***
"เฮีย...เฮียไจ๋..."
เสียงปลุกพร้อมแรงเขย่าทำให้ผมรู้สึกตัวตื่นแต่เปลือกตาที่หนักอึ้งกลับทำให้ผมไม่สามารถลืมตามองคนที่มาปลุกได้ อาการไม่สบายตัวทุกอย่างยังอยู่ครบจนทำให้อยากจะนอนต่อแต่เมื่อได้ยินเสียงปลุกอีกครั้งผมก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้...ผมอยู่คนเดียวไม่ใช่เหรอวะ
"อื้อ..." เสียงแหบแห้งดังลอดผ่านลำคอก่อนที่ผมจะพยายามยกเปลือกตาหนักๆ นี้ให้เปิดออก แสงจ้าที่สาดเข้ามาทำให้ต้องหรี่ตาลงก่อนจะเริ่มเปิดใหม่อีกครั้ง แล้วภาพที่ค่อยๆ ชัดขึ้นก็ทำให้ผมแทบจะตื่นเต็มตา "แพน...?"
แพน...แพนเหรอ ใบหน้าหล่อน่ารักที่ผมชอบกับเสียงทุ้มที่ฟังดูอ่อนโยนเหมือนทุกที นี่ฝันเปล่าวะ ผมเพ้อขนาดนี้เลยเหรอ ไม่ใช่มั้ง...
"ตื่นมากินโจ๊กนะเฮีย จะได้กินยาด้วย"
"แพน"
"อื้อ...แพนเอง" บทจะมาก็มาง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอวะ
ระหว่างที่ผมกำลังงงและเบลอ แพนก็พยุงตัวผมให้ลุกขึ้นนั่ง ถามผมว่าเดินได้ไหมซึ่งผมก็พยักหน้ามั่วๆ ไปเลยได้มานั่งกินโจ๊กอยู่ที่โต๊ะอาหารด้านนอก แพนไม่พูดอะไรนอกจากบอกให้ผมกินโจ๊กนี่ให้หมดซึ่งถ้วยใหญ่ขนาดนี้ คนไม่สบายที่ไหนมันจะกินหมดวะ สุดท้ายผมก็กินเหลืออย่างที่คิดไว้
"ไม่กินต่อเหรอ" แพนถามพร้อมกับทำเสียงอ้อนหน่อยๆ
"ไม่ไหวแล้ว"
"งั้นกินยานะ" ถุงยาหลายถุงตั้งเรียงอยู่บนโต๊ะตรงหน้าผม แพนหยิบถุงยาตามอาการที่ผมบอกแล้วยื่นส่งให้ผมกินตามลำดับ ผมเองก็นั่งเบลอๆ แพนยื่นอะไรมาก็กินหมด กินเสร็จแล้วถึงนึกขึ้นได้ว่ามีคำถาม
"เข้ามาได้ยังไง"
"พี่เบลไง" พี่เบลคือลูกพี่ลูกน้องของผมที่ทำงานอยู่กรุงเทพ พ่อแม่ของผมฝากกุญแจสำรองของคอนโดหลังนี้ไว้ที่พี่เบลเผื่อเกิดเหตุอะไรฉุกเฉิน พี่จะได้ไขเข้ามาได้ แต่เพราะพี่เบลอยู่คนละที่แถมพี่แกก็ทำงานด้วย ไม่ว่างมาดูผมอะไรขนาดนั้นอยู่แล้ว ผมเลยบอกพวกเพื่อนสนิทรวมไปถึงแพนว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นก็ไปขอกุญแจสำรองจากพี่เบลแล้วกัน ผมบอกพี่เบลแล้วว่าขอแจกเบอร์พี่เป็นเบอร์ฉุกเฉิน
พวกเพื่อนผมยังไม่เคยมีใครสักคนไปขอ
