้น” องค์หญิงยอมเฉลยออกมาใน
“ทดสอบอะไรเนี่ย เจ้าธนูบ้านี่เลยพูดไม่หยุดเลย” ฟัลเก้โวยวายอีกครั้ง
“เจ้านั่นแหละพูดมาก” คันธนูสีทองก็เถียงไม่ลดละ
“เอาล่ะงั้นก็เริ่มการทดสอบต่อไปเลย คนสุดท้ายที่ยืนอยู่คือผู้ชนะ” เสียงใสๆของนางทำให้บรรยากาศในห้องตึงเครียดขึ้นมาทันที การต่อสู้แบบพบกันหมดงั้นรึ
ฟัลเก้คว้าลูกศรมาขึ้นสาย
โทโร่ทำท่าเงอะงะ
วาเรเรี่ยนยังคงนิ่งเงียบ แต่มือก็กระชับคัมภีร์ปกแดงในมือแน่น
ผมยกมือขึ้นแตะด้ามดาบด้วยความลังเล เมื่อได้รับสัญญาณต่อสู้นักรบอย่างผมควรจะชักดาบขึ้นเตรียมพร้อม แต่ผมกลับนิ่งเฉย...เพราะผมไม่อยากชนะ
“พรืด คิกๆ ฮ่าๆๆ ล้อเล่นหน่า” เสียงใสหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง เดลซ่ากุมท้องตัวงออยู่บนบัลลังก์ “แหม ท่านฟัลเก้ละก็...คิดจริงๆเหรอว่าเราจะให้เพื่อนในวัยเด็กฟาดฟันกันจริงๆ”
“นี่ยัยบ้า อย่าล้อเล่นแบบนี้เซ่” เจ้าของนามโวยวายอีกครั้งแล้วพร้อมลดคันศรลง “ข้าบอบบางสุดในบรรดาทุกคนเลยนะ ขืนโดนเปิดก่อนก็แย่น่ะสิ”
“เฮ้อ...” ทุกคนถอนหายใจโล่งอก องค์หญิงนี่ยังชอบทำเป็นเล่นอยู่เรื่อยเลย
“ฮ่าๆ แต่เราไม่ได้ล้อเล่นเรื่องการทดสอบต่อมาหรอกนะ” เดลซ่าเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นจริงจังอีกครั้งแล้วยืนขึ้น “เราจะถามคำถามง่ายๆแล้วให้ท่านคิดคำตอบในใจ ผู้ที่หนักแน่นกับคำตอบที่สุดจะทำให้เทวะภัณฑ์ของตนเปล่งประกายสว่างที่สุด และเขาคนนั้นจะเป็นผู้ชนะ เอาล่ะหยิบอาวุธของพวกท่านออกมากันได้แล้ว”
เราทั้งสี่ถืออาวุธประจำตัวในมือ คัมภีร์สีเลือดของวาเรเรี่ยน คันศรอาเทมิสของฟัลเก้ ชุดเครื่องมือเวทมนตร์ของโทโร่ และดาบโอทห์คีปเปอร์ของผม คริสตัลหลังบัลลังก์สว่างขึ้น เทวะภัณฑ์ลอยขึ้นกลางอากาศ
“คำถามของเราคือ ท่านปรารถนาที่จะอภิเษกกับเราเพราะรักเรา ใช่หรือไม่ ?”
เป็นคำถามที่ผมเองก็ไม่ทันตั้งตัวรับมือ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ยากสำหรับผมเพราะการเดินทางครั้งนี้ทำให้ผมได้พบกับคนที่รัก และสำคัญที่สุดคือได้รู้จักกับตนเองและสิ่งที่ปรารถนา
‘ไม่’ คือสิ่งแรกที่ผมนึกถึงโดยไม่ลังเล
วาบ !!!
