ตอนที่ 5 เจ็บตัว
วันนี้ทั้งวันมัจฉาอารมณ์ดี เพราะดีใจแทนคุณหนู เขารู้ดีว่าเด็กชายอยากอยู่กับคุณพ่อมากแค่ไหน แต่ไม่กล้าแม้จะเรียกร้องเอากับคนเป็นพ่อตรงๆ
เลยเรียกร้องความสนใจด้วยวิธีผิดๆ เช่นการแกล้งพี่เลี้ยง แต่โดยพื้นฐานแล้ว คุณหนูยังเป็นเด็ก เลยเรียกร้องความสนใจแบบเด็กๆ
แต่นานวันเข้า มันเลยทำให้คุณหนูติดเป็นนิสัยไป มัจฉาคิดว่า แค่คุณพ่อมีเวลาให้ลูกบ้างเล็กน้อย ก็คงจะดีกว่านี้
“คุณหนูครับ วันนี้พี่ปลามีข่าวดีมาบอก”
ทันทีที่เห็นหน้านายจ้างตัวน้อย มัจฉาก็เอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ เด็กชายขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเห็นสีหน้าท่าทางร่าเริงของพี่เลี้ยง
“อะไร”เสียงห้วนและสั้นตามเคย
แม้ว่าหลังๆมาความสัมพันธ์ของเขาและคุณหนูจะดีกว่าวันแรกๆ แต่คุณหนูก็ยังคงเมินเฉยบ้างบางครั้ง คงต้องค่อยๆปรับไปเรื่อยๆ
“เย็นนี้คุณพ่อจะกลับมาทานข้าวกับคุณหนูล่ะ”
“จริงเหรอ!”เด็กชายเผลอทำตาโต ก่อนจะยิ้มกว้างเต็มหน้าด้วยความดีใจ
“จริงสิ เรากลับไปทำกับข้าวไว้รอคุณพ่อกันดีกว่าเนอะ”
“อื้อๆ พ่อชอบกิน แกงกะทิล่ะ ตัวว่าแกงอะไรดี “เด็กชายหันมาคุยกับพี่เลี้ยงเสียงเริงร่า ลืมความขุ่นข้องหมองใจไปสนิท
“เอาแกง คั่วสับปะรดหมูเป็นไง พี่ปลาทำเป็นนะ “
“ไหนบอกเราว่าทำกับข้าวไม่เป็นไง คนโกหก “เด็กชายทำปากยื่นเมื่อพี่เลี้ยงเคยบอกว่าทำกับข้าวเป็น
“พี่ปลาไม่ได้บอกสักหน่อย ก็ทำเป็นบางอย่าง พี่ปลาเคยทำกินเอง ถึงอยากให้คุณหนูทำเป็นไง น่าๆ อย่างอนเลยนะๆ “
“ชิส์”
เด็กชายสะบัดหน้าพรืดเป็นที่ขบขันของป๋องที่นานๆจะเห็นคุณหนูมาเฟียทำท่าน่ารักแบบนี้
เย็นนั้นในครัวอบอวลไปด้วยเสียงหัวเราะ ของคุณหนูและพี่เลี้ยง ที่ช่วยกันทำกับข้าว สับปะรดรูปร่างประหลาดที่หั่นโดยฝีมือคุณหนูมาเฟีย
ที่คอยเป็นผู้ช่วยอย่างแข็งขัน
“แบบนี้เราบอกพ่อได้ไหมว่าเราทำเองน่ะ “
คุณหนูตัวน้อยทำตาเป็นประกายเมื่อมองดูแกงในหม้อ หน้าตาน่ากิน จนตัวเองยังต้องกลืนน้ำลายเพราะความหอมของอาหารตรงหน้า
“ยังไม่ได้ครับ แค่เป็นผู้ช่วย บอกว่าหั่นสับปะรดเองก็ได้ครับ หึหึ”มัจฉาอมยิ้มอย่างเอ็นดูเมื่อคุณหนูอมลมจนแก้มพอง
“เมื่อไหร่เราจะทำเองเป็นแบบตัวบ้างล่ะ “
เด็กชายยังไม่วายที่จะสงสัย ตั้งแต่พี่เลี้ยงคนนี้มาอยู่ด้วยพาเขาเข้าครัวพาทำนั่นนี่ จน กลายเป็นเรื่องที่ต้องทำทุกวัน
แต่พี่เลี้ยงคนนี้ก็ยังไม่ยอมให้เขายืนหน้าเตาเอง บอกแต่ว่ายังไม่ถึงเวลา
“เอาไว้ปิดเทอมก่อนนะครับ เดี๋ยวพี่ปลาจะให้คุณหนูลงมือทำเองทั้งหมดเลยนะ”
“จริงๆนะ “แววตาเป็นประกายเต็มไปด้วยความหวัง มัจฉาอมยิ้มด้วยความเอ็นดู ใครบอกว่าคุณหนูร้ายกันนะ น่ารักออกอย่างนี้
........