ผมก็ไม่นึกว่าคนที่ใช้กุญแจสำรองไขห้องผมคนแรกจะเป็นแพน
"แล้วรู้ได้ไงว่า...เฮียป่วย"
"ก็ไม่เห็นมาเรียนเลยถามพวกเพื่อนเฮียนั่นแหละ"
"ล-แล้วรู้ได้ไงว่าเฮียไม่ได้ไปเรียน" ยิ่งถาม ใจของผมก็ยิ่งเต้นแรงขึ้นและผมรู้ดีว่ามันไม่ใช่เพราะพิษไข้ ผมพยายามเงยหน้าขึ้นไปสบตากับแพนแต่สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้กลับมาก้มมองโต๊ะเหมือนเดิม
และเพราะผมมัวแต่มองโต๊ะเลยไม่ได้เห็นรอยยิ้มของคนที่พูดประโยคนี้ "ดูอยู่ไง...ดูอยู่ตลอดนั่นแหละ"
"...แต่ก็ไม่ยอมมาหา" ข้อดีของการไม่สบายคือเราจะกล้าพูดอะไรที่ปกติคงไม่กล้าพูดออกมาง่ายๆ แบบนี้
"ถ้าบอกว่างานยุ่งจะเชื่อไหมเนี่ย"
"ไม่เชื่อหรอก" เสียงหัวเราะของแพนดังขึ้นทันทีที่ผมตอบกลับไปแบบนั้น ผมเงยหน้าขึ้นมองรอยยิ้มที่ไม่ได้เห็นมาหลายวันและเป็นจังหวะเดียวกับที่แพนหยุดหัวเราะแล้วมองหน้าผม
แววตาคู่นั้นที่สะท้อนภาพของผมอยู่ภายใน
มีคำพูดมากมายที่ผมอยากจะบอกแพน หลายเรื่องที่ผมอยากจะบอกเขาไปเดี๋ยวนี้แต่ตอนนี้เรียบเรียงมันไม่ถูก ผมเผยอริมฝีปากเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่มันก็ต้องปิดลงเมื่อมือของแพนยื่นมาแตะที่หัวผม ปลายนิ้วแทรกเข้าไปในกลุ่มผมพร้อมกับลูบเบาๆ เหมือนอย่างที่เขาชอบทำ รอยยิ้มของแพนทำให้ผมชะงักอีกครั้งก่อนจะตามมาด้วยประโยคสั้นๆ
"ขอโทษครับ" ขอโทษ...ขอโทษผมเหรอ ต้องเป็นผมหรือเปล่าที่ขอโทษเขา "แพนไปก่อนนะเฮีย...มีสอบตอนบ่าย"
ฝ่ามือละออกจากกลุ่มผม แพนเตรียมตัวจะลุกขึ้นยืนแต่ผมกลับรวบรวมแรงทั้งหมดยื่นมือไปรั้งเอาไว้ "เย็นนี้มาอีกได้ไหม" ผมขอร้อง มือสองข้ามจับมือข้างหนึ่งของแพนไว้แน่นพร้อมกับเงยหน้าขึ้นเพื่อสบตากับเขา ผมไม่อยากปล่อยให้เรื่องมันผ่านไปอีกแล้ว ไม่อยากเสียเวลาอีกแล้วแม้แต่วินาทีเดียว
"ครับผม" คำตอบรับของแพนมาพร้อมกับมือที่ลูบหัวผมอีกครั้ง
แพนมาหาผมตามสัญญา
