บทส่งท้าย...............สัญญา............
[/b]
5 ปีผ่านไป
ชายหนุ่มรูปร่างหน้าตาชั้นแนวหน้าคนหนึ่งนั่งอยู่เพียงลำพังในร้านอาหารที่ค่อนข้างหรูหรา อันที่จริงแล้ว
เขาเป็นคนที่ค่อนข้างใจเย็นและสุขุม แต่บัดนี้เขากำลังทำท่าทางลุกลี้ลุกลนอย่างเห็นได้ชัด สายตาของเขาสอดส่ายไปมา พร้อมๆกับที่กวาดตาไปมองที่นาฬิกาเป็นระยะๆ
“ทำไมยังไม่มาน้า” ผมเอ่ยขึ้นมา คนที่ผมกำลังนั่งรอ ปล่อยให้ผมรออยู่ตั้งนาน แต่พอคิดว่าจะได้เจอคนๆนั้นแล้ว
ก็ทำให้ความทุกทรมานจากการรอคอยลดลงได้บ้าง ...... “ไอ้ตัวแสบ”ของผม
วันนี้เป็นวันแรกของเดือนที่ 2 ที่ผมเปิดคลินิกครับ ด้วยเพราะสัญญาบ้าๆกับใครบางคน
ทำให้ผมต้องมานั่งรอเกือบชั่วโมงอยู่อย่างนี้ อันที่จริงแล้ว ผมเรียนจบตั้งแต่เมื่อ 2 ปีที่ก่อน แต่ผมได้รับทุนการศึกษา
ให้ไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ผมรีบเรียนปริญญาโทจนจบภายใน 1 ปี เพราะผมคิดถึงคู่หมั้นของผมเหลือเกิน
“ที่กูจะให้มึงสัญญาคือ มึงต้องใช้เงินเดือนเดือนที่ 2 ที่มึงทำงานได้ มาเลี้ยงข้าวกู ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
มึงต้องโทรมาชวนกูไปกินข้าวเข้าใจมั้ย”คำพูดของคนๆหนึ่งยังคงก้องอยู่ในห้วงความคิดของผมเสมอ ผมจึงถือเอาวันนี้แหละที่จะทำตามสัญญาที่ผมเคยให้ไว้กับเค้า
“......เฮ้อ......”ผมเผลอถอนหายใจเมื่อคิดถึงคนๆนั้น ผมมองดูนาฬิกาอีกครั้งนี่มันเกินเวลานัดมา 1 ชั่วโมง 30 นาทีแล้ว
แต่ผมก็ยังไม่อยากกลับ ผมรู้ดีว่าเขาต้องมา
ในขณะที่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย ผมหันไปทางขวาเพื่อที่จะหาวิวดูฆ่าเวลา กระจกหน้าร้านอาหารก็ใสสะอาด
จนไม่อาจบดบังทัศนะวิสัยได้ นั่นไง ผมเจอแล้วครับ มันคือสนามเด็กเล่นของเรา
ผมยังจำค่ำคืนนั้นของเรา 2 คนได้ดี.........................
