บทที่ 22 (50%)
::ทำไมต้องเป็นเขา::
ผมต้องเปลี่ยนผ้าม่านคนเดียวทั้งบ้าน จับถอดจับใส่ผิดๆ ถูกๆ ใช้เวลาไปหลายชั่วโมงกว่าจะรู้เทคนิค พอได้เวลากินข้าวกลางวัน ผมลงมาเห็นเจ้าของบ้านนั่งกินหน้าตาเฉย ไม่มีการเรียกให้ไปกินก่อนหรือถามถึงงานว่าลุล่วงไปถึงไหน ผมคิดว่าเราเริ่มไม่อึดอัดเวลาคุยกันแล้ว เพราะเขาเพิ่งแสดงความเป็นผู้ใหญ่ที่น่านับถือขึ้นมาบ้าง แต่ไหงกลับมาเฉยชาใส่กันอีก อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ตามประสาวัยกลางคนรึไง
ตกดึกผมเปิดข้อความเจอไทด์ส่งข้อความมาหา บอกว่าพรุ่งนี้ให้ผมไปรอหน้าโรงพยาบาลที่เคยเจอกัน เขาคงมีเรื่องจะคุยกับผมเลยเอาหยุดมานัดเจอ ทำให้ผมต้องตอบรับไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ เสร็จเรื่องผมก็โทรไปเล่าให้จ้านฟังเรื่องผลสอบทันที บอกขอโทษที่ทำให้ผิดหวัง เขาอุตส่าห์ช่วยติว คาดหวังกับผมเต็มที่ แต่สุดท้ายกลับสอบไม่ผ่านซะอย่างนั้น
จ้านบอกผมเพียงว่าปีหน้ายังมีโอกาส เรากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ เสียใจไปก็เปล่าประโยชน์ คำพูดของเขาทำให้ผมนึกถึงเจ้าของบ้านหลังนี้เลย ทุกประโยคที่ได้ยินมันไม่ใช่แค่คำสวยหรู แต่มันทำให้ผมคิดได้จริงๆ
ดูสิ ขนาดผมคุยกับจ้านอยู่ก็ไม่วายไปนึกถึงผู้ชายคนนั้น มันใช่เรื่องมั้ยเนี่ย!
เช้าวันต่อมา ผมบอกลูเซียนก่อนออกจากบ้านว่าจะไปข้างนอกสักพัก เขาไม่พูดอะไรก็เดินขึ้นรถยนต์ไปทำงานซะแล้ว ไม่ห้ามอะไรแปลว่าอนุญาต เขาเป็นคนมีภาพลักษณ์ที่ควรรักษา ผมจะพยายามเข้าใจละกัน
มาถึงหน้าโรงพยาบาลผมก็ยืนรอตามสถานที่นัด เหลือก็แต่คอยเวลาให้อีกฝ่ายมาถึง แดดวันนี้ร้อนยังกับไฟกัลป์ในนรก เมื่อแดดส่งมาถึงผมเลยต้องไปหลบใต้ต้นไม้ที่เยื้องออกไปเล็กน้อย และถ้าเดินไปอีกหน่อยก็จะเป็นป้ายรถเมล์ที่มีฝูงคนจำนวนมากยืนรอรถอยู่ โดยหลังจากนั้นไม่นานก็มีรถมอเซอร์ไซค์มาจอดเทียบตรงริมฟุตปาธที่ผมยืนพอดี
คนขับรถถอดหมวกกันน็อคออก ทำให้เห็นทรงผมสกินเฮดกับใบหน้าคมเข้ม
“มายืนเซ่ออะไรตรงนี้”
“ก็คุณบอกให้รอหน้าโรง’บาล” ผมตอบไทด์ที่กำลังทำหน้าไม่สบอารมณ์
“หมายถึงด้านหน้าโน้น มันมีที่นั่งในร่มอยู่ จะมายืนรอร้อนๆ ทำไม”
“ผมไม่รู้นี่ครับ”
“คงงั้น เพราะที่จริงตรงนี้ไม่ใช่หน้าโรง’บาล แต่เป็นทางเข้าข้างหลังต่างหาก” ผมยืนกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะหันไปดูสภาพการณ์โดยรอบ รถเมล์มาส่งผมตรงนี้เลยคิดว่าเป็นหน้าโรงพยาบาลน่ะสิ
