โอยกว่าจะแต่งจบเล่นข้ามวันข้ามคืนกันเลยทีเดียวค่ะ
กราบขออภัยคนข้างห้อง....ทั้งสองด้าน ที่อาจได้ยินเสียง Keyboard ทั้งคืน
(แง๊ๆๆๆ จะมีใครมาตีหัวเค้ามั้ย
)
สภาพตอนนี้
หลังเผลอหลับไป แล้วตื่นมาตอนแต่งต่อ
สภาพหลังจากแต่งเสร็จ
มันดีจริงๆ นะ ฮ่าๆ
เวิ่นมาเยอะเลยค่ะ มาอ่านกันเลยดีกว่า
ที่ตรงนี้...ที่ที่เป็นของเรา#2
สุดท้าย....ก็ทนไม่ไหว ป่านนี้ภาคอาจจะรู้ความจริงแล้ว “คำขอโทษ” จำเป็นสำหรับใครบางคนเพื่อจะเริ่มต้นชีวิตใหม่
และผมเองก็มีหน้าที่ที่จะมอบคำว่า “ให้อภัย” ให้กับคนๆนั้น คนที่ผม.....รักหมดใจ
ไม่จำเป็นต้องทำให้อีกฝ่ายเจ็บ.... เมื่อเรารู้สึกเจ็บ เพราะไม่นานมันจะค่อยๆ จางหายไป และในห้วงคำนึงของเค้า
ก็จะยังหลงเหลือความรู้สึกดีๆ ในอดีต แต่ถ้าเมื่อไหร่.....เรากระโจนไปดึงอีกฝ่ายให้ลงมาเจ็บด้วย นอกจากเราเองนั้นแหล่ะ
ที่จะจมปลักอยู่กับความแค้นอย่างแสนสาหัสนั่นแล้ว ในสายตาเค้าเราคงเหลือเพียงแค่การเป็นเพียงเศษสวะชิ้นเลว
ซึ่งมันดีแล้วที่เค้าเลือกที่จะตัดทิ้ง ไม่จำเป็นต้องเสียใจ ไม่จำเป็นต้องเสียดาย หรือแม้แต่....ละอายแก่ใจในสิ่งที่ทำลงไป
“ฮัลโหล” ผมกดรับสายด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรง... อย่างน้อยไม่ต้องอยู่ต่อหน้า..ผมก็ไม่ต้องซ่อนความเจ็บไว้ภายใต้ใบหน้า
ฝืนยิ้ม ถ้าผมต้องการจะร้องไห้ ต้องการจะเสียใจ แน่นอน......ผมจะทำมันได้โดยไม่ต้องให้ใครมานึกสงสาร
ว่าผมเป็นคนอ่อนแอ หรือแม้แต่..... คิดว่าผมจะมารยาสาไถ เพื่อยื้ออีกฝ่ายไว้ให้เป็นของตัวเอง
“ฮัลโหล...แพนเหรอ พี่เอง พี่อ๋อมเองนะ คือพี่อยากจะบอกว่า” เสียงหวานกรอกกลับมาในสาย นั่นทำให้ผมน้ำตารื้นขึ้น
อย่างช่วยไม่ได้ หัวใจเจ็บปวดแทบแหลกราน ลำคอแห้งผากจะให้ทนคุยกับคนที่แย่งคนรักของผมไปได้อย่างไร
แต่ถึงตอนนี้แล้วก็คง...ต้องทน ก็แค่....ทนให้มันจบๆ ไป
“ไม่เป็นไรผมเข้าใจดี .... พี่อ๋อมโชคดีจังนะครับ ผม................................ไม่เป็นไร” ผมตอบกลับเสียงแผ่ว
น้ำเสียงที่แห้งผากแทบจะกลืนหายไปในลำคอที่ตีบตัน
“ไม่ใช่...ไม่ใช่พี่... ภาคเค้า ...ฮึกๆ เค้าเลือกแพน ...ฮึกๆ ...ได้โปรดฟังพี่ที่พี่ไม่อยากทำผิดอีกแล้ว ฮือๆๆ”
ห๊ะ! ผมร้องเสียงหลงอยู่ในใจ เสียงหวานครางสะอื้นจนฟังแทบไม่ได้ศัพท์ พี่อ๋อมพูดต่ออย่างกระท่อนกระแท่น
เสียงร้องไห้ เสียงสูดน้ำมูก ดังมาไม่ขาดสาย ผมที่ได้ยินคำนั้นหัวใจกลับเต้นแรงและรัวอย่างมีความหวัง
นี่ผมไม่ได้คิดไปเองหรอกใช่มั้ย?
