ตอนที่3
ความบังเอิญของโลกใบนี้
ผมอยากจะขำหน้าไอ้เด็กเจ้าจอมนั่นจริงๆ ยิ่งนึกถึงทีไรก็อยากลงไปขำกลิ้งกับพื้น ตอนที่ผมพูดประโยคนั้นหน้ามันนี่เหวอไปเลยครับ ไม่พอนะยังตวัดสายตามามองผมแบบไม่พอใจอีก
เอ้...ไอ้เด็กที่ยิ้มเก่งๆนี่มันหายไปไหนน้า
ผมโคตรรู้สึกพออกพอใจเลยที่สามารถทำให้มันหลุดมาดได้ แต่รู้อะไรมั้ยครับพอมันตั้งสติได้มันก็กลับมายิ้มให้ผมเหมือนเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านั้นแล้วมันก็ขอตัวกลับห้องมันไปเลย
ไอ้ผมก็ไม่ได้รั้งให้มันอยู่ต่ออะไรหรอกเพราะจริงๆก็หมดธุระของตัวเองแล้วด้วยถึงแม้ตอนนี้จะยังสงสัยว่าใครมาดูดคอของผมแล้วฝากรอยแดงไว้เป็นปื้นใหญ่ขนาดนี้ก็เถอะ
ก็ช่างมันเถอะครับผมก็ไม่ได้เสียหายอะไรมากมายจากการตรวจดูส่วนอื่นๆในร่างกายของตัวเองแล้ว ผมจะปล่อยเรื่องนี้ให้มันผ่านๆไปไม่สนใจมันแล้วล่ะ
นั่งคิดอะไรนานๆก็ชักจะหิว ผมที่พอทำอาหารกินเองได้ก็ไม่อยากทำตอนนี้หรอกนะครับ หิวจนจะแดกโซฟาได้แล้วด้วยคงต้องไปหาอะไรกินแถวๆคอนโดสักหน่อย
ย่านคอนโดของผมก็ใกล้ๆกับตลาดของกินนี่แหละครับ ฝั่งตรงข้ามก็เป็นเซเว่น บอกได้เลยว่าสบายกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว จริงๆกว่าคอนโดนี้จะมีห้องว่างก็นานอยู่พอสมควร ผมก็ได้ห้องต่อมาจากทวดรหัสที่จบไปแล้วเขาอยากปล่อยขายห้องพอดี ผมเลยรีบซื้อเก็บเอาไว้แล้วก็มาอยู่จนถึงปัจจุบันนี่แหละ
ผมเดินซื้อของในตลาดและเลือกซื้อของกินจนเต็มไม้เต็มมือก็เดินกลับคอนโดของตัวเอง ใกล้ๆแค่นี้รถราอะไรไม่จำเป็นสำหรับผมหรอกครับเพราะตลาดนี้ก็ห่างกับคอนโดผมแค่เพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้นเอง
ผมเดินฮึมฮัมเพลงไปเรื่อย ตาก็กวาดมองไปรอบๆบริเวณนั้นก่อนจะเห็นรูปร่างสูงของใครบางคนกำลังจะเดินข้ามถนนทั้งทีมีรถขับมุ่งตรงมายังทางที่มันกำลังจะเดินข้ามอยู่
โธ่...คงจะต้องเป็นเวลาที่ฮีโร่อย่างผมต้องออกโรงปกป้องประชาชนแล้วล่ะครับ
“เฮ้ย!”
