ยกที่31 มิดเทอม
เมื่อตัดสินใจได้แล้วว่าจะเอายังไงต่อไป คนอื่นเองก็เห็นดีเห็นงามด้วย กระทั่งริวก็มีโผล่มาคุยไลน์ตอนเย็นวันอาทิตย์ นัดกันว่าวันจันทร์จะลากตัวมิทมาคุยกันให้รู้เรื่อง ไม่อยากทิ้งช่วงนานเกินไป เพราะเกรงว่ามิทจะเข้าใจผิด เนื่องจากวันที่มิทเปิดอกมันจบไม่ค่อยสวยนัก
ที่ไหนได้ พอมารวมตัวกันที่มหา’ลัย ตัวเอกของงานกลับหายหัวหลบหน้ากันซะแบบนั้น เดือดร้อนเพื่อนทุกคนต้องแยกย้ายกันออกตามหา ซึ่งคนที่เจอก็ไม่ใช่ใครอื่น นายริวผู้รู้ใจและมีประเด็นกับมิทมากที่สุด
ไม่รู้ว่าสองคนนี้คุยอะไรกัน จังหวะที่พวกผมตามโลเคชั่นจนมาถึง ได้ยินเสียงริวตวาดลั่น
“มึงมันเหี้ย! ไอ้เพื่อนเหี้ยย!! ทั้งที่รู้ว่ากูเกลียดการโกหกที่สุดแต่มึงก็ยังทำ ที่ผ่านมามึงไม่เคยไว้ใจกูเลยเหรอวะ กูช่วยมึงสารพัดแถมยังร่วมมือกับมึงเพื่อปิดซัน แต่มึงทำแบบนี้กับกูเหรอ แล้วนี่อะไร แทนที่จะสู้หน้าคุยกันตรงๆ มึงมาหลบอย่างหมาจนตรอก มึงใช่มิทที่กูรู้จักรึเปล่า”
พวกผมหยุดเท้าทันที พร้อมใจกันยกแขนขวางปอนด์ที่กำลังจะเดินทะเล่อทะล่าเข้าไประหว่างสงครามน้ำลาย
“กูเหี้ยแล้วไงวะ! เมื่อวานกูบอกทุกอย่างไปหมดแล้วมึงยังจะเอาอะไรอีก พูดมาเลยดีกว่า จะเลิกยุ่งกับกูหรือยังไงแน่ เอาแต่ด่าแบบนี้มันก็ไม่ต่างจากหมาที่ดีแต่เห่า!!”
ผัวะ!!
เสียงหมัดกระทบหน้า มิทโดนริวชกจนหน้าหัน ซันกอดอกไม่คิดเข้าไปห้าม ผมเองก็เช่นกัน เพราะประโยคเมื่อกี้มิทมันน่าชกให้คว่ำจริงๆ ขนาดปอนด์ยังยืนเฉยเลย
“อย่ามาดูถูกความเป็นเพื่อนของกู! ที่กูด่า โมโหเหมือนหมาบ้าแบบนี้เพราะกูแคร์มึงต่างหากยังคิดว่ากูเป็นเพื่อนอยู่รึเปล่า” ริวกำหมัดแน่น ตัวสั่นด้วยความโกรธ เห็นตามันแดงๆ ด้วยมันคงเสียใจมากกับเรื่องที่เกิดขึ้น เจอแบบนี้มิทคล้ายจะรู้ตัวพูดเสียงเบาอย่างรู้สึกผิด
“ขอโทษ...กูเองก็ไม่อยากเสียพวกมึงไปเหมือนกัน ถึงไม่เป็นตัวของตัวเองอยู่แบบนี้ ตั้งแต่กูเจอเรื่องแย่ในชีวิต มีพวกมึงเป็นกลุ่มแรกที่กูคิดว่าเป็นเพื่อนจริงๆ จนบางครั้งกูรู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรกับความหวังดีของพวกมึงด้วยซ้ำ”
น้ำเสียงของมิทสั่นซะจนน่าสงสาร ผมที่ตอนแรกว่าจะอยู่วงนอกเลยอดไม่ได้ที่จะพูดสวนระหว่างเดินนำอีกสองคนเข้าไปร่วมวง
“ใครตัดสินว่ามึงไม่คู่ควร มึงต่างหากที่กำลังลดค่าตัวเอง”
“งั้นกูควรทำยังไง ในเมื่อกูทำในสิ่งที่ตัวเองทำได้ไปหมดแล้ว เหลือแค่คำตอบของพวกมึง” มิทหันมามองพวกเราทุกคนอย่างสับสนเหมือนเด็กหลงทาง ผิดจากช่วงเวลาปกติที่ดูมั่นใจไม่หวั่นเกรงสิ่งใด เห็นแบบนี้อดคิดไม่ได้ว่า ที่ผ่านมารอยยิ้มของมิท เสียงหัวเราะของมันจะมีความเศร้าเก็บซ่อนไว้มากเท่าไรกันนะ
