ตอนที่ 7 สมหวัง
พวกเราออกจากวัดมาตามเส้นทางที่คุณยายบอก ผมมองดูนาฬิกาตอนนี้ก็บ่ายสามแล้ว ถ้าไม่รีบจัดการเรื่องให้เสร็จมีหวังไม่ได้กลับแน่ๆ ผมเห็นเสาธงและอาคารเรียนอยู่ไม่ไกล
‘โรงเรียนสว่างอารมณ์’ และถัดไปไม่ไกลจากโรงเรียน
‘ที่ทำการผู้ใหญ่บ้าน’พวกเราเลี้ยวรถเข้าไปจิด ผมชะเง้อมองหาคน แต่ก็ไม่ยักเห็นวี่แววใคร
“สวัสดีครับ………มีใครอยู่ไหมครับ”
------เงียบ-----
“ขอโทษครับ………มีใครอยู่ไหมครับ”
-----เงียบ-----
พวกเรายืนอยู่หน้าบ้านโดยมีวิณณ์ตะโกนเรียกแต่ก็ไม่มีใครตอบรับ ตอนนี้พวกเราเดินเข้ามาด้านในบ้านผู้ใหญ่ บ้านหลังนี้เป็นบ้านยกใต้ถุนสูง ด้านล่างตัวบ้านมีแคร่ไม้อยู่ สองสามตัว กระดานที่มีการขีดเขียนจดบันทึกวันที่ และข้อมูลของการประชุม มองดูนี่คงเป็นที่เอาไว้ประชุมลูกบ้าน ส่วนด้านบนก็เป็นบ้านพัก
“มาหาใครกันหรือพ่อหนุ่ม”
“เฮ้ยยยยยย” ทั้งผมและวิณณ์ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อมีเสียงหนึ่งดังมาจากทางด้านหลัง พวกเราหันกลับมาก็พบกับผู้หญิงวัยกลางคนยืนอยู่ด้านหลัง
“เอ่อ ขอโทษครับ” พวกเรายกมือไหว้ขอโทษคุณป้า (ไม่รู้ว่าคุณป้าจะเห็นผมไหม แต่แม่สอนไว้จะผิดจะถูกก็ให้ไหว้ไว้ก่อน)
“ผมมาหาผู้ใหญ่คงครับ”
“ผู้ใหญ่นะเหรอ โน่นแหนะ อยู่ในส่วนโน่นเวลานี้แกต้องไปดูพืชผักในสวน” ผมมองตามที่คุณป้าชี้ไป ด้านหลังของบ้านเป็นสวน มีท้องร่องน้ำ แต่ผมกลับมองไม่เห็นคนเพราะเห็นแต่สีเขียวๆ ของต้นไม้เต็มไปหมด
“งั้นผมอนุญาติไปหาผู้ใหญ่ก่อนนะครับ”
“จ้ะ…….เดินดีๆ กันละ ระวังตกลงไปในท้องร่องน้ำนะ สะพานข้ามท้องร่องก็เดินข้ามระวังนะ ไม้บางอันมันก็ผุแล้ว”
“ครับ ขอบคุณครับ”
พวกเราเดินมาที่สวนหลังบ้าน พลางมองหาเป้าหมาย ก็เจอกับชายใส่หมวกปีกกว้างยืนตักน้ำจากร่องน้ำรดผักอยู่ที่ปลายสวน นั่นน่าจะเป็นผู้ใหญ่คงคนที่เรากำลังตามหา นี่ผู้ใหญ่มาทำสวยตอนบ่ายแดดร้อนๆ แบบนี้เนี่ยนะ เดี๋ยวก็ได้เป็นลมเป็นแล้งพอดี
เอ๊ะ….....แดดร้อนเหรอ?? ทำไมตอนคุยกับคุณป้าที่ใต้ถุนบ้านผมว่าอากาศมันไม่ได้ร้อน หรืออบขนาดนี้นะ มันออกจะเย็นๆ เหมือนเปิดแอร์ด้วยซ้ำ แต่มันไม่มีแอร์ไง หรืออาจจะเพราะอยู่ใต้ถุนบ้านก็ได้มั้ง
