อ้าว ไปไหนแล้ววะ ผมหันซ้ายหันขวา คนที่นอนข้างๆเมื่อคืนก็หายไปซะแล้ว
นั่งจุ้มปุ๊กอยู่บนเตียงสักพักก็ลุกไปเข้าห้องน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน
...อืม สงสัยคงกลับไปแล้ว นี่ก็เที่ยงแล้ว สงสัยกูจะหลับเพลินจนไม่รู้ว่าใครเข้าใครออกห้องเลยนะเนี่ย
“ว่าไง” ผมรับโทรศัพท์
“เฮ้ย ไอ้เต้ วันนี้ไปไหนป่าวมึง” ไอ้แบงค์โทรมาแบบรู้เวลามากๆ
“ไม่รู้ กูเพิ่งตื่น”
“กูรู้ว่ามึงเพิ่งตื่น ตอบแบบนี้แสดงว่าว่าง งั้นมึงเข้ามาหอกูเลย”
“ไปไมวะ” แม่ง โทรมาสั่งกูไปหาตอนบ่ายร้อนๆ ไปเพื่อ...
“มาดูหนังไงมึง ตัดเสร็จแล้ว” อ่อ หนังเรื่องที่ไปถ่ายห้องพี่เกี๊ยงนั่นแหละคับ
“อ่อ เออ ไว้กูเข้าไปดูทีหลังก็ได้”
“ไม่ได้เว้ย จะส่งแล้ว มึงมาวิจารณ์ก่อนดีไม่ดีจะได้ตัดใหม่” เห็นกูเป็นคณะกรรมการรึไงฟะ
“เออๆ ร้อนว่ะ”
“ไอ้คุณชาย ต้องให้ขับรถไปรับมั้ย”
“มาก็ดี เอามาเปิดนี่เลยดิ” อิอิอิ
“แมร่ง เหี้ยหนิ ...เฮ้ย ไอ้เต้บอกให้ไปเปิดดูห้องมันเลย” เสียงไอ้แบงค์ตะโกนบอกไอ้พวกเพื่อนๆที่เหลือ เสียงพวกมันก็แทรกเข้ามาในโทรศัพท์กันระงม...แม่งมันเป็นไรวะ ป่วยหรอ...พวกกูตั้งหลายคน เสือกให้ไปหาแม่ง...
บอกมันว่าไปแล้วเลี้ยงเบียร์ด้วย...
“เออๆ เดี๋ยวไป”
หลังจากพวกมันตกลงกันได้ ผมก็รอที่ห้อง หุหุ สบายกู
อาบน้ำเสร็จเพื่อนรักทั้งหลายก็มาถึงพอดี
“ไปแต่งตัวไวไวเลยมึง จะได้มาดู” ไอ้ทอปบอกเร่งๆผม แล้วไปที่คอม
“เออๆ” แล้วผมก็รีบมาเปิดตู้ ค้นหาเสื้อผ้าสบายๆใส่
“เฮ้ย ไอ้เต้ ไอ้แมคอ่ะ” เสียงไอ้แบงค์ตะโกนถาม
ผมเดินออกมาใส่เสื้อไปด้วย ทุกคนมองหน้าผมรอคำตอบกันอยู่ และผมตอบไปสั้นๆ
“ตาย”
เหมือนน้ำตาจะซึมออกมาเล็กๆ ผมเดินไปที่กรงมันเอามือเปิดกรงมันทิ้งไว้…
และพวกเราก็เริ่มเปิดหนังกันดู
ต่อไปเป็นการพรรณนาถึงภาพยนตร์ที่พวกผมกำลังดูกันอยู่
ภาพยนตร์เรื่อง
“เขียนไว้ตรงปลายฟ้า”
ภาพท้องฟ้ายามเช้าในสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง มีแมกไม้อยู่ระหว่างสระน้ำข้างหน้าและฉากหลังประกอบด้วยหมู่ตึกสูงตกแต่งด้วยปูนและกระจก มีเหล็กด้วยประปราย ภาพแช่นิ่งสนิทนาน ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยถึงหนึ่งนาที
จนมีเสียงพูดขึ้นโดยไม่มีความเคลื่อนไหวใด
“เมื่อวานกูหลงทาง วันนี้กูเดินกลับมาทางเก่า พรุ่งนี้...” (เสียงถอนหายใจเบาๆ)
ภาพผู้ชายคนหนึ่งเดินอยู่บนทางรถไฟยามเย็น เขาเดินอ่อยอิ่ง ไร้อารมณ์ แล้วอยู่ดีๆ
เสียงสว่างจ้าก็เกิดขึ้นทันใดนั้น แล้วเขาก็กระโดดข้ามมาอีกทางรถไฟหนึ่ง ก่อนจะวิ่งกลับด้วยสีหน้าบอกไม่ถูก
“อยู่ไหน เป็นยังไง มีจริงหรือเปล่า”
เสียงดังตะโกนถามอยู่ในความมืดแล้วแล้วผู้ชายคนเดิมก็ผวาลุกขึ้นมายามเช้า ในห้องนอนด้วยอาการเหนื่อยหอบ มีเสียงนกร้องคลออยู่จากที่ใดสักแห่ง และเสียงฮัมเพลงผิวปากของผู้ชายสักคนเบาๆ เขานั่งอยู่บนเตียงเนิ่นนาน
ภาพหนูกำลังวิ่งไปมาในกรงอย่างตะกุกตะกัก (เอาไอ้แมคมาถ่าย อิอิ)
มีข้อความเขียนติดไว้ที่พื้นกรง I am only an animal.