ปอนด์หยุดยืนอยู่ข้างผม มองคนนั้นทีคนนี้ที ส่วนซันกวาดตาสำรวจเพื่อนทั้งสองคน ก่อนหักมือเดินดุ่มๆ เข้าไปหา
“กูอยากจะชกมึงสักหมัดนะ แต่เชี่ยริวตัดหน้า งั้นกูขอตรงนี้แล้วกัน” พลังหมัดเวอร์ชั่นออมแรงซัดเข้ากลางพุงมิทจนหนุ่มครึ่งรัสเซียกุมท้องหน้านิ่วด้วยความจุก ใจจริงก็อยากหันไปต่อว่าริวกับซัน มันไม่เหมือนที่คุยไว้นี่! แต่ก็พอรู้ว่ามันไม่ใช่เวลา ไอ้สองตัวนี้คงแค่อยากเอาคืนเล็กๆ น้อยๆ ตามประสาพวกดิบเถื่อน นายโป้คนดีเลยใช้วิธีแบบละมุนละม่อมแทน
“ริวชกหน้า ซันชกท้อง กูมันพวกอินดี้ไม่อยากเลียนแบบใคร ชอบความแตกต่าง งั้น…”
จุ๊บ!
“จูบปากมึงแทนแล้วกัน ปากนิ่มดี ถ้ายังไม่มีแฟนและมึงยังไม่มีเจ้าของคงได้ลองกันสักที” ผมยิ้มมุมปากเมื่อเห็นหน้าเหวอๆ ของมิท พลางถอยฉากให้ปอนด์เข้าไปคุยต่อ ส่วนตัวเองยกมืออุดหูกันเสียงโวยวายของซัน
“ต่อหน้ากูเลยนะมึง!!” ซันชี้หน้าตาเขียวปั๊ด
“พวกมึงโหดร้ายกับมันมากแล้ว กูแค่อยากปลอบโยนเท่านั้นเอง” ตอบกลับหน้าตาเฉย แอบเซ็งนิดหน่อย เพราะมีซันโวยวายอยู่ข้างๆ ผมเลยไม่ได้ยินว่าปอนด์พูดอะไรกับมิท แค่เห็นเพื่อนตัวเล็กยื่นยาทาแก้พกช้ำให้ เชื่อเถอะว่าปอนด์ไม่ได้ตั้งใจเตรียมมาเองหรอก ต้องมีเฮียเฟย์อยู่เบื้องหลังแน่ๆ
“กูพูดกับมึงอยู่หันไปมองที่ไหนวะ” มือหยาบกร้านจับคางผมให้หันไปมอง ผมนึกรำคาญเลยจุ๊บปากมันเร็วๆ ทีหนึ่งจังหวะที่คนอื่นกำลังสนใจมิท เลยไม่มีใครสังเกตเห็น ให้ไอ้ซันชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะคลายสีหน้าท่าทางอารมณ์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ผมหมั่นไส้ศอกใส่ไปหนึ่งที ความจริงมันก็ไม่ได้เคืองอะไรมาก แค่โวยไปตามประสาคนขี้หวง
ซันมันเป็นพวกสอง ห หอหวงและหอห่วง แต่ไม่ขี้หึงไร้สาระ ผมกับมันเลยไม่เคยทะเลาะกันเรื่องมือที่สาม กลับเป็นผมซะอีกที่ขี้หึง อย่างตอนพี่แอมไง แอบพาลใส่มันเหมือนกัน ดีนะมันเป็นคนมีเหตุผล ดูเผินๆ อารมณ์ร้อนแต่กลับมีน้ำอดน้ำทนเกินคาด แม้จะสงวนสิทธิ์เฉพาะคนที่มันแคร์ก็ตาม
ไอ้ซันกอดอกเก๊กขรึมตามบทที่นัดแนะกันไว้ว่าจะให้มันปิดประเด็น “ถือว่ามึงติดทัณฑ์บน พวกกูยังไม่เลิกคบมึงและยังไม่ยอมให้อภัยมึงง่ายๆ หลังจากนี้มีอะไรมึงต้องรายงานตัวตลอด ไม่อย่างนั้นมึงเจอพวกกูรุมกระทืบแน่” ผมแอบกลอกตามองบน จำเป็นต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้ไหม
“ไม่มีปัญหา เว้นเรื่องเกี่ยวกับป๋า กูบอกพวกมึงไม่ได้จริงๆ เพื่อความปลอดภัยของพวกมึงเอง แต่กูให้สัญญา จะไม่โกหกและปล่อยให้พวกมึงคาดเดากันไปเอง กูจะบอกเท่าที่บอกได้” มิทตอบเต็มเสียง ไหล่ที่ลู่ลงตามสภาวะจิตใจตั้งตรงดูมั่นใจเหมือนอย่างที่ผ่านมา
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ซันก็ปิดประเด็นอย่างเป็นทางการ...
