ตอนที่ 1.โสเภณีเช่นข้าฯ จำต้องเลือกระหว่างศักดิ์ศรีและชีวิตมารดา
ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเรื่องราวของข้าจะจบลงอย่างไร ความเจ็บปวดในครั้งนี้คงจะฝังใจข้าไปจนไม่มีทางลืมได้แน่นอน ความเจ็บปวดนี้ช่างสาหัสนัก จากที่ข้าเคยทะนงตนลำบากตรากตรำแค่ไหนก็มิเคยปริปากบ่นทนได้เสมอ ทว่าศักดิ์ศรีที่ข้าเฝ้ารักษาไว้กลับหมดสิ้นไปนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ในวันนั้น
“ท่านหมอ อาการท่านแม่เป็นอย่างไรบ้าง?” ข้าหันไปถามซินแสกู้เมื่อมองใบหน้าของเขาข้าก็รู้สึกสั่นไหวจนใจหล่นวูบ “นางคือมารดาเจ้าอย่างนั้นหรือ?” หมอกู้มองมายังข้าแล้วถามออกมา
“ขอรับนางคือมารดาของข้า” แม้แววตาของท่านหมอจะมองมาที่ข้ากับท่านแม่ที่นอนอยู่บนเตียงด้วยสายตาแปลกๆ แต่หญิงนางนั้นก็คือมารดาของข้าด้วยความสัจจริง “ท่านแม่ของข้าอาการเป็นอย่างไรบ้างขอรับท่านหมอ” ข้าเห็นท่านแม่นอนสงบนิ่งอยู่บนเตียงใจก็รู้สึกกระวนกระวายนัก ท่านหมอมิได้เอ่ยกล่าวคำพูดใดๆ นอกจากโคลงศีรษะเบาๆ
“เจ้าทำใจเสียเถอะ” ข้าได้ฟังประโยคของท่านหมอที่เอ่ยออกมาทำให้ใจของข้าหล่นวูบ แทบยืนทรงกายต่อไปไม่ไหว “ไม่มีทางรักษาแม่ข้าได้เลยหรือขอรับท่านหมอ” ข้าส่งสายตาวิงวอนกับท่านหมออีกครั้ง หมอกู้ส่งสายตามาที่ข้าแว่บหนึ่งก่อนกล่าวขึ้น “มันก็พอจะมีทางอยู่ นอกเสียจากจะได้โสมพันปีมาช่วยพยุงอาการของนางไว้ แต่มัน..อาจจะช่วยได้เพียงชั่วคราวเพียงเท่านั้น”
เมื่อได้ฟังดังนั้นมันเหมือนมีน้ำเย็นลงมาชโลมใจข้า ท่านแม่มีโอกาสรอดแล้วแม้จะเพียงแค่ช่วยพยุงอาการมันก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย “แล้วโสมพันปีข้าจะไปหามันได้จากที่ไหนหรือขอรับ?” ลำบากแค่ไหนข้ามิเคยปริปากบ่นยิ่งเพื่อท่านแม่ด้วยแล้วนางคือผู้มีพระคุณยิ่งใหญ่แม้บุกน้ำลุยไฟข้าก็ไม่เกี่ยง “เจ้าจะหาโสมพันปีมารักษานางจริงๆ นะหรือ?” ท่านหมอกล่าวพร้อมกับมองมาที่ข้า “ขอรับ ขอท่านหมอเชิญบอกแม้ข้าต้องบุกน้ำลุยไฟก็ไม่เกี่ยงของเพียงช่วยท่านแม่ของข้าได้ก็พอ”
“เจ้าไม่จำเป็นต้องบุกน้ำลุยไฟหรอกเพียงแค่เจ้ามีเงินห้าร้อยตำลึงทองก็สามารถนำโสมพันปีมารักษานางได้ไม่ยาก” ข้าฟังท่านหมอกล่าวจบก็พลันทรุดกายลงกับพื้นทันที ห้าร้อยตำลึงทอง นี่สวรรค์กำลังกลั่นแกล้งข้าอยู่ใช่ไหม? บัณฑิตจนจนอย่างข้าจะมีปัญญาหานำเงินห้าร้อยตำลึงทองมาจากที่ใดกัน “ห่ะ-ห้าร้อยตำลึงทอง” ข้าบ่นกับตัวเองถึงเงินจำนวนนี้ ข้าจะหาเงินนี่ได้จากที่ใดกัน
เมื่อมองไปที่ท่านแม่ข้าที่นอนอยู่บนเตียง ยังมีหมอกู้ที่ดูอาการนางอยู่ไม่ห่าง “ไม่มีทางอื่นที่จะรักษาแม่ข้าแล้วหรือขอรับท่านหมอ” ท่านหมอกู้ส่ายศีรษะ “ถ้าไม่มีโสมพันปี แม่เจ้าคงอยู่ได้ไม่เกินสามวัน” ข้าได้ฟังดังนั้นก็พลันเจ็บปวดหัวใจยิ่งนัก ทำไมกันสวรรค์ถึงกลั่นแกล้งคนตกทุกข์เช่นข้า ให้พบกับโชคชะตาที่แสนโหดร้าย “ตกลง ข้าจะรีบนำเงินห้าร้อยตำลึงทองมาให้ท่าน” ท่านหมอกู้หันมาเหมือนไม่เชื่อคำพูดของข้าที่กล่าวออกไป “นี่เจ้าจะหาเงินห้าร้อยตำลึงทองมาจริงๆ นะหรือ?”