“อ้า ก็ว่าทำไมป้ายเล็กจัง” ผมยิ้มกลบเกลื่อนพลางเกาหัวหยิกๆ
“ขึ้นมา”
เป็นคำสั้นๆ ที่ทำให้ผมประหลาดใจ เขาจะให้ผมซ้อนมอเตอร์ไซค์คันนี้น่ะหรอ ลำพังแค่คุยกันก็อึดอัดจะแย่ ถ้าได้นั่งไปกับเขามีหวังตัวเกร็งตลอดทางแน่
“คุณขับรถเข้าไปจอดเถอะครับ เดี๋ยวผมเดินไปเอง”
“มันไกล ไม่งั้นจะชวนขึ้นทำไมเล่า” ผมโดนเขาชักสีหน้าใส่อีกรอบ นึกลังเลใจในขณะที่อีกฝ่ายกำลังสวมหมวกกันน็อค ผมยังไม่ทันตอบตกลงเขาก็สตาร์ทรถราวกับเร่งให้รีบตัดสินใจ จนท้ายที่สุด... ผมก็ยอมขึ้นรถไปแต่โดยดี
ระหว่างหาที่จับให้มั่นคง ไทด์ก็เอี้ยวตัวหันข้างเพื่อพูดบางอย่างกับผม
“ฉันไม่เคยให้ใครซ้อนท้ายมาก่อน ภูมิใจซะด้วย”
สิ้นเสียง รถมอเตอร์ไซค์ก็พุ่งทะยานไปด้วยความเร็ว ไม่ทันให้ผมรู้สึกคล้อยตามคำพูดนั้นก็ถึงที่หมายซะแล้ว ไทด์จอดรถพร้อมล็อคกุญแจแน่นหนา ถอดถุงมือเก็บไว้ใต้เบาะนั่งพร้อมหมวกกันน็อค ก่อนจะหยิบถุงของกินออกมายื่นให้ผม
“เอ้า รับไป” ผมรับมาอย่างงงๆ
“เรามาทำอะไรที่นี่หรอครับ”
“ฉันจะให้นายรู้เรื่องของฉันบ้าง” ผมขมวดคิ้วเป็นปม และรอฟังในสิ่งที่คนตรงหน้ากำลังจะพูดต่อ “ให้รู้เรื่องของนายฝ่ายเดียวรู้สึกว่ามันไม่แฟร์ อย่างน้อยก็ควรทำอะไรให้นายสบายใจได้ว่าฉันจะไม่เอาความลับของนายไปพูดแน่นอน”
ฟังแล้ว ผมก็เผลอยิ้มออกมา “ไม่เห็นต้องทำขนาดนั้นเลย”
“ฉันมันคนจริงเว้ย ตั้งใจทำอะไรก็ต้องให้ชัดเจน” เขาหนักแน่นกับคำพูดในตอนแรก แต่ประโยคถัดไปกลับอ่อนละมุน “นายจะได้ไม่ต้องมานั่งระแวงฉัน”
“แล้วทำไมต้องเป็นที่โรง’บาลนี้ด้วย”
“ฉันจะพานายไปเจอน้องชาย”
“เอ๊ะ? น้องชายคุณยังไม่ออกจากโรงพยาบาลอีกหรอ” จำได้ว่าวันที่เจอกันในโรงพยาบาลโดยบังเอิญ ไทด์บอกผมว่ามาเยี่ยมน้องชาย พอถามไปว่าเป็นอะไรเขาก็ไม่ยักจะตอบ
“ไปเจอก็รู้เองล่ะน่า”
ไทด์ถือถุงอีกส่วนเดินนำหน้าผมไป เมื่อกี้แอบมองนิดหน่อยเห็นว่าเป็นผลไม้กับของกินกระจุกกระจิบ นึกแปลกใจว่าทำไมถึงซื้อมาเยอะแยะ แต่สงสัยไม่นานก็ได้รับคำตอบ เมื่อเขานำถุงเหล่านั้นยื่นให้กับเหล่าพยาบาลและคุณหมอท่านหนึ่งในทันทีที่เดินเข้าไปยังอาคารผู้ป่วยใน
“นี่ครับป้า” ถัดมาก็ยื่นให้ถึงเตียงผู้ป่วยอีกสองคนในห้องนอนรวม “เพิ่งเข้าหน้าลิ้นจี่พอดี ผมเลือกแต่พวงสวยๆ มาให้ทั้งนั้น ถ้าเกิดชิมดูแล้วชอบวันหลังผมจะซื้อมาฝากอีก”