“ดี จบ แดกข้าว!” สิ้นคำก็หมุนตัวเดินนำ ผมว่ามันคงหิวแหละ ก้าวเท้าจนแทบวิ่ง ไม่เห็นใจเพื่อนตัวเล็กที่ต้องเร่งฝีเท้าตาม ไหนๆ ก็ไหนๆ ผมเลยวิ่งควายเป็นเพื่อนอีกคน ปล่อยให้ริวกับมิทรั้งท้าย เพราะคู่นั้นเขายังคุยกันไม่จบ ถึงแม้ผมจะไม่ได้ยินว่าพวกเขาคุยอะไรกัน แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของทั้งคู่ก็พอบอกได้แล้วว่าผลลัพธ์ที่ออกมาเป็นยังไง
เพื่อนปรับความเข้าใจกันแล้ว ไม่มีเรื่องขุ่นเคืองใดอีก ก็เข้าสู่ช่วงสอบมิดเทอมสุดหรรษา ไอ้ซันคร่ำเคร่งกับการอ่านสอบ ในขณะที่ผมลอยชายไปวันๆ อ่านทวนก่อนเข้าสอบหนึ่งชั่วโมง ไม่หวั่นแม้โดนซันด่าปนแช่งให้ผมสอบไม่ผ่าน ต้องเข้าใจนะว่าวิชาพื้นฐานส่วนใหญ่ผมเรียนมาแล้วตอนม.ปลาย พอจะมีความรู้หลงเหลืออยู่ในหัวบ้าง ส่วนวิชาเอกก็ไม่ค่อยเท่าไร เน้นความเข้าใจกับงานปฏิบัติมากกว่า ที่หนักคงเป็นวิชาเลขกับวิทย์ที่ต้องทวนความจำกันหน่อย
อันนี้ต้องให้ซันช่วยติว มันเก่งมาก สมกับสาขาที่มันเลือกเรียน แต่ถนัดกับสอนมันคนละเรื่อง งานนี้สอนให้รู้ว่าการเป็นครูหรืออาจารย์ไม่ใช่เรื่องง่าย พูดให้คนอื่นเข้าใจแบบเดียวกับตัวเองเนี่ย ดูไอ้ซันเป็นตัวอย่าง
“กูบอกว่าตรงนี้คิดแบบนั้นไงวะ” มีความฉุนเฉียว ผมก็ขมวดคิ้วฉับ
“ตรงนี้ นั้น นู้นเชี่ยอะไรของมึง สอนภาษาคนที ไม่ใช่ภาษาควาย” ด่ามันไปแบบนี้โดนโบกสิครับ จะเหลือเรอะ!
