บทที่9
ห้องนอนหลังใหญ่เงียบเชียบ ทั้งๆที่นาฬิกาในห้องตอนนี้บอกว่าว่าเพิ่งจะบ่ายสองโมงครึ่งแต่สภาพมืดครึ้มจนมองแทบจะไม่เห็นแสงสว่างจนพาลจะทำให้คนอื่นเข้าใจผิดเอาซะง่ายๆว่านี่คือเวลากลางคืน แต่คงไม่มีคนอื่นที่ไหนเดินมีโอกาสมาเดินย่ำอยู่ในห้องๆนี้นอกจากเจ้าของห้องที่นั่งกอดเข่าเงียบๆอยู่บนพื้นห้องที่ข้างเตียง ดวงตาคู่สวยมองผ่านไปในความมืด หน้าปัดนาฬิกาที่เรืองแสงอยู่ในความมืดเป็นเพียงแสงๆเดียวในห้องที่ส่องสะท้อนออกมา
ตุ๊กตาสามตัวเป็นเพียงสิ่งเดียวที่อยู่บนเตียงกว้าง คนที่นั่งกอดเข่าเงียบๆอยู่ข้างเตียงเอื้อมมือมาดึงตุ๊กตาหนึ่งในสามที่ตัวเล็กที่สุดเข้ามากอดแน่นก่อนจะฝังหน้าลงกับตุ๊กตาตัวน้อย กลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวตุ๊กตาช่วยให้คนที่กอดมันอยู่รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาเล็กน้อย รฐนนท์เงยหน้าที่ซุกอยู่กับตุ๊กตาตัวน้อยขึ้นก่อนจะลุกยืนเต็มความสูง วางตุ๊กตาลงแล้วพาตัวเองเดินไปตามทางคุ้นเคยเพื่อไปเผชิญกับชีวิตจริงที่ต้องเจอนอกห้องนอน
ร่างสูงโปร่งในชุดสูทร่วมสมัยแบบพอดีตัวทำให้รฐนนท์ดูสง่าจนกลายเป็นจุดรวมสายตาของคนที่มาร่วมงาน งานกาล่าดินเนอร์ที่ถูกจัดขึ้นโดยบริษัทร่วมทุนที่ช่วยกันก่อตั้งหอสมุดขึ้นมาเพื่อฉลองครบรอบสี่สิบปี จริงๆเขาก็ไม่ได้ชื่นชอบงานสังคมที่ต้องสวมหน้ากากใส่กันแบบนี้ซักเท่าไหร่หรอกแต่เพราะเลี่ยงไม่ได้ในเมื่อมันเป็นเรื่องของธุรกิจครอบครัว คนตัวสูงส่งยิ้มทักทายคนทุกคนที่เดินผ่านก่อนที่สายตาจะไปสะดุดอยู่กับคนที่เขาไม่คาดคิดว่าจะมาเจอที่่นี่
“ไม่คิดว่าจะเจอกันที่นี่นะครับคุณตำรวจ” รฐนนท์เดินล้วงกระเป๋าเข้าไปทักทายนายตำรวจหนุ่มที่วันนี้อยู่ในชุดสูทดูภูมิฐาน
“แต่ผมคิดแล้วครับว่าจะต้องเจอคุณที่นี่คุณรฐนนท์” พิชญุฒม์กระตุกยิ้มพลางยื่นมือขวาออกไปข้างหน้าเพื่อให้อีกคนยื่นมือมาจับเป็นการทักทายตามมารยาทสากล “จริงๆผมก็ไม่อยากจะรบกวนเวลาของคุณซักเท่าไหร่หรอกครับ แต่ถ้าคุณพอจะมีเวลาว่างซักห้านาที”
“อันที่จริงหนึ่งวินาทีของอาจจะทำเงินได้มากกว่าหนึ่งเดือนของคุณก็ได้นะ แต่จะให้ลองหยุดทำเงินซักห้านาที... ก็น่าจะได้” รฐนนท์ตอบก่อนจะผายมือเป็นเชิงเชิญให้พิชญุฒม์นำไปเลยว่าอยากจะคุยกับที่ไหน
คาเฟ่เล็กๆไม่ห่างจากล็อบบี้โรงแรมมากถูกเลือกเป็นสถานที่สำหรับการนั่งคุยกันของทายาทนักธุรกิจคนดังกับนายตำรวจสืบสวนสอบสวนหนุ่ม รฐนนท์นั่งไขว่ห้างหลังพิงไปกับพนักพิงดูสง่า ในขณะที่ตำรวจหนุ่มก็นั่งไขว่ห้างประสานมือไว้บนหน้าขาก่อนที่รฐนนท์จะเป็นฝ่ายผายมือเชิญให้อีกคนพูดเรื่องที่ต้องการออกมา
