คนที่เคยพูดกับผมแบบนั้น ไม่ใช่ภา ใช่เล็ก...แต่เป็นน้อย
สิบกว่าปีก่อนแม่ของน้อยแบกท้องโย้หนีสามีขี้เหล้ามาของานทำในสวนพ่อแม่ผม เดิมทีเรามีคนงานรับจ้างชั่วคราวที่มาสอยมะม่วงให้อยู่แล้ว อีกทั้งทุ่งนาที่มีก็ปล่อยเช่าให้คนอื่นทำแทน แต่แม่ผมเป็นคนขี้สงสาร พอเห็นคนเดือดร้อนมาพึ่งใบบุญก็ตัดใจไล่ไม่ลง ยอมจ้างแม่ของน้อยมาทำงานในบ้าน
ตอนที่น้อยเกิด ผมเรียนอยู่ที่กรุงเทพ กลับบ้านอีกทีถึงได้รู้ว่าที่บ้านมีเด็กอ่อนเพิ่มมาอีกคนแล้ว ผมเคยอุ้มน้อย เคยสอนให้พูด เคยเล่นด้วยกันตอนที่น้อยยังเด็กนัก เราสนิทกันมาก จวบจนภาระเรื่องเรียนของผมเริ่มหนักขึ้น ทำให้ผมกลับไปแปดริ้วไม่ได้บ่อยๆ เหมือนเคย เราจึงค่อยๆ ห่างเหินกันไป
ผ่านไปหลายปี แม่ของน้อยก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต แม่ผมจึงเลี้ยงดูน้อยต่อให้อย่างเต็มใจ ท่านรักใคร่เอ็นดูเลี้ยงน้อยเหมือนลูกคนหนึ่ง ส่งเสียจนเรียนจบมัธยมปลาย และยังผลักดันให้น้อยเรียนต่อในระดับชั้นอุดมศึกษาด้วย
ตัวน้อยเองก็กตัญญูดี เรียนเก่ง ขยันขันแข็ง เหมาทั้งงานบ้านงานสวนไปทำคนเดียว และไหนจะเข้าเมืองไปหางานพิเศษทำที่ร้านอาหารในห้างอีก ผมกล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำ ว่าน้อยเป็นเด็กที่ดีมากคนหนึ่ง
น่าเสียดายที่คนดีๆ อย่างน้อยต้องมาเจอกับคนเลวๆ อย่างผม
ด้วยช่องว่างที่ห่างเหินกันไปหลายปี ผมกับน้อยที่โตแล้วจึงไม่สนิทกันเท่าไหร่ กระทั่งทราบข่าวว่าพ่อป่วยเป็นโรคมะเร็งปอด ช่วงนั้นผมต้องเทียวไปเทียวกลับบ้านที่นนท์กับบ้านที่แปดริ้วเป็นว่าเล่น ทำให้มีโอกาสได้เจอหน้าน้อยบ่อยขึ้น ยิ่งพูดคุยทำความรู้จัก ยิ่งชอบพอสนิทสนม รู้ตัวอีกทีใจที่เอาออกห่างเมียมาหลายปีก็แล่นหนีไปอยู่ในมือน้อยเสียแล้ว
สถานที่นัดพบของเราก็คือใต้ต้นมะม่วงเขียวเสวย...ต้นนั้นนั่นแหละ
“คุณโต...”
“เรียกพี่สิน้อย คนกันเอง”
“พี่โต” น้อยเรียกแล้วยิ้มกว้าง “พี่โตรักน้อยไหม”
“รักสิ” ผมตอบแบบไม่ต้องคิด
“งั้นพี่โตจะอยู่กับน้อยตลอดไปไหม” น้อยถามอ้อนพลางกระเถิบมาอิงแอบแนบชิดอยู่บนต้นแขนผม
“แน่นอน พี่จะหย่ากับภาแล้วมาอยู่กับน้อย อยู่ด้วยกันตลอดไปเลยดีไหม”
“สัญญานะ” น้อยยกนิ้วก้อยให้ผม
“สัญญา เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป” ผมเกี่ยวก้อยสัญญา โดยไม่รู้เลยว่าตัวเองจะไม่มีปัญญาทำให้มันเกิดขึ้นได้จริง
เพราะจากที่เคยคิดจะหย่ากับภาได้ง่ายๆ กลับกลายเป็นภาระยืดเยื้อ เมื่อพ่อผมเสีย แม่ตรอมใจหนัก ภานึกครึ้มอยากย้ายมาอยู่บ้านสวน รถไฟสองขบวนของผมถึงได้ชนกันโครมครามยากจะจัดการ
น้อยต้องอดทนอดกลั้นรออย่างสงบมาตลอด
กระทั่งภาตั้งท้อง น้อยก็ทนรอผมไม่ไหวอีกต่อไป...