“คุณหนูครับ กินข้าวได้แล้วครับ”มัจฉาบอกเด็กชายที่นั่งเงียบมาตั้งแต่หัวค่ำจนตอนนี้ก็จะสองทุ่มแล้วเด็กชายไม่ยอมทานข้าว
เพราะรอพ่อมาทานด้วยกัน แกงคั่วสับปะรดถูกอุ่นบนเตาไปหลายรอบ คนที่รอก็ยังไม่กลับมา
“ไม่เอาเราจะรอพ่อ “
“แต่นี่ก็ดึกแล้วนะครับคุณพ่อคงติดงานอยู่คุณหนูต้องทานก่อนนะครับเดี๋ยวจะปวดท้องนะ “
“ไหนตัวบอกว่าพ่อจะมาไง โกหก คนโกหก !! “ เด็กชายเริ่มเสียงดัง
“คุณหนู..”
มัจฉาเสียงสั่นเครือเมื่อเห็นคุณหนูเริ่มจะร้องไห้ ดวงตาเล็กๆนั่นคล้ายอดทนที่จะไม่ปล่อยน้ำตาลงมา แต่ก็คงยากเกินกว่าเด็กแปดขวบจะอดกลั้น มันเลยพังราวกับทำนบแตก
“ฮึก...ฮือ...นายมันขี้โกหก “เด็กชายเริ่มอาละวาดข้าวของอยู่ใกล้มือถูกจับมาขว้างปาออกไปอย่างไร้จุดหมาย
เพล้ง!!
จานกระเบื้องใบใหญ่ถูกปาลงพื้นข้าวของที่จัดไว้บนโต๊ะกับข้าวถูกรื้อกระจุยกระจาย คละเคล้ากับเสียงร้องไห้ของคุณหนู ของบ้าน
“ว้าย !!เกิดอะไรขึ้นคะคุณหนู ร้องไห้ทำไมคะ “เสียงยายกิ่งที่วื่งเข้ามาเมื่อได้ยินเสียง เอะอะ
“คุณหนูครับอย่าพึ่งเดินมาเดี๋ยวเหยียบกระเบื้องแตก !!”
มัจฉาร้องเสียงหลงวิ่งเข้าไปห้ามคุณหนูที่กำลังจะลงจากเก้าอี้ ทั้งๆพื้นด้านล่างเกลื่อนไปด้วยเศษกระเบื้องจากจานที่แตกไปหลายใบ
“อย่ามายุ่งกับเรานะ!”
เด็กชายคว้าได้แก้วน้ำใบใหญ่ที่วางอยู่อีกข้างของโต๊ะปาเข้าใส่พี่เลี้ยงที่วิ่งเข้ามาหา จังหวะที่มัจฉาก้มลงจะคว้าเอาตัวคุณหนูไว้
ทำให้ไม่ทันระวังเหยียบเอาเศษกระเบื้องนั่นเสียเอง และแก้วใบนั้นหลุดจากมือคุณหนูได้เหมาะเจาะ มันกระทบเข้าที่หน้าผากมนของคนเป็นพี่เลี้ยงพอดีราวกับจับวาง
ปั่ก!!!
“โอ๊ย!!”
“คุณปลา!!”
เสียงทั้งยายกิ่งทั้งมะตูมที่รีบวิ่งเข้ามาดู เลือดสีแดงสดทะลักออกมาจากฝ่าเท้าและหน้าผากของมัจฉา ร่างสูงโปร่งลงไปนั่งกุมหัวอยู่กับพื้นห้อง
ที่มีแต่เศษกระเบื้อง เด็กชายที่กำลังตกตะลึงกับเหตุการณ์ตรงหน้ายิ่งทำอะไรไม่ถูกเมื่อเห็นเลือดของพี่เลี้ยงที่อยู่ด้วยกันมาทั้งอาทิตย์
เขาไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เจ็บขนาดนั้นเขาไม่คิดว่าพี่เลี้ยงจะวิ่งเข้ามาตอนนั้น ทุกอย่างดูเกิดขึ้นเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน
“ป๋อง ๆเอารถออกพาคุณปลาไปโรงบาลเร็วเข้า!!”
