ขอโทษทีครับที่หายไปนานเลย งานยุ่งมากๆ
ไปติดตามกันต่อเลยนะครับ
*****************************************************************************
๕
อากาศยามเช้าไม่ร้อนเท่ากับตอนกลางวันแต่ก็ไม่หนาวเท่าเมื่อคืน
พาทิศไม่เคยนอนเปิดหน้าต่างมาก่อน เวลานอนแอร์ อุณหภูมิมันจะคงที่อยู่ที่เดิมตลอด จะไม่มีลมพัดเข้ามาให้สั่นอย่างนี้ พาทิศยังไม่ชินก็เลยมีอาการคัดจมูกบ้างนิดหน่อย พาทิศลุกขึ้นมาบิดขี้เกียจสองสามที ก่อนจะเดินไปแปรงฟันหน้ากระจกในห้องน้ำ เขารู้สึกมึนๆ แปลกๆ เมื่อคืนนี้เขาฝัน แต่เป็นฝันที่สมจริงเหมือนอยู่ในเหตุการณ์ที่เขาเห็นในฝันจริงๆ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น พาทิศจำอะไรในฝันไม่ได้เลย จำได้อย่างมากก็แค่มีหลวงพินิจราชอักษร มีผู้หญิง มีเด็ก เท่านั้นเอง
พออาบน้ำ แต่งตัวเสร็จ เขาก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดีว่าเขาฝันถึงอะไรกันแน่ มีบ้าน มีคนนั้นคนนี้ แต่จำเหตุการณ์ไม่ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น ใครทำอะไรกันบ้าง ชายหนุ่มเดินลงมาด้านล่างก็จัดแจง เอาเกี๊ยวกุ้งปรุงสุกแช่แข็งมาอุ่นใน ไมโครเวฟ เทใส่ชาม แล้วก็เดินออกมานั่งกินที่หน้าบ้าน ข้างหน้าบริเวณบ้าน เป็นสนามหญ้าขนาดย่อมๆ มีเก้าอี้ยาวสีขาวตั้งอยู่ ดูก็รู้ว่าเป็นของใหม่เพิ่งแต่งเติมเข้าไปพุ่มไม้ที่รายล้อมตัวบ้านเป็นของที่ปลูกขึ้นใหม่ พาทิศใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ แบรนด์ดัง นั่งเคี้ยวเกี๊ยวกุ้งช้าๆ อย่างมีความสุข อากาศยามเช้าบริเวณนี้สดชื่นอย่างที่เขาไม่ค่อยได้สัมผัสนัก จริงอยู่บ้านที่เชียงใหม่เช้าๆก็เป็นแบบนี้ แต่เขาก็มักจะอุดอู้อยู่แต่ในบ้านมากกว่าจะออกมารับบรรยากาศข้างนอก
ตาเหลือบไปยังอีกฟากหนึ่งของบ้านก็เห็นว่า หน้าต่างบานเดิมที่เขาเคยเห็นเด็กหนุ่มลึกลับคนนั้นเปิดออกกว้าง เหมือนวันแรกที่เขาได้มาเห็นบ้านหลังนี้ไม่ผิดกัน
พาทิศวางชามใส่เกี๊ยวกุ้งลงที่ม้านั่ง ก่อนจะลุกเดินไปยังกำแพงสีขาวสูงตระหง่านที่กั้นเขาออกจากชายที่เขาหมายปอง มือทั้งสองข้างจับกำแพงไว้ด้านบนพลางดึงตัวขึ้นให้โผล่พ้นกำแพงนั้น ปากก็ตะโกนขึ้นดังๆ
"คุณครับ มีใครอยู่ไหมครับ"
ไม่มีเสียงตอบใดๆ พาทิศเดินวนไปด้านหน้าของตัวบ้าน แล้วลองตะโกนเรียกอีกครั้ง
"ขอโทษนะครับ ถ้าคุณอยู่ในบ้าน ช่วยออกมาให้ผมเห็นหน่อยได้ไหมครับ"
"ไม่มีใครอยู่หรอกคุณ" เสียงแหบพร่าของชายชราดังขึ้น เบาๆอย่างเห็นเหนื่อยทางด้านหลังของพาทิศ พอชายหนุ่มหันมา ก็พบว่าตัวเองกำลังยืนจ้อง ลุงอิ่มอยู่ด้วยใจเต้นโครมครามเพราะความตกใจ "ลุงบอกคุณชายแล้วไง ว่าฝากนั้นของบ้านน่ะ ไม่มีใครอยู่..."