♠
ผมจำได้แม่นว่าน้อยเดินออกไปจากชีวิตผมยังไง
คืนนั้นภาอยากกินเค้กมะพร้าวอ่อน ผมต้องถ่อรถมาจากนนท์เพื่อหาซื้อให้ บังเอิญเหลือเกินที่ร้านเบเกอรี่เจ้าประจำในตลาดมีนฯ ดันอยู่แถวๆ คิวรถตู้ไปกรุงเทพพอดี ผมเห็นน้อยนั่งอยู่บนเก้าอี้พลาสติกสีส้ม ข้างเท้าคือถุงกระสอบลายรุ้งใบใหญ่ที่ใส่เสื้อผ้าและข้าวของมาจนเต็ม จึงรีบพาน้อยขึ้นมาคุยกันบนรถเพื่อหลบเลี่ยงสายตาคนอื่น
“ขนของจะไปไหน” ผมถามเสียงร้อนรน
“น้อยสอบติดพยาบาล กำลังจะไปสอบสัมภาษณ์อาทิตย์หน้า เลยคิดว่าควรย้ายออกมาอยู่หอตั้งแต่เนิ่นๆ น่ะ”
“แล้วไม่คิดจะบอกพี่สักคำเลยเหรอ อยู่ๆ ก็จะทิ้งกันไปใช่ไหม” ผมตัดพ้อพลางจับมือขาวที่เย็นเฉียบขึ้นมากุมแน่น
“พี่โตขับรถกลับบ้านเถอะ เดี๋ยวค่อยคุยกัน” น้อยดึงมือออกเป็นการตัดบทสนทนา ใบหน้าหันมองออกไปนอกหน้าต่างรถแล้วปิดปากเงียบไปตลอดทาง
“น้อยโกรธพี่เหรอ” ผมพยายามชวนคุยหลังขับรถไปสักพัก เพราะถนนสุวินทวงศ์ยามห้าทุ่มมืดเปลี่ยวเพียงพอแล้ว ผมไม่อยากให้ในรถสงัดวังเวงตามไปมากกว่านี้
“หรือไม่ควรโกรธ ไหนบอกว่าไม่รักคุณภาแล้ว ไหนว่าแยกห้องกันนอน ทำไมคุณภาถึงท้อง” น้อยย้อนถามเสียงเย็น
“พี่ไม่รู้”
“ไม่รู้?” น้อยทำเสียงประชดประชัน “ที่เคยสัญญาว่าจะหย่ากับคุณภามาอยู่กับน้อย พี่โกหกใช่ไหม”
“เปล่า พี่ไม่ได้โกหก” ผมหันไปมองหน้าน้อย ดวงตากลมโตเหมือนตากวางจ้องตอบ หัวใจผมปวดชาเมื่อเห็นร่องรอยน้ำตาบนผิวแก้มขาวละเอียด ขณะนั้นผมมัวแต่เพ่งความสนใจไปที่น้อยจนเผลอละเลยท้องถนน
“ระวังหมา!” น้อยร้องเตือนเมื่อเห็นหมาสีดำตัวหนึ่งวิ่งตัดหน้ารถ
ระยะประชิดขนาดนั้น ผมรู้ว่าไม่มีทางเบรคทันเลยจงใจเหยียบคันเร่งจนมิด รถพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง ชนหัวหมาตัวนั้นอย่างแรงจนแหลกเละ ก่อนที่ร่างสีดำเงาวับจะลอยหวือไปตกลงบนถนนฝั่งตรงข้าม
น้อยมองผมอย่างตกตะลึง ไม่พูดอะไรอีกกระทั่งกลับถึงบ้านสวน
♠
เรานัดกันตอนตีสาม เวลาประจำที่แอบมาพลอดรักกัน
น้อยยืนรอผมอยู่ใต้ต้นมะม่วงเขียวเสวยต้นเดิม ผิวขาวฉายรัศมีนวลผ่องยามต้องแสงจันทร์สลัว แววตาเศร้าสร้อยมองผมอย่างตรงไปตรงมา ราวกับรู้อยู่แล้วว่าการพบกันครั้งนี้คือจุดจบของความสัมพันธ์ระหว่างเรา
“ตกลงจะไปเรียนต่อที่กรุงเทพใช่ไหม”
“ไม่รู้สิ น้อยกำลังคิดอยู่ว่าจะเรียนต่อหรือจะฆ่าตัวตายดี ถ้าเรียนต่อก็คงไม่ได้เจอพี่โตอีก แต่ถ้าตาย บางทีน้อยอาจจะได้อยู่กับพี่โตตลอดไป” น้อยพูดจาแปลกๆ ใบหน้าขาวสะอางมีรอยยิ้มซุกซน
“ห้ามทำแบบนั้นเด็ดขาดนะ” ผมดุแก รู้ดีว่าน้อยเป็นคนเด็ดเดี่ยว จึงกลัวว่าแกจะตัดสินใจทำอะไรผลีผลามอย่างที่พูด