“ใช่ขอรับ” ข้าสบสายตามองไปที่ใบหน้าของท่านหมออย่างหนักแน่น “เจ้าไม่ต้องนำเงินห้าร้อยตำลึงทองมาให้ข้าหรอก เพียงแค่เจ้านำเงินนั้นไปให้เถ้าแก่จางที่ร้านแลกเงินแล้วบอกกับเขาว่าเจ้าต้องการโสมพันปี เขาจะเป็นคนจัดการเอามาให้เจ้าเอง”
ฟังจากท่านหมอกู้พูดมา ก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรนักถ้าข้าเป็นคนมีฐานะหรือคหบดีเศรษฐีใหญ่ แต่ข้าเป็นเพียงบัณฑิตจนจนคนหนึ่งเพียงเท่านั้น หลี่เสี้ยวเซียนเอ๋ยหลี่เสี้ยวเซียน เจ้าจะหาเงินจำนวนนี้มาจากที่ใดกัน
หลังจากข้าส่งท่านหมอกลับไปแล้ว ข้าเดินครุ่นคิดอย่างเชื่องช้าเดินวนซ้ำไปซ้ำมาภายในบ้านหลังเล็กๆ ที่มีเพียงแค่ข้ากับท่านแม่อยู่อาศัย “พี่ห้าวฉาย” เมื่อเห็นภาพวาดชิ้นหนึ่งของเขาก็พลันทำให้ข้านึกถึงใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาได้ในทันที นัยน์ตาใสกระจ่าง บุรุษร่างสูงใหญ่ ที่ทำให้ข้ารู้สึกหวั่นไหว คนผู้นี้น่าจะมีเงินห้าร้อยตำลึงทองมาให้ข้าอย่างแน่นอน ตระกูลถังที่มั่งคั่งร่ำรวย ถังห้าวฉายผู้นี้คือผู้ที่จะทำให้ท่านแม่ข้าสามารถอยู่กับข้าได้นานขึ้น
ข้าไม่รีรอจัดการเขียนจดหมาย นำไปให้บ่าวไพร่ของตระกูลถัง นำส่งไปยังมือของพี่ห้าวฉายในทันที ความหยิ่งทะนงของข้าที่เคยมี บัดนี้มันช่วยเหลืออะไรข้าไม่ได้เลย ช่างเถอะ ในเมื่อตัดสินใจแล้วข้าจะมามัวเสียใจอีกทำไมกัน
ไม่นานนัก เสียงรถม้าก็วิ่งมาถึงหน้าบ้านของข้า” เสี้ยวเซียน เจ้ามีอะไรหรือเปล่า? ทำไมกันจึงส่งจดหมายหาข้าให้ออกมาในเวลานี้” ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเขาที่มองมายิ่งทำให้ข้ารู้สึกอุ่นใจ “พี่ห้าวฉาย วันนี้ท่านพาข้าไปที่บ้านพักท่านที่ริมเขาจะได้ไหม?”
“ได้สิ เจ้าอยากไปที่ใด ข้าพร้อมจะพาเจ้าไปเสมอ ขอเพียงให้เจ้าบอกข้ามา...แต่ทำไมกันปรกติข้าชวนเจ้าสนทนาก็ไว้ตัว แสดงทีท่าไม่สนใจ เหตุใดเวลานี้เจ้าเปลี่ยนแปลงไปได้มากขนาดนี้” พี่ห้าวฉายสอบถามข้าระหว่างที่พาข้าขึ้นบนรถม้า ทว่าข้าเองนั้นมิรู้ว่าควรจะตอบเขาไปเช่นไรดี
“อาหนิวไปได้”
“ขอรับคุณชาย”
“เสี้ยวเซียน เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า? ดูสีหน้าไม่ดีไม่สบายใช่ไหม?” ท่านยังคงช่างสังเกต
“เปล่า ข้าไม่ได้เป็นอะไร อาจจะเป็นเพราะว่าอากาศหนาว”
“อากาศหนาวอย่างนั้นหรือ? เช่นนั้นเอาเสื้อคลุมของข้าห่มไว้” เพียงครู่เขาก็ปลดเสื้อคลุมผืนหนายื่นส่งมาให้ข้าในทันที “แล้วท่านล่ะ?”
“หึ ข้าไม่เป็นไรหรอก ข้าคือผู้ฝึกยุทธ ไม่ใช่บัณทิตผอมบางเช่นเจ้า อากาศหนาวเช่นนี้ข้าไม่เป็นอะไรหรอก”
พี่ห้าวฉายยังคงเป็นเช่นเดิม ฐานะของท่านกับข้าเทียบกันดั่งฟ้ากับเหว เหตุใดกันท่านจึงมาสนใจไยดีบัณฑิตตกยากเช่นข้ากันนะ ความเงียบงันตราบจนรถม้าวิ่งไปบนถนน เขายังคงไม่กล้าที่จะกล่าววาจาใดๆ คงเป็นเพราะเกรงใจข้า ดังเช่นที่เคยเป็นมาสินะ
ที่เชิงเขาในคืนนี้หิมะปลิวโปรย ท่ามกลางอากาศเหน็บหนาวผู้คนทั่วไปตลอดเส้นทาง ต่างซ่อนตัวอยู่ในบ้านเรือนกันหมดสิ้น ด้านนอกไหนเลยจะมีคนสัญจรไปมา มันสงบเงียบไร้สุ้มเสียง ข้าเปิดหน้าต่างของรถม้ามองออกไปจนปะทะลมหนาวพัดมาให้รู้สึกเยือกเย็นเสียดกระดูก ประกายหิมะบนพื้นสว่างไสวยิ่งพลันทำให้ภายในใจยิ่งหนาวเหน็บ ที่แม้แต่เสื้อคลุมตัวหนาก็มิอาจช่วยบรรเทาลงได้