ไทด์ยิ้มแย้มแจ่มใส ผมเคยเห็นตอนเขาร่าเริงแบบนี้ตอนหยอกล้อกับพนักงานในไนต์คลับ ตอนนั้นเขาดูกวนๆ มีความขี้แกล้ง แต่พออยู่กับผู้ใหญ่เขากลายเป็นคนน้อมนอบ มีมารยาทและยิ้มเก่ง
เมื่อเดินมาถึงเตียงผู้ป่วยที่อยู่ด้านในสุดของห้อง ผมเห็นชายคนหนึ่งนอนให้น้ำเกลือพร้อมสายระโยงระยางเต็มไปหมด เขาสวมหมวกไหมพรมสีเทาปกปิดผมที่ถูกโกนทิ้ง สีหน้าไร้ความรู้สึก ร่างกายซูบเล็กน้อย ผมเดินเข้าไปใกล้เพราะเห็นว่าเขากำลังลืมตาอยู่ แต่ก็ไม่พบว่าแววตานั้นจะมีปฏิกิริยาใดใด
“เขาชื่อท็อป อายุเท่านาย” ไทด์เอ่ยอยู่ด้านหลังผม
“เขานอนอยู่แบบนี้มานานแค่ไหนแล้วครับ”
“5 ปีกว่าได้”
“อ่า... ไม่แปลกที่คุณจะรู้จักหมอกับพยาบาลที่นี่ทุกคน” ในใจผมนึกเวทนาแต่ไม่แสดงอาการออกมา เพราะไทด์คงรู้สึกเสียใจกับเรื่องของน้องชายมากพอแล้ว ผมเลยตั้งใจพูดติดตลกเพื่อที่เขาจะได้ไม่รู้สึกแย่
“เวลาฉันทำงาน ก็ได้พวกเขาคอยดูแลท็อปให้ ถึงเป็นเพราะหน้าที่ฉันก็อยากขอบคุณ... เพราะมีพวกเขาน้องชายฉันถึงอยู่มาได้นานขนาดนี้” ผมเข้าใจในสิ่งที่ไทด์พูด และยังดีใจแทนท็อปที่มีพี่ชายที่ดูจะรักเขามาก
“ผมถามได้มั้ยว่าเขาเป็นอะไร”
“เลือดคลั่งในสมองเพราะโดนของแข็งกระทบอย่างแรง ท็อปเฉียดตายไปหลายครั้งก็ได้คุณหมอช่วยยื้อชีวิตให้ ตอนนี้เขาช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย จะตอบสนองแค่ดวงตา ที่ทำให้รู้ว่าเวลาไหนเขาหลับและเวลาไหนกำลังตื่นอยู่”
เป็นอย่างนี้นี่เอง ตอนนี้ท็อปลืมตาก็แสดงว่าเขาอาจได้ยินเรื่องที่พวกเราพูดกันสินะ
“หวัดดี ฉันชื่อรัณย์นะ” ผมนั่งลงข้างๆ เขา พยายามพูดด้วยน้ำเสียงเบาแต่ชัดถ้อยชัดคำ “เห็นพี่ชายนายบอกว่าเราอายุเท่ากัน ถ้างั้น... นายเพิ่มฉันเป็นเพื่อนอีกซักคนได้หรือเปล่า ความจริงฉันไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไหร่ ให้ฉันแวะมาเยี่ยมนายบ้างคงไม่เป็นไรใช่มั้ย เห็นมีแต่พี่ชายมาเยี่ยมฉันกลัวว่านายจะเบื่อหน้าเขาแล้วน่ะสิ”
“ให้มันน้อยๆ หน่อย”
ผมหันไปมองคนทำน้ำเสียงดุ และก็เป็นอย่างที่คิด ไทด์กำลังเขม็งตาใส่ผมอยู่ แต่ที่น่าแปลกใจคือหลังจากนั้นเขากลับยิ้มออกมา แม้จะเป็นเพียงเสี้ยวเล็กๆ ตรงมุมปาก มันก็เป็นภาพที่ผมไม่คิดว่าจะได้เห็น
รอยยิ้มละมุนละไม ทำให้ใบหน้าเข้มกับท่าทางโหดๆ ของเขาหายไปในพริบตา...
