ทะลึ่ง : กามที่ 4
ผมตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่เพื่อพบกับความว่างเปล่าของเตียงนอนขนาดคิงไซส์ มองไปทางไหนก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของตรัส ผมรีบร้อนลุกขึ้นจนเกือบสะดุดผ้าห่ม ก้าวเร็ว ๆ ออกจากห้องนอนก่อนจะเห็นว่าไอ้คนที่ผมตามหากำลังนั่งอ่านแฟ้มเอกสารเล่มใหญ่อยู่บนโต๊ะทำงาน เมื่อเงยหน้าขึ้นมาสบตากันมันก็รีบปิดแฟ้มแล้วลุกขึ้นเดินมาหา
“ตื่นแล้วหรือ หิวไหม”
“ยัง เช้าขนาดนี้ใครจะกินลง” ไอ้นี่มองผมเป็นคนเห็นแก่กินหรือไง เจอหน้าเป็นถามไถ่ถึงของกินตลอด ผมตอบพร้อม ๆ กับสองขาก้าวเข้าหาแล้วถือวิสาสะยกมือขึ้นทาบหน้าผากมัน
“ตัวยังรุม ๆ อยู่เลย จะรีบตื่นทำไม” ผมโวยเพราะไม่เห็นว่ามันจะเป็นเหมือนคำคุย ไหนเมื่อคืนบอกพรุ่งนี้เช้าก็หาย เหม็นแมงโม้ว่ะ
“ดีขึ้นมากแล้ว ที่เช็ดตัวให้ขอบใจนะ” มันบีบไหล่ผมเบา ๆ
“กาแฟไหม” ผมส่ายหน้า เผอิญเป็นมนุษย์จำพวกที่ไม่ถูกโรคกับคาเฟอีนเท่าไหร่ แต่ไม่ปฏิเสธแอลกอฮอล์
“ถ้าอย่างนั้นก็รีบไปอาบน้ำได้แล้ว มีเรียนเช้าใช่ไหม”
“เออ แต่มึงไม่ต้องไปส่งกูหรอก เดี๋ยวนั่งแท็กซี่ไปเอง”
“มีเรียนเช้าเหมือนกัน ยังไงก็ต้องไปอยู่ดี” มืออุ่นที่เมื่อครู่ยังอยู่ตรงหัวไหล่ ตอนนี้มันย้ายขึ้นมาไล้อยู่แถว ๆ ข้างแก้ม
“วันนี้มึงเรียนอะไร เศรษฐศาสตร์มหภาคเหรอ”
“เปล่า สถิติฯ”
“ปกติวันนี้มึงเรียนมหภาค” ผมมุ่นคิ้ว นิ้วของตรัสก็ตามขึ้นมาปัดไรผมให้
“ขออาจารย์ย้ายเซคฯ เรียนมหาภาคไปตั้งแต่เมื่อวันจันทร์แล้ว ติดงานที่บ้านนิดหน่อย” มิน่าล่ะ นึกแปลกใจกับธุระเร่งด่วนที่ทำให้มันต้องขอย้ายเวลาเรียนกะทันหัน แต่ไม่อยากถามจู้จี้ เดี๋ยวมันหาว่าสอดรู้
“ถามได้” มันยกยิ้มมุมปากอย่างรู้ทัน ไม่ได้การ ออร่าหล่อบรรลัยฉายระยะประชิดอย่างนี้ ดีไม่ดีเดี๋ยวผมหลอมละลายลงไปตายแทบเท้า ผู้ชายหายนะชัด ๆ
“ไม่อยากรู้” ผมหลบตาขวับ เดินหนีไปบิดขี้เกียจซ้ายขวาก่อนจะเบิกตาโพลงอย่างตกใจ
“แล้วกูจะเอาชุดนักศึกษาที่ไหนใส่ไปเรียนวะ”
“ก็ถึงบอกให้รีบอาบน้ำ เดี๋ยวต้องแวะไปแต่งตัวที่หอใน”
“แล้วไม่บอกให้เร็วกว่านี้เล่า”
หลังจากปิดประตูห้องน้ำได้ผมก็ทิ้งตัวพิงกำแพงแล้วถอนหายใจยาว บรรยากาศสีม่วงหวานแหววรัญจวนใจเมื่อกี้คืออะไร ไม่เคยมีวันไหนที่ผมจะอึดอัดใจเพราะเพื่อนผู้ชายที่เฮ้วฮากันมาหลายปี ประเด็นหลักคือใช่ ตรัสมันหล่อมาก หล่อมหากาฬขั้นแอดวานซ์ แต่แซนกับซันก็หล่อเหมือนกัน ถึงคู่นั้นจะหล่อซอฟต์ ๆ แบบผู้ดี มีผิวพรรณเปล่งปลั่งขาวผ่องเป็นยองใย แถมไอ้แซนยังได้ลักยิ้มมาเป็นของขวัญวันเกิดอีกด้วย แต่ไม่เคยมีวันไหนที่ผมจะใจเต้นเพราะพวกมัน แต่กับตรัสนี่อะไร ยืนใกล้กันนิดหน้าใกล้กันหน่อย หัวใจก็กระเด้งกระดอนแทบจะหลุดออกมานอกอก เห็นทีกูจะโดนไสยศาสตร์ก็คราวนี้แหละวะแซน