ยายกิ่งที่มีสติที่สุดรีบร้องเรียกคนขับรถ ป๋องเละมะตูมเข้ามาช่วยมัจฉาอย่างทุลักทุเล ยายกิ่งเดินเข้าไปกอดคุณหนูตัวน้อยเอาไว้ ร่างเล็กๆนั่นสั่นเทาด้วยความกลัว
“ฮึก..ฮึก..ยาย..พี่ปลา ฮือ..พี่ปลาเลือด ...ฮือ..”
“ไม่เป็นไรค่ะคุณหนูพี่ปลาไม่เป็นไร พี่ปลาไปหาหมอแล้วนะคะคุณหนูใจเย็นๆนะ”
“เฟีย..ไม่ได้ตั้งใจ ฮือ..พี่ปลาเจ็บ ฮือ...แง..พี่ปลาเจ็บ ...แง...”
เสียงร้องไห้ไม่หยุดทั้งยังชื่อพี่ปลาที่คุณหนูไม่เคยเรียกขานดังออกมาจากปากเล็กๆนั่นดังขาดๆหายๆเป็นระยะ ๆกับเสียงสะอื้น
ยายกิ่งเฝ้าแต่ปลอบเด็กชายให้สงบ ในใจก็นึกพานโกรธเจ้าของบ้าน ที่เป็นตัวต้นเรื่อง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าปลอบคุณหนูตัวน้อยให้หยุดร้องไห้
เกือบสี่ทุ่ม ที่ป๋องพามัจฉากลับจากโรงพยาบาล ฝ่าเท้าที่เหยียบเอาเศษกระเบื้องแผลลึกพอสมควร เลยถูกเย็บไปหลายเข็ม
ทั้งแผลที่หน้าผากที่ปริแตกเพราะแก้วใบโตนั่นก็ถูกเย็บไปด้วยเหมือนกัน มัจฉาเดินกระย่องกระแย่ง เข้าบ้านโดยมีป๋องคอยช่วยประคอง
มานั่งที่โซฟาห้องรับรอง ที่มีร่างเล็กๆนั่งอยู่บนโซฟา
“คุณหนู ...! ดึกแล้วทำไมยังไม่นอนครับ “
มัจฉาถามนายจ้างตัวน้อยที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวใหญ่กับยายกิ่ง พลางกวาดสายตาไปทั่วบ้านไม่เห็นแม้เงาคุณสงคราม ทำให้เขาถอนหายใจอย่างไม่รู้จะทำยังไงดี
“คุณปลาไปพักผ่อนเถอะค่ะเดี๋ยวยายจะพาคุณหนูเข้านอนเอง”
“ไม่เป็นไรครับยายกิ่ง ขอบคุณครับ เดี๋ยวผมพาน้องเข้านอนเองครับ”
มัจฉาเอ่ยขอบคุณที่ยายกิ่งอาสาจะช่วยแต่มันเป็นหน้าที่เขา เจ็บแค่นี้เขาสบายมาก เจ็บมากกว่านี้ก็ผ่านมาแล้ว
“เจ็บไหม “
เด็กชายตัวน้อยเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะยกมือเล็กๆนั่นลูบไปที่หน้าผากที่ปิดผ้าก็อตเอาไว้ สีหน้าเหมือนจะร้องไห้อีกรอบทำให้มัจฉาอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
“พี่ปลาไม่เป็นไรครับคุณหนู ไหน มาดูซิ คุณหนูเหยียบเศษกระเบื้องหรือเปล่า “
ว่าพลางจับตัวคุณหนูพลิกไปมาหาร่องรอยบาดเจ็บแล้วก็ต้องถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อไม่เห็นว่าคุณหนูจะได้รับบาดเจ็บตรงไหน
“พี่ปลาขอโทษนะครับ “
“ขอโทษเราทำไม ?”
เด็กน้อยก็ยังคงสงสัยพี่ปลาเป็นคนเจ็บ เพราะเขาปาแก้วใส่ แถมยังเหยียบเศษกระเบื้องที่เขาเป็นคนทำอีก แล้วจะขอโทษเขาทำไม
ทีครั้งก่อนพี่เลี้ยงคนเก่าตีเขาเองแท้ๆยังไม่ขอโทษเขาเลย
“ที่พี่ปลาบอกว่าคุณพ่อจะกลับมาทานข้าวด้วย พี่ปลา...ขอโทษนะ “
เขาไม่อาจจะโทษคนเป็นนายจ้างได้ว่าไม่รักษาคำพูด หรือผิดนัดกับลูกชาย อาจจะเป็นเพราะเขายังไม่รู้จักคุณสงครามดี เลยไปพูดให้ความหวังคุณหนูเข้าผลมันเลยเป็นแบบนี้
“ไม่..พ่อไม่มา ไม่เคยมา พ่อไม่มาบ่อยแล้ว แต่พี่ปลาเจ็บเพราะเรา ฮึก...”