“อะไรนะครับ...แล้ว?” ผมเอ่ยถามอีกฝ่ายช้าๆ อีกครั้งแค่อยากมั่นใจ .... ว่าผมไม่ได้ฟังผิดไป อยากรู้ว่านี่คือเรื่องจริง
“พี่เสียใจแพน ... แต่ภาคเค้า.....เค้า....ไม่เคยรักพี่เลย ฮึกๆๆ ไม่สิ...ไม่เคยมองพี่เลยต่างหาก ฮึกๆ เค้าเห็นพี่เป็น
แค่เพื่อนคนหนึ่งเรื่องเมื่อคืนนี้.... มีไอ้โรคจิตมันบุคเข้ามาที่ห้อง พี่กลัว...กลัวจนสติแตก แล้วคนแรกที่พี่คิดถึงก็คือภาค.....”
เรื่องราวทุกๆ อย่างถูกถ่ายทอดออกมาจากปากของพี่อ๋อม เสียงสะอื้นไห้ดังออกมาเป็นระยะ ทั้งซับซ้อน น่ากลัว
และน่าสับสน ใจผมแปลกใจ ถ้าคนที่เล่าไม่ใช่พี่อ๋อม .... ยังคิดไม่ออกเลยว่า ผมจะเชื่อเรื่องที่เล่าดีรึเปล่า
โดยเฉพาะเรื่องภาค พี่อ๋อมกรีดข้อมือเพื่อภาคงั้นเหรอ? หากภาคเป็นคนเล่า...ผมจะคิดรึเปล่าว่านี่เป็นแค่ข้ออ้าง
เพื่อให้ตัวเอง สะอาด บริสุทธิ์ และไร้มลทิน แต่เพราะคนเล่าเป็นพี่อ๋อม และคนที่เสียหายก็คือเธอ ผมเลยไม่เห็น
เหตุผลอันใดที่เธอต้องโกหก ... แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ...... ทำไมเธอถึงโทรมาเล่าต่างหาก
“แล้วพี่จะเล่าให้ผมฟังทำไม? ถ้าผมกับภาคเลิกกัน...พี่ก็จะได้มีความสุขไม่ใช่เหรอครับ ผมไม่เห็นเหตุผลที่พี่ต้องเล่า
เรื่องที่พี่มีแต่จะเสียให้ผมฟัง” ผมเอ่ยถามไปในที่สุด หลังจากที่ใช้สติที่เหลืออยู่ทั้งหมด ....ใคร่ครวญไปมาเป็นอย่างดี
“ฮึก..ฮึก.. ถึงไม่มีแพน ...สุดท้าย ภาคก็ไม่หันมามองพี่อยู่ดี อย่าให้ภาคต้องเกลียดพี่เพราะพี่เป็นสาเหตุที่ทำให้
ภาคกับแพนต้องเลิกกันเลยนะ พี่ขอโทษ ฮึก..ฮึก พี่เสียใจ... อย่างน้อยให้เค้าเห็นพี่เป็นเพื่อนคนหนึ่งก็ยังดี อย่าถึงกับ..”