“ล้อเล่นน่ะ น้อยจะเอาชีวิตมาทิ้งกับคนแก่ๆ อย่างพี่โตทำไม จากนี้น้อยจะไปมีชีวิตใหม่ และคงไม่ได้กลับมาที่นี่อีก พอน้อยไม่อยู่แล้วพี่โตต้องดูแลตัวเองดีๆ นะ” น้อยสวมกอดผม หยาดน้ำตาแวววาวไหลอาบแก้ม
“พี่รู้แล้ว น้อยก็เหมือนกัน ดูแลตัวเองด้วย” ผมกอดตอบแนบแน่น พยายามบอกตัวเองซ้ำๆ ว่าการเลิกรากันคือสิ่งที่ถูกต้อง น้อยมีอนาคตที่สวยงามรออยู่ ผมต้องปล่อยแกไปมีชีวิตที่ดี “นี่ดึกแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่พาไปส่งที่ท่ารถ”
“ไม่ต้องหรอก เช้าเมื่อไหร่น้อยจะไปเอง พี่โตไปนอนเถอะ น้อยขออยู่ตรงนี้คนเดียวอีกหน่อยนะ”
ผมมองน้อยอย่างอาลัย เพราะนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้เจอกัน
♠
ผมกะพริบตาดึงสติตัวเองกลับคืนสู่ปัจจุบัน รู้สึกเจ็บแปลบในอกเมื่อย้อนนึกถึงอดีตชู้รักที่เลิกรากันใต้เขียวเสวยต้นนี้
หลายปีที่ผ่านมาน้อยไม่ได้ติดต่อกลับมาหาแม่ผมเลย ไม่มีใครรู้ว่าน้อยเป็นอย่างไร อาศัยอยู่ที่ไหน ผมกลัวเหลือเกินว่าน้อยจะไม่ได้กลับไปเรียน แต่ฆ่าตัวตายเพื่อมาอยู่กับผมอย่างที่พูดไว้ในคืนนั้น ยิ่งเล็กพูดจาเหมือนน้อย แถมยังเอาแต่เรียกผมว่าพี่โตไม่เคยเรียกพ่อ ผมก็ยิ่งมั่นใจว่าสิ่งที่กลัวบางทีอาจจะเกิดขึ้นจริงๆ
“น้อย...น้อยของพี่” ผมพยายามกลั้นน้ำตาที่ใกล้จะหยดล้น ระหว่างกอบกุมพวงแก้มนุ่มนิ่มของลูกชายไว้ด้วยสองมือ
เจ้าเล็กเอียงคอทำหน้างุนงง ก่อนสั่นหัวดิก ชี้นิ้วไปที่อกตัวเอง
“พี่โต นี่เล็กครับ ไม่ใช่น้อย”
“สองพ่อลูกอยู่กันตรงนี้นี่เอง ปล่อยให้แม่เดินหาไปทั่วสวนแน่ะ” ภายืนอยู่ข้างหลังผม เสียงหวานจัดปานน้ำผึ้งเจือความไม่พอใจอยู่จางๆ “น้องเล็ก คุณแม่รอทานข้าวอยู่นะครับ รีบกลับเข้าบ้านไปล้างมือเร็ว”
เล็กเหลือบมองหน้าผมอย่างลังเลแต่ก็ยอมเชื่อฟังแม่ แกหมุนตัวเดินกลับบ้าน ปล่อยให้ผมอยู่กับภาตามลำพัง
“ผ่านมาสามปีแล้วก็ยังลืมมันไม่ได้ใช่ไหม” ภาตวัดเสียงอย่างขุ่นเคือง
“อะไรของคุณ” ผมแสร้งย้อนถามทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าเมียพูดเรื่องอะไร
“อย่ามาแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไปหน่อยเลย นึกว่าภาไม่รู้หรือไงว่าพี่โตคิดยังไงกับน้อย ไม่งั้นภาจะย้ายมาทนทรมานอยู่ที่บ้านนอกเป็นก้างขวางคอพี่ไปทำไม”
“ว่าแล้วเชียว คนอย่างเธอไม่น่าจะยอมทำอะไรเพื่อคนอื่น ที่แท้ยอมย้ายมาเพราะมีจุดประสงค์อื่นจริงๆ ด้วย”
“รู้ก็ดี สำนึกไว้ด้วยว่าภาต้องลำบากแค่ไหนกว่าจะกอบกู้ชีวิตคู่ของเราคืนมาได้ เลิกคิดถึงเด็กคนนั้นได้แล้ว”
“ถ้าเธอต้องลำบากลำบนจนพี่ต้องสำนึกในบุญคุณขนาดนั้น ทำไมยอมหย่าไปตั้งแต่แรก จะมาทนทู่ซี้อยู่ทำไม”
“แล้วทำไมภาต้องหย่า ทำไมภาต้องทุกข์อยู่คนเดียว ในขณะที่ผัวสารเลวระเริงรักวิปริตอยู่กับคนงานในบ้านแม่!”