เมื่อ 3 ปีก่อน.....ในค่ำคืนที่หัวใจสลาย
ผมยืนอยู่ที่นั่น
ด้านข้างม้านั่งนั่น
ตรงข้ามผมยืนไว้ด้วย ผู้ชายร่างผอมบาง ปากแดงชาดเล็กๆกำลังเม้มเข้าหากัน มือ 2 ข้างกำลังสั่นและกำเป็นหมัดแน่นๆ
แววตาของทิศเปล่งประกายเจิดจ้าราวกับสามารถมองทะลุไปได้แม้กาลเวลา
เป็นแววตาที่ทิศชอบทำเสมอเมื่อทิศกำลังทรมาน แม้ว่าทิศพยายามที่จะปิดบังบางอย่างหรือเสแสร้งทำอะไร
ผมมักจะจับผิดได้จากแววตาของเขาเสมอ
‘ช่างน่าทะนุถนอมเหลือเกิน’ ตอนนั้นผมอยากจะรั้งตัวของทิศให้เข้ามาในอ้อมอกของผม
“จำคำที่เราพูดได้มั้ย” น้ำเสียงที่นุ่มนวลชวนฟังถูกเอื้อนเอ่ยออกมาจากปากคู่นั้น
‘คำไหนที่นายอยากให้เราจำได้’ผมคิด.............ถ้าเป็นคำว่า
“............อ้ายคม.......กู.......ฮือ......ฮือ.....กู ..........เหงา.........มึงช่วยกูที...........นะ......ฮือฮือ.....กูเหงา........”ล่ะก็ผมจำได้.....ไม่อาจลืมเลือนด้วยซ้ำ.......หรืออาจเป็นคำที่ทิศบอกว่า
“เฮ้ย เว่อร์ละกูไปคนเดียวดีที่สุดแล้ว ไม่มีคนเสียหาย สบายใจดี กูก็ไปคนเดียวได้ ตามใจตัวเองอยากทำอะไรก็ทำ
ไม่ต้องแคร์ใคร”ผมก็ยังจำได้........นอกจากนี้ยังมีคำพูดอีกมากมายที่ทิศได้ บอกใบ้ผมไว้แล้ว ว่าวันนี้จะต้องมาถึง
“.....มึงได้ยินยัง......กูชอบมึง.....ฮือ....ชอบทั้งๆที่รู้ว่าปลายทางของมันมีแต่ความทรมาน...............เพราะกูรู้ว่า
มันไม่มีทางเป็นไปได้”
“...ถ้ากูบอกว่าเหงาแล้วมึงจะทำอะไรได้....มึงจะอยู่กับกูรึไง....ถ้ามึงจะทำอย่างเมื่อวานก็เงียบไปเลย.....
กูเกลียดที่สุดคือความเหงาแล้วก็ความผิดหวัง......แล้วเมื่อวานกูเจอทั้ง 2 อย่างมึงพอใจยัง”
“แต่กูกลัว...ถึงเราจะพยายามแค่ไหนแต่กูก็กลัวอยู่ดี”
“มึงรู้มั้ยว่า...สักวันหนึ่งเราก็ต้องเลิกกัน”
“ก่อนที่กูจะเรียนจบเราต้องเลิกรักกันไห้ได้นะ”
“ถ้าเป็นอย่างนั้น มึงก็มีเวลาอีก 2 ปีที่จะหาคนดีๆมาร่วมชีวิตในรั้วมหาลัย ส่วนกูก็จะได้ไปทำงานอย่างไม่ต้องพะวงถึงมึง
มึงไม่ต้องบอกตกลงอะไรทั้งนั้น ไม่ต้องพูด ถ้ามึงปฏิเสธ.....กูก็ไม่สบายใจ แต่ถ้ามึงตอบตกลง.........กูก็เสียใจอีกนั่นแหละ
ดังนั้น มึงไม่ต้องพูดนะ”
“กูคิดว่า......ถึงตอนนั้นกูคงอยากเห็นหน้ามึง......ดูว่ามึงสบายดีมั้ย”
“..........มึงว่ามั้ย....กูไปอยู่ที่อื่นก็ดีเหมือนกัน....มึงจะได้ไม่ต้องกังวลกับข่าวลือ......”
“ไม่ว่ายังไงกูก็ต้องไป.....มึงก็รู้”
“....ไม่ว่ายังไงกูก็ต้องไป....ถึงกูไม่โดนเด้งหอ....แต่กูก็อยู่กับมึงตลอดไปไม่ได้....ซักวันเราก็ต้องจากกันอยู่ดี.....
เอางี้ดิถ้าความทรงจำเรื่องของเรา...ทำให้มึงต้องร้องไห้....งั้นมึงก็ลืมไปดิจะได้ไม่ต้องเสียใจเวลากูไม่อยู่”
“งั้นมึงก็จำแต่เรื่องดีๆได้เปล่า.....ตอนที่เราจากกันมึงไม่ต้องจำ.....ถ้ารู้สึกเหงา...ก็คิดถึงตอนที่อยู่ด้วยกันก็ได้”
“ไม่.......มึงต้องทำได้ต่างหาก.....คม....มึงต้องทำได้”
“ไม่.....ไม่เจ็บแล้ว.....แต่ตอนนี้ทิศมีความสุขมาก....ทิศอยากให้คมกอดทิศนานๆนะ.....อย่าปล่อยให้ทิศอยู่คนเดียว.....