“มึงเคยจูบกับเพื่อนไหม”
ในโรงอาหารที่คลาคล่ำไปด้วยนักศึกษาหลากหลายคณะพร้อมด้วยเสียงเซ็งแซ่ฟังไม่ได้ศัพท์ ผมก็สบโอกาสถามไอ้คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามไปเบา ๆ เห็นมันเกือบทำกระป๋องน้ำอัดลมหลุดมือ ผมก็ยิ้มแหยแต่ไม่ต่อความยาว เพราะภาษาที่ผมใช้ก็เข้าใจง่ายไม่กำกวม
“เคย ถามทำไม” ผมอ้าปากค้าง ไอ้แซนมันตอบหน้าตายไม่ยี่หระ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าผมไม่ได้จำกัดความว่าเพศไหน ไม่เห็นจะแปลกอะไรที่จูบกับเพื่อนเพศตรงข้าม
“ผู้หญิงหรือผู้ชาย”
“มึงอยากรู้ไปทำไม” คราวนี้ตี๋สองมันถึงกับลอบยิ้ม
“เถอะน่า รู้ไว้เป็นวิทยาทาน”
“วิทยาทานบ้าบออะไร ตอบกูมาก่อน มึงอยากรู้ไปทำไม” ผมทำเสียงลอดฟันอย่างไม่พอใจก่อนจะจิ้มไส้กรอกเข้าปาก เป็นอันรู้กันว่าผมไม่ตอบ
“กูเคยจูบกับผู้ชาย” เวรเอ๊ย แล้วมึงมาบอกกูตอนยกน้ำขึ้นดื่มทำไม ไม่สำลักจนน้ำหูน้ำตาไหลก็บุญเท่าไหร่แล้ว ผมจ้องตามันคาดโทษก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ๆ แล้วกระซิบถาม
“ใครวะ กูรู้จักหรือเปล่า” แล้วคำตอบของไอ้แซนก็มาพร้อมกับนิ้วที่จิ้มลงบนหน้าผากผมอย่างจัง “มึงไง!”
นั่งเอ๋อไปพักใหญ่กว่าจะระลึกชาติได้ว่าผมนี่แหละที่เคยแกล้งลักจูบมัน จูบเล่น ๆ แต่ปากประกบจริงชนิดไม่ใช้สแตนอิน ไม่ใช้ตัวแสดงแทน ก็กะว่าจะล้อเลียน ‘เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ’ อย่างซันสักหน่อย แต่กลายเป็นว่าไอ้แซนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟไล่เตะผมรอบห้อง
“ไม่นับกูดิว้า คนอื่นล่ะ ไม่มีเหรอ”
“ไม่มีไม่เคย ทำไมวะ มึงไปจูบกับใครมา” ดูมันมีความสุขกับการจับพิรุธผมเสียเหลือเกิน ผมไม่ตอบก้มหน้าก้มตาจิ้มไส้กรอกเข้าปากต่อไป แต่ดูเหมือนไอ้ตี๋มันจะไม่ยอมความง่าย ๆ นั่งจ้องหน้ากันไม่เลิกรา ผมก็เลยแถมุขสดให้มันฟัง
“กูยังอยู่ในวัยเรียนรู้ กูก็แค่สงสัย แล้วที่จูบกับมึงกูก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเลย เพราะฉะนั้น...ช่างมันเหอะ” พูดไปก็คงไม่ช่วยอะไร เพราะมันยังนั่งยิ้มร้ายพร้อมสายตาหลุกหลิก “เอาเป็นว่ากูไม่ได้พูดถึงไอ้ตรัสก็แล้วกัน”
“นั่นแน่”
“นั่นแน่อะไรของมึง”
“ร้อนตัวจังเลยนะเท็ดดี้แบร์”
“ร้อนตัวกะผีอะไร มึงอย่ามารวนว่ะแซน”
“โถ ว่ากูรวน มึงไม่หนักกว่าหรือไง จู่ ๆ ก็มาถามว่าเคยจูบเพื่อนไหม พูดไปพูดมาก็วกเข้าหาไอ้ตรัส เมื่อคืนก็ไปนอนอยู่ด้วยกันแท้ ๆ แล้วมึงจะให้กูคิดยังไง แต่ไม่เป็นไรเดี๋ยวเก็บเป็นความลับให้ กูจะเหยียบไว้เลย” เหยียบภาษาไอ้แซนคือซันต้องรู้ภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงแน่นอน ดังนั้น...มึงกรุณาเปิดโปงกูไปเลยครับ!