มาถึงก็สเต็ปเดิมคือปลุกผมขึ้นมากินโจ๊กซึ่งก็เป็นส่วนที่เหลือจากเมื่อตอนกลางวัน น้องอุ่นให้เสร็จสรรพพร้อมตักใส่ถ้วยเสิร์ฟให้บนโต๊ะ รอบนี้ผมกินได้เยอะขึ้นจนเกือบหมดถ้วยจากนั้นก็ตามด้วยยา หลังจากจัดการมื้อเย็นเสร็จแล้วแพนก็ถามผมว่าอยากจะกลับไปนอนไหมแต่ผมรู้สึกว่าตัวเองอาการดีขึ้นกว่าเมื่อตอนกลางวันมากแล้วจึงขอนั่งอยู่ที่โซฟาดีกว่า
"ตอนนี้ดีขึ้นหรือยัง" ไม่พูดเปล่า แพนยื่นมือมาแตะหน้าผากของผมด้วย "ถ้าพรุ่งนี้เช้ายังมีไข้ แพนจะพาเฮียไปหาหมอนะ"
"พาไปได้ไง" ผมถาม พรุ่งนี้แพนจะมาดูอาการผมแต่เช้าเหรอ
"แพนมีรถนะ"
"ก็รู้...แต่จะมาหาตอนเช้าเหรอ"
แพนส่ายหัวช้าๆ ก่อนจะกระตุกยิ้มบางๆ แล้วตอบว่า "คืนนี้นอนนี่ต่างหาก"
ผมเบิกตากว้างพลางเหลือบไปเห็นกระเป๋าเสื้อผ้าที่ตั้งอยู่ข้างโซฟา ก่อนจะเบนสายตากลับมายังคนที่นั่งข้างตัวเหมือนเดิม "ใครอนุญาต"
"พี่เบล"
"แต่นี่ห้องเฮียนะ"
"อืมมม..." แพนทำหน้าเหมือนคิดหนักก่อนที่ใบหน้าน่ารักจะเอนซบลงมาบนไหล่ของผมอย่างไม่ทันตั้งตัว พร้อมกับเสียงอ้อนๆ ที่ดังขึ้นข้างหู "คืนนี้หนูขอนอนที่นี่ได้ไหม"
ให้ตายสิ ผมแพ้อะไรแบบนี้จริงๆ
ตึกตัก...ตึกตัก...เสียงหัวใจของผมดังก้องอยู่ในหัว มันดังเสียจนผมกลัวว่าแพนที่อยู่ใกล้แค่นี้จะได้ยินมันหรือเปล่า ผมเหลือบมองกลุ่มผมสีดำที่อยู่บนไหล่แล้วพึมพำเสียงเบาอย่างตะกุกตะกักว่า "เดี๋ยวติดหวัดนะ" แต่ดูเหมือนคนฟังจะไม่สนใจเลยสักนิด
"ไม่เป็นไรหรอก"
หลังจากประโยคนั้นของแพนก็ไม่มีคำพูดใดๆ ระหว่างเราอีก ผมปล่อยให้ตัวเองทบทวนความคิดของตัวเองในความเงียบ ผมไม่รู้ว่าแพนคิดอะไรอยู่ แพนจะยังโกรธผมอยู่ไหมนะ หรือเขาให้อภัยผมแล้วเขาถึงมาหาผมแบบนี้ สิ่งที่วนเวียนอยู่ในหัวมีแต่ชื่อของคนที่นั่งซบไหล่ผม
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แต่รู้สึกตัวอีกที มือเย็นๆ ข้างหนึ่งก็กำลังกุมมือของผมไว้อยู่ ผมก้มมองมือทั้งสองที่อยู่บนตัก เรียวนิ้วทั้งห้าของแพนแทรกเข้าระหว่างนิ้วของผมแล้วกุมไว้ ความเย็นจากฝ่ามือทำให้ผมรู้สึกดีจนเผลอเอนหัวซบลงบนกลุ่มผมสีเข้ม ผมเพิ่งเข้าใจความหมายของเนื้อเพลงรักทั้งหลายก็วันนี้
ไอ้ความรู้สึกที่อยากจะหยุดเวลาเอาไว้ตรงนี้ตลอดไปมันเป็นแบบนี้เอง
"แพน"
"หื้ม?"