“ได้ยินมาว่ามีสุขจิวเวลี่ให้ทุนการศึกษาเด็กคนนึงไว้ ใช้เกณฑ์อะไรในการเลือกหรอครับ”
“คุณคงไม่ได้มาเจอผมเพียงเพื่อถามว่าคุณพ่อใช้เหตุผลอะไรในการให้ทุนหรอกมั้งครับคุณพิชญุฒม์” รอยยิ้มในดวงตาและริมฝีปากอย่างคนรู้ทันของรฐนนท์ทำให้พิชญุฒม์ยกยิ้มมุมปาก เด็กคนนี้ไม่ธรรมดา
“ผมกลัวว่าถ้าถามคุณออกไปว่าบริษัทคุณหวังอะไรจากอาชวินอยู่ก็กลัวจะตรงเกินไปหน่ะครับ” ทันทีที่พิชญุฒม์พูดจบรฐนนท์ก็หัวเราะออกมาเสียงเบา
“คุณพ่อก็คงแค่หวังบุคคลากรคุณภาพซักคนหล่ะมั้งครับ” บทสนทนาจบลงพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนๆของรฐนนท์และรอยยิ้มมุมปากของพิชญุฒม์ ไม่มีใครต่อบทสนทนา ให้ความเงียบเป็นตัวบอกลาก่อนที่พิชญุฒม์จะเป็นฝ่ายลุกออกจากเก้าอี้ก่อน และไม่ลืมที่จะหันหลับมาก้มหัวน้อยๆเป็นการบอกลาอีกฝ่าย
รฐนนท์ยังคงนั่งนิ่งๆอยู่กับที่ไม่ไปไหนจนพิชญุฒม์หายออกไปจากประตูโรงแรม ใบหน้าที่เคยส่งยิ้มน้อยๆคลอตลอดการสนทนากลายเป็นเรียบนิ่ง เขารู้ว่าพิชญุฒม์คือใครแต่เขาก็ไม่ได้อยากจะใส่ใจมากเพราะสำหรับเขากับตำรวจมันไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องยุ่งเกี่ยวกัน แต่ตอนนี้เขากำลังไม่พอใจพิชญุฒม์มากๆเพราะคนที่พิชญุฒม์รับไปอยู่ด้วยต่างหาก
เขาใช้เวลาหลายปีเพื่อไล่ตามหาคนๆนั้นและเพียงแค่อีกไม่นานคนๆนั้นก็จะมาอยู่ในมือเขาแล้วแต่ในขณะที่ทุกอย่างกำลังลงตัวกลับเจอเรื่องงี่เง่าไม่คาดฝันจนอาชวินบินหนีไปได้อีกรอบ ซึ่งคราวนี้จะตามกลับมาก็เริ่มจะยากแล้วแหล่ะเพราะดูเหมือนเจ้าของใหม่ของอาชวินดูจะหัวแข็งไม่เบา
ห้องทดลองประจำสำนักงานสืบสวนสอบสวนวุ่นวายอีกครั้งเมื่อได้รับงานชิ้นใหม่ อาชวินนั่งทดลองอยู่หน้าเครื่องมือขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อกับจอคอมคอยมองกราฟที่ขึ้นๆลงๆเมื่อเครื่องมือทำการวิเคราะห์สารเคมีที่เขาใส่เข้าไป จนเมื่อเครื่องมือทำการวิเคราะห์เสร็จก็ทำการสั่งปริ้นท์เอ้าท์ออกมาเพื่อให้อ่านข้อมูลได้ง่ายๆ
มือเรียวขีดๆเขียนๆวงตรงส่วนที่คิดว่าน่าจะเป็นสารประเภทอะไรก่อนจะกวาดสายตามองอีกรอบเพื่อดูว่ามีอะไรผิดพลาดตรงไหนหรือเปล่า ก่อนจะหันไปเปิดอ่านล็อคบุ๊คแล้วก็ทำการจดบันทึกผลการทดลองจากที่ได้ เพื่อที่จะเอาไปสรุปให้เอกภพอีกที และเพราะมัวแต่ใส่ใจอยู่กับผลการวิเคราะห์ตรงหน้าเลยไม่ได้รับรู้ว่าใครเดินเข้ามาในห้องทดลอง
“เอกภพหายไปไหน?”