เสียงของคนที่ถูกดึงรั้งกลับเข้ามาตรงริมทางเท้าทำให้คนแถวนั้นหันมามอง ผมเห็นหน้าของคนที่ผมช่วยไว้แล้วก็ต้องขมวดคิ้ว
โลกแม่งคงแคบจริงๆนั่นแหละครับที่ทำให้ผมได้มาเจอไอ้เด็กเจ้าจอมมันอีกครั้งหลังจากแยกย้ายกันไปไม่กี่นาทีก่อน
“อ้าวพี่?” ไอ้เด็กนั่นมันทำหน้างงเมื่อหันมาแล้วเจอผมขมวดคิ้วมองมันอยู่
“เออ ข้ามถนนก็หัดดูรถซะบ้าง ตายมามันไม่คุ้ม” ว่าจบก็ก้าวขึ้นไปยืนข้างๆไอ้เด็กนั่นแต่ยืนให้ห่างพอประมาณเพื่อรอให้รถหมดจะได้ข้ามถนนสักที
ผมเหลือบไปมองทางไอ้เจ้าจอมก็เห็นมันกำลังมองผมอยู่เหมือนกัน ท่าทางเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่ยอมพูดสักที ผมเลยไม่ได้สนใจทำท่าจะข้ามถนนเมื่อรถหมดแต่ก่อนที่จะได้ก้าวเดินออกไปกลับได้ยินเสียงนุ่มๆของใครบางคนพูดออกมาให้ผมได้ยิน
“ขอบคุณนะครับพี่”
มองแผ่นหลังของเจ้าของเสียงนั่นเดินข้ามถนนไปอีกฝั่งแล้วผมก็ต้องก้าวเดินตามมันไปด้วยอีกคน จะให้ยืนซึ้งใจอะไรนานเป็นชั่วโมงล่ะครับ กว่ารถจะหมดให้ข้ามถนนกลับคอนโดก็อีกนานเลย ค่อยมาซึ้งใจกับคำขอบคุณของไอ้เด็กนั่นตอนข้ามถนนเสร็จก็แล้วกัน
ღ
ครืดดด~~ ครืดดดด~
ผมลุกขึ้นจากโซฟาและวิ่งวุ่นหาโทรศัพท์ของตัวเองทั่วทั้งห้องเพราะจำไม่ได้ว่าเอามันไปวางไว้ที่ไหน อยากจะตบหัวตัวเองให้กระทบกับสมองจะได้นึกได้แต่แม่งก็กลัวเจ็บไงครับเลยต้องวิ่งวุ่นหาแบบนี้แทน
และผมก็ได้พบว่าโทรศัพท์ที่เดินหามาตั้งนานมันตั้งอยู่บนโซฟาซึ่งมีหมอนทับอยู่อีกที อยากจะกราบความขี้ลืมและความตาเซ่อของตัวเองจริงๆ
‘พี่ภูมิใจ’
พอยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูชื่อของคนที่โทรมาหาผมก็ต้องทำหน้าแปลกใจ ร้อยวันพันปีไม่เคยจะโทรหาแต่นี่ที่โทรมาคงไม่พ้นเรื่องของไอ้เด็กนั่นแน่ๆ
“ครับพี่ภูมิใจ”
(เป็นไง สบายดีนะ?)
“ก็เรื่อยๆพี่ ดีบ้างไม่ดีบ้าง”
(อืม)
“แล้วพี่ล่ะ ทำงานที่นั่นโอเคป่ะ?”
(ก็ดี)
“เสียงพี่ดูเหนื่อยๆว่ะ งานหนักหรอวะพี่”
(นิดหน่อยว่ะ)
“อ่า..แล้วที่พี่โทรมานี่ไม่ใช่แค่จะโทรมาถามว่าผมสบายดีแค่นั้นใช่มั้ย?”
(อืม)
“พี่มีอะไรหรือเปล่า?” ถึงจะพอเดาออกว่าพี่ภูมิใจโทรมาเพื่อคุยเรื่องอะไรแต่ผมก็ต้องถามออกไปก่อนเพื่อจะเดาผิดไป
เขาเงียบไปสักพักก็ถอนหายใจแล้วเอ่ยถามออกมา
(มึงเจอน้องกูแล้วใช่มั้ย)
ผมถอนหายใจทำหน้าเซ็งเมื่อนึกถึงไอ้เด็กเจ้าจอมน้องชายของพี่ภูมิใจที่ผมเคารพ ไอ้เด็กที่หน้าตากวนตีนและชอบยิ้มเหมือนคนบ้าตลอดเวลา นึกไม่ถึงว่าจะเป็นน้องชายของพี่ภูมิใจได้เพราะไอ้พี่ภูมิใจมันแม่งหน้านิ่งหน้าเดียวตลอดเวลาที่ได้เจอกันเลย