ผมเดินตามหลังวิณณ์มาตามท้องร่องสวน ตาก็มองพืชผักที่ปลูกไปด้วยส่วนใหญ่ที่ปลูกก็เป็นพวกพืชผักสวนครัวทั้งนั้น มีทั้ง พริก มะเขือ มะกรูด มะนาว มะพร้าว ส้มโอ ไชโย โฮ่หิ้ววว -____- เอ่อ…อันนี้ไม่ใช่ครับ
ก็พวกพืชสวนครัวทั่วไปนะแหละครับ ประเภทปลูกง่าย โตไว ทันใช้ทันกิน ถัดไปอีกฝั่งก็มีต้นกล้วย แต่อย่าถามนะว่ากล้วยอะไร เพราะผมกินเป็นอย่างเดียว ฮ่าๆๆๆ และยังมีพืชไม้เลื้อย พวกฟัก ฟักทอง ยังมีอีกเยอะครับ ไอ้ผมก็รู้บ้าง ไม่รู้บ้าง
“สวัสดีครับ ผู้ใหญ่คง ใช่ไหมครับ”
ชายวัยกลางคนตรงหน้าหันกลับมา ริ้วรอยบนใบหน้าที่บ่งบอกถึงอายุ ผิวพรรณกรำแดดกรำฝนมานานบ่งบอกถึงประสบการณ์ชีวิตของคนตรงหน้าได้อย่างดี
“มีธุระอะไรกับผู้ใหญ่ละ”
“ผมมีเรื่องอยากสอบถามผู้ใหญ่หน่อยนะครับ” ผู้ใหญ่มองเหมือนชั่งใจอะไรสักอย่าง
“ผมชื่อวิณณ์ เป็นตำรวจครับ มาจากกรุงเทพ” วิณณ์บอกพร้อมกับหยิบบัตรประจำตัวยื่นให้ผู้ใหญ่ดู ผู้ใหญ่พยักหน้ารับทราบก่อนจะเดินนำกลับไปยังทางที่พวกผมเดินมา ใต้ถุนบ้านที่เดิม
“นั่งก่อนซิผู้กอง” ผู้ใหญ่คงเดินหายเข้าไปหลังบ้านก่อนจะเดินกลับมาพร้อมน้ำ 1 แก้ว และนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม แบบนี้แสดงว่า ผู้ใหญ่ไม่เห็นผมซินะ
“ผู้กองมาสืบคดีคนเดียวไกลขนาดนี้ แสดงว่าเรื่องที่อยากถามต้องสำคัญมากซินะครับ”
“ครับ ผมมาตามหาครอบครัวและญาติของเด็กคนหนึ่ง”
“เด็ก?”
“เมื่อสองวันก่อนผมได้เข้าจับกุมโรงงานค้าแรงงานเด็ก และเด็กที่อยู่ในโรงงานนั้นทุกคนเป็นเด็กที่ถูกลักพาตัวมา เราช่วยเด็กออกมาได้รวม 11คน แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด มีเด็ก 1 คนที่เสียชีวิตอยู่ในโรงงาน ผมพอจะมีข้อมูลบางส่วนของเด็กแต่ละคน รวมถึงเด็กที่เสียชีวิต ผมจึงอยากจะมาตามหาครอบครัวหรือญาติของเด็กคนนี้เพื่อแจ้งให้เขาทราบ”
“แล้วผู้กองรู้ยังไงว่าจะต้องเริ่มหาจากตรงไหน”
“อย่างที่บอกครับผมมีข้อมูลบางส่วนเท่านั้น ซึ่งผมก็คลำหาจากข้อมูลเท่าที่มีในมือ”
“ข้อมูลชี้หรือครับว่าเป็นที่นี่ แล้วทำไมต้องป็นที่นี่ ต่อให้เด็กคนนั้นเป็นคนพื้นที่นี้จริงๆ มันก็ไม่สมเหตุสมผลอยู่ดีเพราะเด็กเสียชีวิตไปแล้ว มันไม่มีอะไรยืนยันได้ว่าข้อมูลที่ผู้กองมีมันจะถูกต้อง”