“เห้ย!” อาชวินสะดุ้งตัวโยนเพราะเสียงกระซิบที่ข้างหู ด้วยอารามตกใจล็อคบุ๊คเล่มหนาที่อยู่ในมือของอาชวินเลยลอยไปหาคนที่มาแบบไม่ให้สุ้มให้แสียง แต่เพราะคนมาใหม่มีทักษะป้องกันตัวที่ค่อนข้างดีเลยหลบทันแล้วปล่อยให้ล็อคบุคเล่มนั้นลอยไปกระแทกกับขอบประตูกระจกด้านหลังแทน
“วางแผนจะฆ่าฉันหรือไง?” พิชญุฒม์ถอยออกไปหนึ่งก้าวแล้วยืนกอดอกมองคนที่นั่งเอามือลูบหน้าอกตัวเองอยู่ด้วยสายตาขำๆ
“นายหน่ะซิจะฆ่าฉันหรือไง”
“แล้วตกลงเอกภพไปไหน?”
“จะไปรู้หรอไม่ได้นั่งเฝ้า” อาชวินลุกขึ้นเดินไปหยิบล็อคลุ๊คที่ตัวเองเขวี้ยงออกไป ซึ่งมันไปชนกับประตูกระจกห้องทำงานของเอกภพจนเปิดออก แล้วกลับมานั่งทำงานโดยไม่ได้สนใจคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง
พิชญุฒม์ยักไหล่อย่างไม่สนใจก่อนจะหันไปเปิดประตูกระจกแล้วเดินเข้าไปในห้องทำงานของเอกภพ ปกติห้องทำงานของเอกภพจะค่อนข้างถือเป็นพื้นที่ส่วนบุคคลของเจ้าตัวมาก ถ้าไม่อนุญาตใครก็ห้ามเข้า ซึ่งปกติเขาก็ไม่เคยได้เข้ามาห้องทำงานของเอกภพหรอกเพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่จะเข้ามา อันที่จริงห้องทดลองนี่เขาก็แทบจะไม่เคยมาเหยียบด้วยซ้ำ แต่แค่ช่วงนี้มีเหตุผลให้ต้องมาบ่อยๆก็แค่นั้น
พิชญุฒม์ทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ทำงานของเอกภพก่อนจะกวาดสายตาไปรอบๆห้อง จริงๆห้องนี่ก็ออกจะเต็มไปด้วยกองเอกสารแล้วก็กองเอกสารแต่ทำไมความเป็นระเบียบถึงยังมีอยู่ได้ หนังสือเป็นเล่มๆก็แทบจะไม่มี ที่เห็นๆอยู่ก็มีแค่หนังสือเกี่ยวกับพวกการวิเคราะห์แค่ไม่กี่เล่ม
พิชญุฒม์หมุนเก้าอี้มาอีกฝั่งยกขาขึ้นพาดกับโต๊ะตรงที่ยังพอมีพื้นที่ว่างเพื่อจะแอบนั่งหลับรอเจ้าของห้องกลับมา จะให้กลับไปรอที่ห้องตัวเองก็ขี้เกียจ ถือว่ามานั่งเฝ้าอาชวินกันเจ้าตัวหนีก็แล้วกัน
“เห้ย!” แต่ตอนที่กำลังขยับขาเพื่อให้เป็นท่าที่สบายส้นรองเท้าดันไปเกี่ยวเข้ากับกองเอกสารที่อยู่ตรงใกล้ๆร่วงลงจากโต๊ะจนต้องก้มไปเก็บเพื่อเอากลับมาเรียงที่เดิม ก็แอบกลัวว่าถ้าทำไม่เหมือนเดิมจะโดนเอกภพสวดยับขนาดไหน