"แต่ผมเห็น" พาทิศว่า แล้วหันกลับไปมองที่หน้าต่างบานนั้น เขาไม่แปลกใจเลยที่มันปิดสนิทนิ่งอยู่เหมือนทุกครั้ง... หน้าต่างบานนี้เปิดต่อเมื่อเขาจ้องมองมันคนเดียว ไม่มีคนอื่นอยุ่ด้วย อย่างนั้นก็แสดงว่า เด็กหนุ่มคนนั้นต้องการให้เขาเห็นแค่คนเดียวไม่ใช่ใครอื่น เป็นเพราะอะไรกัน หรือเด็กหน้าตี๋คนนั้นแอบเข้ามาอยู่ในบ้าน อย่างไม่ถูกต้องจริงๆ
"คุณไม่เห็นอะไรหรอกคุณพาทิศ บ้านซีกนั้นน่ะ ปิดมาสองสามเดือน ก่อนคุณตัดสินใจซื้ออีก คุณเห็นไหม ว่ากุญแจอยู่ที่ลุง" ชายชรายก กุญแจพวงใหญ่ขึ้นสนับสนุนคำพูดของตัวเอง "วันนี้ ลุงกะจะมาทำสวนให้คุณชายครับ กะให้เจ้าเอกทำกับข้าวเช้าให้ทาน แต่ก็ไม่ทันซะแล้ว"
ดวงตาของชายชราเลื่อนลอย แต่ก็จับจ้องอยู่ที่ชามใส่เกี๊ยวกุ้งได้พอดิบพอดี อยู่ในสายตา
"เมื่อคืนนอนหลับสบายดีไหมล่ะครับ"
"อ้อ หลับสนิททีเดียวครับ" ชายหนุ่มขมวดคิ้วอย่างห้ามไม่อยู่ เพราะใจพาลนึกไปถึงความฝันเมื่อคืนนี้อย่างห้ามไม่ได้ ใครสักคนที่มีความสำคัญอย่างมากในความฝัน เตือนเขาให้คิดให้ออกทุกครั้ง แต่เขาก็ยังคงจำเหตุการณ์อะไรในฝันไม่ได้อยู่ดีราวกับว่าดวงตาของเขาเป็นฝ้า จะนึกถึงภาพในฝันเมื่อคืนทีไร ก็ไม่เห็นอะไรแน่ชัด ภาพใบหน้าของบุคคลในฝันก็มืดมัวสลัวรางนัก
"อย่าโกหกลุงเลยคุณพาทิศ" ชายหนุ่มใจเต้นโครม หรือชายแก่คนนี้ จะรู้อะไรเข้าแล้ว ...เป็นไปได้ไหมว่า ตาแก่นี่รู้ว่าเขาแอบส่องชายหนุ่มผิวสะอาด ที่ฝั่งโน้นของบ้าน "ลุงแก่แล้ว รู้ทันพวกเด็กๆ อย่างคุณดีนักแหละ"
หยาดเหงื่อผุดขึ้นที่หน้าผากของชายหนุ่มเป็นเม็ดเล็กๆ พร่างพราว ราวกับเอาเศษเพชรมาประดับไว้อย่างสวยงาม ที่บนผ้าแพรสีเนื้อละเอียด เอาเป็นว่า ชราคงเห็นเขาแอบมองน้องตี๋คนนั้น แล้ว ... ไปด้วย ว่าแต่เห็นได้อย่างไรในเมื่อเขาอยู่ชั้นสองของบ้าน แถมบ้านของ ลุงอิ่มยังอยู่เสียไกลจากตัวบ้านของเขา มองจากบ้านลุงอิ่มอย่าว่าแต่ให้เห็นเขาแอบมองเลย เห็นหน้าต่างบ้านของเขาก็คงจะยากแล้ว
"เด็กๆ อย่างคุณน่ะ ลุงดูออกหรอกว่า พอไม่มีแอร์ ไม่มีทีวีละก็ คงนอนกระสับกระส่ายทั้งคืนซี"
"เอ๊ะ" พาทิศอุทาน
"ตกใจละซีที่ลุงรู้ทัน"
"แหะๆ ครับ" พาทิศแทบซ่อนสีหน้าโล่งใจไว้ได้ไม่ทัน อย่างนี้หรือที่เขาเรียกว่า วัวสันหลังหวะ หรือ กินปูนร้องท้องน่ะ ลุงอิ่มไม่ได้รู้เรื่องหนุ่มตี๋ซักหน่อย แค่ตั้งใจแหย่เขา เรื่องความเป็นอยู่ของเขาต่างหากล่ะ