“ครับพี่” ผมตอบไปด้วยเสียงเนือยๆ ทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาสายตาจดจ้องกับโทรทัศน์ที่มีแมวกับหนูวิ่งไล่กันส่วนหูก็ฟังสิ่งที่คนปลายสายกำลังจะพูด
(อืม กูรบกวนฝากมึงดูมันหน่อยแล้วกัน)
ขมวดคิ้วไม่เข้าใจ โตเป็นควายขนาดนั้นแล้วทำไมต้องให้คนอื่นมาคอยดูแลด้วยวะ
“แต่น้องพี่มันก็โตแล้วนะ คงไม่อยากให้ใครมาดูแลหรอกมั้งพี่”
(เฮ้อ...ถึงกูพูดไปมึงคงไม่เข้าใจ เอาเป็นว่ายังไงกูก็รบกวนมึงช่วยๆดูมันหน่อย ถ้ามีอะไรก็โทรมาบอกกูได้ตลอด)
พี่ภูมิใจมันก็คงจะลำบากใจไม่น้อยแต่เพราะคงห่วงไอ้เด็กเจ้าจอมนั่นจริงๆถึงขนาดโทรมาบอกให้ผมช่วยดูมันให้ ผมรู้จักนิสัยพี่ภูมิใจเขาพอสมควร เขาเป็นคนที่กล้าได้กล้าเสีย เป็นคนที่ใจดีแต่หน้าตาออกจะดุไปหน่อย ขอให้ช่วยอะไรพี่ภูมิใจก็จะพยายามช่วยตลอดและเขาจะเป็นคนที่ไม่เคยขอหรือรบกวนอะไรคนอื่นเลยสักนิดแม้กระทั่งผม แต่ตอนนี้พี่ภูมิใจกลับขอให้ผมดูไอ้เด็กเจ้าจอมให้ มันก็เลยยากที่จะปฏิเสธเพราะคนที่ขอคือพี่ภูมิใจ
ผมนิ่งคิดและทบทวนอะไรหลายๆอย่าง ถึงยังไงตัวผมเองก็ได้เป็นพี่ติวมันแล้วด้วยถ้าจะให้แค่ดูมันแค่นิดหน่อยมันก็คงไม่เหนือบ่ากว่าแรงของผมสักเท่าไหร่หรอก...มั้ง
“ได้ครับพี่” แม้เสียงตอบจะเบาหวิวแต่มันก็เป็นการตกลงสิ่งที่พี่ภูมิใจขอมาและสิ่งที่เขาขอมันยังน้อยกว่าสิ่งที่เขาเคยทำให้ผมตอนเขาอยู่ที่นี่ซะอีก
ถือว่าเป็นการตอบแทนน้ำใจของพี่ภูมิใจเข้าก็แล้วกัน...
(ขอบใจมึงมาก)
“ไม่เป็นไรพี่”
(อืม กูมีเรื่องจะรบกวนมึงแค่นี้ ถ้ามีอะไรก็โทรมาหากูได้ตลอด)
“ครับพี่ภูมิใจ”
วางสายจากพี่ภูมิใจไปก็ล้มตัวลงนอนบนโซฟาพร้อมกับเอามือก่ายหน้าผากของตัวเองไว้ เคยคิดว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับไอ้เด็กเจ้าจอมนั้นแม้มันจะเป็นน้องติวผมก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งกับมัน แล้วดูตอนนี้สิผมต้องมาคอยดูมันให้พี่ภูมิใจอีก ไม่เข้าใจจริงๆเลยว่าพี่ภูมิใจจะห่วงอะไรมันนักหนาโตจนหมาเลียตูดไม่ถึงขนาดนั้นแล้ว
“เฮ้อ...”
แต่ก็ช่างเถอะ ไอ้เด็กนั่นมันก็ดูไม่ได้เลวร้ายอะไรเท่าไหร่ ถ้าได้ทำความรู้จักกันมากกว่าที่เป็นอยู่ผมอาจจะซี้กับมันเหมือนซี้กับพี่ภูมิใจก็ได้ล่ะมั้ง
ღ
เสียงอาจารย์ในห้องไม่ได้ทำให้ผมสนใจมากไปกว่าตารางหนังที่อยู่ในโทรศัพท์มือถือของตัวเองสักเท่าไหร่ วันนี้มีนัดไปดูหนังกับน้องอิงค์สาวอักษรที่คุยกันมาเดือนกว่าๆ เรียกได้ว่าคุยนานที่สุดแล้วก็ได้