มือที่กำลังโกยกองเอกสารอยู่ชะงักเมื่อในกองเอกสารที่ร่วงลงมามีภาพของคนที่กำลังนั่งทำงานอยู่ข้างนอกอยู่ด้วย ภาพที่ดูแล้วมันคือการแอบถ่ายซึ่งคนในรูปกำลังนั่งเหม่ออคิดอะไรซักอย่างอยู่ พิชญุฒม์ยกรูปขึ้นมาเทียบองศากับอาชวินที่นั่งอยู่ข้างนอก ทุกอย่างบ่งบอกว่ารูปนั้นถูกถ่ายจากคนในห้องนี้พอพลิกด้านหลังก็เจอกับข้อความเล็กๆที่ถูกเขียนด้วยลายมือของเจ้าของห้องทำงานนี้
“เอกภพ..” มือข้างที่ไม่ได้ถือรูปกำแน่นจนข้อนิ้วขึ้นสีขาวเพื่อเป็นการระงับความรู้สึกที่ตีขึ้นมา ก่อนจะเก็บเอกสารทุกอย่างไว้ที่เดิมรวมถึงรูปๆนั้นด้วยแล้วทำเหมือนทุกอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ครืด
เสียงประตูห้องเอกภพเปิดทำให้อาชวินละสายตาจากล็อคบุ๊คหันไปมองที่คนที่เดินออกมาด้วยสีหน้านิ่งๆเรียบๆ เขาไม่รู้หรอกว่าพิชญุฒม์เข้าไปทำอะไรเพราะห้องของเอกภพติดฟิล์มสีดำจนมองเข้าไปไม่เห็นข้างใน ซึ่งเท่าที่ดูจากสีฟิล์มแล้วเหมือนจะเป็นฟิล์มที่คนข้างนอกมองไม่เห็นคนข้างในแต่คนข้างในสามารถมองออกไปข้างนอกได้
“ใกล้เสร็จหรือยัง?”
“ใกล้แล้ว” พูดจบก็ก้มหน้าก้มตาทำต่อไม่ได้สนใจพิชญุฒม์ที่ยืนกอดอกพิงประตูห้องเอกภพมองอยู่ข้างหลัง ความเงียบคือสิ่งที่อาชวินได้จากพิชญุฒม์ซึ่งมันก็ไม่มีอะไรน่าแปลกใจอยู่แล้วเพราะรายนั้นอยากพูดก็พูดเองแต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยอยากจะพูด เน้นกวนหน้านิ่งอะไรเทือกๆนั้นมากกว่า
“เสร็จแล้วใช่ไหม? งั้นก็ไปกันได้แล้ว” ทันทีที่อาชวินปิดสมุดล็อคบุ๊คพิชญุฒม์ก็เอ่ยขึ้นมาจนอาชวินต้องหันไปมองหน้าอย่างไม่ค่อยพอใจ จะรีบไปหนก็ไปดิวะจะมารอเขาทำไม
“ไปไหน” เก็บคำต่อว่าไว้ในใจแล้วเอ่ยถามออกไป
“ฉันมีคดีด่วนที่ภาคใต้” สายตาจริงจังของพิชญุฒม์ทำให้อาชวินต้องรีบเก็บของเพราะคดีนี้อาจจะสำคัญมากจริงๆ และเขาก็ไม่อยากจะเป็นตัวถ่วงอีกคนมากนักเพราะกับเรื่องงานพิชญุฒม์จริงจังเสมอ
พิชญุฒม์แวะกลับมาที่ห้องทำงานของตัวเองก่อนจะตรงไปนั่งหน้าแลปท็อปพิมพ์อะไรต๊อกแต๊กอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะปิดเครื่องแล้วพับแลปท็อปเก็บใส่กระเป๋าก่อนจะกวาดตามองไปรอบๆห้องอีกรอบแล้วพาทั้งตัวเองและอาชวินกลับที่พัก