ทิศกลัว......เหงา”
“ทิศก็รักคม”คำพูดต่างๆคอยเข้ามาวนเวียนในห้วงความคิดของผมราวความฝัน ในโลกนี้มีแต่ผมเท่านั้นที่เข้าใจในสิ่งที่ทิศพูด
เพราะในขณะที่ทิศพูดคำพูดเหล่านี้ ดวงตาของทิศเปล่งประกายเจิดจ้า และเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา ผมรู้ดีแต่แรกว่าคำพูดเหล่านี้
ทิศพูดเผื่อเพื่อใช้ในวันนี้แล้ว.......
วันที่ทิศเรียนจบ....และเป็นวันที่ทิศต้องจากผมไป.....
วันสุดท้ายที่เราจะอยู่ร่วมโลกในฐานะคนรัก...........
วันนี้คงไม่ต้องมีคำพูดอะไรมากมาย.........
“เราจำได้”ผมเอ่ยเบาๆท่ามกลางสายลมและเวลาที่ยังคงโชยพัด.....................
“ทุกคำเลยใช่มั้ย”ทิศเผยอปากที่ขบกัดจนแทบมีเลือดไหลเพื่อที่จะเปล่งคำๆนี้ออกมา.......
หัวใจของผมเจ็บราวถูกฉีกกระชากให้ขาดออกจากกัน
“อือ”ผมตอบรับคำด้วยความเจ็บปวด พร้อมกับสังเกตการณ์เปลี่ยนแปลงแววตาของทิศ บัดนี้ แววตาที่เคยเจิดจ้า
คล้ายมีเมฆหมอกมาบดบังจนหมองศรี น้ำตาค่อยๆ ไหลเอ่อท่วมท้น ดวงตาของคนที่ผมรัก ในขณะที่เขาพยายามก้มหน้าลง เพื่อหลบไม่ให้ผมเห็นความเจ็บปวดจากในแววตาเหมือนเช่นเคย
“คม......คม...”ทิศรำพึงด้วยเสียงแผ่วจนน่ากลัว ไหล่บ่าสั่นสะท้านจากความเสียใจ
หัวใจของผมเจ็บปวดจนแทบมีเลือดหยาดหยดอยู่ภายใน ผมรีบเดินเข้าไป เอื้อมมือไปคว้าคนที่เบื้องหน้ามากอดเอาไว้
ในอ้อมอก พร้อมๆกับที่รู้สึกว่ามือของคนๆนั้นก็กอดรัดผมอย่างรุนแรง ผมตอบสนองไปด้วยความรู้สึก
ผมเริ่มกอดให้แน่นขึ้น เพื่อให้ตัวของเราแนบแน่นกว่าที่เคย.ถ้าเป็นไปได้ผมอยากจะเป็นหนึ่งเดียวกันกับทิศ.
เรา 2 คนจะได้ไม่ต้องแยกจากกัน น้ำตาของผมไหลเป็นสาย ทิศยังคงร้องไห้อย่างไม่อาจควบคุมตัวเองในอ้อมกอดของผม
ผมบีบรัดวงแขนมากขึ้น จนรู้สึกว่าคนในอ้อมกอดหายใจไม่ออก
“ขอโทษ”ผมเปล่งเสียงที่ปวดร้าว พร้อมๆกับคลายวงแขนออก
“กอดแน่นๆ”ทิศบอกผมทั้งที่ใบหน้ายังซุกกับหน้าอกผม ราวกับจะแทรกเข้าไปในร่างของผม ผมค่อยๆกระชับวงแขน
กางมือทั้ง 2 ข้างออก โอบจนแทบเต็มแผ่นหลังของทิศ ผมอยากเก็บกักเอาอณูความอบอุ่นที่มีทั้งหมดของทิศไว้กับตัวผม
ณ วินาที่นั้น ผมรู้สึกเหมือนกับว่า ตัวของทิศช่างเรือนรางและอ่อนไหว ราวกับจะสามารถระเหยหายไปกับอากาศได้ทุกเมื่อ เหมือนกับผมพยายามจะคว้าอากาศเอาไว้ ผมเสียใจถึงที่สุดที่จุดจบของเราต้องเป็นอย่างนั้น
เรากอดกันอยู่เนิ่นนาน ทิศพลันผละจากอ้อมอกผม เผยอรอยยิ้มที่ทำให้หัวใจสลายทั้งๆที่น้ำตายังไหลริน
“หลับตาลงสิ”น้ำเสียงที่นุ่มนวลเกินปกติ ถูกเอื้อนเอ่ยออกมาจากปากคู่นั้น
ผมหลับตาลงตามความต้องการของทิศ รับรู้ถึงเสียงสะอื้นของตัวเอง น้ำตาของผมยังคงไหลออกมาจากเปลือกตาที่ปิดตาไปแล้ว พร้อมกับที่รับรู้ถึงรอยจูบครั้งสุดท้ายที่ทิศมอบให้
“ทิศรักคมตลอดมา......และเราต่างก็รู้ดีว่ารักของเราไม่มีทางจบลง.......รักษาตัวนะคม”
นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายที่ผมได้ยินจากปากของทิศ......