เหมือนคุณหนูตัวน้อยจะเป่าปี่อีกรอบ มัจฉาแค่ได้ยินคุณหนูเรียกชื่อก็ดีใจมากแล้ว ทั้งสงสารทั้งเห็นใจ
เขาไม่รู้ว่าจะทำยังไงได้เลยดึงเอาร่างเล็กๆนั่นมากอดเอาไว้ เด็กน้อยซุกหน้าเข้าหาอกของพี่เลี้ยงน้ำตาไม่รู้มาจากไหนพร้อมใจกันไหลทะลักทะลายไม่มีหยุด
“ไม่เอาไม่ร้องแล้วนะครับ พี่ปลาไม่เจ็บแล้วคุณหมอทำแผลให้แล้ว ไหนดูซิ ตาบวมเลย เดี๋ยวพรุ่งนี้จะปวดหัวนะครับร้องไห้มากๆ จะไม่ได้ไปโรงเรียนนะ “
มัจฉาดึงตัวเด็กชายออกจากอ้อมกอดเพื่อมองดูหน้าเด็กน้อยที่ยังร้องให้ไม่หยุด มือเรียวค่อยๆเช็ดน้ำตาให้อย่างเบามือ
“ไปนอนกันนะ ดึกแล้ว “เด็กชายพยักหน้าอย่างว่าง่าย
“แล้ว..เดินได้ไหม เราช่วยนะ”ตัวเล็กๆที่พยายามเข้ามาช่วยประคองทำให้มัจฉาหลุดหัวเราะออกมาอีกครั้งด้วยความเอ็นดู
“ไม่เป็นไรครับ เอาไว้คุณหนูตัวโตกว่านี้นะ หึหึ พี่ปลาเดินได้ครับ “
มัจฉาเกาะราวบันไดค่อยๆเดินเขย่งปลายเท้าตรงที่ไม่เป็นแผล เดินเคียงข้างนายจ้างตัวน้อยขึ้นชั้นบนไป
“ฝันดีครับคุณหนู”
มัจฉาดึงผ้าห่มคลุมให้เด็กน้อยจนถึงอกก่อนจะค่อยลุกผละออกจากเตียงแต่ก็ต้องชะงักเมื่อรู้สึกว่าชายเสื้อถูกดึงรั้งเอาไว้ ด้วยมือน้อยๆของเจ้าของห้อง
“มีอะไรหรือครับ หรือคุณหนูจะเอานมอุ่นๆสักแก้วไหมพี่ปลาจะไปชงมาให้”
“..ไม่เอายายกิ่งทำให้แล้ว ...”
“งั้นคุณหนูก็นอนนะครับ “
“........”
เด็กชายไม่พูดอะไรอีกแต่มือที่ดึงชายเสื้อพี่เลี้ยงไว้ไม่ยอมปล่อย ทำให้มัจฉาต้องทรุดนั่งลงบนเตียงอีกครั้ง
เขานั่งอยู่อย่างนั้นจนเด็กชายหลับตาลง แต่มัจฉาเองกลับนั่งมองเด็กน้อยพลางครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขี้น
แน่นอนคุณหนูไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายเขา และหลายๆเหตุการณ์ที่ผ่านมาบ่งบอกว่าคุณหนูเป็นคนอ่อนไหวด้วยซ้ำ
มัจฉาเอื้อมมือไปเช็ดคราบน้ำตาที่ยังเกรอะกรังไปทั่วหน้าของนายจ้างตัวน้อย ความสงสารแล่นเข้ามาจุกในอก เขาคงโทษคุณสงครามไม่ได้
เพราะอีกฝ่ายคงทำงานจริงๆ บางครั้งมัจฉาก็นึกถึงพ่อของเขาที่จากไป จนวันนี้ไม่มีวี่แววว่าพ่อจะติดต่อกลับมาหาเขา
อย่างน้อยคุณสงครามก็ไม่ได้ทิ้งคุณหนูเหมือนพ่อของเขา
“พี่ปลา..”เสียงเรียกเบาๆดังขึ้นให้มัจฉาตื่นจากภวังค์ความคิด
“นอนได้แล้วครับคุณหนู “
“นอนด้วยสิ..นะ นอนด้วยกัน”
เสียงอ้อนเล็กๆนั่นทำให้ปลาต้องลอบยิ้ม เด็กชายมาเฟียผู้ดื้อรั้นก็มีมุมอ้อนเป็นเหมือนกันแฮะ คงจะยังตกใจกับเหตุการณ์เมื่อค่ำ ตามใจเด็กน้อยสักวันคงไม่เป็นไร
“ครับ ๆ นอนนะครับ พี่ปลานอนด้วย “
ขนาดตัวของปลาไม่ได้ใหญ่โตจนเบียดเด็กชายบนเตียงขนาดควีนไซส์ เพียงแค่มัจฉาทิ้งตัวลงข้างๆ
เด็กน้อยก็ซุกเข้าหาราวกับเด็กขาดความอบอุ่น มัจฉาเอื้อมมือสวมกอดเด็กชายเอาไว้ ทั้งยังลูบศรีษะเล็กๆนั่นเบาๆราวกับจะกล่อมนอน
เพียงไม่นาน ลมหายใจเด็กน้อยก็สะท้อนเข้าออกสม่ำเสมอ ทำให้มัจฉาเองที่เหนื่อยมาทั้งวันก็ผลอยหลับตามกันไปอย่างง่ายดาย
................................