เมื่อกลับมาถึงบ้านพิชญุฒม์ก็ตรงดิ่งขึ้นไปบนห้องนอนแล้วเปิดแลปท็อปที่พกกลับมาด้วยขึ้นมา ข้อมูลบุคลากรที่เขาแอบโอนถ่ายมาเมื่อตอนก่อนจะออกจากสำนักงานถูกเปิดขึ้นมา ประวัติเอกภพถูกเปิดขึ้นมาโดยละเอียด ไม่ใช่ว่านี่คือครั้งแรกที่พิชญุฒม์ดูประวัติของเอกภพ ก่อนหน้าที่จะร่วมงานกันประวัติของแต่ละฝ่ายก็ถูกส่งไปให้ฝ่ายตรงข้ามดูเหมือนกัน
พิชญุฒม์กวาดสายตามองประวัติเอกภพแบบคร่าวๆ ทุกอย่างก็เหมือนกับที่เขาเคยเห็นมาแล้วเกือบทั้งนั้นเพียงแต่ประวัติที่เขาดูคราวนี้เป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่จะต้องมีการอัพเดทเรื่องๆในระบบกลาง ประวัติของเอกภพใสและไร้รอยด่างพร้อยจนดูเหมือนเป็นคนสมบูรณ์แบบคนนึงถ้าไม่ติดว่าเขาเห็นข้อความที่คนๆนั้นเขียนไว้หลังรูปคงคิดไปแล้วว่าเอกภพมีใจให้นักโทษในการดูแลของเขา… เพราะในวันที่พิชญุฒม์ไปเจออาชวินอยู่กับเอกภพ ยอมรับว่าแปลกใจไม่น้อยเพราะเขาไม่ได้บอกเอกภพเรื่องที่อาชวินโดนลักพาตัว แต่เพราะความโล่งใจที่เจออาชวินมีมากกว่า ความสงสัยในประเด็นนั้นเลยโดนปัดตกไป
ร้านกาแฟเงียบๆบนถนนย่านสุขุมวิทถูกเลือกเป็นสถานที่สำหรับพบกันในครั้งนี้ของพิชญุฒม์และอดิศร พิชญุฒม์ส่งข้อมูลคร่าวๆในเรื่องที่ตัวเองกำลังสงสัยให้อดิศรเป็นคนสืบค้นแต่กว่าที่อดิศรจะยอมเจาะระบบข้อมูลให้เขาก็ต้องเอาอาชวินมาเป็นตัวประกันอีกรอบอดิศรถึงจะยอมช่วย
“แน่ใจนะว่านายไม่ได้เดาสุ่ม”
“ยอมรับว่าเดาแต่ไม่ได้สุ่ม” พิชญุฒม์พูดขณะที่จิบอเมริโน่ไปด้วยในขณะที่อดิศรก็ทำท่าทางเหมือนไม่เชื่อเขาซะเต็มประดาจนน่าหมันไส้
“จะบอกว่าที่อาชวินโดนลักพาตัวไปคราวก่อนมันคือฝีมือของคู่หูนาย?”
“อย่าทำมาเป็นใสซื่ออดิศร นายก็คงจะพอมีข้อมูลอยู่แล้วแต่แค่รอดูท่าทีของเอกภพต่อไปมากกว่า” อดิศรยักไหล่แบบไม่มีอะไรจะเถียงเพราะก่อนหน้าที่เขาจะออกมาเจอพิชญุฒม์ อีกฝ่ายเกริ่นๆกับเขาไว้จนเขาต้องไปหาข้อมูลเบื้องต้นเท่าที่พอหาได้เพื่อเอามายืนยันว่าเรื่องที่พิชญุฒม์เรียกเขาออกมาคุยไม่ได้ไร้สาระจนเสียเวลาออกมาข้างนอก “แต่โปรไฟล์เอกภพถือว่าเป็นคนเพอร์เฟ็คคนหนึ่งเลยนะ”
“นายไม่มีทางรู้หรอกว่าภายใต้น้ำใสๆจะมีโคลนดูดอยู่หรือเปล่าจนกว่านายจะได้ลองเหยียบลงไป”
“หมายความว่ายังไง?”