เสียงของพี่อ๋อมกลืนหายไปในลำคอ... อยู่สักพัก ผมว่าตอนนี้อารมณ์ของผมกับพี่มันไม่ได้ต่างรู้สึกเจ็บแน่นไปทั้งใจ
น้ำเสียงขาดหาย แต่มากระจุกเป็นก้อนอยู่ที่ลำคอ แทบหายใจไม่ออก ... เหมือนๆ จะขาดใจ แต่สุดท้ายก็พูดออกมา
ด้วยเสียงอ่อนละโหยรอยแรงชนิดที่ผม... รับรู้ได้เลยว่ามันเป็นความจริง
“อย่าถึงกับ....ต้องเกลียดกัน จนไม่มองหน้าเลย พี่คงทนไม่ไหว ”
“ขอบคุณครับ........ ที่อธิบาย” ผมกดวางสายของอีกฝ่าย ลากกระเป๋าไปบนชั้นส่งผู้โดยสายขาออก
โบกมือเรียกแท็กซี่....ที่มาส่งผู้โดยสารที่จะเดินทางไปที่อื่น บอกจุดมุ่งหมายที่ผมต้องการไปพี่คนขับรถแท็กซี่
ที่พึ่งยกกระเป๋าของผู้โดยสารก่อนหน้านี้ลงจากท้ายรถสดๆ ร้อนๆ หันมายิ้มให้ผม ก่อนจะยกกระเป๋าผมใส่ลง
ไปในท้ายรถอีกครั้ง รถเคลื่อนตัวออก.... ผมแจ้งว่าผมต้องไปถึงที่พักให้เร็วที่สุด ไม่ว่าจะต้องขึ้นทางด่วน
หรืออะไรก็ตาม ช่วยให้ผมฝ่าสภาพจราจรอันติดขัดนี่ไปได้เสียที น้ำตาผมไหลช้าๆ ความสึกผิดฟูฟ่องกลืนกินหมด
ทั้งตัวทั้งหัวใจ ความผิดที่ว่า .. คือการ “ไม่ไว้ใจกัน” รู้สึกผิด... ที่ผมหนีออกมาโดยไม่รอฟังคำอธิบายของอีกฝ่าย
ความผิดที่.....คาดเดาเรื่องทุกอย่างคิดเองเออเอง จนเกือบต้องเลิกกัน
“ขอโทษ.....รอแพนนะ แล้วแพนจะรีบกลับไปหา” ผมครางเสียงแผ่วเบา ราวกับเจ้าตัวจะได้ยิน กลับเป็นพี่แท็กซี่
ที่เลิกคิ้วนิด ๆ เป็นเชิงว่าผมพูดอะไรด้วยหรือเปล่า ผมส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะเลี่ยงหันไปมองสภาพแวดล้อมข้างทางแทน
.
.
.
บ่ายสามโมงครึ่งโดยประมาณที่ผมมาถึงคอนโดจุดหมาย พี่แท็กซี่เจ้าเดิมยกกระเป๋าเดินทางผมลง พร้อมโค้งหัวน้อยๆ
ตอนผมจ่ายค่าแท็กซี่บวกทิปเล็กๆ น้อยๆ ที่พอจะทำให้พี่เค้ายิ้มแก้มปริ ผมโค้งตอบ มองพี่แกขับรถออกตัวไป
ผมหันไปจับกระเป๋าเดินทางไปเขื่องกำลังจะลากเข้าคอนโดก็เป็นอันต้องหยุดชะงักด้วยความสงสัย ก็...พี่แท็กซี่เจ้าเดิม
ที่ขับออกไปแล้ว ขับรถถอยหลังมาจนถึงที่ผมยืนอยู่ พลางลดกระจกลงยิ้มให้ผมแบบหน้าจืดๆ
“เอ่อโทษทีนะ....ค่าทางด่วนพี่ยังไม่ได้เลยน้อง” แกยิ้มเก้อๆ เกาหัวเบาๆ ด้วยความเขินอาย ผมก็ตาโตขึ้นมา
เออ! ลืมไปเลยควักจ่ายพี่แกทันที 110 บาท พี่แกโค้งหัวตอบ แล้วขับออกไป ผมได้แต่ยิมขำนี่ถ้าลืมก็ขาดทุนเลยนะนั่น