“ภา!” ผมตวาด โกรธจนมือไม้สั่น
“อะไรกัน พูดเรื่องจริงแค่นี้ทำเป็นโกรธเหรอ” ภาตะโกนใส่อย่างเคืองแค้น ดวงตาขุ่นขวางดูคลุ้มคลั่งอย่างไรชอบกล
“พอได้แล้ว” ผมกลัวเล็กจะได้ยินเลยไม่อยากโต้ตอบ รีบข่มความโกรธไว้ใต้ท่าทางสงบนิ่งก่อนเดินหนีไปอีกทาง
“พี่โตอยากเจอมันไหมล่ะ ภารู้นะว่าตอนนี้น้อยอยู่ที่ไหน”
“น้อยอยู่ไหน” ผมหันขวับกลับไปมองหน้าเมียอย่างเคร่งเครียด
“หลุมขยะตรงโน้นไง” ภาพยักพเยิดคางไปที่หลุมเผาขยะท้ายสวน
“หมายความว่าไง...”
เมียบังเกิดกล้าเห็นท่าทางสับสนของผมเข้าก็หัวเราะลั่นสะใจ
“จำคืนนั้นได้ไหม คืนที่ภาอยากกินเค้กมะพร้าวอ่อนน่ะ พี่โตต้องจำได้อยู่แล้ว เพราะภาอุตส่าห์ล่อให้พี่ไปเจอมันที่คิวรถตู้นี่นา พี่พามันกลับมาบ้าน นัดเจอมันตรงนี้ตอนตีสามใช่ไหมล่ะ” ภาแหงนหน้ามองต้นมะม่วงครู่หนึ่งก่อนพูดต่อ “พอพี่ไป ภาก็ทุบหัวมันจนเละแล้วลากไปทิ้งไว้ที่หลุมขยะ รอให้พี่โตเป็นคนเผามันทิ้งด้วยมือพี่เองไง”
“หา?” ผมตกตะลึงเผลอสาวเท้าถอยไปหลายก้าวจนสะดุดล้ม อุ้งมือกระแทกด้ามพลั่วที่เจ้าเล็กทิ้งไว้พอดี
ราวกับมีใครบางคนรอเวลานี้มานานแสนนาน กลิ่นควันเผาไม้มะม่วงพัดวูบเข้าหน้าผมอย่างรุนแรง ภาพภายืนยิ้มเหี้ยมอยู่ใต้ต้นมะม่วงค่อยๆ เลือนหายไปจากสายตา คล้ายหมอกควันหนาถูกลมพัดปัดเป่าไป
ท้องฟ้าเปลี่ยนสีอย่างรวดเร็ว แสงสีส้มสลัวยามพลบค่ำพลันกลายเป็นสีดำมืดสนิทยามดึกสงัด เงาร่างของน้อยที่ผมคุ้นเคยยืนร้องไห้อยู่ใต้ต้นเขียวเสวย ก่อนที่ใครบางคนจะก้าวฉับๆ เข้ามาฟาดหัวทุยสวยด้วยพลั่วอย่างแรง
น้อยล้มทั้งยืนแต่ยังไม่หมดสติ เลือดไหลนองหน้า ดวงตาเหลือกถลนมองคนที่บุกมาทำร้ายตนอย่างหวาดผวา
“รักผัวกูมากใช่ไหมมึง ไปรอเจอมันใต้ต้นงิ้วในนรกแล้วกัน!”