"ยังโกรธเฮียอยู่ไหม"
"ถ้าบอกว่าโกรธ...เฮียจะทำยังไง" แพนไม่ได้มองผมเหมือนที่ผมมองเขาตอนนี้ทำให้ผมมองไม่เห็นสีหน้าตอนที่พูด ไม่รู้ว่าเขาถามจริงๆ หรือหยอกเล่น แต่ต่อให้เขาถามเล่นๆ ...ผมก็จะตอบความจริง
"...จะขอโทษ"
น้ำหนักที่กดลงบนลาดไหล่หายไปแล้วและเมื่อผมหันไปมองด้านข้างอีกทีก็เห็นแพนกำลังนั่งมองมาทางผมอยู่ มือของเขาที่กุมมือผมไว้ยังคงกระชับแน่นและไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยไม่ว่าผมจะพูดอะไรออกมาก็ตาม
"แพน...ฟังเฮียหน่อยนะ" ทันทีที่เปิดปากพูด เรื่องราวทุกอย่างก็ไหลออกมาอย่างสุดจะกลั้น แม้ผมจะคิดว่าตัวเองเรียบเรียงทุกอย่างมาดีแล้วแต่เมื่อถึงเวลาต้องพูดจริงๆ ทุกอย่างกลับตะกุกตะกักไปหมด เสียงของผมหนักเบาไม่เท่ากันตามอารมณ์ที่ไม่มั่นคง ยิ่งพูด เสียงก็ยิ่งสั่น ยิ่งเล่า น้ำตาของผมมันก็ยิ่งพานจะไหล ผมก้มหน้างุดจนคางเกือบชิดอกเมื่อเล่ามาถึงช่วงสุดท้าย...น้ำตาก็ไหลหยดเลอะเบาะที่นั่งในที่สุด
"ขอโทษนะ...ขอโทษจริงๆ..ฮึก"
"..."
"แพน..แพน...ฮึก...เฮียขอโทษ...ขอโทษจริงๆ...ขอโทษ.."
"..."
"...อย่าทิ้งกันไปเลยนะ"
ผมบีบมือเย็นๆ นั้นไว้แน่นก่อนจะถูกแรงจากมือข้างนั้นดึงทั้งตัวเข้าสู่อ้อมกอด "ฮือออ" ผมร้องไห้เสียงดังอย่างไม่อาย ใบหน้าซบลงบนลาดไหล่แข็งที่ครั้งหนึ่งมันก็เคยซับน้ำตาของผมมาก่อน ตอนนั้นผมคร่ำครวญถึงคนอื่น อ้อนวอนให้เขากลับมา แต่ตอนนี้ผมเรียกแต่ชื่อของคนที่อยู่ตรงนี้ ขอร้องให้เขาอย่าจากผมไป
อ้อมกอดรัดแน่นขึ้นแต่กลับไม่รู้สึกอึดอัด
ฝ่ามือเย็นๆ อีกข้างยกขึ้นมาลูบหัวผม แพนกอดผมไว้อย่างนั้น ไม่มีคำปลอบโยนใดๆ จนผมเริ่มจะหยุดร้องได้ เสียงของแพนจึงดังขึ้น
"ไม่โกรธแล้วครับ...ไม่ต้องขอโทษแล้ว" แพนดันตัวผมเล็กน้อยพอให้กลับมานั่งมองหน้าเขาได้ ปลายนิ้วเรียวแตะลงบนแก้มของผมก่อนจะปาดคราบน้ำตาที่เปรอะอยู่ออกเบาๆ เราสบตากันก่อนที่แพนจะยิ้มหวานแล้วพูดประโยคที่ผมไม่คิดที่จะปฏิเสธมันอีกแล้ว
"แพนเคยบอกเฮียใช่ไหมว่าถ้าเป็นแฟนกับแพน...แพนจะไม่ทำให้เฮียร้องไห้"
"..."
"เราเป็นแฟนกันเถอะนะ...แพนไม่อยากเห็นเฮียร้องไห้อีกแล้ว"
ตึกตัก...ตึกตัก...
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่แพนขอผมเป็นแฟน แต่ทำไมครั้งนี้มันถึงตื่นเต้นแบบนี้ก็ไม่รู้ หัวใจของผมเต้นเร็วเหมือนรัวกลอง ผมทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะจึงฟุบหน้าลงไปกับไหล่ของแพนอีกครั้ง
"ทำไมเงียบไปเลยอะ" แพนถามพลางยกมือมาลูบหัวผม
"อือ"
"เฮีย"
"หืม?"