ผมรู้จักน้องอิงค์ตอนที่ไปวันเกิดของรุ่นน้อง เราเจอกันที่นั่นและทำความรู้จักกันตั้งแต่วันนั้นจนถึงตอนนี้ก็เดือนกว่าแล้ว น้องเขาก็เป็นคนน่ารักดีครับ ไม่โวยวายหรือวีนเหมือนคนอื่นๆที่ผมเคยคุยด้วย จะเป็นคนนิ่งๆหน่อย เข้าใจและไม่จู้จี้จุกจิกผมเลยสักนิดเดียว เป็นคนที่พูดตรงมากๆจนบางทีผมก็ตกใจแต่เอาจริงๆก็ชอบนะครับ น้องดูไม่ได้แสแสร้งหรือแกล้งทำอะไรดี
“ทำอะไรวะไอ้ยีนส์” ไอ้เตอร์ยื่นหน้าของมันเข้ามาดูโทรศัพท์ของผมที่กำลังจะกดเลือกรอบหนัง
“ซักผ้ามั้ง” ผมตอบมันกวนๆ กดจองที่นั่งและชำระเงินเรียบร้อยก็กดออกและล็อคหน้าจอโทรศัพท์
“ห่า! กวนตีนนะมึง”
“มึงก็เห็นๆอยู่ยังจะมาถามกูอีก”
“เออสัด กูขอโทษ” มันทำท่ายกมือขึ้นไหว้ท่วมหัวเพื่อขอโทษผมอย่างประชดประชัน
ผมปัดมือพยักหน้าเข้าใจ “ไม่เป็นไรกูไม่ถือ”
“ห่า! กูประชดมั้ยล่ะ”
“อ้าวหรอ โทษทีวะพอดีกูเป็นคนซื่อๆเลยไม่รู้”
“ตอแหลที่หนึ่ง”
“ขอบคุณคร้าบบ” ผมยิ้มขำ เอ่ยขอบคุณคำชมของมัน
เอาเป๋ายื่นหน้ามาอีกคนแล้วมองผมกับไอ้เตอร์สลับกัน “พวกมึงสองตัวทะเลาะอะไรกันวะ ไม่เกรงใจอาจารย์ที่สอนอยู่เลยห่า”
“อ่ะ...โทษที”
“เออว่าแต่เมื่อกี้มึงทำอะไรยุกยิกๆกับโทรศัพท์วะ”
“ใส่ใจเก่งจริงๆพวกมึง”
ไอ้เพื่อนสองตัวมันยิ้มรับคำพูดของผม ผมก็ได้แต่ถอนหายใจใส่ไอ้สองตัวที่ทำหน้าไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรว่าสิ่งที่ผมพูดไปคือกำลังด่ามันว่าเสือกอยู่ หรือมันอาจจะรู้แต่ก็แกล้งทำเป็นไม่รู้เพื่อกวนตีนผม
“ก็เพื่อนทั้งคนนี่หว่า ไม่ให้ใส่ใจเพื่อนแล้วจะไปใส่ใจหมาที่ไหนล่ะวะ เนอะไอ้เตอร์” มันหันไปพยักพเยิดกับไอ้เตอร์
ไอ้เตอร์มันก็พยักหน้ารับทำหน้าเห็นด้วยอย่างออกหน้าออกตา เห็นแล้วก็อยากเอานิ้วไปจิ้มเบ้าตามันสองตัวจริงๆเลย
“ใช่ กูเห็นด้วยที่สุด”
“ถ้าไม่ได้ใส่ใจเรื่องกูก็คือจะนอนไม่หลับกันว่างั้น?”
“ใช่ครับเพื่อน ดังนั้นมึงควรรีบๆบอกให้พวกกูรู้สักที” ไอ้เป๋ามันตอบหน้าซื่อส่วนไอ้เตอร์ก็เป็นลูกคู่ทำเพียงพยักหน้ารับ
“เออๆ กูนัดดูหนังกับน้องอิงค์ไว้ พอใจยัง?” ผมตอบๆมันไปเพื่อตัดรำคาญพวกมันจะได้เลิกเซ้าซี้ผมแล้วหันกลับไปเรียนกันสักที นั่งคุยกันแบบนี้ก็เกรงว่าอาจารย์จะหยิบอะไรใกล้ๆมือมาปาใส่พวกผมจริงๆ
“อิงค์?” มันสองตัวหันหน้าไปมองกัน เหมือนจะกำลังปรึกษาและถามกันทางสายตาว่าอิงค์ที่ผมพูดถึงหมายถึงใครและมีความสัมพันธ์แบบไหนกับผมอยู่
“อิงค์เด็กอักษรหรอวะ” ไอ้เตอร์มันหันมาถาม มีไอ้เป๋าทำหน้าอยากรู้อยากเห็นข้างๆกัน
“เออ” ผมตอบมันไป
“เหยดดดด...คนนี้จริงจังหรอวะ คุยกันโคตรนาน” ไอ้เป๋ามันทำหน้าตาเหลือเชื่อใส่ผม