ผมพยายามตีมึนใส่มนุษย์ทุกหน้าที่พยายามล้อผมเรื่องไอ้ตรัส หนักสุดก็คงไม่พ้นไอ้เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดจอมแฉ ต่อหน้าคุณชายไอ้แซนมันไม่พูดอะไร แต่ลับหลังเมื่อไหร่ได้เข้ามากระเซ้าเย้าแหย่ให้ผมนึกอยากเอาสก๊อตเทปมาปิดปากมันไว้จริง ๆ
หลังจากช่วงเวลาแห่งอิสระผ่านพ้นไป สัปดาห์แห่งนรกก็เข้ามาแทนที่ อีกหนึ่งอาทิตย์จะถึงวันสอบไฟนอล ความวิเวกเริ่มเข้าครอบงำหอในและตึกคณะ ผมเองก็ทุ่มสุดชีวิตกับการสอบทุกครั้งเหมือนอย่างนักศึกษาทั่วไป จึงเก็บเนื้อเก็บตัวเพราะไม่มีเวลาสังสรรค์เฮฮา ใต้หอมีอะไรให้กินก็กินไป ไม่เหาะไปหากินแถวคอนโดไอ้แซนเหมือนอย่างเคย จนกระทั่ง...
(( เฮ้ยเท็ต ไปอ่านหนังสือสอบห้องซันกัน รวมพล )) ไอ้แซนโทรมาขณะที่ผมกำลังทบทวนเนื้อหาวิชาสภาพคล่องและการวิเคราะห์สินเชื่ออย่างมีสมาธิสุดโต่ง
“ล้อเล่นใช่ไหม ไปที่นั่นกูคงจะได้อ่าน” ผมประชด
(( พูดจริง อ่านจริง กูไม่กวน กูสาบาน ))
“คำพูดมึงไม่น่าเชื่อถือขนาดนั้นว่ะเพื่อน”
(( แล้วถ้าเป็นคนอื่นพูด มึงจะเชื่อถือไหม ))
“ก็ขึ้นอยู่กับว่าคนไหน”
(( มาไหมเท็ต )) ตายล่ะหว่า เสียงไอ้แซนเปลี่ยนไป ฟังดูคล้ายว่าจะเป็นไอ้คนที่ดั้งโด่ง ๆ ปากแดง ๆ ไอ้หล่ออาหรับฉบับประเทศไทย
“อยู่ด้วยเหรอ”
(( อืม ซันชวนมา จะได้ช่วยติววิชาที่ลงเรียนเหมือนกัน ))
“ไอ้แซนไม่กวนใช่ไหม รำคาญมัน”
(( ไม่หรอก ถ้ากวนเดี๋ยวให้ซันจัดการ )) แล้วผมก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายเป็นแบคกราวด์
“ก็ได้ ไปก็ไป มารับหน่อย” ได้ยินตรัสรับคำก่อนจะวางสายไป
ผมรู้สึกถึงแรงดันแปลก ๆ ในอกอีกแล้ว แค่คุยโทรศัพท์กันไม่กี่คำบรรยากาศสีม่วงก็ฟุ้งกระจายไปรอบตัว ไม่ไหว ต้องหัดสงบจิตสงบใจเสียบ้าง ไม่อย่างนั้นผมคงกลายเป็นอุเคะที่มีออฟชั่นพร้อมสรรพบริบูรณ์
ระหว่างทางผมจงใจไม่พูดอะไรกับตรัสมากนัก ยอมรับตามตรงว่าอยากจะเว้นระยะห่างจากมันสักพักเผื่ออาการประหลาดจะทุเลาลง ซึ่งไอ้หล่อมันก็คงไม่รู้สึกแปลกใจอะไร เห็นผมถามคำตอบคำแล้วคงรำคาญ ก็เลยเลือกที่จะไม่เอ่ยปากอะไรเลยดีกว่า
“หอบมาทำไมเยอะแยะวะเท็ต มึงจะอ่านยังไงหมด” ไอ้แซนทักทันทีที่เห็นว่าผมถือถุงหนังสือใบใหญ่แค่ไหนมาด้วย ทำไงได้ พอวางสายเสร็จผมก็นอนเอกเขนกลืมเตรียมเนื้อเตรียมตัว อยู่หอสภาพไหนก็โผล่มาที่นี่สภาพนั้น คนมันกำลังสับสนชีวิต นักศึกษาที่กำลังอยู่ในช่วงสอบคงเข้าใจกันดี
“กูไม่รู้ว่ามึงจะติววิชาไหนบ้างนี่หว่า รีบก็เลยคว้ามาหมดเลย”
“รีบทำไม ไอ้ตรัสเร่งเหรอ” มันไม่ได้เร่งหรอก แต่กูรนเอง ถ้าตอบแบบนี้คงสมใจมึงสินะ