ภาที่อารมณ์แปรปรวนเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายไม่มีความปราณีอยู่ในหัว เธอเงื้อพลั่วเหล็กหวดกระหน่ำไม่ยั้งลงบนใบหน้าขาวผ่องจนแหลกเหลว ดั้งจมูกยุบหาย หน้าผากแตกโพล๊ะเหมือนกะลามะพร้าวโดนเจาะ ดวงตาขวาหลุดย้อยออกมานอกเบ้า ตาซ้ายชอกช้ำอาบเลือด น้อยไม่ได้ร้องสักแอะ เพราะกำลังสำลักเลือดที่ไหลย้อนลงไปในคอเสียงดังค่อกแค่ก
“ตายซะ! ตาย! ตายซะ!” ภาไม่ยอมหยุดตีแม้น้อยจะนอนนิ่งไปแล้ว แต่เธอหยุดเมื่อพลั่วหลุดกระเด็นออกจากมือ ภาผู้อ่อนหวานแสนดีเหมือนนางฟ้าถ่มถุยน้ำลายรดศพอย่างกักขฬะ ก่อนลากน้อยไปทิ้งที่หลุมเผาขยะ
เมียผมใช้พลั่วอันเดิมคุ้ยเขี่ยใบไม้แห้งกับขยะขึ้นมากลบศพน้อยจนมิด แล้วเช้าวันถัดมาเธอก็สั่งให้ผมไปตัดกิ่งมะม่วง เพราะรู้ว่าผมต้องกำจัดกิ่งไม้พวกนั้นด้วยการนำมาเผาที่หลุมขยะ...ที่ๆ เธอทิ้งศพชู้รักของผมเอาไว้
ภาวางแผนให้ผมเผาน้อยด้วยมือตัวเองจริงๆ
“นังสารเลว!” ผมลุกขึ้นคำรามลั่นอย่างคับแค้น ภาพอดีตเลือนหายไปทันทีที่ผมลุกขึ้นยืนเหวี่ยงพลั่วในมือ
ร่างผอมบางของภาถลาล้มคว่ำไปที่โคนต้นมะม่วง ฟันหน้าสองซี่หลุดร่วงลงมาบนพื้นดิน เลือดนองกลบปาก พอเห็นผมเลิกกลัวหงอและโกรธแค้นจนแทบคลั่ง ภาก็รีบยกมือไหว้ผมท่วมหัว ขอความเมตตา ขอให้ไว้ชีวิต
“พี่โต...อย่าทำภาเลย ภาขอโทษ ภาผิดไปแล้ว...”
“มึงสารภาพความผิดออกมา เพราะคิดว่ากูไม่กล้าทำอะไรมึงใช่ไหม ขอบอกว่ามึงคิดผิด!” ผมตะคอกเสียงเหี้ยม ก่อนเสือกพลั่วยัดปากเมียแล้วดันสวบเข้าไปอย่างแรง
เลือดอุ่นๆ พุ่งกระฉูดออกมาจากขากรรไกรที่ฉีกขาด กรามล่างกับลิ้นห้อยต่องแต่งไร้สิ่งยึดเหนี่ยว ภาสำลักอ่อกๆ พ่นเลือดออกปากออกจมูกอย่างทุกข์ทรมาน ตาเหลือกโพลง สองขาดิ้นถีบดินแห้งจนฝุ่นฟุ้งได้เพียงครู่เดียวก็แน่นิ่งไป
ผมหอบหายใจถี่รีบปล่อยมือจากพลั่ว แก้มเย็นวาบเมื่อน้ำหูน้ำตาบนหน้าต้องลมอ่อนที่โชยขึ้นมาจากคลอง ครั้นได้ยินเสียงหอบหายใจด้วยความตื่นกลัว ถึงได้รู้ว่าเจ้าเล็กยืนอยู่ข้างหลัง แกกำลังยืนมองภาที่มีพลั่วเสียบติดอยู่กับต้นมะม่วง
“น้อย” ผมจับมือลูกชายไว้แต่เรียกแกด้วยชื่ออื่น
“เล็กชื่อเล็ก ไม่ได้ชื่อน้อย” เด็กชายละล่ำละลักส่ายหน้าเถียง
ผมหัวเราะทั้งน้ำตา ขณะยกมือเปื้อนเลือดลูบหัวแกอย่างรักใคร่
“จะชื่ออะไรก็ช่าง ไปกับพี่โตนะ ...ไปอยู่ด้วยกันตลอดไป”
♠
ท่ามกลางแสงอัศดงที่อาบไล้บ้านเรือนสองฟากฝั่งคลอง เสียงปืนสองนัด ดังกึกก้องไปทั่วสวนมะม่วงแห่งหนึ่งที่เงียบวังเวงราวกับสุสาน...