อ้อมกอดของผมไม่มีความอบอุ่นที่เคยมีอีกแล้ว......ไม่มีคนที่ทำให้ผมหัวเราะและร้องไห้อีก......
ความหนาวเหน็บเริ่มเข้าครอบงำ......
เมื่อผมลืมตาตื่นขึ้น
ก็พบแต่ความว่างเปล่า....
ความมืดมิดของกลางคืน......
และแสงไฟสีเหลืองที่คอยส่องหนทางข้างหน้า
นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมได้เจอทิศ
ผมไม่รู้ตัวว่าลงไปนั่งกองกับพื้นเมื่อไหร่
รู้แต่ว่า ผมร้องไห้อยู่อย่างนั้นจนเช้า..............
นับจากวันนั้นเป็นต้นมา ขุมนรกของผมก็เริ่มต้นขึ้น ผมร้องไห้ทุกวัน.......
เสียใจจนแทบเป็นบ้า......แต่เมื่อนึกถึงคำพูดของทิศที่ว่า
“งั้นมึงก็จำแต่เรื่องดีๆได้เปล่า.....ตอนที่เราจากกันมึงไม่ต้องจำ.....ถ้ารู้สึกเหงา...ก็คิดถึงตอนที่อยู่ด้วยกันก็ได้”ผมก็ยิ้มทั้งน้ำตาทุกครั้งที่นึกถึงคำนี้
ความรู้สึกและความทรงจำของรัก.....ไม่เคยลบเลือนจากชีวิตของผม
เพียงแต่บางครั้ง ปลอบโยนผม....บางครั้งทำร้ายผม.........
ช่วงเวลาที่ปวดร้าวที่สุดในชีวิตของผมดำเนินอยู่เกือบ 2 ปี
จนผมได้มาพบกับคู่หมั้นของผม ..........สำหรับผม เธอเปรียบเสมือนแสงอาทิตย์ยามเช้าที่สาดส่องลงมายังพื้นโลก
คอยให้กำลังใจและคอยปลอบโยนผม ความรักที่ผมมีให้เธอก็สามารถยืนยันต่อฟ้าได้ เป็นความรักที่สมบูรณ์ที่สุดที่ผมเคยรู้จัก
นับตั้งแต่แรกเริ่มเป็นต้นมา ทุกสิ่งที่ทิศทำ ทิศได้ทำเพื่อผมทั้งสิ้น ถ้าหากความรักของเราไม่จบลง ผมคงจะไม่มีโอกาสได้เจอกับผู้หญิงดีๆ อย่างเธอ
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ไอ้ตัวแสบจะกลายเป็นแค่คนเคยรักสำหรับผม...............
นั่นเป็นความทรงจำที่สวยงามและปวดร้าวที่สุดที่ผมเคยมี
เป็นช่วงชีวิตที่มีความรู้สึกของผมถูกปลุกเร้าให้มีความสุขและความทุกข์มากที่สุด
นอกจากนั้น ทิศก็ยังเป็นคนรัก ที่ผมรักมากที่สุดเสมอมาและจะเป็นอย่างนั้นตลอดไป
ความรักที่ทิศมีให้ผม.....มันมากมาย.....
ทิศยอมที่จะทำร้ายตัวเอง......และทำร้ายผม.....
เพื่ออนาคตที่ถูกต้องของพวกเรา......
เพื่อที่จะหยุดความรักที่เป็นเหมือนภาพลวงตาครั้งนั้น...