เอาละซิ ผู้ใหญ่แกเป็นคนฉลาดพอตัวเลยแหะ ไม่ใช่ว่าพวกผมไม่เคยคิดว่าจะต้องเจอกับคำถามพวกนี้ ผมเคยคิดคำตอบดีๆ ไว้หลายแบบเลยแหละ แต่สุดท้ายผมก็ต้องทิ้งความคิดไป เพราะวิณณ์บอกว่าไม่เห็นจะต้องเตรียมอะไรไว้คอยตอบ ทุกอย่างมันมีคำตอบของมันเอง มันสามารถปรับได้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ตรงหน้า
“ผมถามจากเด็กคนอื่นๆ ที่ถูกช่วยออกมาจากโรงงานนั้น เรารู้ชื่อว่า น้องคนที่เสียชีวิตชื่อ ดาว ดาวเคยเล่าให้เด็กคนอื่นๆ ฟังว่าตัวเองถูกจับมาตอนที่ไปเที่ยวงานวัดกับพ่อและแม่ ตัวน้องเองก็จำได้แต่เพียงว่าวัดที่มามีพระพุทธรูปนั่งองค์ใหญ่ๆ สีทองอยู่ในโบสก์ ผมก็สืบหาข้อมูลจากอินเตอร์เนตนี่แหละครับโดยเริ่มจากจังหวัดใกล้ๆ ก่อน เดี๋ยวนี้อินเตอร์เนตไปไกลข้อมูลหาได้ไม่อยาก ผมเลยสืบย้อนกลับไปว่าช่วงที่น้องหายตัวไป วัดที่มีพระพุทธรูปลักษณะนี้และมีงานจำปีของวัดมีที่ไหนได้บ้าง”
“เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีไปไกลอะไรมันก็ง่ายขนาดนี้เลยเนอะ”
“ผมลองไปสอบถามคนที่วัดก็ไม่มีใครจำได้ จนเจอกับคุณยายคนหนึ่งแกแนะนำให้ลองมาหาผู้ใหญ่ เผื่อผู้ใหญ่จะมีข้อมูลหรือมีลูกบ้านแจ้งเรื่องร้องเรียนไว้บ้าง” ผู้ใหญ่แกนั่งฟังพร้อมกับคิดไปด้วย
“นั่นรูปของเด็กคนนั้นใช่ไหม”
“ครับ” วิณณ์ตอบพร้อมกับหยิบแฟ้มเอกสารที่อยู่ข้างตัวให้ผู้ใหญ่
“ถูกลักพาตัวไปตั้งแต่ปี 2553 เลยเหรอ ….. นี่ก็ 7 ปีแล้วซิ ผ่านมานานพอดู” ขณะที่รอผู้ใหญ่อ่านเอกสารในมือ แกดูไปก็พูดเองตอบเองไป มือก็เปิดเอกสารดูไปทีละหน้า
.
.
.
.
.
“เดี๋ยวนะ” และเหมือนแกนึกอะไรได้ แล้วก็ลุกไปที่โต๊ะทำงานที่อยู่ในห้องด้านใน ระหว่างที่ผมรอก็เดินดูรอบๆ บ้านไปเรื่อย แล้วสายตาก็มองเลยประตูเข้าไปในห้องทำงานของผู้ใหญ่ นั่นรูปของคุณป้าคนเมื่อกี้นี้
“วิณณ์………….(ผมกวักมือเรียก)………….มานี่” วิณณ์เดินมาและผมชี้ให้ดูรูปบนฝาผนัง
“รอเดี๋ยวนะผู้กอง เอ๋……ว่าเก็บไว้ตรงนี้นี่หว่า มันอยู่ไหนวะ”
“ครับ ผู้ใหญ่ครับนั่นรูปใครเหรอครับ” ผู้ใหญ่เงยหน้าดูก่อนจะก้มลงไปแล้วตอบว่า
“นั่นนะ….เมียฉันเอง”
“อ่อ แล้วตอนนี้ไปไหนละครับ ตอนมาถึงผมยัง…”
“ตายแล้วละ ตายไปเมื่อ 3 เดือนก่อน”
“……………” วิณณ์ยังไม่พูดจบว่า ‘ผมยังเจอกันอยู่เมื่อกี้เลย’ ผู้ใหญ่แกก็ตัดหน้าตอบมาก่อน แล้วถ้าเมียผู้ใหญ่แกตายไปแล้ว แล้วคนที่เราคุยด้วยเมื่อกี้ก็…………….???