“เปล่าหรอก กูเกรงใจ ไม่อยากให้มันรอ” ผมตอบเสียงเบา ก่อนคนฟังจะพยักหน้ารับรู้
หลังจากนั้นซันที่กำลังนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่กับอ้นก็หันมาพูดกับผมเกี่ยวกับวิชาเลือกเสรีที่ผมเรียน มันเป็นหนึ่งในภาควิชารัฐศาสตร์ หลงคิดว่าซันหรืออ้นจะเป็นคนช่วยผมทบทวนเนื้อหา แต่ที่ไหนได้ซันกลับโบ้ยไปให้สารถีที่ขับรถมาส่งผมเมื่อกี้ ก่อนตัวเองจะหันไปเคลียร์กับอ้นเรื่องการเก็งข้อสอบที่ดูเหมือนทั้งคู่จะคิดไม่ตรงกัน
ตรัสเดินตรงมาหาผมแล้วนั่งลงข้างกัน ส่วนแซนมันหลบไปทำสมาธิอยู่คนเดียวที่ระเบียงห้อง
“อ่านตรงไหนบ้างแล้วหรือยัง”
“อ่านผ่านตามานิดหน่อย แต่ยังไม่ได้ทำความเข้าใจ” พูดจบก็เห็นตรัสคว้าปากกาไฮไลท์สีสดมาขีดใจความสำคัญให้ผมแทนที่จะอ่านกระจัดกระจายแต่ไม่ได้เนื้อหาอะไรใส่หัวเลย
“อ่านย้ำส่วนที่มาร์คไว้ให้ ถ้าสงสัยอะไรถามได้” มันบอกแค่นั้นก่อนลุกเดินหนีผมไป ปกติมันต้องอธิบายหรือช่วยสมมติโจทย์ให้ผมด้วยสิ แต่คราวนี้มาแปลก ผีเข้าหรือไง
ผ่านไปหลายชั่วโมงที่ไร้ซึ่งสรรพเสียงใด ๆ จากผู้ชายห้าคนที่นั่งจดจ่อสมาธิอยู่กับกองหนังสือตรงหน้า อาจมีกระซิบถามกันบ้าง อธิบายกันบ้างแต่ก็ไม่ได้โหวกเหวกโวยวายจนทำลายสมาธิคนอื่น จะว่าไปการอ่านหนังสือสอบพร้อมเพื่อนฝูงมันก็เป็นแรงผลักดันที่ดีเหมือนกัน ปกติถ้าผมอ่านคนเดียวที่หอ ยังไม่ทันพ้นสองชั่วโมงก็ได้ลงไปนอนสลบอยู่บนเตียงเรียบร้อย
วันแรกของการสอบเป็นวิชาที่ผมเลือกเรียนพร้อมตรัสก็เลยได้สอบห้องเดียวกัน ใช้เวลาสอบสามชั่วโมง ฟังดูเหลือเฟือแต่ผมก็นั่งเอื่อยพิจารณาคำตอบจนหมดเวลา มั่นใจว่าถูกต้องไหมมันก็ต้องมีบ้าง อุตส่าห์ตั้งหน้าตั้งตาอ่านล่วงหน้ามานาน เห็นข้อสอบแล้วก็สมกับความตั้งใจ หลังจากส่งกระดาษคำตอบผมเห็นหลังไว ๆ ของตรัสเดินผ่านหน้าห้องสอบ เหมือนมันรน ๆ อย่างกับรีบร้อนนักหนา ซึ่งผมไม่ใช่เด็กเก็บกดที่จะอดทนความอยากรู้อยากเห็น ก็เลยรีบวิ่งไปขวางหน้ามันไว้กะทันหันจนตรัสเกือบเบี่ยงตัวหลบไม่ทัน
“อย่าเล่นแบบนี้เท็ต ถ้าล้มไปจะทำยังไง” ถ้าล้มมึงก็หมดหล่อไง ก็แค่คิดในใจ ขืนพูดออกไปโดนมันต่อยปากแตกซวยเลย ก็ดูหน้ามันสิ ถมึงทึงอย่างกับคนอารมณ์เสียเต็มแก่
“รีบไปไหน”
“กลับบ้าน มีธุระ” ธุระอีกแล้ว ธุระตลอด ใช้คำนี้กับกูเหมือนกูเป็นเด็กน้อย บอกกูมาเลยก็ได้ว่าธุระของมึงคืออะไร ได้แต่ค่อนขอดในใจโวยวายเท่าไหร่มันก็คงไม่ได้ยิน
“ไม่มีสอบช่วงบ่ายเหรอ”
“ไม่มี ทำข้อสอบได้ไหม” แล้วมันก็ไม่ลืมถามเสียงอ่อนเกี่ยวกับการสอบวิชาแรกที่เพิ่งผ่านพ้นไป ผมยักไหล่อมภูมิ