“พาอาชวินไปที่อื่นซักพัก ขอเวลาให้ฉันอย่างต่ำสามวันแล้วฉันจะให้คำตอบว่าคู่หูนายจะเป็นสระน้ำแบบไหน”
ท่าอากาศยานนานาชาติกระบี่คราคร่ำไปด้วยผู้คนมากมาย พิชญุฒม์กับอาชวินเดินตามผู้คนออกมายังทางออกของสนามบินก่อนจะตรงไปยังบริเวณจุดที่มีบริการแท็กซี่และพิชญุฒม์ก็เป็นคนบอกจุดหมายปลายทางของการมาครั้งนี้ให้กับพนักงานขับรถ
รถแท็กซี่แล่นตามถนนสายหลักผ่านตัวเมืองลงไปทางใต้เรื่อยๆจนมองออกจากหน้าต่างรถแท็กซี่เจอแต่ชายหาด ดวงตากลมโตส่องประกายวิววับเมื่อภาพชายหาดสะท้อนเข้ามาในกรอบสายตา แทบจะจำไม่ได้ว่านานแค่ไหนแล้วที่ตัวเองไม่ได้สัมผัสกับชายทะเลถึงแม้จะแค่มองจากไกลๆเพราะการมากระบี่ครั้งนี้ของเขาก็คือการมาทำงานของพิชญุฒม์
รถแท็กซี่จดลงตรงหน้าชายหาดกว้าง ทันทีที่ก้าวลงจากรถ ลมทะเลก็พัดเข้าหน้าจนอาชวินอยากจะโยนกระเป๋าทิ้งแล้ววิ่งลงหาดแต่ก็ทำได้แค่มองใบมะพร้าวรอบๆหาดพัดไหวคลอไปกับเสียงคลื่น อาจจะเพราะสนใจทะเลมากไปเลยไม่รู้ว่าพิชญุฒม์เดินออกไปอีกทางแล้วจนอีกคนต้องหักกลับมาสะกิดเพื่อให้อาชวินเดินตามมา
บ้านพักขนาดเล็กซึ่งหันหน้าเข้าหาชายหาดมิชชั่นเป็นสถานที่ปลายทางที่ทั้งสองคนเดินมาถึง อาชวินแอบแปลกใจเล็กน้อยกับภาพที่เห็น ไม่คิดว่าการมาแก้คดีของพิชญุฒม์คราวนี้จะสร้างความประหลาดใจได้มากขนาดนี้เพราะถ้าพิชญุฒม์ไม่บอกเขาว่ามาแก้คดีเขาคงคิดว่าพิชญุฒม์มาพักผ่อนเป็นแน่
ภายในบ้านพักถูกจัดเป็นสัดเป็นส่วนซ้ายมือเป็นเตียงนอนส่วนขวามือเป็นโซนพักผ่อนที่มีชุดโซฟาตัวเล็กๆสำหรับสองที่และทีวี แต่อาจเพราะบ้านหลังนี้มีขนาดเล็กเลยทำให้ภายในมีเพียงเตียงคิงส์ไซต์หนึ่งหลังที่ตั้งอยู่ริมหน้าต่าง อาชวินมองแล้วก็ได้แต่กรอกตา พิชญุฒม์จะให้เขานอนตรงไหน? บนพื้นหรือไง เพราะโซฟาก็ไม่ใช่ขนาดที่คนปกติจะนอนได้
“นายจะออกไปวิ่งเล่นข้างนอกก็ได้นะ แต่ถ้านายหนีไปเมื่อไหร่ฉันก็ตามนายกลับมาได้อยู่ดี”
พิชญุฒม์เอ่ยกับอาชวินก่อนจะเดินไปวางขอลงบนเตียงแล้วงัดเอาแล็ปท็อปในกระเป๋าออกมาแล้วยึดพื้นที่ตรงโซฟาหน้าทีวีไปใช้ทำงาน อาชวินเบะปากใส่น้อยๆก่อนจะวางกระเป๋าของตัวเองลงแล้วเดินออกไปข้างนอกเพราะดูจากประโยคกึ่งไล่เมื่อกี้นี้พิชญุฒม์คงไม่อยากให้เขาอยู่กวนสมาธิแน่ๆ
กว่าพิชญุฒม์จะเงยหน้าออกจากแลปท็อปได้ท้องฟ้าก็เริ่มมืดแล้วพอเหลือบมองนาฬิตรงหน้าจอแลปท็อปก็รู้ว่าตัวเองใช้เวลาอยู่หน้าจอร่วมห้าชั่วโมง พาลทำให้นึกถึงอาชวินไม่รู้ว่าป่านนี้เด็กนั่นจะเดินเล่นไปถึงไหนเลยพับหน้าจอแลปท็อปลงแล้วออกเดินตามหาอาชวิน
พิชญุฒม์เดินเลาะริมชายหาดไปบนพื้นทรายละเอียดเท้า บังกะโลที่เขาเลือกค่อนข้าเป็นส่วนตัวพอสมควรบริเวณหาดโซนนี้เลยไม่ค่อยมีคนพลุกพล่านแถมยังไม่ไกลจากหาดมากเลยทำให้เขาเลือกจะมาพักที่นี่ ซึ่งอความจริงบังกะโลหลังนี้เป็นหนึ่งในกิจการอสังหาริมทรัพย์ที่คุณแม่ของเขาจัดการอยู่ด้วยเลยได้มาค่อนข้างง่าย อันที่จริงเขาวางแผนจะพาอาชวินหลบมาทะเลซักสองสามวันอยู่แล้ว ยิ่งพออดิศรเปิดทางให้เขาพาอาชวินหายไปก็ยิ่งเข้าทางเขามากขึ้นไปอีก