“เรื่องเกี่ยวกับคุณที่จะเล่าให้ผมฟัง ก็คือเรื่องของน้องชายหรอครับ”
“ฉันไม่เคยพูดถึงท็อปกับใคร จะมีก็แต่อาจักรกับบอสที่รู้เรื่อง” อ้า สองคนนั้นเอง “ฉันก็ไม่ได้อยากปิดบังอะไรหรอกนะ... แต่แค่ละอายใจเวลาที่ต้องบอกว่ามันคือความผิดของฉัน”
“ความผิดของคุณ?” ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงพูดแบบนั้น
ไทด์เล่าให้ผมฟังว่าหลายปีก่อนหน้าที่น้องชายจะประสบภัยร้าย เขาเคยใช้ชีวิตเหลวแหลก อยู่กับกลุ่มเพื่อนอันธพาล กินเหล้าสูบบุหรี่ ไม่ยอมหางานทำ ได้แต่รับงานใต้ดินกับทำเรื่องผิดกฎหมายไปเรื่อย ตอนนั้นเขาเข้าออกโรงพักเป็นว่าเล่น จนชีวิตตกต่ำถึงขีดสุด ต้องไปรวมตัวกับเพื่อนเพื่อชิงทรัพย์เล็กๆน้อยๆ จากคนอื่น
ระหว่างนั้นท็อปกำลังเรียนอยู่มัธยมปลาย มีผลการเรียนและพฤติกรรมดีเด่นจนได้รางวัลมานับไม่ถ้วน ท็อปอาศัยอยู่บ้านเช่าเพียงลำพังเนื่องจากพ่อและแม่เสียชีวิตไปตั้งแต่เด็ก ส่วนค่าใช้จ่ายในบ้านกับค่าเล่าเรียนไทด์จะเป็นคนโอนไปให้เสมอ โดยที่ท็อปไม่เคยรู้ว่าพี่ชายทำมาหากินอะไรเพราะไม่เคยกลับมาบ้าน
จนอยู่มาวันหนึ่งไทด์ได้ข่าวเรื่องน้องชายถูกกลุ่มอันธพาลจี้ชิงทรัพย์ แต่เพราะขัดขื่นไม่ยอมให้พวกมันเอาเงินที่จะจ่ายค่าเทอมไป ทำให้อีกฝ่ายกระหน่ำใช้ไม้เบสบอลทุบตีจนบาดเจ็บสาหัส เขาคลุ้มคลั่งเอาแต่โทษตัวเองที่ทำกับคนอื่นไว้เยอะ กรรมมันจึงไปตกอยู่กับน้องชายเขาแทน เวลานั้นไทด์จมอยู่กับความเครียดจนคิดถึงขั้นว่าถ้าท็อปเป็นอะไรไป เขาก็จะตายตามเช่นกัน
โชคดีที่จักรพงษ์เพื่อนสนิทของพ่อไทด์กับท็อปยื่นมาเข้ามาช่วย ช่วยจ่ายค่าผ่าตัดและแนะนำงานให้กับไทด์ แน่นอนว่าเขาตกลงทันที โดยตั้งเป้าหมายว่าจะทำงานหาเงินมารักษาท็อปให้หายดี
เขาเปรียบน้องชายเหมือนกำลังใจอันแกร่งกล้าที่สามารถช่วยทำให้เขาอดทนต่อไปจนกว่าสองพี่น้องจะได้พบกันอีกครั้ง เรียกได้ว่าน้องชายเป็นผู้ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตเขาไทด์อย่างแท้จริง ทำให้เขาเป็นคนใหม่ พยายามเลิกบุหรี่และอาการติดเหล้าอย่างหนัก หันหลังให้กับชีวิตบัดซบอย่างที่ผ่านมา
ผมเพิ่งรู้ว่าลูเซียนเองก็เป็นบุคคลหนึ่งที่เป็นส่วนทำให้ชีวิตของไทด์มาถึงจุดนี้ ช่วยเรื่องหน้าที่การงานและยังช่วยเรื่องค่ารักษาพยาบาลของท็อปในยามที่ต้องผ่าตัดใหญ่ ด้วยเหตุนี้ลูเซียนจึงเป็นดั่งผู้มีพระคุณ ไม่ว่าต้องการให้ทำอะไรไทด์ก็ไม่เคยขัดข้อง อย่างตอนที่บอกให้สอนงานผม เขาก็ตัดสินใจทำตามคำสั่งแม้ในใจจะคัดค้าน
หลังจากฟังจบ ผมมีคำพูดหนึ่งที่อยากบอก...