ก็ไม่เห็นจะแปลกอะไรที่ผมจะเริ่มคิดที่จะจริงจังกับใครสักคนนี่หว่า ไอ้พวกห่านี่ก็ทำเป็นเว่อร์ไปได้อย่างกับผมเจ้าชู้ประตูดินขนาดนั้นเลย ไม่อยากจะบอกว่าผมนี่เป็นคนที่ดีที่สุดในกลุ่มแล้วครับ พูดจริงๆถ้าไม่นับไอ้คินมันตอนนี้น่ะนะ รายนั้นตั้งแต่มีแฟนก็อยู่ในศีลในธรรมสุดๆ
“ก็คงงั้น” ผมยักไหล่ใส่พวกมัน ตอบคำถามไปแบบสบายๆไม่ต้องคิดนานหรือลังเลอะไรเลย
“นี่เพื่อนกูเตรียมจะสละโสดอีกคนแล้วหรอวะเนี่ย เชี่ยๆ แล้วต่อจากนี้ไปใครจะไปคอยเหล่สาวกับกูล่ะวะ” ผมผลักหน้าผากไอ้เป๋าจนมันหน้าหงาย พูดจงพูดจาเว่อร์ตลอดเลยไอ้ห่านี่
“สัด กูแค่คิดแต่อนาคตมันก็ไม่แน่หรอก”
ใช่...อนาคตมันก็ไม่แน่นอนหรอกว่าผมจะคบกับน้องเขาจริงๆหรือบางทีอาจจะเลิกคุยกันไปแล้วก็ได้ มันไม่แน่นอนหรอก
“เออพวกกูจะคอยดู” ไอ้เตอร์มันว่า
ผมยักไหล่เลิกสนใจไอ้สองตัวที่ไม่รู้นั่งซุบซิบอะไรกันต่อหลังจากที่คุยกันเสร็จ ถ้าให้ผมเดาคงจะเป็นเรื่องของผมนี่แหละมั้งครับ แต่ก็ช่างมันเถอะเป็นเรื่องปกติของไอ้เป๋ากับไอ้เตอร์มันล่ะเรื่องใส่ใจคนอื่นเก่งเนี่ยหรือจะเรียกว่าความสามารถพิเศษของมันก็คงไม่ผิดหรอก
หลายๆคนคงไม่เคยเห็นพวกเรามุมนี้กันสักเท่าไหร่ แต่มันก็แน่ล่ะครับเพราะพออยู่ข้างนอกก็ต้องคีพลุคคูลๆให้สาวกรี๊ดสักหน่อยให้สมกับเป็นแก๊งหล่อที่ใครต่อใครขนานนามให้พวกเรา
แต่ก็ยอมรับแหละครับว่าตัวเองหล่อจริงๆ จะปฏิเสธก็ยากเหมือนกันก็เลยต้องยอมรับความจริงให้จบๆไปว่าตัวเองหล่อ
ღ
พอเลิกเรียนผมก็โบกมือลาไอ้เพื่อนทั้งหลายที่ไม่ค่อยจะสนใจผมสักเท่าไหร่ก็เลยต้องเรียกร้องความสนใจอยู่นานให้พวกมันโบกมือลาผมกลับ นั่นล่ะครับผมถึงได้แยกย้ายกับพวกมันแล้วขับรถมารับน้องอิงค์ที่ตึกเรียนรวม
ผมจอดรถไว้ฝั่งตรงข้ามของตึกก็เดินข้ามถนนเพื่อมานั่งรอน้องที่ใต้อาคารเรียน มีโต๊ะว่างให้นั่งเยอะแยะคงเพราะตอนนี้ไม่มีคน เห็นบ้างสองสามโต๊ะแต่ก็เห็นนั่งฟุบหลับกันหมด ผมเลยเลือกเดินนั่งห่างๆโต๊ะพวกนั้นหน่อยเวลาเสียงดังจะได้ไม่รบกวนพวกมัน ถ้าตื่นมาแล้วเกิดมากระทืบผมเพราะผมเสียงดังปลุกมันตื่นนี่บ้าฉิบหายเลยนะครับ ไม่เอาด้วยหรอก
หยิบโทรศัพท์มาส่งข้อความบอกน้องว่าผมมาถึงแล้วและกำลังรออยู่ข้างล่าง น้องก็อ่านแล้วตอบทันทีว่าอาจารย์ยังไม่ปล่อยให้ผมรอก่อน ผมก้ตอบโอเคไปให้น้องจากนั้นก็เก็บโทรศัพท์ลงแล้วนั่งมองสิ่งแวดล้อมภายนอกแทน
ตึกเรียนรวมนี่ตอนปีหนึ่งผมาเรียนบ่อยมากเลยนะเพราะตอนนั้นต้องเรียนวิชาทั่วไปกับวิชาเสรีที่ต้องมาเรียนเฉพาะตึกนี้ ตอนนั้นวิชาหลักได้เรียนแค่ไม่กี่ตัว บางครั้งอาจารย์ก็งดคลาสบ่อยๆเลยทำให้พวกผมได้มาเรียนที่นี่มากกว่าเรียนที่ตึกคณะตัวเอง