♠
ผมควรจะตายตั้งแต่วันที่ฆ่าตัวตาย
ใครจะรู้ว่าการตายสักครั้ง มันยากพอกับการมีลูกสักคนนั่นละ
พัดลมเก่าคร่ำหมุนวนเวียนอย่างเกียจคร้านอยู่บนเพดานสีขาว เท่าที่จำได้ผมนอนจ้องพัดลมตัวนั้นมาสิบสองชั่วโมงแล้ว ไม่ใช่ว่าผมจ้องมันเพราะไม่มีอะไรทำหรอก แต่ผมจ้องมัน เพราะทำอะไรไม่ได้ต่างหาก
วินาทีที่กระสุนพุ่งทะลุขมับขวาออกขมับซ้าย มันไม่ได้คร่าชีวิตผมไปอย่างที่คาดหวัง แต่ดันพรากเอาอำนาจในการควบคุมร่างกายของผมไปแทน ผมใช้เวลายี่สิบวันไปกับการหลับใหลไม่ได้สติ ก่อนจะฟื้นตื่นขึ้นมาพบว่าตนกลายเป็นอัมพาต ขยับได้แค่ลูกกะตากับเปลือกตา บางวันเลวร้ายหน่อยแม้แต่ตาก็ลืมไม่ขึ้น
ถึงจะขยับร่างกายไม่ได้ แต่ผมยังมีสติรับรู้ดีเยี่ยม ทั้งสุข เศร้า เหงา เบื่อ เจ็บปวด ความรู้สึกพวกนั้นยังคงเข้มข้นแจ่มชัด ราวกับว่ากระสุนนัดนั้นจงใจเหลือพวกมันเอาไว้ทรมานผมอย่างนั้นแหละ
“โธ่ เจ้าโต...ทำไมถึงคิดสั้นแบบนี้กันนะ”
ผมได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นของแม่ดังอยู่ข้างเตียง มือเหี่ยวย่นจับพลิกใบหน้าผมบนหมอนให้ขยับอย่างระวัง ใบหน้าของแม่ซีดเซียวเปรอะเปื้อนน้ำตา ท่านใส่ชุดดำ แก้มตอบผ่ายผอม ดูแก่หงอมลงไปมากกว่าที่ผมจดจำได้ ข้างๆ แม่มีหญิงวัยกลางคนยืนอยู่ ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นป้าตวง แกมองผมด้วยแววตาหวาดกลัว ทำท่าเหมือนไม่อยากเดินเข้ามาใกล้
“แกคงเครียดเรื่องงานน่ะค่ะคุณนาย เข้มแข็งไว้นะคะ”
“เข้มแข็ง? ฉันเสียลูกไปคนหนึ่งแล้ว นี่กำลังจะเสียไปอีกคน จะเอาที่ไหนมาเข้มแข็งอีก”
“อ้าว คุณโตมีพี่น้องด้วยเหรอคะ” ป้าตวงสอดถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นตามประสาคนแก่เหงาปาก
“จ้ะ” แม่ผมหยุดพูดเพื่อสั่งน้ำมูกลงบนผ้าเช็ดหน้าชุ่มน้ำตา ก่อนเอ่ยต่อ “ตอนท้องหมอบอกฉันว่ามีลูกแฝด แต่ตอนคลอดออกมากลับเหลือแค่เจ้าโตคนเดียวที่มีชีวิตน่ะนะ”
“อ๋อ อีกคนเสียตั้งแต่อยู่ในท้องสินะคะคุณนาย”
คำพูดของป้าตวง ทำให้แม่ผมกระตุกยิ้มเลื่อนลอย
“ไม่รู้สิ หมอบอกแค่ว่าตัวอ่อนในท้องฉันพัฒนาไม่สมบูรณ์” ท่านหยิบกระเป๋าเงินขึ้นมา ปลายนิ้วสั่นเทาล้วงเข้าไปในซอกหลืบที่ลึกที่สุด หยิบเอารูปถ่ายสีซีดใบหนึ่งออกมากส่งให้ป้าตวง
“ว้ายตาเถร!” ป้าตวงอุทานเสียงดัง แกตกใจปากคอสั่น เผลอมือไม้อ่อนทำรูปถ่ายใบนั้นปลิวมาตกตรงหน้าผมพอดี
ผมมองความลับอันดำมืดของแม่ เห็นว่ามันมีตัวมีตน เป็นเด็กชายคนหนึ่งยืนเปลือยท่อนบนอยู่ใต้ต้นมะม่วง
จะใครเสียอีก...ก็ผมนี่แหละ
ผมในรูปถ่ายอายุยังน้อย ไม่มีรอยแผลเป็นแหว่งโหว่น่าเกลียดติดตรึงบนหน้าอก แต่กลับมีศีรษะไร้ใบหูกับดวงตา ลำคอเล็กๆ และแขนพิกลพิการอีกหนึ่งข้างงอกเกินออกมาแทน