“ท็อปโชคดีที่มีพี่ชายอย่างคุณ”
ไทด์ขมวดคิ้วพลางหันหน้ามามอง “เมื่อกี้นายไม่ได้ฟังฉันเล่าเลยใช่มั้ย”
“ก็คุณไม่ได้ทิ้งเขานี่ครับ” ผมจ้องกลับพร้อมยิ้มให้อย่างจริงใจ แต่สบตากันได้แปบเดียวเขาก็หันหน้าหนีไปทางอื่นก่อน “เอาน่า... รู้สึกผิดช้าไปยังดีกว่าไม่สำนึกนะครับ คุณยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองตั้งมากมายเพื่อน้องชาย ถ้าเป็นคนอื่นจะทำได้ขนาดนี้หรอ”
“หึ... ทำพูดเข้า”
“ได้ยินคุณเล่าเรื่องในอดีตแล้ว เล่นเอาคนจำความไม่ได้อย่างผมอิจฉาไปเลย อย่างน้อยคุณก็มีความทรงจำที่ดีและไม่ดีมาเป็นประสบการณ์ในชีวิต ส่วนผม... กลับจำได้อย่างเดียวว่าเคยเป็นยังไงในสายตาคนอื่น”
มีหลายคนไม่ชอบขี้หน้า เป็นเครื่องยืนยันได้ดีว่าผมเคยทำตัวแย่แค่ไหน ก่อเรื่องอะไรไว้ก็ต้องยอมรับกับมัน แต่ที่ยังหลุดไปไม่ได้สักทีอาจเป็นเพราะผมยังมีพันธะบางอย่าง ที่ต่อให้อยากเปลี่ยนแปลงยังไงก็สลัดมันไม่ได้ง่ายๆ
“วันนั้นนายเชื่อเรื่องที่ฉันโกหกเรื่องแผลเป็น ไม่รู้หรอกนะว่ามันทำให้นายรู้สึกแย่แค่ไหน แต่หลังจากคิดดูแล้ว ฉันก็ตัดสินใจว่าจะเล่าเรื่องของตัวเองให้นายฟังบ้าง”
“ทำไมล่ะครับ”
“นายจะได้รู้ว่าไม่ได้มีแค่นายที่กำลังเผชิญปัญหาอยู่ ไม่ว่าใครก็มีโอกาสเจอเรื่องแย่ๆ กันได้ทั้งนั้น แค่ต้องจำไว้ว่ามันไม่ใช่จุดจบในชีวิต ถ้าพอมีอะไรที่ทำให้นายก้าวต่อไปได้ก็จงทำมันซะ ลงมือให้เต็มที่ จะได้ไม่เสียใจภายหลัง”
จากใจคนที่เคยโดนชายคนนี้พูดจาแดกดันมาตลอด ผมไม่เคยชิงชังกับอคติที่เขาเคยมีต่อผม แต่แค่อยากให้เปิดใจเรียนรู้กันใหม่อีกครั้ง ผมคิดว่าจะไม่มีวันนั้นซะแล้ว จนเมื่อครู่ที่ได้ฟังไทด์แนะนำการใช้ชีวิต ผมรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก เพราะการได้รู้จักเขามากขึ้น ทำให้ผมมองเห็นถึงมิตรภาพที่ไม่เลวเลย
“ว่าแต่... ไอ้อาการความจำเสื่อมเนี่ย มันจะเปลี่ยนนิสัยคนจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ขนาดนี้เชียว ไม่ใช่ว่านายมีฝาแฝดหรอกนะ” เห็นได้ชัดว่าไทด์จงใจเปลี่ยนเรื่อง ทำเหมือนเพิ่งรู้สึกตัวว่าพูดในสิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจไปงั้นแหละ
“หรือไม่ก็อาจเป็นวิญญาณที่ตายไปแล้วมาสิงสู่” จริงๆ ผมไม่รู้หรอกว่าเป็นเพราะอะไร ที่พูดไปก็แค่อยากรับมุกเฉยๆ “พาผมไปสำนักหมอผีดีมั้ยครับ เขาจะได้ช่วยดูให้”
“รับมุกก็เป็น” ไทด์พูดจบ เราสองคนก็หัวเราะขึ้นมาพร้อมกันอย่างลืมตัว
“ไหนๆ เราก็รู้จักกันมากขึ้นแล้ว ผมจะขอเรียกคุณว่า ‘พี่’ ได้มั้ยครับ”
ถ้าให้พูดถึงความรู้สึกตอนนี้ เอาตรงๆ ผมก็เขินเหมือนกันนะ แบบว่าตื่นเต้นหน่อยๆ ไม่กล้าสบตา สิ่งที่ผมคิดคืออยากเรียกเขาเหมือนรุ่นน้องคนอื่นๆ ในไนต์คลับ เพราะหลังจากนี้เรายังต้องทำงานด้วยกัน มันก็แน่นอนว่าผมอยากสนิทกับเขามากกว่าโดนเขม่นใส่อยู่แล้ว
ไม่รู้ว่าไทด์จะมองผมเป็นเหมือนน้องคนหนึ่งได้หรือเปล่า
“ความจริง... มีน้องชายเพิ่มอีกคนก็ไม่เสียหลาย”TBC
ขอแบ่งลงครึ่งตอนน้า พอดีพาร์ทที่เหลือมันต้องปรับแก้นิดหน่อย
เดี๋ยวพรุ่งนี้มาต่อให้แน่นอนจ้า ^^