บ้านทั้งหลังเงียบเชียบ เพราะเป็นเวลาเกือบจะตีหนึ่งของวันใหม่ เจ้าของบ้านมีสีหน้าเหน็ดเหนื่อย ราวกับคนไม่ได้พักผ่อนมานานแรมเดือน
สงครามโยนเสื้อสูทตัวโตพาดกับพนักโซฟาก่อนจะทรุดตัวลงนั่งอย่างเหนื่อยล้า เขาพึ่งจะนึกออกตอนเกือบห้าทุ่มว่าบอกพี่เลี้ยงลูกว่าจะกลับไปกินข้าวเย็นกับลูก
แต่ก็มีอันต้องพับโปรแกรมกินข้าวกับลูกชายเพราะปัญหาของโครงการใหม่ที่พึ่งจะเริ่ม
ที่ดินที่กำลังก่อสร้างเกิดปัญหา เมื่อมีเจ้าหน้าที่เล่นแง่ไม่ออกเอกสารสิทธิ์ให้ ไม่ว่าเขาจะโปะเงินลงตรงนั้นไปเท่าไหร่ แต่คนๆนั้นก็ยังยืนยันคำเดิม
ทั้งการันต์และกันธร เข้ามาช่วยเขาเคลียร์งานเพื่อหาช่องโหว่ที่จะเล่นงาน เจ้าหน้าที่คนนั้นให้ทันวันรุ่งขึ้นเพราะไม่อย่างนั้นทุกอย่างที่ลำบากมาหลายปีจะสลายไปทันที
การเรียกร้องเงินอย่างไม่โปร่งใสของคนที่มีอำนาจภายในนั้นมันเป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่เลยทีเดียว
กว่าจะเจอหลักฐานก็ทำเอาเขาและเพื่อนสนิทต้องกลับบ้านหลังเที่ยงคืนแบบนี้
แต่คงมีแค่เขาที่กลับบ้านเลขาไฟแรงอย่างการันต์คงนอนที่บริษัทเช่นเคย กันธรอาสาอยู่เป็นเพื่อน หวังว่าคงไม่ตีกันตายในอ๊อฟฟิศนะ
นึกแล้วเขาก็ขำเพื่อนทั้งคู่ แม้ว่าการันต์จะเป็นเลขาเขาแต่ก็เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก ถึงแม้การันต์จะพึ่งมารู้จักกันธรตอนเข้ามหาวิทยาลัยก็เถอะ
แต่ทั้งเขา กันธร และ การันต์เป็นเพื่อนที่ดีมาตลอด แม้ในยามที่ภรรยาสุดที่รักทิ้งเขาไปมีคนใหม่ไม่มาใยดีเขากับลูกเขาก็ได้ทั้งการันต์และกันธรช่วยประคับประคองกว่าจะตั้งสติได้ก็เกือบไม่เป็นคน
กันธรเป็นผู้ถือหุ้นร่วม และเป็นหัวแรงคนสำคัญให้เขา เป็นคนออกเงินทุนก้อนใหญ่ที่ไม่มีสถาบันการเงินที่ไหนให้เขากู้
แต่กันธรไม่ขอตำแหน่งใดๆ บอกว่าเหนื่อยเกินไปเพราะลำพังทำงานให้ครอบครัว กันธรก็แทบจะไม่มีเวลาแล้ว
ปล่อยให้เขาทำงานให้แถมยังบอกว่าเมื่อไหร่ที่อยากเข้าบริษัทจะเข้าเอง เงินเดือนไม่เอารอแค่เงินปันผล