ลากกระเป๋ากลับเข้ามา พี่โอเปอเรเตอร์สุดสวยก็เอียงคอน่ารักๆ รับกับใบหน้าจิ้มลิ้ม ปากแดงๆ ขาวๆ นั่นเสียจริง
ด้วยความสงสัยประหนึ่งจะถามว่า “พึ่งออกไปเมื่อตอนสิบโมงเองไม่ใช่เหรอคะ?” ผมอมยิ้มกับท่าน่ารักๆ
แล้วหันไปตอบโดยที่ไม่ต้องรอให้พี่คนสวยเอ่ยปากถามให้เมื่อยปากแต่ประการใด
“เอ่อ....พอดีเลื่อนวันกระทันหันนะครับ เลยได้กลับช้ากว่านี้” พูดจบ พี่โอเปอเรเตอร์สุดสวยก็ยิ้มเข้าใจ
“อ่อ ค่ะ” ผมลากกระเป๋าเข้าลิฟท์ กดชั้นที่เป็นที่พัก หลับตาลงรู้สึกเป็นวันที่เหนื่อยล้าอีกวันของชีวิต
“ติ๊ง!” เสียงลิฟท์ดังขึ้น ผมค่อยๆ ลืมตา เดินลากกระเป๋าตรงไปยังห้องจุดหมาย
“ก็อกๆ ” ผมเคาะประตูเบาๆ ไม่ใช่ว่าผมไม่มีกุญแจหรอกนะ แต่ที่จริงผมตั้งใจทิ้งมันไว้ในห้องนั้นต่างหาก
เพราะผมคิดว่า.....คงไม่จำเป็นต้องใช้มันอีกแล้ว ยืนรออยู่เนินนาน.....แต่ก็ไม่เห็นวี่แววของใครที่จะมาเปิดประตู
ทั้งที่ภายในห้องยังมีแสงสว่างเล็ดลอดออกมา แสดงว่า....ภาคอยู่ข้างใน
“ก็อกๆ ก็อกๆ” ผมตัดสินใจเคาะประตูอีกครั้ง ในใจเริ่มรู้สึกเป็นห่วงคนข้างในว่าเป็นอะไรรึเปล่า
เมื่อรออยู่เนิ่นนาน จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครมาเปิดประตูสักที นั่นทำให้ผมยิ่งร้อนใจมากขึ้นไปอีก
ผมกดโทรหาอีกฝ่าย ... ภาพหน้าจอโชว์หราว่ากำลังต่อสาย แล้วอยู่ดีๆ เครื่องก็ดับไปต่อหน้าต่อตา...เล่นเอาเซ็งเลยทีเดียว
คงอาจเป็นเพราะผมคุยกับพี่อ๋อมที่เนิ่นนานเกือบๆ สองชั่วโมง ฉะนั้นที่แบตมันยัง still มาได้จนถึงที่นี่ก็นับว่าบุญหนักหนา
ผมเลยต้องรัวทุบประตูหน้าห้องอย่างไม่มีเงื่อนไข
“ก็อกๆ ก็อกๆ ก็อกๆ”
“แกร๊ก.....” ประตูค่อยๆ แง้มออก ผมจ้องมองคนตรงหน้า อีกฝ่ายเอาแต่ก้มหน้านิ่งไม่ยอมเงยหน้ามาสบตากันสักนิด
จมูกบวมแดงเหมือนผ่านการร้องไห้ ทำผมใจกระตุกสั่น เริ่มสงสารอีกฝ่ายมากขึ้นไปอีก ไม่ใช่ความผิดของภาค
“.............” ผมที่ได้แต่นิ่งงัน รอ...อีกฝ่ายเงยหน้ามาสบตา และแล้วก็เป็นอย่างที่หวัง ภาคเงยหน้าขึ้นมาช้าๆ
ใบหน้าติดจะเศร้า ดวงตาแดงก่ำ หากแต่หม่นเศร้าเหลือเกิน น้ำตาที่ยังทิ้งคราบให้เห็นเปลือกตาบวมเป่งไม่ต่างจากผม
จมูกขึ้นสีเห่อแดงอย่างคนคัดจมูก รอยยิ้มของภาคค่อยๆ ฉีกกว้างขึ้น พร้อมๆ กับแอ่งน้ำตาพี่พากันไหล ...
แบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน ภาคคว้าตัวผมไปกอดแน่นๆ ดีใจราวกับแม่หมาที่หาลูกของมันเจอ
ผมโถมตัวเข้ากอดตอบ ต่างฝ่ายต่างรัดกันแน่นเสียจน.... ผมเผลอคิดว่าเราอาจจะกลืนเข้าไปเป็นร่างเดียวกันได้
น้ำตาผมไหล.....ด้วยความยินดีปรีดา ดีใจ...ที่ได้กอดคนตรงหน้าอีกครั้ง อยากบอกว่า “รัก” เหลือเกิน
“แ...พน..... ภ...ภาคขอโทษ อ...ย่า.....ทิ้งกัน...ไปเลย” น้ำเสียงแผ่วเบา ขาดห้วง กระซิบอยู่ใกล้ริมใบหูผม
รู้สึกได้ถึงน้ำชื้นๆ ที่ไหลหยดลงมาอาบไหล่ของตัวเอง ....น้ำตาของคนที่ผมรัก
ผมดันภาคออก ยื่นนิ้วเล็กๆ ของตัวเองไล่เช็ดน้ำตาที่กำลังอาบแก้มของอีกฝ่าย มองมันด้วยแววตาสั่นระริก
รู้สึกผิดมากเสียจน...อยากจะเป็นฝ่ายขอโทษแทน แต่ภาคกลับยิ้ม และไล้มือเช็ดหยดน้ำตาบนหน้าผมแทน
“จะทิ้งได้ไง” ผมเอ่ยตอบภาคไปในที่สุด เมื่อหาเสียงตัวเองเจอ
.
.
.
“รักไปหมดใจแล้วนี่” ผมกระซิบบอกอีกฝ่าย ด้วยความสูงที่แตกต่างทำให้ผม ต้องเขย่งตัว.......สุดปลายเท้า
.
.
แต่มันก็ยังไม่ถึง เลยต้องรั้งคออีกฝ่ายให้ลงมาอีก (ไม่รู้จะรีบโตไปไหนนักหนา...ไม่รอกันบ้างเลย ผมแอบบ่นในใจ)
“อืออออออ~ ขอโทษษษษษ” ภาครำพันเสียงต่ำราวกับเจ็บปวด ทรุดตัวลงคุกเข่า โอบกอดเอวผมไว้แน่น
นั่นยิ่งทำให้ผมตกใจ พยายามรั้งอีกฝ่ายให้ลุกขึ้น เมื่อเห็นว่าไม่เป็นผล เลยเปลี่ยนเป็นลูบหัวลูบหลังปลอบใจอีกฝ่ายแทน
“ครับ....แพนก็รักภาคนะ ป่ะเข้าไปข้างในก่อนอายเค้า” น้ำเสียงผมสั่นเทา... ด้วยความรู้สึกถึงความรักที่อีกฝ่ายมีให้
มันช่างมากมายจนเกินจะรับไหว แต่ผมก็ยินดีรับมันไว้ทั้งใจ ลากกระเป๋าเข้าห้องเสร็จ ภาคก็ดึงผมมากอดไว้ไม่ห่าง...
.
.
“ภาคกับอ๋อมไม่มีอะไรกันนะ แพน...กำลังเข้าใจผิด ภาค..” ภาคอธิบายอย่างรีบร้อน
“ชู่.... แพนรู้แล้ว” ผมแตะนิ้วเล็กๆ ที่ปากภาค เป็นการส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายเงียบ จ้องมองลงไปในดวงตาที่ซื่อสัตย์นั่น
ก็เป็นผมเองที่ใจสั่น ทั้งรู้สึกดีใจและรู้สึกผิดในคราเดียวกัน มันช่างบีบให้หัวใจเต้นถี่รัวจนอยากกระดอนออกมานอกอก
“ถ้าภาคไม่ไปสิ ฮึกๆ แพนจะโกรธภาคไปจนตายเลย ภาค....อ่ะ เป็นคนที่ดีที่สุดเลยนะ” ผมบอกอีกฝ่ายตะกุกตะกัก
ก่อนจะโถมตัวเข้ามากอดภาคแน่นๆ เรากอดกันอยู่อย่างนั้น ร้องไห้ไปด้วย คุยกันไปด้วย เล่าเรื่องเหตุการณ์วันนี้ที่เกิดขึ้น
ทั้งหมด และแน่นอน.... เรื่องที่พี่อ๋อมโทรหาผม จนผมเข้าใจ และกลับมายืนอยู่ตรงนี้
.
.