ภาพท้องฟ้ายามเที่ยง แสงแดดแรงมาก ถูกตัดสลับกับภาพความมืดของท้องฟ้าตอนกลางคืน
ภาพชายอีกคนหนึ่งนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่สวนสาธารณะแห่งเดิมยามเย็น ที่มุมเดิม
เขาอ่านออกเสียงดัง
“ที่นั่นมีอยู่จริงหรือเปล่า ไม่มีใครตอบได้ แต่มีคนเคยบอกไว้ว่า คุณค่าของมันอยู่ที่การไปไม่ถึง เมื่อใดที่ดาวบนฟ้าถูกไปถึง แสงของมันจะมอดดับลง ยกเว้นก็เสียแต่ดวงจันทร์...เพราะมันคือคู่แท้ของโลกใบนี้”
ภาพถนนข้าวสารยามเย็นคลาคล่ำไปด้วยผู้คน วุ่นวาย อึกทึก สนุกสนาน ครื้นเครง ภาพใช้ความเร็วสูงมากจนในที่สุดแสงอาทิตย์ก็หมดไป
THE END
“ติสต์ไปป่ะวะ” ไอ้ฝุ่นพูดขึ้นเมื่อหนังจบ
“ไม่ติสต์หรอก เชื่อดิ” ผมบอกมันแล้วยิ้มให้
“มึงก็เงี้ยะ มีไรให้ตัดใหม่ป่ะ” ไอ้ตั้นถามผม
“ไว้อีก 7 ปีมาดู กูเชื่อว่ามันต้องตัดใหม่หรือทำลายทิ้งเลย ฮ่าๆ” ผมตอบมันไปขำๆ
มองหน้าไอ้ฟลุคเจ้าแห่งความติสต์ตัวจริง มันยิ้มๆ แล้วด่าผม
“สัตว์”
หลังจากวันนั้นสองวัน ซึ่งก็คือวันจันทร์
“เรียนเสร็จกูกลับก่อนนะ” ผมบอกเพื่อนๆ
“ไปไหนวะ” ไอ้ฝุ่นถาม
ปกติผมไม่ค่อยกลับก่อนแบบนี้หนิคับ
“กูกลับบ้านอ่ะ มึงกลับด้วยกันป่าว” ไอ้ฝุ่นกับไอ้ตั้นมันไม่ได้อยู่หอ ต้องนั่งรถเข้าเมืองอยู่แล้ว
“งั้นเดี๋ยวกูกลับด้วยละกัน” ไอ้ฝุ่นบอก ส่วนไอ้ตั้นมันนั่งไกล คงยังไม่รู้
“เดี๋ยวกูกลับกับพี่กูด้วยอีกคนนะ ไม่เป็นไรใช่ป่ะ” ผมบอกมันก่อน เดี๋ยวจะมาว่ากูทีหลัง อิอิอิ
“กูยังไงก็ได้ มึงสะดวกเปล่า” ไอ้ฝุ่นถามผม
“ได้ดิ ไม่งั้นจะชวนเพื่อ”
“อืม เต้อยู่หน้ามหาลัยแล้ว รออยู่ มาไวไวนะ” ผมบอกไอ้คนที่นัดผมจะกลับด้วย เสือกให้รอซะนาน
“เออ แป๊บ นั่งรถมหาลัยออกไปอยู่”
“ไวไวนะมึง กูร้อน” พูดจบวางสายด้วยความหงุดหงิด เพราะรอมันมายี่สิบนาทีแล้ว เกรงใจได้ฝุ่นกับไอ้ตั้นด้วยแหละคับ บอกให้ไปก่อนมันก็ไม่ยอม
“ไปก่อนได้นะเว้ย รถก็มาแล้ว” ผมบอกมันสองคนอีกรอบหลังจากวางโทรศัพท์
“เอาเหอะ รอมาขนาดนี้แล้ว” ไอ้ตั้นบอกเซ็งๆ
สักพักไอ้คนที่จะกลับด้วยก็มา
“อ้าว เพื่อนกลับด้วยหรอ” ไอ้พี่เซนบอกหน้าตางงๆ
“อืม เค้ารอกันนานและ”
“ขอโทษคับ แหะๆ พอดีคนมันเยอะอ่ะ รอรถมหาลัยตั้งนาน” แก้ตัวป่าวมึง เมื่อกี้ออกมาคนไม่เห็นเยอะเลย
มหาลัยเดียวกันด้วย ไม่เนียนนะคร้าบ
“อืม ไปยัง” ผมตอบมันหน้าเซ็ง แล้วเดินนำไป เพื่อนผมก็เดินตามผมมา
ส่วนมันมาคนเดียว ก็เดินคนเดียวสิคับ ถามได้ 5555 สะใจ