ผมกระโดดเกาะวิณณ์ นี่เราเจอผีโดยที่ไม่รู้ว่าเป็นผีหรือเนี่ย O___O โอ้ยยย ไอ้ตะวันทำไมมึงมันโก๊ะแบบนี้วะ
“ถามจริงเป็นวิญญาณจริงปะเนี่ย เจอพวกเดียวกันยังแยกไม่ออกอีก” วิณณ์หันมากระซิบเบาๆ ใส่ผม
ครับ ครับ รู้แล้วละครับว่าผมอะมันอ่อน เชอะ แต่ผมไม่รู้ถือว่าไม่ผิดนะ เพราะผมมันพวกวิญญาณฝึกหัด เสร็จภาระกิจเมื่อไหร่ผมก็ได้กลับไปเป็นคนเหมือนเดิมแล้ว
“อะ เจอแล้ว ว่าแต่เมื่อกี้ผู้กองจะพูดว่าอะไรนะ”
“เอ่อ เปล่าครับ ไม่มีอะไร” ผู้ใหญ่มองหน้าชั่งใจ ไม่รู้ทำไมผมมีความรู้สึกว่าผู้ใหญ่แกชอบมองแปลกๆ
“งั้นมาดูนี่ นี่เป็นแฟ้มเอกสารที่ฉันเก็บไว้ ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์จากพวกชาวบ้านนะแหละ” วิณณ์รับเอกสารมาจากผู้ใหญ่ แฟ้มหนาพอสมควร เปิดดูคร่าวๆ เอกสารที่เก็บไว้ก็ตั้งแต่ปี 2550 จนถึงปัจจุบัน แต่การจัดเรียงนี่ซิ มันปนเปกันไม่หมดเหมือนกับถูกจับเข้ามารวมกันไว้แบบลวกๆ
แต่ก็ต้องยอมรับว่า ผู้ใหญ่นี่สุดยอดจริงๆ
“มันเละเทะไปหน่อยนะผู้กอง ไอ้ตอนเมียอยู่มันบ่นๆ ว่าไม่รู้จักเก็บให้เรียบร้อย ถึงมันจะบ่นมันก็ช่วยเก็บช่วยดูแลให้ แต่พอมันตายไป มันก็เป็นอย่างที่เห็นนี่แหละ ไอ้ฉันมันก็ชอบรื้อ เก็บบ้าง ไม่เก็บบ้าง ไอ้ฉันมันคนไม่มีระเบียบเท่าไหร่ พอจะเอามาเก็บทีมันก็ปนกันมั่วอย่างที่เห็นนี่แหละ”
“เอกสารพวกนี้ผู้ใหญ่เก็บมาตั้งแต่รับหน้าที่หรือว่ารับช่วงมาครับ”
“พวกนี้นะเหรอฉันเก็บเอง ก็ตั้งแต่รับหน้าที่แทนผู้ใหญ่คนเก่าที่เกษียณไปก็ 10 ปีแล้วละ ฉันก็ทำแบบนี้มาตลอด ไอ้ความจริงฉันเองก็ไม่ได้อยากเป็นหรอกนะไอ้ผู้ใหญ่บ้านเนี่ย ทำสวน ทำไร่ ยังมีความสุขกว่าเลย แต่นังเมียตัวดีมันอยากมีผัวโก้ใส่ชุดข้าราชการ แล้วไง สุดท้ายก็มาชิงตายหนีกันไปก่อน ตอนแรกก็คิดว่าจะต้องเป็นผู้ใหญ่ไปจนแก่รอเกษียณ แต่ทางการเขามีพระราชบัญญัติออกมาใหม่ให้ กำนัน-ผู้ใหญ่บ้านมีวาระ 5 ปี ไอ้ฉันก็คงอยู่จนครบวาระสมัยนี้ จนมีการเลือกตั้งใหม่นี่แหละ แต่คงไม่สมัครแล้ว ขอทำไร่ ทำสวนอยู่เงียบๆ ดีกว่า สบายใกว่าเยอะ……. แล้วนี่ผู้กองเจออะไรบ้างหรือยังละ”
“ยังเลยครับ”
“เอ้าๆ งั้นหาไปก่อนเถอะ ฉันไม่กวนละ ขอไปเปลี่ยนผ้าเปลี่ยนผ่อนก่อน เดี๋ยวจะลงมาใหม่”
ว่าแล้วลุงผู้ใหญ่ก็ขึ้นบ้านไป พวกผมก็หันมาสนใจเอกสารในแฟ้มต่อ ดูๆ ไปนี่ก็ไม่คิดว่าชาวบ้านจะมีเรื่องร้องเรียนเยอะขนาดนี้เหมือนกันนะ มีตั้งแต่เรื่องขี้หมูขี้หมาอย่าง ‘กิ่งไม้ยื่นล้ำเข้าไปในรั้วบ้าน’ , ‘การแย่งกันสูบน้ำเข้านาเข้าสวน’, ‘หมาแอบมากัดไก่’ หรือจะเป็นปัญหา ‘การกู้ยืนเงิน’, ‘แย่งที่ทำมาค้าขาย ใครมาก่อนมาหลัง’ , ‘ปัญหาทะเลาะเบาะแว้งตีกันหัวแตกเลือดตกยางออกไปจนถึงเข้าโรงพยาบาลหนักสุดก็ถึงกับฆ่ากันตาย’ นี่มันเหมือนศาลไคฟงที่คอยรับฟังเรื่องร้องทุกข์เวลาชาวบ้านมาตีกลองหน้าศาลเลยแหะ
“เจอแล้ว”
“ไหนๆ เจออะไรเหรอ”
“ดูนี่ วันที่ 25 ตค 2553 นายอินและนางจัน แจ้งเรื่องไว้ว่าลูกสาวชื่อ ดญ.สุวิมล จันทร์หอม อายุ 5ปี ได้หายตัวไปที่งานประจำปีหลวงพ่อโต วัดป่าเลไลย์ โดยในวันที่หายได้ใส่เสื้อสีฟ้ากางเกงขาสั้นสีขาว
………………….