แสงไฟจากไฟสาธารณะสีส้มยิ่งทำให้บรรยากาศรอบตัวเหมาะกับการพักผ่อนแต่คงไม่ใช่ตอนนี้เพราะพิชญุฒม์เดินมาซักพักแล้วก็ยังไม่เห็นวี่แววของอาชวินถึงจะมั่นใจว่าเด็กคนนั้นไม่น่าจะหนีไปไหนแน่นอนแต่ก็มั่นใจไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ นกน้อยต่อให้ปีกหักยังไงก็ต้องหาทางออกจากกรงจนได้
ยิ่งเดินออกมาไกลจากบ้านพักเท่าไหร่พิชญุฒม์ยิ่งออกอาการร้อนรนเท่านั้น ความรู้สึกตอนรู้ว่าอาชวินโดนจับตัวไปครั้งก่อนยังไม่จางได้แต่ภาวนาว่าขอให้เขาเจอตัวเด็กนั่นที่ไหนซักทีที่ไม่ไกลจากที่นี่ ดวงตาคู่คมมองกวาดไปรอบๆในขณะที่ขาก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งเพราะไม่อยากวิ่งเร็วมากด้วยกลัวว่าอาจจะทำให้มองรอบๆไม่ละเอียดจนทำให้มองไม่เห็นอาชวิน
แต่แล้วช่วงขาเรียวที่กำลังกึ่งวิ่งกึ่งเดินก็ค่อยๆผ่อนความเร็วลงเมื่อสายตามองไปเจออาชวินนั่งนิ่งๆอยู่บนม้านั่งเลยเปลี่ยนเป็นค่อยๆเดินเข้าไปไกลๆ
“หมู...”
“ชู่ว” อาชวินยกมือขึ้นมาทำท่าทางให้พิชญุฒม์เบาเสียงลงก่อนจะชี้ลงไปที่สิ่งที่นอนหลับอยู่บนตักของตัวเอง
“ฉันเจอมันแถวนี้ ขอเล่นกับมันอีกซักพักนะแล้วจะปล่อยไป” อาชวินเอ่ยตอบสายตาของพิชญุฒม์ที่มองมาเหมือนมีคำถามอยู่ในนั้นแต่ไม่ได้เอ่ยออกมา พิชญุฒม์ถอนหายใจเบาๆก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ
ลูกหมาวัยไม่น่าจะเกินหนึ่งเดือนสีขาวแซมน้ำตาลที่เขาไม่รู้หรอกว่ามันพันธุ์อะไรกำลังนอนหลับปุ๋ยให้อาชวินลูบขนเบาๆอยู่ คงจะเพลินน่าดูเพราะดูท่าแล้วเจ้าตัวเล็กไม่รับรู้อะไรนอกจากฝ่ามือของอาชวิน แอบลอบมองหน้าเจ้าของตักที่นั่งมองเจ้าลูกหมาตัวน้อยที่กำลังยิ้มเอ็นดูแต่สายตากลับฉายแววเศร้าออกมา ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเด็กคนนี้คงจะเหงาเลยไม่อยากให้ลูกหมาไร้ครอบครัวตัวนี้เหงาเหมือนตัวเองแน่ๆ
“นายไม่สามารถเลี้ยงดูใครได้ในตอนนี้หรอกอาชวิน”
“ฉันรู้ ก็บอกแล้วไงว่าขออีกซักพัก”
ปลายเสียงที่แผ่วลงของอาชวินทำให้พิชญุฒม์ใจกระตุก เจ้าตัวอาจจะไม่รู้แต่น้ำเสียงเบาๆแบบนั้นมันเต็มไปด้วยความว้าเหว่และเดียวดายจนเขาจับได้ในกระแสน้ำเสียงนั้น พิชญุฒม์ปล่อยให้อาชวินนั่งลูบขนเจ้าลูกหมาตัวเล็กอยู่อย่างนั้นอีกซักพักก่อนจะลุกขึ้นยืนเพื่อเป็นการบอกกลายๆว่าเวลาอีกซักพักที่อาชวินขอได้หมดลงแล้ว
คนตัวป้อมค่อยๆประคองเจ้าลูกหมาให้เบามือที่สุดเพื่อกันไม่ให้มันตื่น แอบคิดในใจว่าถ้ามันตื่นมาแล้วพบว่าตัวเองต้องนอนหนาวอยู่คนเดียวบนม้านั่งตัวนี้มันจะรู้สึกเหงาแค่ไหน ลูกหมาตัวน้อยเริ่มรู้สึกตัวตอนที่อาชวินวางมันลงบนม้านั่งทำให้อาชวินต้องรีบผละออกมา
บ๊อก!