"แล้วกะจะทำอะไรเล่าคุณพาทิศ ใกล้ๆนี้มีตลาด อยากออกไปซื้อของละก็ ให้เจ้าเอกนำทางไปได้นะครับ แล้วค่อยกลับมานั่งเล่นอ่านหนังสือที่บ้าน" ลุงอิ่มยิ้มอย่างเป็นกันเอง ก่อนที่จะชี้ให้เห็นว่าถ้าจะไปตลาดจะต้องไปทางไหน
"ไม่ละครับ วันนี้ผมจะไม่อยู่บ้าน ว่าจะไปบ้านเพื่อนนะครับ ต้องรบกวนคุณลุงช่วยดูแลบ้านให้ด้วย"
"ยินดีครับ วันนี้คุณหนูสร้อยน่าจะเข้ามาคุยกับคุณ แต่ไม่เป็นไรครับ ถ้าหากไม่สะดวกละก็ผมจะเรียนให้คุณหนูทราบว่า คุณชายจะไม่อยู่บ้านแล้วกันครับ"
พาทิศยิ้มให้ชายชรา
"ขอบคุณที่ช่วยเป็นธุระให้นะครับ ถ้าอย่างนั้น ผมขอตัวก่อนละครับ" จบประโยคชายหนุ่มก็ยกมือไว้อย่างเรียบร้อย ลูบผมที่ต้นคออย่างเคยชินแล้วเดินออกจากตัวบ้านไปขึ้นรถสีดำสนิทของเขา แล้วเคลื่อนรถออกไป โดยไม่ลืมที่จะเหลียวหลังกลับมามองบ้านหลังนั้น เพื่อพบว่า เมื่อชายชรา และ หลานชายหันหลังให้เขาแล้ว หน้าต่างบานที่เขามองเป็นประจำ กลับเปิดอ้าขึ้นอีกครั้ง อย่างน่าประหลาด
บ้านของณัฐอยู่ในหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่ง บนถนนราชพฤกษ์ที่เป็นย่านใหม่ของกรุงเทพ เมื่อรถไฟฟ้าขยายสถานีมาลงถึงฝั่งธนแล้ว ร้านอาหาร ร้านค้า และ หมู่บ้าน ตึกแถว คอนโด ก็ผุดขึ้นเร็วราวกับดอกเห็ด หมู่บ้านนี้อยู่ห่างจากบ้านโบราณหลังใหม่ของพาทิศไปไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง เดินรถเลยทางเข้าหมู่บ้านตั้งตระหง่านอยู่หน้าถนนใหญ่ทำเป็นซุ้มขนาดใหญ่ ด้านบนเป็นรูปสลักนูนสูง รูปหัวสิงโตสีขาวงาช้างดูสง่างามกว่าหมู่บ้านไหนๆ ถัดเข้ามาจากซุ้มประตูคือทางเข้าหมู่บ้าน ทอดตัวยาวลึกลงไป สองข้างทางปลูกต้นลีลาวดีออกดอกสีขาวสะอาด ร่วงหล่นดูคล้ายพรมสีขาว เจือน้ำตาลตามที่รถแล่นทับมันผ่านไป ตรงเกือบปลายถนนเป็นป้อมยามรักษาความปลอดภัยขนาดใหญ่ มีการแลกบัตรเพื่อเข้าติดต่อข้างในหมู่บ้าน สอบถามบ้านเลขที่และเจ้าของบ้าน จากนั้น รปภ. หนุ่มใหญ่ก็ปล่อยให้พาทิศขับรถผ่านเข้าไปด้านใน พาทิศเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา และขวาอีกที ก็พบว่าตัวเองกำลังขับผ่านทะเลสาบใหญ่กลางหมู่บ้าน
อีกฝั่งของทะเลสาบเป็น ทำเลที่ดีที่สุดในหมู่บ้าน มันเป็นบ้านขนาดใหญ่ตกแต่งแบบสมัยใหญ่ตั้งอยู่บนเนินขนาดใหญ่ หันหน้าเข้าหาถนนที่ตัดอ้อมบ้านไป ด้านหลังเป็นห้องนั่งเล่นผนังกระจก ทำทรงคล้ายหอคอยแปดเหลี่ยม ไว้ใช้ประชุมหรือจัดงานรื่นเริงสำคัญๆ น่าแปลกที่บ้านที่ทั้งใหญ่ทั้งสวยขนาดนี้ เป็นสมบัติของเด็กหนุ่มวัย ยี่สิบกลางๆแทนที่จะเป็นมหาเศรษฐีสักคน