"ไม่ตอบเหรอ"
"..."
"เงียบอีกแล้ว"
"...กลั้นน้ำตาอยู่" ผมผละออกจากไหล่ของแพน ยิ้มให้คนที่ทำหน้าตาตื่นหน่อยๆ ก่อนจะตอบกลับไปว่า "กลั้นน้ำตาอยู่ไง เดี๋ยวถ้าร้องไห้แล้วจะไม่ได้เป็นแฟนกับแพน"
จบประโยคนั้น ผมก็ได้เห็นรอยยิ้มที่มีความสุขที่สุดของผู้ชายคนนี้
ถ้าเป็นแฟนกันแล้วจะคุยเรื่องนี้ง่ายขึ้น...ไอ้ชมพู่บอกมาแบบนั้น
เพราะถ้าเป็นแฟนกัน จะหึง จะหวงอะไรก็ทำได้มากกว่าการเป็นคนคุย และเพราะเรื่องของผมเคลียร์จบแล้ว ผมให้แพนอ่านข้อความในโทรศัพท์มือถือของผมจนหมด ผมเลยถามถึงเรื่องวันที่แพนกลับจากค่ายบ้างแล้วคำตอบที่ได้มันก็ไม่ถึงกับผิดคาด
แพนโกหกเรื่องรถเสีย จริงๆ มาถึงตั้งแต่ก่อนสี่โมงแล้วแต่เพราะเห็นผมนั่งอยู่กับไอ้นนท์เลยไม่กล้าเข้ามาหา ผมแอบเคืองแพนอยู่หน่อยๆ ไหนจะเรื่องที่โกหกผมแล้วเรื่องที่บอกว่าไม่กล้าเข้ามาหาอีก แต่เหตุผลของแพนก็ทำให้ผมเถียงไม่ออก
"ถ้าเป็นเรื่องของเฮียแพนคิดมากนะ...เฮียรู้ไหมว่าแพนก็กลัวเฮียทิ้งแพนเหมือนกัน ต่อให้จริงๆ มันไม่มีอะไรแต่ตอนนั้นแพนก็กลัวนะ ถ้าแพนไปหาเฮียแล้วเฮียโกรธ แพนจะทำยังไง แต่จะให้แพนยืนมองเฉยๆ แบบนั้น แพนก็ทำไม่ได้ นี่อุตส่าห์ตามไปถึงหน้าร้านอาหารเลยนะ อุตส่าห์โทรหาแล้วยังไม่ยอมกลับอีก...โคตรดื้อเลย"
"ว่าใครดื้อห้ะ!"
"แฟนแพนไงดื้อ"
เอ่อ...ยอมรับก็ได้ว่าดื้อ...เพราะตอนนั้นผมไม่คิดอะไร ในขณะที่แพนคิดไปแล้วหลายตลบ ตลอดอาทิตย์ที่แพนเปลี่ยนไป แพนก็บอกว่าคิดเรื่องนี้อยู่นั่นแหละ จะถามเพื่อนผมก็ไม่มีใครรู้สักคน แพนเลยไม่รู้ว่าระหว่างผมกับไอ้นนท์เป็นยังไงกันแน่
"แล้วทำไมไม่ถาม" ผมถามแพน
"เอาตรงๆ ป่ะ...ก็กลัวคำตอบนะ"
"อะไรอะ...นี่ยังคิดว่าเฮียชอบไอ้นนท์อยู่เหรอ"
"ก็เฮียไม่เคยบอกว่าชอบแพนอะ" ไปไม่เป็นเลย เถียงไปเถียงมาก็เข้าตัวผมอีกแล้ว ผมยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ แพนก็แทรกขึ้นมาอีก "แต่จริงๆ แพนก็คิดแผนจะแย่งเฮียคืนมาอยู่เหมือนกัน"