สิ่งที่กันธรทำคือเทียวไปหาเขาชวนเขาไปกินข้าวบ้าง ขับรถให้เขาเวลาที่เขาขับรถไม่ไหว เป็นที่ปรึกษาบ้างและที่สำคัญไปกวนตีนเพื่อนอีกคนมากกว่าไปทำงาน
คนที่ไม่รู้จักจริงๆยังคิดว่ากันธรเป็นลูกน้องเขาซ้ำร้ายบางคนคิดว่ากันธรเป็นคนขับรถเขาด้วยซ้ำ
แต่ถ้าจบโครงการนี้เมื่อไหร่ กันธรต้องเข้ามาบริหารเต็มตัวเหมือนเขา เพราะลำพังเขากับการันต์คงจะดูแลไม่ทั่วถึง
แม้ว่ามายาภรรยาของเขาจะทิ้งเขาไปนานกว่าห้าปีแล้ว แต่เขาก็ยังทำใจให้ชินไม่ได้สักที ทุกอย่างเลยทุ่มลงไปที่งาน
จนบางวันเขาก็ลืมไปว่าเขายังมีลูกอีกคนที่ยังต้องการเขา แต่เท่าที่ดูมาเฟียเองโตแล้ว คงไม่ได้เป็นเด็กติดพ่อมากนักหรอก
นั่นเลยทำให้เขาทำงานได้เต็มที่ เพื่อจะลบคำสบประมาทของคนที่เคยกล่าวดูถูกเขาและพ่อเอาไว้ ว่าคนอย่างเขาไม่มีทางที่จะทำได้
เมื่อหลายปีก่อนที่เศรษฐกิจของประเทศดิ่งลงเหวมีหลายคนหลายบริษัทที่ไปไม่รอด ครอบครัวเขาก็เป็นครอบครัวหนึ่งที่ถูกฟ้องล้มละลาย
คนรับใช้มากมายที่เคยมีก็ต่างทยอยกันออกไปหางานที่อื่นทำซึ่งเขาก็ไม่ได้ว่าหรือดึงรั้งใครไว้ เพราะเข้าใจว่าทุกคนต้องดิ้นรนเหมือนกัน
ยังมีแค่ยายกิ่งกับมะตูมและป๋องที่ยังอดทนยอมลำบากอยู่ด้วยกัน พ่อเขาฆ่าตัวตายหนีปัญหา ทิ้งเขาไว้เพียงลำพัง
หนำซ้ำภรรยาที่เคยบอกว่ารักกันก็มาตีจากเพียงเพราะเขาเหลือแต่ตัว ครอบครัวของมายารู้เห็นเป็นใจหาสามีใหม่ให้เมียเขา
และ พาเธอออกไปจากชีวิตเขาและลูกที่ยังเล็กเพื่อชีวิตที่ดีกว่าด้วยความเต็มใจของมายาที่เคยบอกเขาว่ารักเขานักหนา
รักกันมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย แต่หน้าตาทางสังคมของเธอต้องมาก่อน เธอจะต้องไม่น้อยหน้าใคร แค่เธอแต่งงานกับเขาก็เป็นจุดบกพร่องในชีวิตมากพอแล้ว
และตอนนั้นเป็นนาทีที่เขาได้รู้ความจริงที่โหดร้ายว่าเมียที่อยู่ด้วยกันมาจนมีลูกหนึ่งคนไม่เคยรักเขาเลย และลูกยังเป็ฯจุดบกพร่องในชีวิตของเธอด้วย ยังดีที่สามีใหม่ไม่ต้องการลูกติดจากเธอ ..