พอขึ้นปีสองก็เริ่มห่างหายจากตึกเรียนรวม มีมาเรียนบ้างแต่ก็ไม่บ่อยเท่าปีหนึ่งแล้วยิ่งขึ้นปีสามเหมือนตอนนี้คือผมแทบจะไม่ได้เข้ามาเฉียดเลยถ้าหากว่าไม่ได้มาคอยรับคอยส่งน้องอิงค์เขา
นึกๆแล้วก็คิดถึงช่วงสมัยปีหนึ่งเหมือนกันนะ เป็นช่วงที่กำลังเริ่มปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ เข้ากับเพื่อนใหม่และยังต้องทำกิจกรรมอะไรเยอะแยะมากมายที่ไม่เคยได้ทำในตอนมัธยมอีก
คือตอนนั้นก็เข้าบ้างไม่เข้าบ้างแล้วแต่อารมณ์ ทุกวันนี้ผมก็ยังเป็นแบบนั้นนั่นแหละ คือคนไม่ชอบทำกิจกรรมจะมาให้ทำกิจกรรมมันก็ไม่ใช่อะครับ ผมก็เลยไม่ค่อยได้เข้าร่วมอะไรแบบนั้นสักเท่าไหร่ อืม...คงไม่ใช่แค่ผมหรอก ทั้งกลุ่มผมนี่แหละตัวดีเลย มีกิจกรรมเมื่อไหร่ก็พากันโดดแทบจะทุกที
และถึงแม้กลุ่มผมจะหน้าตาดีกันสักเท่าไหร่แต่ก็ไม่มีใครเลยสักคนที่จะสนใจไปประกวดเดือนคณะ คณะก็ดีครับไม่ได้บังคับอะไร เขาก็เลือกคนที่สมัครใจไป ได้ไม่ได้ตำแหน่งก็ค่อยว่ากันอีกที ผมว่ายังไงกองประกวดเขาก็ต้องดูแลเรื่องอะไรพวกนี้อยู่แล้วและปีนั้นก็ผิดคาดจริงๆที่ไอ้เดือนนิตินั่นมันได้รองเดือนมหา’ลัยมา ก็ดีใจกับมันด้วยล่ะครับ
“สวัสดีครับพี่ยีนส์”
ผมเงยหน้ามองเจ้าของเสียงก็เจอเข้ากับไอ้เด็กเจ้าจอมที่ยืนส่งยิ้มมาให้ผมฝั่งตรงข้าม ตอนแรกกะว่าจะไล่มันไปแล้วแต่พอนึกถึงคำพูดพี่ภูมิใจก็ต้องพยักหน้าแกนๆรับคำสวัสดีมัน
“เออๆ”
“ผมขอนั่งด้วยได้มั้ยครับ?” มันถามแบบนั้นแต่มันก็เอาตัวมันนั่งลงตรงข้ามผมเรียบร้อยแล้ว ดูมันครับไอ้ห่าเจ้าจอมนี่กวนตีนฉิบหาย
“ถ้ามึงจะนั่งแล้วค่อยมาถามกูทีหลังก็ไม่ต้องถาม”
“ขอโทษครับพี่”
“เออกูก็ไม่ได้ว่าอะไร”
จากนั้นเราก็เงียบไปเหมือนไม่เรื่องจะคุยกัน ไอ้เด็กนั่นก็เอาแต่นั่งยิ้มแล้วหันไปมองรอบๆส่วนผมก็ได้แต่นั่งทำหน้าเซ็งๆรอน้องอิงค์อย่างคนไม่มีอะไรทำ ขนาดมีไอ้เด็กเจ้าจอมมันนั่งฝั่งตรงข้ามยังไม่มีเรื่องอะไรจะคุยกับมันเลยครับ
“พี่มานั่งรอใครเหรอครับ?” ไอ้เด็กนั่นมันถามตอนที่ผมกำลังจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นฆ่าเวลา
“มึงรู้ได้ยังไงว่ากูมานั่งรอใคร บางทีกูอาจจะมานั่งเล่นแถวนี้ก็ได้”
“หรอครับ? ผมก็แค่เดาว่าพี่มานั่งรอคน ไม่คิดว่าจะมานั่งเล่นที่นี่เฉยๆ” ผมพูดไปยิ้มไปตามปกติของมัน
อยากจะถามไอ้เด็กนี่จริงๆว่ามันเมื่อยปากบ้างหรือเปล่าทำไมถึงยิ้มได้มันได้ทั้งวี่ทั้งวันขนาดนั้นวะ ขนาดผมที่ต้องยิ้มให้สาวๆบางทีก็ยังเมื่อยเลย
“ทำไม ถ้ากูจะมานั่งเฉยก็ไม่เห็นจะแปลกอะไรไม่ใช่เหรอ?”