“ดีที่พี่อ๋อมโทรมาหาแพนก่อน ถ้ารอภาคเล่าแพนคงหนีไปไกลแล้วหล่ะ อ้อ!! พี่อ๋อมฝากขอโทษด้วย”
ผมบอกเล่าประโยคสุดท้าย พลางขยับตัวยุ๊กยิ๊กจากอ้อมกอดของอีกฝ่ายบนเตียงนอน เพื่อให้พูดสะดวกขึ้น
“ขอโทษครับ ภาคไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดี ไม่รู้จริงๆ ขอโทษนะ” ภาคว่า ก่อนจะจูบซับที่หน้าผากของผม
“ทีหลังก็อย่าปล่อยให้แพนเข้าใจผิดอีกหล่ะ เสียใจแทบแย่แน่ะรู้ป่ะ?” ผมทำหน้างอนๆ ปากยื่นๆ
ที่อีกฝ่ายต้องแตะปากตัวเองที่ปากผมทุกทีที่เห็น และครั้งนี่ก็เป็นอย่างนั้น
“จุ๊บ” สุดหล่อของผมทำหน้าทะเล้น จนผมหลุดขำ
“ครับ ขอโทษนะ อืมม ขอโทษที ปากหวานจัง ขอชิมนะครับ” แล้วก็เปลี่ยนเป็นทะลึ่งตามมาทันที ริมฝีปากหนา
ดูดกลืน รุกล้ำ และเรียกร้อง ไล่ต้อนลิ้นหวานๆ ในปากผม จนอดไม่ได้ที่จะหลุดเสียงครางออกมา
“อ่า~” และเริ่มบิดตัวพล่าน เมื่อมือร้อนๆ ของอีกฝ่ายลูบไล้ไปทั่วเนื้อตัวของผม จมูกโด่งได้รูปซุกไซร้สูดดมกลิ่นกาย
ของกันและกัน ที่ไม่ว่าครั้งไหนก็ทำผมเตลิดเปิดเปิงไปได้ทุกครั้ง สัมผัสที่เร่าร้อน ...แต่กลับทำให้ผมรู้สึก ‘มั่นคง’
อย่างน่าประหลาด บางครั้งการ ‘ร่วมรัก’ ก็เป็นการบอกผ่านความรักระหว่างกัน ว่าโหยหา ต้องการ อีกฝ่ายมากเพียงใด
“ชิมแล้ว... ห้ามไปชิมคนอื่นหล่ะ เจ้าของหวง” ผมหันหน้าไปบอกอีกฝ่ายอย่างจริงจัง ไล้มืออยู่บนใบหน้าหล่อเหลา
จดจ้องอยู่อย่างนั้น เพื่อรอ......รอคำสัญญาของอีกฝ่าย ภาคหลุดยิ้ม..... เป็นรอยยิ้มที่ช่างดูดีในสายตาผม
“จะไปชิมใครที่ไหนได้อีกหล่ะ ก็คนตรงหน้า.....น่ากินซะอย่างนี้” อีกฝ่ายว่าริมฝีปากยังกระตุกยิ้ม ก่อนจะทาบทับ
ริมฝีปากหนาลงมาบนปากผม ทั้งดูดกลืน ไล้เลีย ซอกซอนลิ้นที่โพรงปาก ทำผมตัวอ่อนยวบอยู่ภายใต้ร่างสมส่วน
หอบหายใจเบาๆ เหมือนร่างกายถูกดูดกลืน ทั้งวิญญาณ และหัวใจไปเสียสิ้น มอบไว้แล้ว... ณ คนตรงหน้า
.
“ไปไหนไม่รอดแล้วครับ” คำตอบที่ทำเอาผมยิ้มแก้มแตก หัวใจเหมือนจะละลายแล้วอยู่ตรงนี้
ด้วยแรงปรารถนา.... ก็ทำให้เราโถมกายเข้าหากัน กอดก่าย ไล้สัมผัสร่างกายของกันและกัน
.
.
.
.
.
.