“เต้ แวะกินอะไรป่ะ” ไอ้พี่เซนถามผมตอนเรานั่งรถอยู่แถวราชดำเนิน
“กินไร จะถึงบ้านอยู่แล้ว”
“ผัดไทไม่ก็ไอสครีมก็ได้” เหอะๆ จะรำลึกความหลังอะไรกับกูเนี่ย ไม่ใช่เวลาเว้ย
“อยากกินจริงหรอ”
“อืม อยากไปเดินข้าวสารกับเต้แบบเมื่อก่อน”
“ทำไมอ่ะ”
“อยากกลับไปเป็นเหมือนเดิม” …ผมฟังแล้วมันรู้สึกแปลกๆ
“เมาป่ะ” ผมถามมันไป
“ไม่ ...พูดจริงๆ”
“เป็นไรหรือเปล่า”
“เต้ มึงรักไอ้เกียร์มั้ย”
“จะบ้าหรอมึง”
“แล้วมึงรักกูมั้ย”
“เฮ้อ...ทะเลาะกับแฟนมาป่าว” ผมถามมัน ไอ้พี่เซนนั่งหน้าตาจริงจังมาก ท่าทางมันจะไม่ล้อเล่น แถมยังแอบมีแววตาเศร้าเล็กน้อย ถึงว่าวันนี้ขอให้กลับบ้านเป็นเพื่อน ว่าแล้วว่ามันแปลกๆ
“ถามว่ารักกูมั้ย”
"รัก”
ผมตอบไปตามความจริง
ทุกอย่างเงียบลงไปสักพัก ผมนั่งหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างรถเมล์ปรับอากาศสาย 509 ค่ำๆวันจันทร์แบบนี้รถติดหนักเอาการ จนเมื่อรถขับผ่านอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไปได้สักพัก ไอ้พี่เซนก็หันหน้ามาทางผม
“อยากกินก็ตามลงมานะ เซนจะลงป้ายหน้า”
ผมเงียบไม่ได้ตอบอะไร
.
.
.
....
.
.
.
.
.
.
....
..
..
.
.
เราสองคนเดินด้วยกันบนถนนข้าวสาร และสักพักก็มาหยุดที่หน้ารถเข็นร้านผัดไทเจ้าหนึ่ง
“เอาผัดไทสองกล่องไม่ผักกล่องนึงคับ” ไอ้พี่เซนสั่ง แม้ค้าก็ยิ้มรับ
“ไม่ได้มากินนานแล้วนะ” ประโยคแรกของผมหลังจากไม่ได้พูดอะไรกันเลย
“มันจะเหมือนเดิมป่ะวะ” มันพูดยิ้มๆ
“ไม่เหมือนหรอก”
“มึงรู้ได้ไง ทำเป็นรู้ดี”
“เพราะว่ากูเคยกิน”
“แต่มึงยังไม่ทันได้กินอันใหม่เลย” ไอ้พี่เซนเถียงผมจนแม่ค้าหันมามอง
“ไม่เชื่อกูแล้วหรอ” ผมพูดเบาๆ
“เชื่อ”
มันทำหน้าเศร้าลงอีกครั้ง
“กูรักมึงนะ”
“...” ไอ้พี่เซนเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็เงียบไป
“ไม่ต้องกลัวจะเสียเต้ไปนะเซน ถึงจะรักใครอีกสักกี่คน ก็รักและห่วงตลอด”
ไม่นานผัดไทก็ได้พอดี ผมกับมันพากันเดินไปหาที่นั่งกินริมฟุตบาท
“มันรสจัดไปว่ะ” ไอ้พี่เซนหันมาบอกยิ้มๆเมื่อกินไปคำแรก
“กูบอกแล้วว่าอย่าใส่เครื่องปรุงเยอะ เอามาผสมของกูมั้ย”
“ไหนๆชิมก่อน” ว่าแล้วมันก็เอาตะเกียบมาเขี่ยๆในกล่องโฟมที่ผมถืออยู่
“จืดไปว่ะ”
“เออ ผสมกันคนละครึ่ง จะได้พอดี” ว่าแล้วผมก็จัดการสับเปลี่ยนผัดไท คนไปคนมาแล้วลองบอกให้มันชิมอีกครั้ง
“คราวนี้...อร่อยขึ้นว่ะ”
.