เจ้าลูกหมาตัวน้อยส่งเสียงเห่าออกมา พออาชวินหันไปก็พบว่ามันกระโดดลงมาจากม้านั่งแล้ววิ่งตามตัวเองมา ดวงตากลมโตของมันเหมือนจะสื่อว่าอย่าทิ้งมันไว้ตรงนี้ตัวเดียว แต่อาชวินก็ต้องตัดใจเดินจากมาเมื่อพิชญุฒม์เดินนำไปไกลแล้ว
บ๊อกบ๊อก!
เจ้าลูกหมาตัวน้อยยังคงวิ่งตามมา อาชวินหันไปมองพิชญุฒม์ที่เดินนำไปไกลก่อนจะหันมามองลูกหมาตัวเดิมอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจย่อตัวลงไปลูบหัวเจ้าลูกหมา
“ขอโทษทีนฉันเอาแกไปด้วยไม่ได้จริงๆ ลำพังตัวฉันยังเอาตัวไม่รอดเลย” อาชวินเอ่ยกับเจ้าลูกหมาที่มองเขาตาเป็นประกายหางสั้นๆกระดิกไปมาเพราะไม่ได้รับรู้ความหมายของคำพูดที่อาชวินสื่อออกมา อาชวินลุกขึ้นยืนก่อนจะหันหลังกลับ คิดกับตัวเองในใจว่าจะไม่ใจอ่อนให้เจ้าลูกหมาตัวนี้อีกแน่นอน
บ๊อกบ๊อก
อาชวินข่มตาทำเป็นไม่สนใจเสียงเห่าของเจ้าลูกหมาน้อยแล้วพยายามก้าวเร็วๆให้เดิมตามพิชญุฒม์ทัน แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวขาให้เร็วขึ้นแรงดึงที่ขากางเกงก็ทำให้ต้องหันกลับไปมอง เจ้าลูกหมาพยายามงับขากางเกงเขาไว้เพื่อดึงให้อาชวินอยู่กับมัน อาชวินพยายามสะบัดขากางเกงออกเบาๆเพื่อให้เจ้าลูกหมาปล่อยแต่ก็ไม่หลุดเลยพยายามจะออกแรงเพิ่มขึ้นแต่สุดท้ายก็ไม่กล้าที่จะออกแรงมากเพราะกลัวมันเจ็บเลยปล่อยให้เจ้าลูกหมากัดอยู่อย่างงั้นจนต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วอุ้มเจ้าลูกหมามาแนบอก
“ถึงตอนนี้ฉันอาจจะดูแลตัวเองไม่ได้ แต่จะพยายามต่อรองให้ฉันได้ดูแลแกแล้วกันนะเจ้าลูกหมา”
พิชญุฒม์ที่หันกลับมามองซักพักแล้วได้แต่ส่ายหัวเบาๆ เหมือนมีเค้าลางว่าเขาอาจจะต้องมีภาระที่ต้องดูแลเพิ่มตะหงิดๆเพราะอาชวินคงไม่ยอมแยกจากเจ้าตัวนั้นง่ายๆในตอนนี้แน่ๆ เอาเป็นว่าหลังจากสามวันนี้เขาค่อยคิดอีกทีแล้วกันว่าจะเอายังไงต่อไปกับเจ้าหมาน้อยทั้งสองตัวตรงหน้าดี
tbc.
ยอมรับในความมาช้าครั้งนี้แต่โดยดีค่ะ งานยุ่งมากจนไม่มีเวลาแตะคอมเลย T__________T เจอกันอาทิตย์หน้าค่า