ผมเคยถามตัวเองหลายครั้ง ถ้าหากผมในตอนนี้ได้มีโอกาสย้อนกลับไปเจอกับทิศที่คอร์ทแบตอีก ผมจะทำอย่างไร........
น่าแปลกใจที่ผมไม่เคยลังเลเลย ที่จะตอบว่า ผมจะรักคนๆนั้นเหมือนเดิม และทำให้ชีวิตของเรา.....ผูกพันกันเหมือนเดิม........
นี่คงจะสามารถยืนยันความรักที่ผมมีให้ทิศได้
“กริ๊ง”กระดิ่งที่หน้าประตูของร้านถูกกระทบจากการเปิดประตู ชายหนุ่มที่มีร่างผอมบางอันเป็นยี่ห้อของเขา
เดินผ่านช่องประตูเข้ามา และฉีกยิ้มที่สดใสจนดวงอาทิตย์ยังอายมาให้ผม บุคลิกและท่าทางของทิศยังคงเดิม
ผมดีใจที่ทิศมีความสุขดีหลังจากค่ำคืนนั้น
“โทษที....รถมันติด”ทิศบอกผม ตอนนี้ทิศเป็นเจ้าของบริษัทเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเล็กๆ....และยังเป็นเพลย์บอยตัวยง
(เพื่อนๆบอกผมมาด้วยความอิจฉาเลื่อมใส)
“ทีหลังมาพรุ่งนี้เลยละกัน”ผมแอบงอนนิดนึง
“อย่าพูดมาก....สั่งอาหารเร็วๆ”ทิศตัดบทอย่างไม่มีเยื่อใย แววตาของเขายังคงเปล่งประกายเจิดจ้าเหมือนเช่นเคย
และสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อหันไปเจอสถานที่แห่งความทรงจำ
“หึหึหึ”ผมหัวเราะในลำคอ
“ห้ามหัวเราะ”ทิศหันมาเอ็ดผมด้วยสายตาขวางโลก
“พี่ครับๆ”ผมโบกมือเรียกบริกรให้มารับรายการอาหาร พร้อมกังเกตุแววตาที่ค่อยๆหม่นหมองลง
เมื่อยังคงจ้องมองสนามเด็กเล่นนั่น ผมเผลอหันไปจ้องมองตามอย่างเหม่อลอย
ณ ที่ห่างออกไปเล็กน้อย
ภายใต้ผืนดินในสนามเด็กเล่น ข้างๆต้นไม้ต้นใหญ่ที่สุด
มีกล่องเหล็ก 4 เหลี่ยมใบหนึ่งถูกฝังเอาไว้
ภายในกล่องใส่ไว้ด้วย
กรอบรูป ที่บรรจุดอกไม้สีน้ำตาลแห้งๆเล็กๆที่วางคู่กันไว้ 2 ดอก แทนที่รูปภาพ ที่ควรจะเป็น
และกระดาษสาสีขาว 2 ใบที่ถูกพับไว้อย่างแน่นหนา
ไม่มีใครรู้ว่าภายในกระดาษ 2 ใบนั้นได้ถูกเขียนข้อความอะไรไว้
นอกจาก.................ชายหนุ่มทั้ง 2 ที่กำลังวุ่นวายกับการสั่งอาหารในเมนูของร้านอาหารฝั่งตรงข้าม
............................................................................อวสาน............................................................................................
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ผมต้องขอขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจที่ทุกคนมอบให้ผมอย่างมากมาย เคยมีบางเวลาที่ผมรู้สึกท้อจนอยากจะทำให้เรื่องจบลงไปอย่างลวกๆ เอาให้จบเร็วๆ แต่ทุกคอมเมนท์ที่ทุกคนมอบให้ก็เป็นพลังให้ผมสามารถที่จะทำให้เรื่องนี้จบอย่างที่ผมวางเอาไว้
ต้องขอขอบคุณครับ แม้ว่าจะมีข้อผิดพลาดมากมายแต่ทุกคนก็ยังคงติดตามตลอดมา .....โอย....ไม่รู้จะอธิบายยังไง........เอาเป็นว่า.......ผมสุดจะปลื้มเลยครับ
ป.ล.ถ้าผิดพลาดตรงไหนก็ขออำภัยมานะที่นี้(เรื่องนี้ base on true story นะครับ(ว่าจะไม่บอกแล้วเชียว))