สถานภาพตอนนี้ *** ยังหาไม่พบ *** ……………………………
“มีลุ้นแหะ ว่าแต่เราจะไปหาสองคนนี้ได้ที่ไหนละ เออ…หรือเราจะลองขอร้องให้ผู้ใหญ่ช่าวยพาไปดีไหมวิณณ์”
“ก็คงต้องเป็นอย่างนั้น เดี๋ยวจะลองถามผู้ใหญ่ดู”
ไม่นานผมก็ได้ยินเสียง ก๊อกๆ แก๊กๆ จากพื้นไม้ด้านบน ผู้ใหญ่คงแต่งตัวเสร็จและกำลังจะลงมา
“เป็นยังไงได้อะไรไหมผู้กอง”
“คิดว่าน่าจะได้นะครับ”
“เหรอ?”
“เอ่อ ผู้ใหญ่ครับ ผู้ใหญ่รู้จักสองคนนี้ไหมครับ” วิณณ์หยิบเอกสารที่เป็นหน้าของนายอินกับนางจันยื่นให้ผู้ใหญ่ดู
“ไอ้อินกับอิจันนะเหรอรู้จักซิ ยังจำได้ถึงทุกวันนี้ ว่าแล้วก็สงสารมันสองคน ตอนนั้นนะทั้งสองคนวิ่งหน้าตาตื่นมาขอให้ช่วยตามหาลูกสาวที่หลงกันในงานประจำปีของวัด พวกชาวบ้านแถวนี้ก็ช่วยกันหา แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ วันนั้นได้ข่าวว่าทั้งหลานของมัคทายกเองก็หายไปเหมือนกัน แถมยังมีเด็กจากกรุงเทพด้วย”
ลุงผู้ใหญ่เว้นจังหวะพูด เหมือนกับกำลังพยายามนึกย้อนไปยังเหตุการณ์วันนั้น
“ตอนนั้นพวกชาวบ้านก็คิดว่าจะตกน้ำตกท่าไป พวกที่อยู่ใกล้ท่าน้ำก็ไม่มีใครพบเห็นอะไร เวลาผ่านเลยไปสามวันก็ยังหากันไม่พบ ศพก็ไม่เจอเพราะถ้าตกน้ำอย่างน้อยก็น่าจะลอยไปติดหรือไปโผล่ที่อื่น แต่ก็ไม่มีใครเห็นอะไร แถมตอนนั้นยังมีข่าวลักเด็ก ชาวบ้านส่วนใหญ่เลยคิดว่าอาจจะถูกพวกรถตู้ที่ตะเวนตามหมู่บ้านแล้วก็จับเด็กไป ลูกมันยังเล็กแถมยังหน้าตาน่ารัก แต่ต้องมาหายไปป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้”
“…….…..”