“ก็คงไม่แปลกหรอกมั้งครับ”
“เออ แล้วมึงล่ะ ไม่มีเรียนแล้ว?” ผมถามมันกลับบ้าง
“ไม่มีครับ ผมมานั่งรอเพื่อน”
“อืม” ผมพยักหน้าเข้าใจ ไม่รู้จะชวนมันคุยอะไรต่อก็เลยเงียบแทน
“เมื่อคืนพี่ภูมิใจบอกว่าโทรหาพี่”
“ก็ตามนั้น”
“อ่า...ครับ” มันตอบรับพร้อมกับพยักหน้าขึ้นลง เหมือนอยากจะชวนพูดแต่มันก็ไม่มีเรื่องจะพูดอะไรประมาณนั้น ดูแล้วก็ตลกมันดีครับ
“แล้วมึงเป็นไงบ้าง?” ผมก็เลยตัดสินใจถามมันแทน
“พี่หมายถึง?” มันเอียงคอมองทำท่าทางงงกับคำถามของผมไม่น้อยเลย
“ก็เรื่องเพื่อนเรื่องเรียนอะไรแบบนี้ โอเคหรือเปล่า?”
มันนั่งนึกสักพักก็คลี่ยิ้มออกมา ตามันเป็นประกายและปากมันก็มีรอยยิ้มน่ามองจนทำให้ผมเผลอมองมันยิ้มอยู่นาน กระทั่งมันพูดขึ้นผมถึงได้รู้ตัวแล้วกระแอมไอนิดหน่อยที่จู่ๆก็เผลอเคลิ้มไปกับรอยยิ้มของมัน
“ก็ดีครับ ไม่มีปัญหาอะไร”
“อืม...ดีแล้ว”
มันยกแขนทั้งสองขึ้นมาตั้งไว้บนโต๊ะจากนั้นก็เท้าคางมองผมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มและดวงตาเป็นประกาย
“ขอบคุณนะครับที่เป็นห่วง”
ทำไมบรรยากาศมันเหมือนคนกำลังจีบกันเลยวะ
“อะ...เออ กูจะได้ไปบอกพี่ภูมิใจได้ว่าไม่ต้องเป็นห่วงมึงมาก” ก็ที่ถามไปแบบนั้นจริงๆก็ถามให้พี่ภูมิใจเขานั่นแหละ ก็เห็นพี่มันเป็นห่วงน้องขนาดนั้น
“อิงค์!”
ไอ้เด็กเจ้าจอมมันส่งเสียงเรียกชื่อที่ผมคุ้นเคยจากนั้นก็ลุกขึ้นไปหาน้องอิงค์ที่ผมนั่งรอมานานสองนานด้วยรอยยิ้ม
ไม่รู้ว่าสองคนนั้นคุยอะไรกันแต่ก็ดูจะคุยกันอย่างออกรสออกชาติและสนุกสนานอยู่ไม่น้อยเลยถึงได้พากันหัวเราะเสียงดังไม่เกรงใจผู้คนแถวนี้
จนกระทั่งสองคนนั้นเดินกลับมาที่โต๊ะที่ผมนั่งอยู่นั่นแหละจึงหยุดหัวเระกันแล้วหันมาสนใจผมที่กำลังนั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้สักที
“พี่ยีนส์สวัสดีค่ะ” น้องอิงค์ยกมือไหว้ผมที่ยิ้มรับไหว้ด้วยความเต็มใจ
“เราจะไปกันเลยมั้ย?” ผมถามน้อง
“ขออีกแป๊บนึงนะคะอิงค์ขอคุยกับเพื่อนหน่อย” เธอหันไปหาไอ้เด็กเจ้าจอม “อ่า...อิงค์ลืมแนะนำให้พี่ยีนส์รู้จักเลยค่ะ นี่....”