“หมอเรียกเคสนี้ว่า
แฝดปรสิต แฝดคนที่พัฒนาไม่สมบูรณ์เกาะติดอยู่บนร่างของแฝดอีกคน กลายเป็นส่วนเกินที่คอยดูดกินเลือดเนื้อจากแฝดอีกคนที่กำลังมีชีวิต” แม่ผมเก็บรูปกลับเข้ากระเป๋าตังค์ หยดน้ำตากลิ้งผ่านร่องเหี่ยวย่นข้างริมฝีปาก จากนั้นก็หล่นหายไปที่ไหนสักแห่งที่ผมมองไม่เห็น
เมื่อป้าตวงไม่พูดอะไร แม่ผมจึงถือโอกาสเล่าต่อ
“ฉันกับสามีตั้งชื่อแกว่าเล็ก ตั้งใจว่าจะรออีกสักปีแล้วค่อยพาเจ้าโตไปผ่าเอาเจ้าเล็กออกเลยถ่ายภาพใบนี้เก็บไว้ แต่ตอนนั้นเจ้าโตดันซนไปหน่อย ไม่กี่วันหลังถ่ายภาพก็ปีนขึ้นไปบนต้นเขียวเสวย สะดุดเถากาฝากตกลงมาโดนกระเบื้องบาด เจ้าเล็กคอขาดรุ่งริ่ง จำเป็นต้องผ่าพวกแกออกจากกันตั้งแต่วันนั้น ส่วนผัวฉันก็โกรธมาก ฉีดยาฆ่ากาฝากจนตายเหี้ยน”
“คุณโตไม่ยักพูดถึงน้องชายเลยนะคะ”
“ตอนตกต้นไม้เจ้าโตเอาหัวโหม่งรากมะม่วง จำอะไรก่อนห้าขวบไม่ได้เลย” แม่ผมทำท่ากึ่งขำกึ่งฉุน ทว่าสีหน้ายังซีดเซียวอยู่เช่นเดิม “ฉันคิดถึงเจ้าเล็กมาก เลยเอาชื่อแกมาตั้งเป็นชื่อเล่นหลาน ไม่นึกว่าจะทำให้หลานพลอยอายุสั้นไปด้วย”
“แล้วแต่บุญแต่กรรมแหละค่ะคุณนาย ไม่เกี่ยวกับชื่อที่ตั้งหรอก”
“นั่นสินะ ฉันนี่มันเพ้อเจ้อจริงๆ” แม่ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้ โดยไม่ลืมพลิกใบหน้าผมกลับมาตั้งตรงบนหมอนอีกครั้ง ท่านลูบหน้าผากผมเบาๆ เป็นการบอกลา “แม่ไปก่อนนะโต เดี๋ยวมาใหม่”
ผมนอนกะพริบตาปริบๆ อย่างช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ใจนึกถึงสิ่งที่แม่พูด นำมาบวกรวมกับภาพความทรงจำทั้งหมดที่มี เริ่มแรกเป็นภาพเงาสยองที่ได้เห็นตอนขึ้นไปสอยมะม่วงให้ภา ภาพตอนเจ้าเล็กไม่ยอมเรียกผมว่า ‘พ่อ’ แต่เรียกผมว่า ‘พี่’ ตามมาด้วยภาพเจ้าเล็กส่ายหน้าปฏิเสธตอนผมเรียกแกว่า ‘น้อย’ ซึ่งกำลังแจ่มชัดที่สุดในเวลานี้
อย่าบอกนะว่าเจ้าเล็กของผมไม่ใช่น้อยกลับมาเกิด แต่เป็นแฝดปรสิตของผมเอง?
“ก็บอกแล้ว ว่าเล็กน่ะชื่อเล็ก ไม่ได้ชื่อน้อย”
แม้หันไปมองไม่ได้แต่ผมมั่นใจว่าเสียงเจื้อยแจ้วนั่นคือเสียงลูกของผมเอง แกปีนขึ้นมาบนเตียงทางด้านซ้ายมือ ชะโงกมามองหน้าผมด้วยแววตาผูกพันลึกซึ้งที่หยั่งรากลึกลงไปถึงจิตวิญญาณ
“พี่โตจำเล็กไม่ได้ไม่เป็นไร แต่ทำไมต้องฆ่าเล็กด้วย” เล็กตัดพ้อ เลือดไหลออกจากรูกระสุนกลวงโบ๋กลางหน้าผาก
“พี่ขอโทษ” ผมนึกในใจ น้ำตาไหลพรากลงหมอน
“ไม่เป็นไร เล็กไม่โกรธ เล็กอุตส่าห์ชิงผีเกิดเพื่อไปอยู่กับพี่โต ต่อให้ตายไปอีกรอบเล็กก็จะอยู่ข้างๆ พี่โตต่อ”