“ตัวพ่อเองช่วงนั้นก็ไม่ทำมาหากินอะไรเลย ออกแต่ตามหาลูก บ้านก็ใช่ว่าจะมีเงินทองพอใช้ซะเมื่อไหร่ พอไม่ได้ทำงานก็ยิ่งแย่ ดีที่ชาวบ้านมีอะไรก็แบ่งปันกันไป นิดๆ หน่อยๆ มันก็พอช่วยกันได้อะนะ คนเป็นแม่ก็น่าสงสาร มีลูกอยู่แค่คนเดียวกว่าจะมีได้ก็ยากลำบาก ดันต้องมาหายตัวไป ตั้งแต่นั้นมาอิจันมันก็เจ็บออดๆแอดๆ มาตลอด เฮ้ออ”
“ผู้ใหญ่พอจะพาไปบ้านสองคนนี้ได้ไหมครับ”
“ได้ซิ ห่างจากบ้านฉันไปก็ประมาณ 2-3 โลได้นะ เข้าไปด้านในท้ายหมู่บ้านโน่น”
“ขอบคุณครับ”
วิณณ์ให้ผู้ใหญ่ขึ้นรถมาคันเดียวกันจะได้ง่ายและสะดวกกว่าการที่ต้องขับตามกันไป บ้านนายอินและนางจันอยู่ลึกเข้ามาด้านใน ถึงจะมีบ้านคนสองข้างทางเป็นระยะๆ แต่มันก็ทิ้งช่วงห่างกันพอดู เวลากลางคืนก็คงจะเปลี่ยว น่ากลัวอยู่เหมือนกัน จากบ้านผู้ใหญ่ขับรถมาประมาณ 3 กิโลเราก็เจอจุดหมาย บ้านหลังเล็กเป็นไม้ชั้นเดียว สภาพบ้านดูเก่าและทรุดโทรมกว่าที่ควรจะเป็น บ้านหลังนี้ตั้งอยู่โดดเดี่ยวและห่างจากบ้านอื่นๆ พอสมควร สองข้างของบ้านเป็นทุ่งนา ด้านขวาเยื้องตัวบ้านไปมีควายสองตัวถูกผูกอยู่ในคอก เรียกว่าคอกหรือเปล่านะ เอาไม้กั้นสี่ด้านและมีหลังคาเป็นเพิงพอกันแดดกันฝนได้
“นี่ละ ถึงแล้วบ้านไอ้อินกับอิจันมัน” วิณณ์เดินเข้าไปใกล้ตัวบ้านพร้อมกับมองสำรวจบริเวณรอบๆ
“ผู้กองคิดว่าเด็กคนนั้นจะเป็นลูกของสองคนนี้ไหม”
“ผมก็ยังไม่แน่ใจ แต่ก็ต้องลองดูครับ” ผู้ใหญ่เดินนำเข้าไป
“อิน…….ไอ้อิน……..นังจัน…….มีใครอยู่ไหม”
“ลุงอิน ป้าจันครับ” วิณณ์ก็ช่วยตะโกนเรียกไปด้วย แต่ยังคงไร้วี่แววการเคลื่อนไหวจากคนในบ้าน
“อินโว้ยยย………..อยู่ไหม”
ครั้งนี้มีเสียงกุกกักจากภายในทำให้รู้ว่ามีคนอยู่และกำลังเปิดประตูออกมา หญิงวัยกลางคนผิวคล้ำ หน้าตาอิดโรย ผมสีดำแซมด้วยสีขาวที่บ่งบอกถึงวัย เมื่อเปิดประตูมาเจอผู้ใหญ่ก็ทำหน้าตาประหลาดใจ และยิ่งเมื่อเจอกับวิณณ์ก็ยิ่งเพิ่มความสงสัยไปอีก
“ผู้ใหญ่มีธุระอะไร แล้วนั่นใครละ”
“ข้านะไม่มี แต่ผู้กองโน่นเขามี ผู้กองวิณณ์เขาเป็นตำรวจมาจากกรุงเทพ เขามีอะไรจะถามแกซักหน่อยนะ นังจัน”
“ถามฉัน?.........เรื่องอะไรละ” ประโยคหลังป้าจันหันมาถามวิณณ์