“ไม่ต้องหรอก พี่รู้จักแล้ว” ผมพูดขัดน้องอิงค์ขึ้นก่อน
อิงค์เลยมองหน้าผมจากนั้นก็หันไปมองหน้าเจ้าจอมมันต่อเพื่อต้องการคำยืนยัน
“อือ...เรากับพี่เขารู้จักกันแล้ว”
“อ๋อ...งั้นอิงค์ขอตัวคุยกับเจ้าจอมหน่อยนะคะพี่ยีนส์”
ผมมองทั้งสองคนสลับกันแม้จะงงนิดหน่อยที่เห็นไอ้เด็กเจ้าจอมกับอิงค์เป็นเพื่อนกันแต่ผมกพยักหน้ายอมให้อิงค์ไปคุยกับมัน
“ครับ พี่รออยู่นี่แหละ”
“งั้นเดี๋ยวอิงค์มานะคะ”
มองสองคนนั้นเดินออกไปคุยกันผมก็เลยต้องล้มตัวลงนั่งที่เดิมต่อ เด็กสองคนนั่นคงคุยกันไม่นานหรอกมั้งเดี๋ยวก็คงจะคุยกันเสร็จ
แต่ผมก็สงสัยอยู่อย่างว่าทำไมไอ้เด็กเจ้าจอมที่อยู่ปีหนึ่งถึงได้มารู้จักอิงค์รุ่นพี่ที่อยู่ปีสองได้ มันน่าแปลกใจจริงๆแต่ก็คงไม่มีอะไรหรอก ถ้าให้เดาจากนิสัยไอ้เจ้าจอมมันก็คงรู้จักคนไปทั่วนั่นแหละ
จะว่าไม่นานก็ไม่ใช่จะว่านานก็ไม่ใช่อีกแต่ก็นั่นแหละหลัวงจากที่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยคนเดียวอิงค์ก็เดินกลับมาหาผมที่นั่งรออยู่โดยปราศจากไอ้เด็กเจ้าจอม สงสัยมันจะกลับไปแล้วมั้งครับ
“อิงค์ขอโทษนะคะที่ทำให้พี่รอนานเลย” เธอว่าอย่างรู้สึกผิด
ผมก็พยักหน้าเข้าใจ “ไม่เป็นอะไรหรอกครับ ไปกันเถอะเดี๋ยวจะไม่ทันดูหนัง”
ผมกับอิงค์พากันขึ้นรถเพื่อจะไปยังห้างสรรพสินค้าที่ได้จองตั๋วหนังไว้เรียบร้อยแต่ระหว่างขับรถสิ่งที่ค้างคาใจผมมันก็ไม่หายไปสักที ผมก็เลยตัดสินใจเลียบๆเคียงถามอิงค์เผื่อจะทำให้ผมคลายสงสัยได้บ้าง
“เอ่อ...พี่ถามอะไรนิดหน่อยได้มั้ยครับ?”
อิงค์หันมายิ้มให้ “ได้ค่ะ พี่ยีนส์มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
“คือพี่สงสัยว่าอิงค์กับเจ้าจอมรู้จักกันได้ยังไง อ่า...คือไม่ใช่ว่าพี่คิดว่าอิงค์กับมันมีอะไรกันนะครับคือพี่แค่แปลกใจเฉยๆน่ะ”
“ฮ่าๆ อิงค์กับเจ้าจอมรู้จักกันมานานแล้วน่ะค่ะ พอดีเราเคยเรียนมัธยมที่เดียวกันค่ะ”
“อ๋ออย่างนี้นี่เอง” คือผมก็สงสัยอยู่ดีอ่ะเอาจริงๆแต่ก็ไม่อยากละลาบละล้วงอะไรให้น้องรำคาญผมเลยได้แต่นั่งเงียบ
ก็คิดว่าจะไม่มีใครพูดอะไรแล้วแต่หลังจากนั้นเสียงของอิงค์ก็ดังขึ้นทำให้ผมตั้งใจฟังสิ่งที่เธอกำลังจะพูด
“จริงๆแล้วเราสองคนเคยคบกันน่ะค่ะ” ผมเหลือบไปมองอิงค์น้อยๆก็เห็นเธอยังคงยิ้มอยู่
ถ้าเคยคบกันงั้นก็แสดงว่าตอนนี้ไอ้เด็กเจ้าจอมนั่นมันก็เป็นแฟนเก่าอิงค์สินะ...
อ่า...ช่วงนี้ทำไมถึงมีแต่เรื่องบังเอิญเกิดขึ้นกับผมบ่อยจริงๆเลยตั้งแต่ได้เจอกับไอ้เด็กเจ้าจอม
นี่ล่ะน้าาาา...ที่เขาบอกกันว่าความบังเอิญของโลกใบนี้มีอยู่จริงๆ
ღ
TBC...
เรากลับมาแล้วแต่มานิดนึงแต่ก็มานะ
#นิติผูกพัน
ฝากติดตามด้วยค่าา
ช่องทางติดต่อข่าวสารนิยายติดตามได้ทาง
Twitter