ว่าแล้ว เล็กก็ล้มตัวลงนอนบนหน้าอกผมตรงจุดที่เราเคยเชื่อมติดกันในอดีต กระดูกและเลือดเนื้อของเราหลอมรวมเข้าหากันเป็นเนื้อเดียว กระทั่งเจ้าเล็กเหลือแต่ศีรษะบิดเบี้ยวกับแขนเล็กๆ ที่ยาวไม่ถึงหนึ่งฝ่ามือโผล่พ้นออกมาจากรอยแผลเป็นของผม
ระหว่างกระบวนการที่ว่า ผมทำได้แค่กลอกตาไปมา กล้ามเนื้อทั่วร่างเกร็งกระตุกด้วยความเจ็บปวด น้ำตาล้นทะลักประหนึ่งเขื่อนแตก ตอนนั้นเองที่มือไหม้เกรียมข้างหนึ่งยื่นมาลูบปลอบ ซับน้ำตาให้ผมอย่างอ่อนโยน
น้อย... ผมนึกในใจเมื่อได้กลิ่นเนื้อไหม้เกรียม
เจ้าของชื่อชะโงกข้ามเตียงมา ใบหน้าบุบเละสีดำเหมือนเถ้าถ่านก้มลงมาห่างจากผมไม่ถึงคืบ แต่ระยะห่างนั้นไม่ได้นับรวมดวงตาที่ถลนห้อยลงมาแตะจมูกผมหรอกนะ
“ขอน้อยอยู่ด้วยนะพี่โต”
“อย่ามายุ่งกับพี่กู!” ไอ้หัวที่สองบนตัวผมตะคอกไม่เป็นมิตร
“หุบปากไปเลยไอ้ปรสิต” น้อยตอบนิ่มๆ
“กูน่ะปรสิตแต่มึงน่ะผีนรก ทำลายชีวิตพี่กู”
“มึงสิผีนรก ตายห่าไปตั้งนานแล้วไม่รู้จักไปเกิด ต้องมาแย่งที่เกิดกู เพราะมึงแท้ๆ กูเลยอดอยู่กับพี่โต” น้อยเอามือผลักหัวเจ้าเล็กที่วางแนบอยู่บนหน้าอกผมจนหงายเงิบเป็นตุ๊กตาล้มลุก
ผมเหล่มองน้อย คิดขึ้นได้ว่าที่เกือบตายทุกปีในวันเกิดเล็ก น่าจะเป็นฝีมือน้อยที่มาทวงแค้นเอากับผมล่ะมั้งเนี่ย
“แหงสิ ในเมื่อไม่ได้ไปเกิดเป็นลูกพี่โต น้อยก็ต้องเอาพี่โตมาอยู่ด้วยแทน” น้อยพูดเหมือนอ่านใจผมออก ริมฝีปากสีดำผลิยิ้มกว้างจนเกล็ดขี้เถ้าร่วงหลุดจากพวงแก้มเป็นแผ่นๆ
ให้ตาย! ผมสบถในใจเมื่อเพิ่งรู้ตัวว่าเข้าใจผิดไปไกลแค่ไหน
“ทำไมครับ โกรธเหรอ ไหนสัญญาว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดไปไง” น้อยค่อยๆ ปีนขึ้นเตียงคนไข้จากทางขวามือ ร่างไหม้เกรียมดำเป็นตอตะโกของเด็กหนุ่มผอมบางอ้อนแอ้นเอนตัวลงนอนกอดผมด้วยความรักใคร่หวงแหน
ในขณะที่ผมเบิกตาโพลงด้วยความหวาดกลัวสุดขั้วหัวใจ ผีนรกสองตัวที่นอนอิงแอบแนบชิดขนาบอยู่ซ้ายขวาก็หัวเราะคิกคัก พวกมันกอดรัดผมแน่นจนหายใจแทบไม่ออก และพูดขึ้นมาพร้อมกัน
“เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป...”จบ
เรื่องสั้น ‘อิงแอบแนบชิด’ เคยเป็นเรื่องสั้นที่ผ่านเข้ารอบการประกวดเรื่องสั้นหัวข้อ ‘ชิงผีเกิด’ มาก่อนค่ะ หลังรวมเล่มกับสนพ.โซฟาอยู่หลายปี สัญญาหมดลงแล้ว เราเลยเอาลงให้อ่านฟรีตามเว็บต่างๆ เชื่อว่าขณะอ่านหลายคนคงสงสัยแน่ว่าทำไมเราถึงเอาเรื่องนี้มาลงเล้า เพราะดูจะไม่มีความสัมพันธ์ชายรักชายโผล่มาให้เห็น แต่พาร์ทสุดท้ายก็ได้เฉลยแล้วเนอะว่าทำไม แหะๆ ใครอ่านจบแล้วอยากร่วมพูดคุย เชิญแสดงความคิดเห็นไว้ได้เลยนะคะ หรือจะติดแท็กในทวิตเตอร์ ใช้แท็ก #เรื่องสั้นอิงแอบแนบชิด น้า ไม่รู้จะมีใครอ่านมาถึงตรงนี้หรือเปล่า ถ้ามี...ขอบคุณมากๆ นะคะ : )
ด้วยรัก
ฝนมกรา.