“ป้าครับ ผมอยากให้ป้าดูรูปนี้หน่อยนะครับ คุณป้าจะจำได้หรือว่ารู้จักไหมครับ” วิณณ์พูดพร้อมกับยื่นรูปของดาวที่เป็นรูปเก่าที่ได้มาจากโรงงานให้ป้าจันดู ป้าแกดูอึ้งแกมตกใจ แต่เหมือนยังไม่แน่ใจมากนัก ก็เพราะรูปนั้นนะมันเก่าแถมยังถูกน้ำเลอะเทอะไปหมดเหลือแค่เค้าโครงลางๆ วิณณ์ถึงได้ตั้งใจให้จ่ามิ่ง เสก็ตภาพน้องดาวขึ้นมาใหม่โดยทำให้ดูโตขึ้นเหมือนเด็กอายุ 12 ปี
แต่แม่ก็คือแม่วันยังค่ำ ต่อให้ลูกเปลี่ยนไปแค่ไหนมันก็ยังมีสายสัมพันธ์บางๆ เชื่อมอยู่
“ฮึก…......เหมือน เหมือนมาก เหมือนลูกฉันมาก ผู้กองไปเจอมาเหรอคะ เจอที่ไหน บอกได้ไหม พาฉันไปได้ไหม ฮืออออออ”
ว่าแล้วจากที่สะอื้นภายในเขื่อนน้ำตาก็แตกโดยไม่คาดคิดป้าแกทรุดตัวลงกับพื้น ถึงแม้จะยังไม่แน่ใจว่าใช่ลูกตัวเองไหม แต่ความหวังที่มีคนมาจุดประกายให้มันทำให้หัวใจดวงนั้นพองโตอย่างมีหวัง แต่ถ้าป้าแกรู้ว่าการพบเจอครั้งนี้คือการจากลาตลอดไปจะเป็นยังไง บางทีการจากโดยไม่รู้อาจจะดีกว่าหรือเปล่านะ
“ฮือ……ฮือ ดาว ดาวลูกแม่…….เจอดาวแล้วเหรอ ผู้กองเจอที่ไหน บอกป้า……บอกป้าหน่อย…..เจอที่ไหน ฮือ….ฮือ”
ผมที่ตอนนี้ยืนดูอยู่ยังน้ำตาไหลไปกับภาพตรงหน้า นี่ซินะคำว่า
‘แม่’“ใครนะ แล้วนั่นแกเป็นอะไรยายจัน” ผมหันไปทางเสียงชายคนนั้น ชายวัยกลางคนอายุน่าจะไร่เรี่ยกันกับป้าจัน นี่คงจะเป็นลุงอินสามีของแก
“อ้าวผู้ใหญ่มีอะไรหรือเปล่า มีเอาเย็นป่านนี้ แล้วนี่พาใครมาด้วยละ” ชายคนนั้นเดินเข้ามาประคองเมียแกให้ลุกขึ้น และหันมาพูดกับผู้ใหญ่และวิณณ์
“พ่อ ผู้กองเขามาจากกรุงเทพ เขาเจอดาว เขาเจอดาวแล้ว ฮึก......”
“จริงเหรอ” ชายคนนั้นยังคงไม่เชื่อและมองวิณณ์เหมือนไม่ไว้ใจ
“นี่ไง นี่ นี่ พ่อดูนี่ ดาว ดาวลูกเรา”
“รูปแค่นี้ แกจะไปเชื่อได้ไง ชัดก็ไม่ชัด เป็นใครก็ไม่รู้ตำรวจจริงหรือเปล่า นี่ถ้าจะมาหลอกเอาเงินตามหาลูกให้นะ ข้าไม่มีหรอกนะ เอ็งรีบกลับไปเลย ผู้ใหญ่ก็อีกคน เชื่อใครไม่เข้าท่า”
“อ้าว ไอ้จัน นี่ผู้กองเขาเป็นตำรวจจริง ไม่เชื่อ ผู้กองเอาบัตรให้มันดู เขามาช่วยแล้วเอ็งจะเชื่ออีกเหรอ”
“ช่วยเหรอ ตอนที่ฉันไปแจ้งความตามหา ขอร้องอ้อนวอนให้พวกตำรวจช่วยนะ มันเคยสนใจไหม แค่ลงบันทึกประจำวันใบเดียว เขียนเสร็จแล้วก็แล้วกัน ถามซักคำมันยังไม่เคยมาถาม ฉันไปโรงพักทุกวัน มันก็ได้แต่บอกว่า กำลังสืบ เหอะ อย่ามาหลอกกันเลย ตอนนี้พวกฉันสองคนก็อยู่กันได้ดีแล้ว นังจันมันเองก็ทำใจได้แล้ว..........