“กูอุตส่าห์สละเวลาอ่านหนังสือมาสอนมึง มึงพูดกับกูแบบนี้เหรอวะ” มีแอบน้อยใจ ผมเลยปรับเสียงอ่อนลง
“ก็กูไม่เข้าใจที่มึงพูดนี่ เทคนิคที่มึงบอกมันอาจจะง่ายสำหรับมึง แต่หัวอย่างกูเข้าไม่ถึงว่ะ วันๆ บริหารแต่สมองซีกขวา กูขอแบบง่ายๆ ไม่ต้องใช้ทางลัดอะไรมากได้ไหม” ผมอ้อนมันที่ยืนเป็นครูโฉดอยู่ด้านข้าง
เผื่อคนไม่เข้าใจ การทำงานของสมองแบ่งออกเป็นสองส่วน สมองซีกขวาเป็นการคิดสร้างสรรค์ ส่วนสมองซีกซ้ายจะเป็นการใช้เหตุและผล ความจริง ปกติคนเราก็ใช้ทั้งสองด้านสลับกันไปมาแหละ เพียงแค่ผมใช้ซีดขวามากกว่า ตรงข้ามกับซันที่เน้นซีกซ้าย
สาระก็มา แต่มันไม่ได้เอาไปสอบไง ผมเลยต้องก้มหน้าติวกับซันต่อไป
“เออๆ เข้าใจแล้ว” ซันพยักหน้ารับ นึกปลงกับสมองเมีย เริ่มทวนใหม่ตั้งแต่ต้น โดยใช้วิธีปกติที่แสนจะยาวยืดน่าเบื่อสำหรับเจ้าตัว กระทั่งซันปล่อยให้ผมลองทำโจทย์เองนั่นแหละ ผมดันนึกอีกเรื่องขึ้นมาได้ตามประสาคนอยู่ไม่สุข สมองโลดแล่นไปไกลแสนไกล
“เอ้อมึง โต๊ะเขียนแบบกูอะ มึงบอกว่าจะซื้อให้” ผมทวง เนียนอู้พักการใช้สมองชั่วคราว
ซันมองอย่างรู้ทัน “สอบเสร็จค่อยไปซื้อ แต่ถ้ามึงยังไม่เลิกออกนอกลู่นอกทางจะไม่ซื้อให้แม่งละ เก็บตังถอยเองไปเลย” คนอย่างซันพูดจริงทำจริงเสมอ ผมเลยเพ่งทุกประสาทสัมผัสใส่โจทย์ตรงหน้า ทุ่มเทประดุจว่าจะฝึกซ้อมไปคว้าแชมป์ แม้สุดท้ายจะทำได้แค่โจทย์ง่ายๆ ไม่มีความซับซ้อนมากก็ตาม
ครูจำเป็นถอนหายใจอย่างยอมแพ้ ผมหัวเราะสบายใจที่พ้นนรกสักที อย่างน้อยๆ ผมก็ทำได้นะ ดีกว่าปล่อยกระดาษขาวโล่ง ส่วนคะแนนจะผ่านเกณฑ์ไหมค่อยลุ้นกันตอนหลังสอบอีกที
มาต่อกันด้วยวิชาฟิสิกส์ อันนี้ยังเข้าใจง่ายกว่าเลขเยอะ เน้นการแทนค่าเป็นหลัก ขอแค่จำค่าและสูตรได้ ที่เหลือก็พอไปรอดแล้ว อาจจะมีบ้าง บางจุดที่ผมไม่เข้าใจจริงๆ ก็จะเดินข้ามห้องมาถามซัน พอดีช่วงสอบเราต่างคนต่างอ่านในห้องตัวเองเพื่อสมาธิอันสูงสุด เพราะผมเป็นพวกชอบอ่านออกเสียง ไอ้ซันมันรำคาญเลยหนีเข้าห้องแถมไล่ผมไปไกลๆ ส้นก่อนที่มันจะหมดความอดทน แม่งฮาร์ดคอตลอด
แต่ความพ่อบ้านของมันก็ยังไม่หายไปนะ บังเอิญว่าวันนี้เรามีสอบทั้งคู่ ผมสอบเช้าเย็น ส่วนซันสอบแค่ช่วงเช้าและที่บังเอิญกว่านั้นคือฝนเสือกตก! ที่สำคัญผมตากผ้าไว้เต็มราวเลย ทีนี้ทำไงล่ะครับ ผมรีบคว้ามือถือกดโทรหาซันยิกๆ ตั้งแต่เห็นเมฆตั้งเค้า ไม่กลัวว่ามันจะดังในห้องสอบหรอก ในเมื่อซันจะปิดเครื่องทุกครั้งเวลาเข้าสอบ แล้วเปิดอีกทีตอนสอบเสร็จ ซึ่งตอนนี้โทรติดแค่ยังไม่มีคนรับ
“โทรไปขอกำลังใจจากผัวหรอมึง” วาจาหมาไม่แดกเช่นนี้ ไอ้แม็คเพื่อนผมเอง
“ผัวที่หน้า! กูตากผ้าไว้เว้ย จะโทรไปสั่งให้มันเก็บผ้า”
“เวร!! กูตากผ้าเหมือนกันนี่หว่า” แม็คถึงกับสะดุ้งเฮือก ของมันอยู่ห้องคนเดียว เมียไม่มาหาช่วงสอบ ชะตากรรมมันคงไม่พ้น...