ดาบตรงหน้าเปล่งประกายสีฟ้าสว่างไสวจนแสบตากลบแสงสีจากอาวุธชิ้นอื่นจนหมด
“เราได้ผู้ชนะแล้ว” เสียงประกาศขององค์หญิงทำให้ผมหน้าซีดลงทันที
เป็นไปไม่ได้...ก็ผมไม่ต้องการอภิเษกนี่ ทำไมผมถึงชนะ
“เดลซ่า นี่มันหมายความว่ายังไง ทำไมถ...” ผมพยายามจะชี้แจงแต่ก็ถูกนางยกมือให้เงียบลง
“เอาล่ะ ทั้งสามคนอย่างได้เสียใจหรือผิดหวังไป ไม่ว่ายังไงพวกท่านก็ได้พิสูจน์แล้วว่าพวกท่านยังคงเป็นเสาที่แข็งแกร่งให้กับทางราชวงศ์ ขอบคุณทุกท่านที่ลำบาก เชิญพวกท่านออกไปได้”
บรรยากาศในห้องเงียบสนิท เพื่อนทั้งสามของผมหน้าตาต่างก็ไม่สู้ดี แม้แต่ผมที่เป็นผู้ชนะก็ไม่ได้ดีอกดีใจ
ไม่ว่ายังไงผมต้องคุยให้รู้เรื่องให้ได้...
……………………………………………….
ณ สวนลอยฟ้าของวัง
“องค์หญิงนี่มันหมายความว่ายังไงครับ” หลังจากประกาศว่าผมเป็นผู้ได้รับเลือกให้เหล่าขุนนางฟังเป็นที่เรียบร้อยนางก็พาผมมาที่ระเบียงของวัง มันถูกจัดเป็นสวนหย่อมเล็กๆ
“ไม่มีใครอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดเป็นทางการก็ได้” เดลซ่าเดินไปนั่งที่ริมระเบียง สายตาทอดไปยังตึกรามบ้านช่องเบื้องล่าง
“เดลซ่า อธิบายมาเดี๋ยวนี้ ทำไมข้าถึงชนะทั้งๆที่...”
“ทั้งๆที่ตอบว่าไม่น่ะเหรอ” นางขัดขึ้นมาโดยที่ไม่หันกลับมามอง “ก็อย่างที่เราบอก คนที่หนักแน่นที่สุดคือคนที่ชนะ”
“ต่อให้ไม่ต้องการจะชนะอย่างนั้นน่ะเหรอ”
“ใช่ เราไม่ต้องการแต่งงานกับคนที่ยังไม่รู้แม้แต่ความปรารถนาของตนเอง” เสียงของนางเรียบนิ่ง เจือความเศร้า
“แต่เจ้าจะยอมแต่งกับคนที่ไม่ได้รักเจ้าเลยอย่างนั้นเหรอ” ผมไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจหญิงสาวตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย
“ราชาคือผู้ที่รู้ใจตนเองว่าต้องการหรือไม่ต้องการสิ่งใด นั่นคือคนที่เราตามหา”
“แต่...”
“เร็กซ์ ท่านจะปฏิเสธอย่างนั้นเหรอ” นางยกเสียงขึ้นถามอย่างท้าทาย “ท่านกล้าปฏิเสธราชวงศ์งั้นเหรอ”
“...ใช่”
“ด้วยเหตุผลอะไร”
“อย่างที่เจ้าว่า เพราะข้ารู้ว่าปรารถนาใครและต้องรักษาสัญญากับคนๆนั้น” ผมตอบไปโดยไม่เกรงกลัว ผมมีสัญญาที่ต้องทำตาม ผมต้องไปรับคนรักของผมกลับมาเคียงข้าง ต่อให้ต้องตายผมก็ไม่ยอมให้ใครขวางทาง
“เฮ้อ...” หญิงสาวยกมือขึ้นกุมขมับ ส่ายหน้าแล้วถอนหายใจยาว “ท่านนี่ซื่อบื้อเหมือนที่รอสว่าจริงๆ ขืนตอบไปแบบนั้นโดนจับประหารแน่ๆ ดีไม่ดีพ่อของเราจะลงมือเองด้วยซ้ำ”
“จ...เจ้ารู้” ผมไม่อยากจะเชื่อหูตนเอง นางพึ่งเอ่ยชื่อคนรักของผม นางรู้ได้ยังไง
“ใช่เรารู้ เราคือร่างทรงของแอตลาส สัตว์อสูรแห่งปฐพีผู้ปกป้องดินแดนแห่งนี้ ขอแค่มีจุดอ้างอิงอย่างเทวะภัณฑ์ เราก็สามารถใช้ดวงตาของท่านเฝ้าติดตามได้ ตราบใดที่อยู่บนผืนแผ่นดินนี้”
“...!!!”
“เราเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าผู้กล้าของเรามีความเป็นไปอย่างไรบ้าง” นางหยิบผ้าเช็ดหน้าสีน้ำตาลเข้มขึ้นปิดใบหน้าครึ่งล่าง “แล้วเราขอบอกเลยว่าการเดินทางของท่านแซ่บที่สุด”
แซ่บ ? อะไรคือแซ่บ แล้วผมตาฝาดรึเปล่า ทำไมหน้านางแดงขึ้นและผ้าเช็ดหน้าของนางมีสีเข้มขึ้นเป็นดวงๆ
“ถ้าแบบนั้นทำไมถึงยังเลือกข้าอยู่ทั้งๆที่มีคนรักเป็นชาย”
“ก็อย่างที่เราบอกไงว่าต้องการคนที่หนักแน่นที่สุด หากรัก...เราก็ยินดีที่จะแต่งงานด้วย หากว่าไม่รัก...เขาก็จะปฏิเสธเราเช่นท่าน แต่ท่านต้องปรับปรุงคำขอปฏิเสธสักหน่อย”
“ทำไมเจ้าถึงพูดเหมือนวางแผนไว้แล้ว”
“ท่านคิดมากไปเองต่างหาก หึหึ” เดลซ่าเก็บผ้าเช็ดหน้าลงแล้วดึงมือผมไปนั่งข้างๆ “เราช่วยท่านสละตำแหน่งโดยไม่ให้เกิดความบาดหมางระหว่างตระกูลของท่านกับราชวงศ์ได้ แต่ท่านต้องหาข้ออ้างที่ดีกว่านี้”
“ข้ออ้างอื่นอย่างนั้นเหรอ” ผมครุ่นคิดว่าจะใช้เหตุผลใดดี นอกจากจะต้องฟังขึ้นกับราชาแล้วยังต้องฟังขึ้นกับที่บ้านด้วย อ่า...ใช่แล้ว เหตุผลเดิมที่ตั้งใจไว้
“ข้าขอปฏิเสธตำแหน่งรัชทายาทเพราะการเดินทางครั้งนี้ทำให้ข้าตระหนักได้ว่าข้ายังอ่อนหัดในหลายๆเรื่อง อีกทั้งยังมีผู้คนมากมายที่ถูกเงาบดบังจนไม่ได้รับความช่วยเหลือ ข้าอยากจะออกไปผจญภัยเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์และช่วยเหลือประชาชนผู้ทุกข์ยากเหล่านี้ด้วยมือของตนเอง”
“เป็นเหตุผลที่สูงส่ง เปี่ยมไปด้วยความเสียสละโดยไม่เห็นแก่ประโยชน์ของตน เราว่าพ่อของเราน่าจะรับได้” เดลซ่ายกมือขึ้นท้าวคางแล้วคิดตาม “ถ้าแบบนั้นเราจะลองคุยให้ท่านพ่อมอบตำแหน่งผู้กอบกู้ (Savior)ให้ได้”
“ตำแหน่งที่มอบให้กับผู้กล้าในตำนานน่ะเหรอ” เป็นตำแหน่งที่คนมีชาติตระกูลไม่ค่อยรับเพราะต้องออกไปอยู่อย่างลำบาก ช่วยเหลือผู้คนเยี่ยงนักผจญภัยธรรมดา มันคือการเสียสละที่แท้จริง แต่มันก็มีสิทธิพิเศษมาบ้าง
“ใช่แล้ว ตำแหน่งที่สามารถเข้า-ออกได้ทุกเมือง รับภารกิจของกิลด์นักผจญภัยได้ทุกระดับ รวมทั้งขอหนังสือรับรองข้ามประเทศได้” เดลซ่าอธิบายต่อ