“จิ๊บ ๆ” ไอ้หล่อมันยิ้ม จะว่าเพราะมองหน้ามันเพลินหรือเพราะออร่าความหล่อมันทิ่มตาหรือเพราะอะไรก็ไม่รู้ ผมถึงได้ตกใจโอเวอร์จนต้องเอียงคอหลบมือที่กำลังจะส่งมาลูบที่เส้นผม เห็นตรัสมันหน้าตึงไปเสี้ยววินาที ความรู้สึกผิดก็ล้นปรี่ขึ้นมาถึงคอหอย
“คืนนี้ตั้งใจอ่านหนังสือด้วย ฉันต้องไปแล้ว” มันทิ้งท้ายก่อนจะเดินหายเข้าไปในลิฟต์
“เท็ต มึงจะมานอนตายอืดอยู่แต่ห้องอย่างนี้ไม่ได้นะเว้ย ง่อยแดกกันพอดี ตื่นโว้ย ตื่นนน”
เที่ยงกว่า ๆ พระอาทิตย์ตรงหัว ผมได้ยินเสียงไอ้แซนเข้ามาในฝันลาง ๆ อย่างกับเห็นผี แต่เผอิญว่าวิญญาณตนนี้สัมผัสได้จริงทั้งรูปรสกลิ่นเสียง อุปมาอุปไมยคล้าย ๆ ว่ามันดึงหมอนที่ผมนอนอยู่มาฟาดแสกหน้าแบบไม่ยั้ง จนกระทั่ง...
“โว้ยยย มึงจะมาก่อกวนวันหยุดกูทำไมเนี่ย” ผมลุกขึ้นมาดิ้นปัด ๆ พลิกซ้ายพลิกขวาอย่างเหลืออด นี่มันวันหยุดหลังสอบ วันหยุดที่นักศึกษาทุกคนต้องเสวยสุขอย่างเต็มที่ ใครมีเกมเล่นเกม ใครมีแฟนก็อยู่กับแฟน ส่วนตัวผมมันโสดสนิทชนิดสาวไม่แลก็นอนสิครับ นอนลูกเดียวตั้งแต่เช้ายันค่ำ ค่ำยันเช้า นี่ก็ปาเข้าไปสามวันแล้ว จู่ ๆ ไอ้เพื่อนรักสุดสวาทขาดใจก็โผล่มาแบบไม่บอกไม่กล่าว ทำเอาผมหมดอารมณ์กับฝันกลางวันของตัวเองไปเลย
“มึงกินข้าวกินปลาบ้างไหม โทรมาทีไรก็บอกหลับอยู่” มันนั่งลงปลายเตียงก่อนจะมองไปรอบ ๆ ห้องอย่างอเนจอนาถใจ คือแบบว่าช่วงสอบชีวิตผมยุ่งเหยิงมากไง ไม่มีเวลาเก็บข้าวเก็บของ สภาพห้องมันเลย...สถุลโคตร
“กิน” ผมขยี้หน้าขยี้ตาตอบมันไป
“กินอะไร ไม่เห็นมึงออกไปไหน”
“มาม่า จากห้องอาหารระดับห้าดาว” พอเริ่มฟื้นคืนสติก็กวนตีนมันไป ลุกขึ้นบิดขี้เกียจก่อนจะหันมาประจันหน้าคาดคั้นไอ้แขกไร้มารยาท
“มาหากูมีอะไร คงไม่ได้ห่วงกูถึงขนาดแวะมาถามสารทุกข์สุกดิบหรอกใช่ไหม”
“กูแค่มาถามมึงว่าจะไปไหม ฉลองสอบเสร็จ”
“ที่ไหน” ผมตาลุกวาว ให้ความสนใจขึ้นมายี่สิบเปอร์เซ็นต์
“ไนต์คลับญาติอ้น เมมเบอร์เท่านั้นถึงจะเข้าได้” สี่สิบเปอร์เซ็นต์
“เมื่อไหร่”
“คืนนี้” หกสิบเปอร์เซ็นต์
“มีใครไปบ้าง”
“เพื่อนมึงมีใครล่ะ”
“ไอ้ตรัสไปไหม”
“ไม่พลาด” แปดสิบเปอร์เซ็นต์ ปัดเมินรอยยิ้มกริ่มบนหน้าไอ้ตี๋
“ผู้หญิงเยอะไหมวะ”
“คืนวันเสาร์ ไม่ละลานตากูให้ถีบ”
“สวยไหม”
“นางแบบล้วน ๆ” แม่โว้ยยย
“กูไปด้วยยย”
สี่ทุ่มกว่า ๆ ช่วงเวลาแห่งการท่องราตรี ผมถูกอันเชิญจากหอด้วยรถของไอ้แซน ล่วงหน้ามาก่อนโดยที่ซันกับอ้นจะตามมาทีหลัง ส่วนไอ้คุณตรัสท่านปิดโทรศัพท์ ไม่มีใครติดต่อมันได้ตั้งแต่เย็นแล้ว แต่เป็นอันรู้กันว่ามันต้องมาแน่ เพราะเมื่อเช้าตกลงกันดิบดี ถ้ามีอะไรฉุกเฉินมันคงโทรศัพท์กลับมาบอกเอง