“กูพนันว่าพรุ่งนี้ไอ้แม็คได้ใส่ตัวเก่ามาสอบแน่” อาร์ทเงยหน้าขึ้นจากสมุดมาซ้ำเติมเพื่อน
“กูไม่ขอพนันแล้วกัน เพราะเป็นแบบนั้นชัวร์ๆ” ผมหัวเราะเยาะใส่แม็คที่กำลังล็อคคออาร์ทให้ดมจักกะแร้ หวังว่าสิ่งที่มึงอ่านไปจะไม่หายไปเพราะกลิ่นเต่ามันนะเพื่อน
/มีไร/ รับสายสไตล์ซัน
“มึงรีบกลับห้องด่วนๆ กูตากผ้าไว้ ไม่งั้นพรุ่งนี้มึงได้ใส่กางเกงในขึ้นราแน่” บนราวส่วนใหญ่เป็นเสื้อของมันซะด้วย ของผมยังมีสำรองเลยไม่เดือดเนื้อร้อนใจเท่าไร
/เหี้ย!/ นั่นล่ะครับท่านผู้ชม ตอบรับคำเดียวพร้อมวางสาย คาดว่ามันคงกำลังบึ่งกลับห้องสุดชีวิต วันนี้ดันไม่ขับรถมาด้วยไง
พอโทรไปใช้งานซันแล้วก็โล่งใจไปเปราะหนึ่ง ทันไม่ทันขึ้นอยู่กับชะตาฟ้าลิขิต ตอนนี้ผมขอเข้าห้องเชือดก่อน
ผมใช้เวลาทำข้อสอบแค่ครึ่งชั่วโมง ที่เหลือนอนกระดิกเท้ารออาจารย์ปล่อยออกจากห้อง การสอบมหา’ลัยต้องจดตารางเองจากในเว็บของมอ แล้วไปสอบตามวันเวลาและเลขห้องที่ระบุไว้ ระยะเวลาในการทำข้อสอบก็ต่างไปตามวิชา น้อยสุดสองชั่วโมง มากสุดคือสาม แต่อาจารย์จะให้ออกก่อนหมดเวลาครึ่งชั่วโมง ป้องกันพวกเขียนชื่อแล้วออกไปส่งเสียงเอะอะด้านนอกรบกวนคนอื่นสอบ ก็ไม่ใช่ทุกมหา’ลัยที่เป็นแบบนี้ แล้วแต่ที่ว่าเขามีกฎรับมือกับนักศึกษายังไง
ไหนๆ ก็ไหนๆ กระดาษเขียนคำตอบยังว่าง ผมเลยใช้เวลาที่เหลือวาดรูปเล่นมันซะเลย ของแบบนี้วาดได้แค่บางวิชานะ วิชาไหนอาจารย์โหดๆ วาดไม่ได้ ประเดี๋ยวคะแนนจะติดลบแทน
รอจนอาจารย์ปล่อย ผมก็วาดการ์ตูนขอความเห็นใจอาจารย์ยศเสร็จพอดี คว้าอุปกรณ์การสอบคือปากกาน้ำเงินแท่งเดียวพร้อมกระเป๋าเป้ออกจากห้อง ไม่คิดรออีกสองตัว เพราะแม็คมันนั่งทำข้อสอบหน้าเครียด ส่วนอาร์ทหลับน้ำลายยืดเปียกข้อสอบ ขนาดอาจารย์ปลุกก็ยังไม่ตื่น ความพยายามในการช่วยชีวิตกระดาษคำตอบจึงหมดไป ผมขอร่วมยืนไว้อาลัยให้แก่อาจารย์ยศนะครับ ตรวจไปคงเหม็นน่าดู