.
พี่เซนมันตักกินอีกสองสามคำแล้วก็หันมาพูดกับผม
“แต่มันไม่เหมือนเดิมจริงๆ” ผมหันไปยิ้มให้ มันยิ้มหันมาตอบ แล้วไอ้พี่เกียร์ก็เดินสะพายกีตาร์ (ไอ้มาร์ค) ผ่านมา
แม่งบังเอิญเกินไปแล้วววววววว
“เฮ้ย เต้มาได้ไง อ้าวไอ้เหี้ยเซน” พี่เกียร์ทักเมื่อเห็นผมกับคนข้างๆ
“มาแวะซื้อของเดี๋ยวกลับบ้านแล้วคับ แล้วพี่ล่ะ”
“ก็มาช่วยเพื่อนเล่นดนตรีว่ะ ที่เคยบอก”
“ร้านไหนอ่ะพี่” ผมถามพี่เกียร์ไป เห็นไอ้เซนมันมองๆผมอยู่
“ร้านแบงค์บาร์” เฮ้ย...ผมหันไปมองหน้าไอ้พี่เซน
“พี่เพิ่งมาเล่นหรอ ไม่เคยเห็น”
“เออใช่ ตั้งใจจะเล่นประจำกับวงนี้เลย เพื่อนมันบอกว่ามาหายๆ มันขี้เกียจหามือกีตาร์มาแทนบ่อยๆ”
“คับ เดี๋ยวว่างๆตามไปฟัง”
“ไปบ่อยหรอ”
“ร้านประจำพวกกูนี่แหละ” ไอ้พี่เซนพูดขึ้นมา ผมกับพี่เกียร์ก็พร้อมใจกันหันไปมอง
“อ่อ” พี่เกียร์ตอบมัน ทำหน้ากวนๆ ฮ่าๆ ไอ้เซนมึงโดนกวนบ้างแหละ
“พี่เล่นกี่โมงอ่ะคับ” ผมรีบไกล่เกลี่ยสถานการณ์ดีกว่า
“อ้อ ห้าทุ่ม แต่ว่าจะมากินข้าวก่อน จะกลับยังล่ะ” พี่เกียร์หันมาถามผมด้วยใบหน้ายิ้มแย้มดังเดิม
“เดี๋ยวก็กลับแล้ว” ไอ้พี่เวนตอบแทนผมซะงั้น
“งั้นเต้อยู่ต่อไป ไอ้เซนมันจะกลับแล้วนี่” พี่เกียร์กวนได้โดนใจไอ้เต้มากๆ โดนซะมั่งไอ้เซน
“ฮ่าๆ นั่นดิ มึงกลับคนเดียวได้ป่ะ” ผมก็รับมุกพี่เกียร์ หันไปแกล้งถามไอ้พี่เซน
“เออ กูมันคนนอก” มันพูดมางี้ผมก็เหวอดิ แค่ล้อเล่นไม่คิดว่ามันจะโกดจริง แต่ที่ผมกลัวกว่านั้นก็พี่เกียร์ดิคับ
มันพูดงี้เดี๋ยวเค้าจะคิดว่าผมคิดไรกับเค้าป่าว
“รู้ตัวก็ดีว่ะ” พี่เกียร์แกล้งยั่วโมโหไอ้พี่เซนอีก
“เดี๋ยวไปเซเว่นก่อนดีกว่า หิวน้ำ” ผมพูดขึ้นแล้วก็กำลังจะลุกขึ้น
“เดี๋ยวพี่ไปก่อนละกันเต้ กลับบ้านดีดีล่ะ มึงด้วยนะไอ้เซน ฮ่าๆ” พี่เกียร์เดินจากไปพร้อมเสียงหัวเราะสะใจ เหอะๆ
ผมก็เงียบมาตลอดจนมาซื้อของในเซเว่นเสร็จเลยตัดสินใจหันไปพูดกับไอ้บ้าข้างๆ
“จะกินสเวนเซ่นป่ะ”
“เออ” อารมณ์ไม่ดีแล้วเสือกมาทำตัวงอแง ไอ้นี่หนิ
“จะกินไม่กิน”
“กิน” แค่เนี้ยะก็จบ ว่าแล้วผมก็ไปกินไอสครีมกับไอ้พี่เซนต่อ แบบสองต่อสอง สวีท วี๊ดวิ๊วววววว
*************************************************************
ขอโทษนะคับที่หายไปหลายวัน งานผมยุ่งมากเลยช่วงนี่ จะสอบแล้ว แล้วก็มีงานนอกอีก
เหนื่อยยยยย