พาทิศจอดรถที่หน้าบ้าน กดกริ่งครั้งหนึ่งพอให้เจ้าของบ้านรู้ตัวว่ามีแขกมาหา แล้วลงจากรถจัดแจงเปิด ประตูรั้วไป พอดีกับที่เจ้าของบ้านเปิดประตูบ้านสวนออกมา
“อุตส่าห์มาหากูที่นี่แต่เช้า น้ำในเลคจะระเหยหมดเสียแล้วมั๊ง” เพื่อหนุ่มทักทายอย่างเป็นกันเอง พลางยิ้มให้อย่างดีใจที่เห็นหน้า
“เออ กูคิดถึง”
พาทิศ แทรกตัวผ่านเพื่อนหนุ่มที่ยืนขวางอยู่ที่ประตูเข้าไปในบ้านที่ แม้จะใหญ่โต แต่ก็สวยงามและอบอุ่นเหมือนชายเจ้าของบ้าน
ณัฐ อยู่ในเสื้อยืดคอกลมสีขาว และกางเกงขาสั้นสีดำ ผมสีน้ำตาลเข้มอยู่ยุ่งเหยิง และชื้นน้อยๆ หยาดน้ำยังคงเกาะอยู่บนแก้มขาวสะอาดอมชมพู เรียบเนียนนุ่มน่าสัมผัส เหมือนเพิ่งออกจากห้องน้ำ แม้ว่าตอนนี้จะเป็นเวลาเกือบสิบโมงครึ่งแล้วก็ตาม เพราะหนุ่มๆในกลุ่มเพื่อนของพาทิศ ไม่มีงานต้องทำ ดังนั้นจึงไม่มีเวลาที่ต้องตื่นอย่างแน่นอน คือแม้จะตื่นกี่โมงก็ตาม ก็ไม่จำเป็นต้องลุกออกจากเตียง สามารถนอนบิดไป กลิ้งมาอยู่บนเตียงได้โดยไม่ต้องห่วงอะไร ส่วนข้าวเช้า ก็กลายเป็นมื้อที่ไม่จำเป็นเสียแล้วสำหรับหนุ่มณัฐ เพราะกว่าจะอาบน้ำทำธุระส่วนตัวเสร็จก็เฉียด สิบเอ็ดโมงแล้ว ดังนั้นจึงสามารถทานข้าวเที่ยงได้เลย ประหยัดไปได้หนึ่งมื้อ
“มึงว่างป่ะ” พาทิศถามทันทีเมื่อเข้าบ้านมาได้ไม่เท่าไหร่ เพราะไม่อยากให้เสียเวลานัก
“ว่าง มีอะไรวะ?” เพื่อนหนุ่มเดินนำเข้าไปที่ห้องนั่งเล่นจัดแจงให้นั่งลงบนโซฟาหนังแท้ที่เรียงตัวสวยอยู่ในห้องนั่งเล่น
“มึงไปดูหนังกับกูมั๊ย”พาทิศพูดเบาๆอย่างเขินอาย ด้วยไม่เคยขอให้เพื่อนหนุ่มคนสนิทคนนี้ไปเที่ยวมาก่อนเลย อย่างมากก็รอให้นายณัฐถามก่อน แล้วเออ ออแบบไม่ไว้ตัวเอาเวลาอยากไปเที่ยวกับเขา
“ไงล่ะมึง” ณัฐจับบ่ากดให้พาทิศนั่งลงบนโซฟาเสียก่อน “เลิกกับน้องเป๊กแล้วหรือไง”
พาทิศพยักหน้าแบบขอไปที
“เออสินะ ถ้าเกิดว่าไม่เลิกกัน มึงก็คงไม่เห็นหัวกูหรอก” ณัฐพูดเบาๆ ระคนน้อยใจ “มึงนั่งรอก่อนก็แล้วกัน”
ชายหนุ่มมองเพื่อนหน้าใสวิ่งขึ้นบันไดไปเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า ห้องนั่งเล่นนั้นเรียงรายไปด้วยรูปวาดสีน้ำ และสีน้ำมัน รวมถึงแจกันใบใหญ่ที่จัดดอกไม้ไว้ในรูปแบบต่างๆ ที่พาทิศรู้เองว่าเพื่อนหนุ่มของเขาทำขึ้นเองทั้งหมดอย่างแน่นอน เพราะเพื่อนหนุ่มของเขาคนนี้ จบคณะศิลปกรรมศาสตร์มาจากมหาวิทยาลัย ชื่อดัง นอกนั้นยังวาดภาพเป็นงานอดิเรกมานานแล้ว ภาพวาดสีน้ำที่เป็นฝีมือของณัฐเองก็ได้ไปอยู่บนกำแพงบ้านของพ่อแม่ของเขาด้วยเช่นกัน