เปิดประตูออกจากห้องสอบปุ๊บ เสียงฝนสาดกระหน่ำทำให้ผมใจแป้ว แต่จำใจขอถุงพลาสติกจากร้านอาหารใต้ตึกมาคลุมเป้แล้ววิ่งฝ่าสายฝนกลับห้อง เคราะห์ซ้ำกรรมซัด ระหว่างทางไม่ได้โรยไปด้วยเม็ดฝน แต่ดันเป็นรถของคนคุ้นหน้าคุ้นตา เก้าจอดรถเทียบข้างเปิดกระจกคุยกับผมที่เปียกยันกางเกงในแม้ตอนนี้จะหลบอยู่ในร่มรอรถมหา’ลัยก็ตาม
“โป้ทำไมตากฝนงี้ ให้ไปส่งมั้ย” เสียงยังนุ่มเหมือนเคย แต่ไม่ใช่ประเด็น เพราะผมกำลังถลึงตาใส่ไอ้พวกที่นั่งอยู่ในรถเก้า ผมจำหน้าได้ พวกมันทุกตัวเคยมีเรื่องกันหน้าผับพ่อมิท
“ไม่ล่ะ เปียกแล้วนั่งรถไปก็ไม่มีประโยชน์ ขอบคุณที่ชวนแล้วกัน” คติผม ดีมาดีกลับ เลวมามีเตะ โดยเฉพาะไอ้คนที่นั่งข้างคนขับ อาศัยว่าเก้าไม่เห็น ทำเบะปากแกล้งพูดตามผมกับเพื่อนด้านหลัง
“งั้นเราไปนะ เปลี่ยนใจอยากให้ไปส่งก็โทรมา ถ้ายังไม่ลบเบอร์เราอะนะ” เจ้าตัวยิ้มให้ทั้งที่แววตาแสดงความเสียดายชัดเจน ความจริงมันก็ไม่สนิทใจกันร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก คนมันเคยชอบ จะมีเยื่อใยก็ไม่แปลก แต่ผมไม่อยากมีปัญหากับซัน ถือว่าต่างคนต่างอยู่แล้วกัน
“ถ้าคิดโทรจริงกูโทรหาซันดีกว่ามั้ง” ผมตอบเสียงเรียบ เก้าหน้าเสียในขณะที่พวกเพื่อนแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาชัดเจน คือผมก็ไม่อยากใจร้าย แต่ตัดบัวอย่าเหลือใย ผมไม่อยากให้ความหวังใคร “จริงสิ เก้ามึงระวังตัวไว้หน่อยก็ดีนะ ไม่แน่ เร็วๆ นี้อาจจะซวยเพราะเพื่อน” ผมเตือนด้วยความหวังดี จงใจมองเลยว่าเพื่อนตัวไหน
เก้าพยักหน้าทั้งที่ดูงุนงง แต่ก็ยังอุตส่าห์ขอบคุณ แม้ผมจะหาเรื่องเพื่อนมันต่อหน้าก็ตาม “ขอบคุณที่เตือน ไว้เจอกันนะ” เจ้าตัวยิ้มโบกมือลา จังหวะที่กระจกกำลังปิด เก้าหันไปสนใจถนนด้านหน้า ผมบรรจงยกมือขึ้นมาแล้วเก็บที่ละนิ้วจนเหลือเพียงนิ้วเดียวพร้อมยิ้มยียวนอย่างสะใจ เมื่อเห็นไอ้พวกเชี่ยเต้นเป็นเจ้าเข้า ส่งเสียงด่าทะลุกระจกรถ ทำท่าจะลงมาเอาเรื่อง เก้าเลยรีบเหยียบคันเร่งจากไป พวกมันเลยได้แต่มองอย่างอาฆาตแค้น
มั่นใจได้เลยว่าหลังจากนี้พวกมันต้องมาหาเรื่องผมอีกแน่ แต่ใครจะสน ในเมื่อเหม็นขี้หน้ากันอยู่แล้ว ไม่ช้าก็เร็วต้องมีเรื่องกันชัวร์ๆ ผมแค่เร่งเวลาจะได้ไม่ต้องรอลุ้นนานเท่านั้นเอง