“เยี่ยมไปเลย...ถ้าได้รับมาตระกูลของข้าก็น่าจะไม่มีปัญหาเช่นกัน” ผมดีใจจนแทบลุกกระโดดโลดเต้น ถ้าได้รับตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้มาท่านพ่อต้องไม่มีปัญหาแน่ๆ ในที่สุดอุปสรรคก็จะได้หมดลงสักที ผมจะได้ไปรับคนรักออกมาผจญภัยอย่างที่ตั้งใจไว้ “ไปกันเถอะ ไปบอกองค์ราชากัน” ผมจูงมือนางเข้าวังด้วยความรีบร้อน
“เดี๋ยวก่อน จะบอกปุบปับแบบนี้ไม่ได้ เราขอเวลาคุยกับพ่อก่อน” นางรั้งตัวแล้วเรียกสติผมกลับมา “ขอเวลาคุยและเตรียมการสักอาทิตย์นึงได้ไหม แล้วอย่าพึ่งไปบอกคนนอกนะ เราไม่อยากให้ตื่นตูมกันก่อนที่จะเตรียมการเสร็จ”
“ก็ได้” แม้จะร้อนรนเพราะกลัวว่ารอสจะเสียใจเมื่อรู้เรื่องที่ผมได้รับตำแหน่งรัชทายาท แต่เพื่อให้เราได้อยู่ด้วยกันผมคงต้องยอมอดทนหรืออย่างน้อยก็ไปบอกเขาไว้
รอก่อนนะรอส อีกเดี๋ยวข้าจะไปหาเจ้าแล้ว
................................
4 วันผ่านไป
ผมนั่งอยู่ในเรือนรับรองชั้นนอกของตระกูลเดรโกนัสด้วยความตื่นเต้น ที่ดินของตระกูลนี้แบ่งออกเป็นสองส่วนคือชั้นนอกที่ตระกูลรองอาศัยอยู่และใช้รับรองแขก และชั้นในที่มีข่ายอาคมคุ้มกัน เป็นที่อยู่อาศัยของตระกูลหลัก
ทั้งๆที่จะรีบตรงมาหาแท้ๆ แต่กว่าจะผ่านงานสังสรรค์มาได้ก็แทบแย่ วันแรกก็ต้องรีบแจ้งที่บ้านก่อนถึงเรื่องที่จะปฏิเสธตำแหน่งรัชทายาท ท่านพ่อแปลกใจแต่ก็ไม่ได้ค้านอะไร
“อืม ถึงจะเสียดายอยู่บ้าง แต่เจ้าก็ยังอ่อนหัดจริงๆ เจ้ายังไม่คู่ควรกับตำแหน่งราชา ได้ออกไปเผชิญโลกกว้างก็ดีเหมือนกัน เจ้าจะได้แข็งแกร่งขึ้น” ท่านพ่อเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับการฝึกฝนตนเสมอ ขออ้างที่จะออกไปเดินทางเพื่อฝึกฝนจึงผ่านอย่างง่ายดาย
...แต่เพราะว่ายังต้องปิดข่าวไว้ก่อนจึงต้องร่วมงานเลี้ยงที่ญาติพี่น้องจัดให้ ไหนจะเหล่าขุนนางที่เข้าหาจนแทบจะกระดิกตัวไม่ได้ ซ้ำยังมีเจ้าพวกอัศวินตัวแสบใต้บัญชาอีก