เธอจึงยอมเซ็นให้เขาเป็นผู้ดูแลมาฟียแต่เพียงผู้เดียว คำว่าบ้านแตกเป็นอย่างไรสงครามรู้ดีเลยทีเดียว ผลจากวันที่เขาโดนดูถูกและเมียทิ้งเขาไปตอนกำลังลำบาก ทำให้เขาทำงานหามรุ่งหามค่ำ เพื่อทวงทุกอย่างกลับคืนมา
แต่ผลที่ได้มันก็คุ้มค่าเสียเหลือเกินกันธรเข้ามาอุ้มเขาให้เครดิตแก่เขา ช่วยผลักดันเขาให้ลุกขึ้นสู้
การันต์ ที่หายตัวไปหลายปีก็กลับมาช่วยงานเขาทั้งๆที่การันต์ไม่ได้ติดต่อกับเขามานานมาก
แม้จะทะเลาะกับกันธร แต่การันต์ก็อดทนมาทำงานช่วยเขา แม้จะไม่มีเงินแต่การันต์ก็ไม่รับเงินเดือนแม้แต่บาทเดียว
สงครามตั้งใจว่า ถ้าโปรเจคใหญ่นี้เข้าตานายทุนต่างประเทศ ที่กำลังจะเข้าร่วมการประชุมครั้งใหญ่และงานชิ้นนี้ผ่านไปด้วยดี
มันหมายถึงเม็ดเงินมหาศาล และชื่อเสียงของเขาและบริษัทที่เขาและเพื่อนทุ่มเทฟื้นฟูมาตลอดห้าปี จะเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง
มันหมายความว่า เขาจะไม่เหนื่อยอีกต่อไป
ถ้าถึงตอนนั้นเขาจะให้การันต์เข้ามาเป็นหุ้นส่วนร่วมกับเขาและกันธรและทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทุ่มเท มาตลอดห้าปี มันกำลังส่งผลในทางที่ดี
เพราะทุกวันนี้สามีใหม่ของอดีตภรรยายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า บริษัทของเขากำลังจะตกอยู่ในมือกันธรที่มันกว้านซื้อหุ้นเอาไว้เกินครึ่งของบริษัทแล้ว
ใช่ว่าจะต้องการบริษัทนั้นๆ แต่คนอย่างกันธร มีเป้าหมายเสมอเวลาทำอะไรและเป้าหมายครั้งนี้คือสั่งสอนครอบครัว ของมายา
ครอบครัวของอดีตภรรยาของเขา จะว่าไปกิจการของครอบครัวมายาแทบจะอยู่ในกำมือของเขาคนเดียวด้วยซ้ำ จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด
แม้แต่มายาเองยังพยายามที่จะกลับมาหาเขา ด้วยการสนับสนุนของพ่อกับแม่เธอเอง แต่คนอย่างเขาเจ็บแล้วจำ
ไม่มีทางเอาตัวเองเข้าไปเกลือกกลั้วกับคนสกปรกพวกนั้น
อีกเพียงอึดใจเดียว ทุกอย่างก็จะเป็นของเขา ชื่อเสียง เงินทอง อำนาจ ที่เขาสั่งสมมา กว่าห้าปี มันกำลังสัมฤทธิ์ผล
พรุ่งนี้เช้าแค่เพียง เอกสารสิทธิ์ชุดนั้น ถูกเซ็นโดยคณะกรรมการทั้งหมด ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปทันที เขารอเวลานี้แทบไม่ไหว
เพราะมันหมายถึงว่าคนที่เคยดูถูกเขาเอาไว้ จะกลับมาขอความช่วยเหลือจากเขา แน่นอนหนึ่งในนั้นคือครอบครัวของอดีตภรรยา
สงครามเดินไปหยิบบรั่นดีในตู้ออกมาเทใส่แก้วที่ยายกิ่งเตรียมไว้ให้ทุกวัน เขาไม่ได้มีไว้ดื่มเพื่อเมามายเหมือนแต่ก่อน
แต่เขามีไว้ดื่มเพื่อผ่อนคลายเท่านั้น เวลาที่ผ่านมามันสอนเขาได้อย่างดี เป็นเวลาเกือบครึ่งชั่วโมงที่สงครามนั่งละเลียดดื่มบรั่นดีอยู่ในห้องทำงาน
สมองที่ขบคิดทั้งเรื่องงานและเรื่องราวในอดีตเพียงลำพัง ก่อนจะลุกไปอาบน้ำ และเดินไปที่ห้องของลูกชายอย่างที่เคยทำทุกวัน