ผมตีไหล่ของคนที่นอนอยู่บนตักไปเบาๆ นี่เอาเวลาหนึ่งอาทิตย์ที่ผมกังวลแทบตายไปคิดอะไรบ้าบอแบบนั้นเหรอ ผมไล่ให้แพนไปอาบน้ำเพราะนี่ก็สี่ทุ่มกว่าแล้ว ส่วนผมที่เพิ่งกินยาแก้ไข้ไปอีกชุดเมื่อครู่ อาการของผมดีขึ้นมาก เอาจริงๆ พรุ่งนี้ก็คงจะตื่นไปเรียนได้แล้วแหละแต่เพื่อความปลอดภัย คืนนี้ผมไม่อาบน้ำแล้วกัน
ผมเดินเข้ามาจัดที่นอนในห้องนอน มองเตียงคิงไซส์ของตัวเองแล้วก็ลังเลว่าคืนนี้จะให้แพนนอนในห้องหรือนอกห้องดี แต่แล้วก็ได้ยินเสียงประตูห้องน้ำเปิดออก ผมหันไปมองแพนที่คาดผ้าขนหนูผืนเดียวออกมาจากห้องน้ำ ผิวขาวสะอาดมีหยดน้ำเกาะอยู่บ้าง แต่ซิกแพค...เฮ้ย! เดี๋ยวนี้เริ่มมีซิกแพคแล้วเหรอวะ!
"เฮียมองไรครับ" แพนถามตายิ้ม
"ก็มองเฉยๆ"
"แล้วทำไมต้องหน้าแดง"
"เป็นไข้ไง...เป็นไข้"
"หายแล้วไม่ใช่เหรอ"
"ยังโว้ยยยย" เนี่ย สุดท้ายก็มาลงที่หมอนจนได้ ผมไล่ให้แพนไปใส่ชุดนอนให้เรียบร้อย เออ...มองมากๆ เลือดลมมันจะเดินดีเกินไป จะนอนแล้วไม่ควรให้เลือดสูบฉีดเยอะ จำไว้นะครับ
แต่งตัวเสร็จแล้วแพนก็ทิ้งตัวลงบนเตียงข้างตัวผม เอาหัวมาถูแขนผมที่กำลังไถโทรศัพท์เล่นคล้ายลูกหมาตัวโต ผมยื่นมือไปลูบผมนิ่มๆ นั้นก่อนจะนึกขึ้นได้อีกอย่างจึงถามออกไป "ก่อนเฮียไม่สบาย แพนหายไปไหนเหรอ"
เมื่อกี้ที่คุยกันผมลืมถามเรื่องนี้ไป เรื่องเพื่อนผู้หญิงของแพนผมไม่สงสัยแล้วเพราะเป็นเพื่อนกันจริงๆ ไปเสือกมาแล้วเรียบร้อย แต่ไอ้ที่หายไปนี่สิ
"ถ้าแพนบอกไป...เฮียอย่าโกรธแพนนะ" เกริ่นมาแบบนี้ขอโกรธล่วงหน้าก่อนเลยได้ไหม
ผมหันไปสบตาคนพูดก่อนจะพยักหน้าทีหนึ่งให้อีกฝ่ายสารภาพ "พี่ป้องบอกว่าให้ผมหลบหน้าเฮียสักสองสามวัน ไม่ต้องรับโทรศัพท์หรือตอบไลน์ด้วย"
ไอ้ป้อง...
เพื่อนที่คบกันมาตั้งแต่ม.ต้น
ไอ้เพื่อนเหี้ย!
"เฮีย..."
"..."
"จริงๆ แพนอยากคุยกับเฮียมากนะแต่..."
"ไปนอนข้างนอก"
"เดี๋ยวสิเฮีย..."
"เดี๋ยวติดหวัด" ผมว่าเหตุผลนี้ดูดีแล้วนะแต่ไอ้คนข้างๆ มันก็ยังหน้าด้านอยู่ต่อได้ "ไม่เป็นไร แพนแข็งแรง"
"แต่กูไม่ให้นอนโว้ย!!"