“นี่หัวหน้า หญิงคนนี้นี่เด็ดสุดในร้านแล้ว พวกเรารวมเงินกันจ้างให้นางเป็นคู่ซ้อมให้หัวหน้าก่อนขึ้นเตียงวันอภิเษกเลยนะ” ผมได้แต่ส่ายหน้าเมื่อเจ้าพวกตัวดีจ้างหญิงสาวหน้าตาดีมานั่งด้วยในงานเลี้ยงฉลองความสำเร็จ
“ไม่ต้อง” ผมตอบไปเสียงแข็ง
“หัวหน้าจะปรนเปรอองค์หญิงให้มีความสุขได้ยังไง ถ้าไม่เคยมาก่อน ฮ่าๆ” หนอย...ไอ้เจ้าพวกนี้มันน่าเอาดาบฟันให้หัวแบะ
“ข้าเคยแล้...เอ้ย...ข้าจัดการเองได้หน่า” ผมตอบกลับไปด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ
“อะไรนะหัวหน้า โหย...ร้ายเหมือนกันนะเนี่ย ฮ่าๆ ไกลหูไกลตาแปปเดียวก็...”
กร๊อบๆ
เจ้าพวกลูกน้องปิดปากสนิททันทีที่ผมเปลี่ยนสีหน้าและเริ่มหักข้อนิ้ว
“ถ้าไม่อยากให้งานเลี้ยงเป็นสนามฝึกก็สงบปากสงบคำซะ”
แอ๊ด...
ผมลุกขึ้นยืนเมื่อประตูเปิดออก แทบจะอยากเข้าไปฉวยคนตรงหน้ามากอดไว้ด้วยความรีบร้อน ทว่า...คนที่ออกมาพบคือวาเรเรี่ยน
“พวกเจ้าออกไปก่อน ข้าขอคุยธุระส่วนตัว” ชายผมแดงเอ่ยไล่บริวารออกจากห้อง
“ท่านวาเรเรี่ยน” ผมเอ่ยนามตรงหน้า
“มาที่นี่มีธุระอะไร...?” เขาตอบกลับเสียงแข็ง แววตาดุดัน
“ข้ามาขอพบวารอส”
“เพื่ออะไร...?”
“เราเดินทางร่วมกันมา ข้าอยากจะมาขอพบเขาอีกครั้ง” คำถามของชายตรงหน้าทำให้ผมอ้ำอึ้ง ผมไม่รู้ว่ารอสอยากให้คนที่บ้านรู้เรื่องหรือไม่จึงขอสงวนท่าทีไว้ก่อน
“ข้าต้องขอปฏิเสธ”
“ท...ทำไมล่ะ”
“ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ ทั้งๆที่อยู่ในการทดสอบแท้ๆแต่กลับสานสัมพันธ์กับคนอื่น เจ้าไม่คิดบ้างเหรอว่าคนๆนั้นจะเสียใจขนาดไหนหากเจ้าได้เป็นรัชทายาท” เสียงของรุ่นพี่กดต่ำราวกับพยายามระงับโทสะไว้ให้ได้มากที่สุด
“ท่าน...รู้ ?” ผมตกใจมาก ไม่นึกว่าคนในตระกูลจะรู้ความสัมพันธ์ของเราสองคนแล้ว แต่มันก็น่าจะช่วยให้คุยง่ายขึ้น
“ใช่ข้ารู้ และก็เห็น...ว่าน้องข้าเศร้าโศกขนาดไหนเมื่อผิดหวัง” หัวใจของผมปวดร้าวเมื่อได้ยินคำตอบ เป็นอย่างที่คิด...รอสรู้ข่าวแล้วคงต้องเสียใจมากแน่ๆ
“แต่ข้ารักเขาจริงๆนะ ได้โปรดให้ข้าได้พบ...”