ชายหนุ่มเปิดประตูแผ่วเบาด้วยความกลัวว่าเด็กน้อยของเขาจะตื่น แสงไฟสลัวที่สาดจากห้องเขาเข้ามาภายในห้องลูกชายกระทบสองร่างบนเตียงนอน
ทำให้เขาขมวดคิ้วเป็นปม ก่อนจะเดินตรงไปที่เตียงด้วยความสงสัย ทั้งพี่เลี้ยงทั้งลูกชายนอนกอดกันกลมบนเตียงนอน โดยมีเจ้าลูกชายของเขาที่กอดพี่เลี้ยงเอาไว้เต็มอ้อมแขน
ขาเล็กๆนั่นยังก่ายเกยตัวพี่เลี้ยงเอาไว้ราวกับกลัวว่าอีกคนจะหนีหายไป ผ้าก๊อตพันแผลสีขาวผืนไม่ใหญ่นักดูโดดเด่นบนหน้าผากมนของพี่เลี้ยง
ยิ่งทำให้เขาสงสัยว่าเจ้าตัวไปสร้างวีรกรรมอะไรไว้ถึงได้มีแผลแบบนั้น
และท่าทางของลูกชายเขาที่ยอมนอนกอดคนแปลกหน้าที่ไม่ใช่เขายิ่งทำให้เขาประหลาดใจ
ภาพของสองคนต่างวัย ที่หลับสนิทบนเตียงทำให้สงครามรู้สึกทั้งงุนงงทั้งแปลกใจ แม้ว่าวันนี้เขาจะรับปากว่าจะมากินข้าวเย็น
แต่ด้วยเรื่องเอกสารสำคัญนั่นทำให้เขาลืมและผิดนัดลูก พรุ่งนี้ตื่นเช้าหน่อยก็คงดี ไหนๆก็ว่างแล้ว สงครามเดินอ้อมไปอีกฟากของเตียงก่อนจะก้มลงจูบหน้าผากเจ้าตัวเล็ก ผู้เป็นดวงใจของเขา
“พ่อขอโทษนะลูก อดทนอีกนิดนะ พ่อรักลูกนะครับ”
เขาพึมพำเสียงแผ่ว ก่อนจะเดินกลับเข้าห้องตัวเองไปอดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองใบหน้าอีกคนที่หลับสนิทไม่แพ้ลูกชายเขา
เอาเถอะพรุ่งนี้ค่อยถามละกัน บานประตูปิดลงพร้อมทั้งความเหนื่อยล้าวิ่งเข้ามาเกาะกินร่างกาย สงครามหลับลงไปไม่ยากเย็นนัก
รอยยิ้มน้อยๆบนหน้าเนียนใสของพี่เลี้ยงยามหลับนั่นมันทำให้เขายกยิ้มขึ้นอย่างลืมตัว จากนี้เขาคงวางใจเรื่องลูกได้อีกอย่างสินะ .
.ขอบใจนะ... สงครามพึมพำคำขอบใจที่อีกคนไม่ได้ยิน แต่สงครามก็หวังว่าเขาจะได้เอ่ยคำนี้กับเจ้าตัวสักวัน
.
.
.
TBC....
เอ้าเฮ้.....มากระทืบพ่อสงครามกัน ทำพี่ปลาเจ็บตัวเบยยยย ฮ่าๆๆๆๆ
อย่าทำเลยน้าพ่อเดียวออกจะเหนื่อย คุณพ่อโดนมาเยอะละ สงสารพ่อเถอะนะ (คุกเข่าอ้อนเลย)
จริงๆตัวคุณสงครามนี่เราเอาอิมเมจมาจากคนที่เรารู้จักเลยนะ เป็นคุณพ่อบ้างาน ทิ้งลูกให้อยู่แต่กับพี่เลี้ยง
จนเด็กคนนั้นหงอยเหงามากมาเล่นบ้านเราบ่อยๆจนกลายเป็นเราเลี้ยงลูกให้อิตาพ่อบ้างานนั่นไปแล้ว
อยากด่ามากแต่ยังไม่เจอตัวจังๆสักที เพราะงานเราก็คลาดกันกับอิพ่อนั่นตลอด แต่ลูกเขาน่ารักนะ
เป็นเด็กเรียบร้อย ไม่ค่อยพูดส่งสายตาอ้อนอย่างเดียวไอ้เราก็เปย์ไปสิหมดค่าขนมหลอกเด็กไปเยอะ เฮอะ อย่าให้เจอนะแม่จะด่าไฟแล่บเลยคอยดู 55555
เอาเป็นว่าอย่าโกรธพ่อสงครามเลยเนอะ นางเจอมาสาหัสแล้ว ส่วนเรื่องลูกการละเลยคงเป็นบทเรียนของนางในอนาคตล่ะ
//พันวากำลังทำใจคนอ่านเกลียดพระเอกอ่ะแงๆๆแล้วตูจะปั่นแบบไหนเรียกเครดิตอิพี่มันคืนวะเนี่ย อิพี่เดียวมึงมาเคลียร์เองนะว้อยยย....
ขอบคุณคนอ่านรักคนอม้นท์ พันวาติดงานหนักมาก เมื่อวานก็มัวไปแอ๊วพี่ผลิตกับน้องอิศรา เลยไม่ได้เข้ามาอัพ ขอโทษน๊าาาาาา
เช่นเคยพบเจอคำผิดสะกิดพันวาด้วยค่า