“ไอ้ตรัสนี่ชอบทำตัวลึกลับ”
“มันก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว มึงยังไม่ชินอีกหรือไง” ผมบ่นขณะยกบรั่นดีสีอำพันขึ้นกรอกปาก ไอ้แซนก็ตะเบ็งเสียงแข่งกับดนตรีแจ๊สที่บรรเลงสดอยู่เบื้องหลังตอบกลับมา
ความจริงผมก็ไม่อยากจะใส่ใจอะไรมากหรอก แต่อยู่ด้วยกันมาตั้งสามปีที่บ้านใครทำอะไรผมรู้หมด บ้านแฝดสองทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เก็งกำไรที่ดินอะไรประมาณนั้น ส่วนพ่อของอ้นท่านเป็นนักการทูตประจำการสถานกงสุลใหญ่กรุงเบอร์ลิน คาดหวังมาตลอดว่าอยากให้ลูกชายคนเดียวเจริญรอยตาม ส่วนคุณตรัส ข้อมูลในหัวผมเป็นศูนย์ เคยได้ยินซันเปรย ๆ ว่าครอบครัวรัตนภูมิเศรษฐเขาทำธุรกิจค้าอัญมณีส่งออก อัญมณีอะไร ส่งออกไปไหน บ้านมันมีกี่คน พี่น้องมีไหม บ้านอยู่แถวไหน ไม่มีใครทราบครับผม
“ความลับมันเยอะเกินไป บางทีกูก็อึดอัดอยากถามแต่กลัวมันไม่ตอบ ดีไม่ดีก็หาว่ากูเสือก”
“ไม่ลองก็ไม่รู้ มันอาจจะรอมึงถามอยู่ก็ได้”
“ธุระไม่ใช่ ไม่อยากยุ่งเรื่องของมัน คบกันแบบนี้บริสุทธิ์ใจดี มันไม่รู้เรื่องกู กูก็ไม่รู้เรื่องมัน ไม่รกสมอง”
“มึงรู้ได้ไงว่ามันไม่รู้เรื่องของมึง” ผมมุ่นคิ้วแต่ยังไม่ทันได้ถามกลับ ซันกับอ้นก็เดินมานั่งที่โต๊ะพร้อมรอยยิ้มบาง
“ซูบไปเยอะเลยนะ แซนบอกเท็ตนอนสลบไปสามวันเลยเหรอ” อ้นทักผมซะเสียจริต ซูบที่ไหนหล่อบาดใจขนาดนี้
“แซนมันปากหมา อ้นดูดี ๆ สิ เท็ตยังหล่ออยู่เลย”
“หล่อน่ะหล่อ แต่ข้าวปลาไม่กินก็โทรมน่ะสิ ตรัสเห็นได้ช็อกสองต่อแน่” ซันพูดโดยที่มือก็หยิบแก้วเหล้าหลบจากหน้าอ้นก่อนจะวางค็อกเทลสีหวานลงไปแทน เห็นคนหน้าสวยหันไปค้อนขวับให้ทีหนึ่ง แต่ผมไม่มีแก่ใจจะขำขัน นึกแปลกใจกับคำพูดเมื่อกี้ของซันมากกว่า
“อะไร ทำไมสองต่อ”
“ตรัสไม่บอกหรือ คุณปู่ของมันเพิ่งเสีย ท่านป่วยมานานแต่ทรุดหนักเมื่อต้นสัปดาห์ที่แล้ว ตรงกับช่วงสอบพอดี ตรัสมันก็เทียวไปเทียวมาระหว่างมหา’ลัยกับโรงพยาบาลทั้งอาทิตย์” ผมร้องอ๋อในใจ ไม่สงสัยกับเรื่องเล่าของซันเท่าไหร่เพราะผมก็ได้เห็นเองกับตาว่าตรัสมันรีบร้อนแค่ไหนเมื่อวันสอบ ที่แท้ธุระของมันก็เรื่องนี้นี่เอง
“รายละเอียดปลีกย่อยให้เจ้าตัวเขาเล่าเองดีกว่า มันมาโน่นแล้ว” ผมมองข้ามหัวไอ้แซนเพื่อพบกับตรัสในเชิ้ตขาวสแลคดำอย่างคนไว้ทุกข์ แต่ดูเหมือนสาวในร้านที่มันเดินผ่านจะสุขซะเหลือหลาย ลอบมองกันจนเหลียวหลัง
“เสียใจด้วยเรื่องปู่มึง ซันเพิ่งเล่าให้ฟัง” มันนั่งลงตรงกันข้ามก่อนบริกรจะเดินมารินบรั่นดีส่งให้ พูดตอบรับผมแค่คำเดียวแล้วก็ปิดปากเงียบสนิท หน้าบอกบุญไม่รับของผมคงไม่ช่วยให้มันสำนึกขึ้นมาเลยว่าได้ทำผิดครั้งใหญ่กับเพื่อนตายอย่างนายทัศนัย มีอย่างที่ไหน สุขให้กูร่วมเสพแต่ทุกข์มึงเสือกเก็บไว้คนเดียว