ช้อย แม่บ้าน ยกน้ำเปล่า มาเสิร์ฟให้ถึงที่โดยที่ไม่ต้องมีใครมาบอก แม่บ้านบ้านนี้ต่างก็รู้กันดีว่าควรจะทำอะไรอย่างไรกับแขกของ คุณณัฐ ด้วยเงินมหาศาลที่ได้รับต่อเดือนแล้ว บรรดาแม่บ้านพวกนี้ต่างก็แทบจะยอมรับใช้ทั้งคุณณัฐ และแขกของเขาแทบจะยกหัวถวายเลยด้วยซ้ำ
“ขอบคุณครับ”
“ยินดีค่ะคุณชาย” แม่บ้านรุ่นเก๋ายิ้มให้พาทิศอย่างเป็นกันเอง “คุณชายไม่ได้มาเยี่ยม คุณณัฐนานแล้วนะคะ คุณณัฐแทบไม่ได้ไปไหนเลยค่ะ นั่งอยู่ในห้องริมทะเลสาบ วาดภาพสีน้ำทั้งวันเลยล่ะค่ะ”
“แย่จังเลยครับ ช่วงนี้ผมยุ่งๆเสียด้วย วันนี้ก็ตั้งใจพาณัฐมันออกไปเที่ยวเสียหน่อยน่ะครับ ชดเชยความผิดที่ทอดทิ้งเสียหน่อย”
เสียงกระแอมดังขึ้นข้างหลัง
ณัฐกลับมาในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าอ่อน และกางเกงยีนส์ขายาวสีเข้มทรงขาแคบแบบที่เขาชอบใส่ประจำ เดินลงบันไดมาราวกับเทพบุตรที่ลงมาจากสวรรค์ แสงอาทิตย์ส่งทำมุมกับหน้าเขาราวกับว่าตัวเขาเปล่งประกายสีแสงสว่างออกมาจากตัวอย่างไรอย่างนั้น ผมสีน้ำตาลสั้นเซตไว้ยุ่งๆบนหัว ดูลำลองต่างจากชุดที่ใส่ ด้วยกลัวว่าจะดูเชยเกินไป
“คุยอะไรกัน แม่ช้อย ไอ้ทิศ”
“เปล่า ค่ะคุณณัฐ” แม่บ้านร่างท้วมว่าอย่างเคอะเขิน... “เห็นทีดีฉันต้องขอตัวไปซักเสื้อผ้าคุณณัฐต่อเสียแล้วค่ะ … เอ่อ ดีฉันไปก่อนนะคะ”
“ดีแล้ว วันนี้ผมไม่อยู่บ้าน แม่ช้อยช่วยดูแลบ้านด้วยดีๆล่ะ”
“ค่ะ”
สองหนุ่มเดินออกจากบ้านไป พาทิศเปิดประตูให้เพื่อนหนุ่ม แล้วปิดเมื่อณัฐก้าวขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว ตัวเขาเองเดินอ้อมไปขึ้นรถ มีสองสิ่งที่รบกวนจิตใจเขาอยู่ ณ. ขณะนั้น ทำให้ไม่ทันได้สังเกตว่าโทรศัพท์มือถือของเขา ปิดเสียงอยู่ และเบอร์โทรศัพท์ของมารดา โชว์หราอยู่แม้เขาจะถือมันอยู่ในมือก็ตาม... อย่างแรกคือ คำว่า “แม่ช้อย” มันคุ้นหูเขาอย่างน่าประหลาด ... ไม่ใช่ “แม่ช้อยนางรำ” แต่ชื่อของใครสักคนสะท้อนอยู่ในหัวของเขา ใครบางคนที่เขาฝันเห็นเมื่อคืน แม่ช้อย... แม่หยาด หรือ?
อย่างที่สอง เขามองผ่านกระจกหลังเมื่อรถเคลื่อนออกมาจากบ้านหลังนั้นได้สักพัก
ผ้าใบที่ขึงอยู่บนขาตั้ง หันหลังให้เขาอยู่ในห้องกระจกริมทะเลสาบ เขาอยากเห็นเหลือเกินว่า ภาพที่อยู่บนผ้าผืนนั้น ภาพสีน้ำนั้นจะเป็นเพียงภาพวิวของเลคนั้น หรือเป็นภาพของใคร... จะเป็นไปได้ไหมว่าเป็นภาพของเขาเอง?