แล้ว ทำไม………...ทำไม ถึงยังเอาเรื่องนี้กลับมาทำร้ายกันอีก”
สุดท้ายน้ำตาของสามี ของพ่อคนหนึ่งก็กลั้นไว้ไม่อยู่ คงอดทนเข้มแข้งมานานเพื่อเป็นเสาหลักของครอบครัวตอนอ่อนแอ นี่ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่าผมทำผิดหรือถูก ผมกลับมาทำให้พวกเขาสองคนต้องเผชิญกับความเจ็บปวดขมขื่นอีกครั้งทั้งที่ควรจะหายไปแล้วอย่างนั้นเหรอ
“คุณลุงครับ คุณลุงฟังผมนะครับ ผมเป็นตำรวจจริงๆ ผมไม่ได้ตั้งใจมาหลอกหรือทำให้คุณลุงกับป้าต้องเจ็บช้ำน้ำใจอะไรอีก ถึงแม้ลึกๆ ลุงกับป้าจะบอกว่าทำใจได้ แต่ก็ยังมีความหวังซักนิดว่าจะได้เจอลูกอีกครั้งถูกไหมครับ ผมเองก็ไม่รู้ว่าการเจอกันครั้งนี้มันจะยิ่งทำให้ลุงกับป้าเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิมไหม แต่ถ้าได้เจอและได้รู้ว่าสุดท้ายแล้วลูกของลุงกับป้าเป็นยังไงจะดีกว่าไหมครับ ลุงกับป้า ดูดีนะครับ” วิณณ์หยิบรูปอีกใบให้ทั้งสองคนดู รูปที่จ่ามิ่งเสก็ตไว้ให้ ดาว ดูโตเป็นเด็กอายุ 12
“ลุงกับป้า พอจะคุ้นอีกไหมครับ”
“พ่อ พ่อ ดาวแน่ๆ ใช่ ดาวแน่ๆ พ่อเราเจอลูกเราแล้ว เจอแล้ว” คุณลุงไม่ได้พูดอะไรแต่เงยหน้ามามองวิณณ์ด้วยดวงตาแดงกล่ำ
“ผู้กอง ผมขอคุยอะไรด้วยหน่อยได้ไหมครับ”
“ครับ”
ว่าแล้วลุงแกก็เดินนำไปทางกระท่อมริมนา ไม่ไกลจากตัวบ้านนัก ผมเดินตามมาด้วยเพราะผมเองก็อยากรู้ว่าลุงแกมีเรื่องอะไรจะคุยกับวิณณ์
“ที่ผู้กองมานี่ ไม่ใช่แค่เจอดาวเฉยๆ ใช่ไหม”
“ครับ”
“หึ หึ หึ” ลุงแกไม่ได้พูดอะไร แต่ทำเสียงในลำคอไม่ได้หัวเราะ แต่มันเหมือนเสียงที่พยายามสะกดกั้นความอ่อนไหวเอาไว้
“ลุงครับ เอ่อ….....”
“ดาว ตายแล้วใช่ไหม”
ผมเบิกตาโตลุงรู้ได้ไง ทั้งที่วิณณ์ไม่ได้บอกอะไร แค่ให้ดูรูปเท่านั้นเอง เป็นไปได้ยังไงกัน
“ครับ ลุงมั่นใจแล้วใช่ไหมครับ ว่าเด็กในรูปนั่นคือคนเดียวกับลูกสาวลุง และทำไม ลุงถึงรู้ละครับ ว่าน้องตายแล้ว”
“ลุงอาจจะเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา แต่ตลอดระยะเวลาลุงพยายามตามหาลูกสาวมาตลอด ตามหาโดยไม่ได้บอกเมียลุง เพราะกว่ามันจะฟื้นกลับเป็นคนปกติได้มันก็นานโข ถ้าจะให้มันมารู้ว่าลุงตามหาลูกอยู่มันคงได้หนักกว่านี้ การตามหาทำให้ลุงได้รู้ว่า สุดท้ายถ้าเราจะเจอ มันมีไม่กี่อย่างหรอก ขึ้นอยู่ที่ว่าจะเจอแบบไหน
เจอเป็น หรือ เจอตาย”
“แล้วลุงจะบอกป้าแกยังไงครับ”
ลุงได้แต่สายหน้า “ที่ผู้กองมานี่ตั้งใจว่าจะทำยังไง”
“ผมอยากให้ลุงกับป้าไปกรุงเทพกับผม เพื่อดูให้แน่นอนว่าจะใช่ดาวจริงหรือไม่”
“ได้ ลุงจะไป”
“แล้วลุงจะบอกยังไงกับป้าครับ”
“ลุงคงยังไม่บอกอะไรตอนนี้ ลุงขอผู้กองอย่าเพิ่งบอกอะไรป้าเหมือนกันนะ”
“ครับ”
>>> ต่อด้านล่าง