ผมเตะแพนออกจากห้องพร้อมหมอนและผ้าห่ม นอนนอกห้องไปเลย หมั่นไส้ ทำผมนอนไม่หลับตั้งหลายคืน แอบร้องไห้ในห้องน้ำคนเดียวด้วย ไอ้ป้องก็ผิดแต่แพนผิดมากกว่าหรือเปล่า ไปเล่นกับมันทำไม่ล่ะวะ ไม่สงสารผมเลย...แม่ง งอน!
พอแพนออกไปนอกห้องแล้วผมก็ฟึดฟัดอยู่บนเตียงนอนอีกหน่อย คว้าโทรศัพท์มาไถเล่นแล้วก็เบื่อ ความโกรธจากเรื่องเมื่อกี้เบาบางลงแล้วแต่อย่าให้พูดถึงนะ แม่งขึ้น ผมกลิ้งไปกลิ้งมาแต่พอเหลือบมองเวลาเห็นว่ามันเกือบเที่ยงคืนแล้วเลยตัดสินใจจะปิดไฟนอน แต่ก็...
ก๊อกๆ
บานประตูถูกเคาะจากด้านนอก และแน่นอนว่ามันไม่ใช่พลังงานบางอย่างอะไรหรอก ตอนแรกผมกะจะไม่เปิด แต่เสียงเคาะมันถี่จนน่าสงสัย สุดท้ายก็ลุกไปเปิดจนได้
"มีไร" ผมยืนทำหน้าบึ้งใส่แพนที่อยู่เกาะขอบประตูอยู่ อีกฝ่ายอมยิ้มน้อยๆ ก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้แล้วพูดว่า "มากู๊ดไนท์ครับ"
"อืม"
"ฝันดีนะครับ"
"อืม"
"หนูรักเฮียนะ"
"อืม"
"..."
"..."
ผมยืนนิ่ง แพนก็นิ่ง เราสองคนยืนมองหน้ากันจนผมที่เก๊กจนเมื่อยหน้าต้องเป็นฝ่ายทำลายความเงียบเพราะจะหาเรื่องเข้าห้องนอนแล้ว ให้ยืนต่ออีกนิด ตะคริวได้ขึ้นหน้าผมแน่ๆ "มีไรอีก"
"ไม่บอกรักกันหน่อยเหรอ"
ผมนิ่งค้าง อยากจะพูดอะไรออกมาแต่ก็พูดไม่ออก...บอกรักเหรอ... คำว่ารักที่ผมเคยได้รับมาตลอดโดยที่ไม่สามารถตอบแทนอะไรให้เขาไปได้เลย คำว่ารักที่วันหนึ่งผมคิดว่าผมจะสามารถพูดมันออกมาได้ด้วยความรู้สึกจากใจจริง
ผมเบนสายตาหลบแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ
"เฮ้อ..."
ใจที่อยากจะแกล้งก็เริ่มโอนอ่อน เขารอคำนี้จากผมมานานแค่ไหนแล้วนะ เขาทำอะไรกี่อย่างเพื่อผมเพราะคำๆ นี้บ้าง ถึงแม้ผมจะไม่ได้รู้จักกับคำๆ นี้ดีมากเท่าไหร่ อันที่จริงก็รู้จักด้านเจ็บปวดของมันมากกว่าด้านที่สุขสมเสียอีกล่ะมั้ง ผมเงยหน้าขึ้นมองอีกคนที่ยืนอยู่ มองลึกเข้าไปในดวงตาที่สะท้อนความรู้สึกออกมาเต็มเปี่ยม มันเหมือนกันไหมนะ แต่ผมก็คิดว่าความรู้สึกของผมตอนนี้...มันใช่
"เฮียก็รักหนูเหมือนกัน"
มันคือความรักไม่ผิดแน่
END
จบแล้วค่ะ
ฝากเรื่องสั้นด้วยนะคะ
ขอบคุณมากๆ ค่ะ ><