พรึบ
ลูกไฟพุ่งเฉียดใบหน้าไปไม่ถึงเซนติเมตร ถ้าไหวตัวช้าไปเบี่ยงตัวหลบไม่ทันอาจจะเข้าหน้าเต็มๆ จิตสังหารของชายหนุ่มตรงหน้าพุ่งตรงเข้าหาจนผมต้องตั้งท่าพร้อมรับมือ
“เร็กซัส!!! เจ้ากล้าดียังไงถึงพูดคำว่ารักออกมา เจ้าไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะพูดแบบนั้นได้แล้วนะ” วาเรเรี่ยนแผดเสียง เขาโมโหมากจนมีเปลวไฟลุกขึ้นมาที่ฝ่ามือทั้งสองข้าง
“แต่ข้าหมายความอย่างนั้นจริงๆ”
พรึบ
ลูกไฟอีกลูกพุ่งเข้าหาจน ผมกระโดดถอยออกมาเว้นระยะเพราะไม่มีอาวุธในการปัดป้อง
“หุบปากได้แล้ว ข้าไม่อยากโดนตราหน้าว่าทำร้ายรัชทายาทเพราะแพ้การคัดเลือก ฉะนั้นไสหัวออกไปแล้วอย่ามายุ่งกับน้องข้าอีก แค่นี้เขาก็เสียใจมากพอแล้ว ถ้าเจ้ารักเขาจริงก็ปล่อยเขาไปซะ ให้ทุกอย่างมันง่ายขึ้นสำหรับวารอส” วาเรเรี่ยนกล่าวอย่างหัวเสียก่อนจะระเบิดประตูห้องออกแล้วเดินจากไป
“แต่ว่าข้า...ข้า...” บ้าจริง...เพราะสัญญาไปแล้วว่าจะยังไม่บอกเรื่องสละตำแหน่งก่อนเวลาอันควรทำให้ผมไม่สามารถโต้เถียงใดๆออกไปได้นอกจากกลับออกมามือเปล่า
……………………..
อีก 4 วันถัดมา
ในที่สุดก็ถึงวันที่ทุกอย่างพร้อมสำหรับการประกาศสละตำแหน่ง ขุนนางทุกคนแปลกใจเมื่อทราบข่าวเพราะไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่คิดว่าจะมีคนที่ปฏิเสธตำแหน่งนี้
พิธีถูกจัดขึ้นในห้องโถงห้องเดิม องค์ราชากล่าวชมความเสียสละและมอบตราสัญลักษณ์ผู้กอบกู้ให้ แต่ก็ตำหนิการตัดสินใจอยู่บ้าง คงเพราะติดใจที่ผมปฏิเสธองค์หญิงสุดที่รักของท่าน แต่เดลซ่าบอกไว้แล้วว่าเดี๋ยวท่านก็หายเคืองเอง ไม่รู้เหมือนกันว่านางไปพูดอะไรไว้บ้าง
เมื่อเสร็จพิธีผมก็ไม่รีรอ รีบตรงไปที่คฤหาสน์ของเดรโกนัสทันที แต่แล้วก็ต้องผิดหวังอีกครั้งเพราะคนในตระกูลต่างออกไปประชุมที่สภาเวทมนตร์กันหมด อีกทั้งยังมีคำสั่งกำชับไม่ให้ผมเข้าพบรอสเด็ดขาด ผมรอจนตกดึกหวังลักลอบเข้าไปแต่ก็ไม่สำเร็จเพราะข่ายอาคมทำหน้าที่เป็นกำแพงล่องหนทำให้ผมฝ่าเข้าไปไม่ได้ จึงต้องกลับออกมามือเปล่าอีกครั้ง
แต่แล้วด้วยคำแนะนำและความช่วยเหลือขององค์หญิงผมก็สามารถฝ่าเข้ามาได้สำเร็จ ในคืนนี้ก่อนที่รอสจะต้องเดินทางจากไปพอดี...
...........................