“อึก... อ๊า~ ภ...ภาค”
“อืมม~ แพนทนอีกนิดนะครับ รอบสุดท้ายแล้ว”
“ม... ไม่ไหวแล้ว อ๊าาาาาาาาาาาาาาาาาา~” ผมกรีดเสียงร้องสุดเสียง ร่างกายบิดเร่าเกร็งกระตุก และปลดปล่อย
“โอววว แพน .... อย่ารัดแน่นครับ ซีสสสสสสส” สีหน้าเหยเกที่ปรากฎบนใบหน้าอันหล่อเหลาของภาค
ผมปรือตามอง มือจิกที่เอวของอีกฝ่ายแน่น ทั้งๆ ที่ตัวเองก็กำลังเกร็งตัวเพื่อปลดปล่อย รู้สึกถึงความสุขที่ถาโถม
ยิ่งทำให้คนตรงหน้ามีความสุขเท่าไหร่ ในหัวใจของผมก็ฟูฟ่อง... มีความสุขเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ
นี่สินะ.......ที่เรียกว่า “ความรัก” ไม่ใช่แค่มีความสุขที่ได้รับ แต่ยังมีความสุขกับการมอบให้ “คนรัก” ด้วย
ภาคกระทั้นกายเข้าโถมใส่ตัวผม อย่างแรง รัว เร่าร้อน จนผมต้องแอ่นตัวหวือ รับสัมผัส “รัก” ที่อีกฝ่ายมอบให้
ไม่นานนักร่างกายภาคก็เกร็งกระตุก ปลดปล่อย หยาดน้ำสีขาวขุ่น พร่างพรายตามแรงปรารถนา
ทิ้งตัวลงข้างกัน กอดซับความหวานที่ดื่มด่ำกำซ่านเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักหมด สองแขนโอบกระชับอ้อมกอดของกันและกัน
“คราวหน้าไม่ยอมแล้วนะ” ผมเอ่ยเสียงแหบพร่า และแผ่วเบา อีกฝ่ายยู่หน้าดวงตาปรือปรอย เหมือนหมาหงอย
“แพนครับอย่าโกรธนะครับ ก็คราวนี้ภาคดีใจอ่ะ แต่ก็นะแค่... สี่ห้าครั้งเอง” ว่าจบก็ก้มหน้าก้มตาหอมแก้มผม
เป็นการใหญ่
“หก.....รวมครั้งสุดท้ายน่ะมันหกครั้งนะภาค ”
“แหะๆๆ ก็แพนอยากน่ารักเองทำไม ภาคก็.....อดใจไม่ไหวอ่ะดิ”
“เพี๊ยะ... ” ผมฟาดมือลงหน้าผากภาคเน้นๆ
“ชะอูยยยยย เจ็บ!!” ไอ้หล่อ ลูบมือที่หน้าภาคตัวเองป้อย แล้วโถมตัวมาซุกไซร้ผมแบบอ้อนๆ ไม่ลืมที่จะยิ้มหล่อๆ
มาให้ผมใจละลายเล่น ผมส่ายหน้าขำ อีกฝ่ายก็ยิ่งยิ้มตาหยี
.
.
.
.
“รักแพนนะ......รักที่สุดเลย” ผมหันไปมองหน้าคนพูด ที่ตอนนี้มองมาที่ผม ใบหน้าจริงจังแต่แฝงไปด้วยรอยยิ้ม
“ครับ แพนก็รักภาคที่สุดเหมือนกัน” ผมเอ่ยตอบ แตะจูบเบาๆ ที่ริมฝีปากอีกฝ่าย ภาคดึงมือผมไปกอบกุม
ก่อนจะเลื่อนไปวางในตำแหน่งอกด้านซ้ายของตัวเอง
“รู้ไหม? ที่ตรงนี้...มันเป็นที่ของแพน” ผมดีใจจนน้ำตาซึม โถมตัวเข้ากอดภาค กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
“เป็นที่ของแพนคนเดียวจริงๆ นะ” เสียงที่ย้ำนั้นทำหัวใจผมพองโต เรากอดกันแน่นขึ้นเนิ่นนาน และผละออก
เราทั้งคู่ต่างยิ้มให้กัน ทั้งดีใจ โล่งอก ที่ผ่านอุปสรรคนี้มาได้ และรู้สึกว่าความรักของเรามันยิ่งมากขึ้นอีก
.
.
ภาคอุ้มผมไปวางในอ่างน้ำ ส่วนตัวเองมาเปลี่ยนผ้าปูที่นอน ก่อนจะมาสมทบกันในอ่าง เราอาบน้ำด้วยกันไม่นาน
ก็ออกมาแต่งตัว นอนกอดกันจนหลับไป