“ขอบใจคำเดียวเนี่ยนะ มึงไม่คิดจะขยายความให้กูฟังบ้างหรือไง”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่สักหน่อย” มันพูดหน้านิ่งแถมยังกระดกเหล้าเข้าปากแบบไม่สะทกสะท้าน
“ใหญ่ หมาไอ้แซนตายยังใหญ่สำหรับกูเลย”
“เอาน่า ใจเย็น ๆ สิวะ กูพามาสังสรรค์ไม่ได้พามาทะเลาะกัน” แซนมันส่งมือมาลูบหลังก่อนจะยกแก้วเหล้าขึ้นมาจ่อปาก ผมไม่ดื่ม วางแก้วใบนั้นลงบนโต๊ะก่อนจะหันไปหาบริกร
“ออนเดอะร็อค”
“เท็ต” อย่า ไม่ต้องมาเรียกชื่อกูเสียงอ่อนเสียงหวาน กูไม่หลงกลมึงแล้วตรัส กูจะไม่มองหน้ามึง กูจะไม่ถามเรื่องเกี่ยวกับชีวิตมึง กูจะไม่เสือก กูจะไม่ยุ่ง กูจะไม่...อื้อหือ สวยฉิบ!
“นั่นใครวะ” ผมตาลอย จิตหลุด สมองเลอะเลือนไปชั่วขณะ ลืมไปเลยว่ากำลังโกรธคุณชายเป็นฟืนเป็นไฟเพราะมัวแต่มองนางฟ้าที่เพิ่งเดินผ่านไป ถ้าไม่หลงตัวเองขนาดหนักก็คงตาฝาดที่เห็นว่าน้องเขาก็มองผมตอบกลับมาเหมือนกัน
ไม่มองเปล่า แต่หยักยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปากสีอ่อนนั่นด้วย
“ลูกค้าประจำ ชื่อเคทเธอรีน เป็นนางแบบสังกัดเอ็นวายซี มีเพื่อนสนิทนั่งอยู่โต๊ะด้านในอีกหกคน” อ้นตอบคำถามผมอย่างกับอ่านเรียงความ เห็นซันหันขวับมองหน้าอย่างสงสัย ก็ใครจะไม่งง หน้าซื่อ ๆ พูดจาประหยัดถ้อยประหยัดคำอย่างอ้นดันร่ายประวัตินางแบบให้เพื่อนฝูงฟัง ฟ้าถล่มดินทลายก็วันนี้แหละวะ
“เคยมาช่วยงานอาตอนปิดเทอมปีหนึ่ง ช่วงนั้นที่ร้านขาดบาร์เทนเดอร์ก็เลยได้คุยกัน”
“สวยว่ะ มีแฟนหรือยัง”
“จะไปรู้เขาเหรอ” อ้นผลักหน้าคนข้าง ๆ ที่หันมาจ้องจับผิดไม่เลิกก่อนจะยกแก้วเบียร์ขึ้นป้อนเสียเลย
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวไปถามเอง”
“เฮ้ยเท็ตอย่า” ผมผุดลุกขึ้นยืน ไอ้แซนก็รีบคว้าข้อมือผมไว้ก่อนจะหันไปมองคู่อริผมหน้าตาเหลอหลา
“อะไรของมึง กูจะไปห้องน้ำ”
“กูไม่เชื่อ”
“ถ้าอย่างนั้นตรงนี้เลยนะ” ผมทำท่าจะปลดเข็มขัด ไอ้แซนก็ร้องเฮ้ยอีกรอบ
“จะให้กูไปไหม” หันไปย้ำถาม มันก็ยอมปล่อยมือแต่โดยดี
ความจริงผมไม่ได้มีธุระหนักเบาอะไรกับห้องน้ำหรอก ก็แค่รำคาญสายตาไอ้ตรัสที่มองมาอย่างตัดพ้อ เป็นผมเสียอีกที่ควรน้อยใจ แต่ไหงมันมานั่งหน้านิ่งทำบรรยากาศมาคุ เสียอารมณ์ส่องสาว
“ขอโทษนะคะ” ขณะที่กำลังยืนพิงผนังเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่ตรงทางเดินแคบ ๆ ก่อนถึงห้องน้ำ ผมก็ได้ยินเสียงใสกระซิบที่ข้างหูซึ่งพอดีว่าตรงนี้ไฟมันสลัวก็เลยทำให้มองเห็นหน้าคู่สนทนาไม่ชัดนัก ผมจึงเบี่ยงตัวหลบนึกว่าสาวเจ้าจะขอทางเดินแต่ที่ไหนได้เธอกลับส่งมือมาแตะที่หัวไหล่
“ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย เพิ่งมาที่นี่ครั้งแรกเหรอคะ” ตอนนั้นเองที่ผมเพ่งไปที่ใบหน้าขาวเนียนอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้ง โป๊ะเชะ! ผู้หญิงที่ฟุ้งกลิ่นดีเคเอ็นวายคนนี้คือแคทเธอรีนคนสวย
“อ่า...ครับ” ถึงกับติดอ่าง รีบยัดโทรศัพท์ตกรุ่นเข้ากระเป๋ากางเกงอย่างไว ไม่ได้ ๆ ต้องสร้างความประทับใจแรกพบ
“ว่าแล้วเชียว ชื่ออะไรเหรอคะ” เธอปรายยิ้มก่อนจะเบี่ยงตัวมายืนพิงกำแพงข้างกันเพราะมีคนอีกกลุ่มเดินสวนมา
“เท็ตฮะ”
“แคทเธอรีนนะคะ เรียกเคทเฉย ๆ ก็ได้” ผมยิ้ม..ยิ้มแบบประหม่าสุดชีวิต เกิดมาก็เพิ่งเคยพูดคุยกับผู้หญิงที่สวยขนาดนี้เป็นครั้งแรก จะว่าคุยเฉย ๆ ก็เรียกได้ไม่เต็มปากนัก แต่จะบอกว่าเธอทอดสะพานให้ก็ติดเกรงใจเพศแม่ เอาเป็นว่ามือที่ส่งมาดึง ๆ รั้ง ๆ แถวชายเสื้อทำเอาผมพูดไม่เป็นคำ ง่อยแดกเอาง่าย ๆ
“นี่ ๆ เท็ต...” และถ้านั่นยังไม่หนำใจ ก็ใช่ว่าเธอจะหยุดแค่ยืนคุยกันห่าง ๆ เผลอยืนยิ้มค้างครู่เดียวคุณเธอก็ยี่นหน้ามากระซิบข้างหูอย่างสนิทสนมซะแล้ว
“หายไปไหนมาตั้งนานสองนาน” พอก้าวกลับถึงโต๊ะไอ้แซนก็หันมาถามลั่น ผมยักไหล่ไม่ตอบ แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นว่าไอ้ซีเคร็ทแมนจ้องมาตาเขม็ง ผมเดินวนรอบโต๊ะจนเกือบจะวนรอบที่สอง ซันถึงถามขึ้นมา
“หาอะไร”
“กระเป๋าตังค์”
“เอาไปทำไมวะ” ไอ้แซนขมวดคิ้วฉับ แต่ถึงอย่างนั้นก็เห็นมันหยิบออกมาจากกระเป๋ากางเกงส่งมาให้ ผมไม่พูดพล่ามทำเพลง ตั้งท่าจะจ้ำอ้าวลูกเดียว
“กูกลับก่อนนะ ไว้พรุ่งนี้เจอกัน” โบกมือหยอย ๆ แต่ยังไม่ทันได้ก้าวไปไหน มือยาว ๆ ของอ้นก็คว้าเข้าที่ชายเสื้อ
“ไปไหน” อ้นจ้องหน้าถาม สีหน้าคนอื่นก็ไม่ต่างกัน
“มีสาวชวนไปนอนด้วยว่ะ”
“ใคร” คราวนี้ไอ้แซนเป็นคนซัก
“แคทเธอรีน”
“หา! ใครนะ” ผมย้ำคำตอบไปอีกครั้ง มือของอ้นถึงกับย้ายขึ้นมารั้งข้อมือไว้แทน
“ได้ไง ไปคุยกันเมื่อไหร่ ไหนว่าเมื่อกี้ไปห้องน้ำ”
“ไม่มีเวลาคุยรายละเอียดอะซัน เอาไว้จะเล่าให้ฟังทีหลัง”
“แล้วทำไมมึงต้องเป็นฝ่ายไปกับเขาวะ”
“จะให้กูพาเขาเข้าหอในหรือไงแซน ถามโง่ ๆ เว้นแต่ว่าจะมีใครให้กูยืมห้อง” แล้วความสงัดก็เข้าครอบงำในบัดดล ผมคิดอะไรก็พูดไปแบบนั้น ห้องไอ้แซนแคบ แค่หนังสือประมวลกฎหมายก็วางกองไปครึ่งห้องแล้ว ซันกับอ้นก็อยู่ห้องเดียวกัน เต็มความจุ ไม่ควรเพิ่มจำนวนประชากร ดังนั้น...
“ให้กูพาเขาไปนอนห้องมึงได้ไหมล่ะตรัส” จบข่าว▩▩▩