Episode 22
หากว่ามันคือความแค้น
ผมคงกำลังถูกเอาคืนอย่างสาสม "ธงทัพ ถามจริงๆ ทำไมชอบทำเหมือนกูเป็นเด็ก"
"ไม่รู้ แต่ในสายตากู มึงดูเหมือนเด็ก"
"ตรงไหน"
"ชอบทำให้เป็นห่วงมั้ง"
"ความคิดมึงเหมือนคนแก่มากกว่า เลยมาหาว่ากูเป็นเด็ก"
"เดี๋ยวก็เตะไปนู่น"
"แล้วมึงว่า เมื่อไรที่คนเราจะเติบโตขึ้น"
"เมื่อมึงให้อภัยคนที่คิดว่าชาตินี้จะโกรธไปตลอดชีวิตได้ ประมาณนั้นมั้ง"
"ทำไมต้องให้อภัยด้วย"
"แล้วจะโกรธกันไปเพื่ออะไร"
"ไม่รู้...ช่างเถอะ"
"ถ้าให้อภัยไม่ได้ ก็มีอยู่สองอย่างระหว่างยังโกรธมาก กับ ยังรักมาก"
"มึงพูดถึงใครเนี่ย?"
"คนที่มึงคิดว่าจะโกรธไปตลอดชีวิตไง"
"กูไม่มีคนๆ นั้นอยู่ในความคิดซะหน่อย"
"กูว่ามีนะ"
"ไม่มี!"
"เออ มีหรือไม่มีก็ไม่รู้ แต่กูไม่อยากให้เป็นแบบหลัง"
"..."
"เลยอยากให้มึงให้อภัยมันซะ...ถ้าทำได้"
"ติ๊ง!"
เสียงจากมือถือปลุกผมให้ตื่น ลืมตาขึ้น แล้วก็หลับลงไปอีกเพราะเปลือกตาที่หนักอึ้ง ใช้เวลาตั้งสติครู่หนึ่ง ก่อนจะลืมตาขึ้นอีกที สิ่งแรกที่มองเห็น คือผ้าม่านสีขาวที่ทำให้แสงจากด้านนอกส่องสว่างเข้ามาได้ง่าย
ผมยังไม่อยากลุก จึงนอนจมอยู่ในผ้าห่มผืนหนาภายใต้อุณหภูมิแอร์ที่เย็นกำลังดี วางสายตาไว้ที่ผ้าม่านสีขาวอยู่อย่างนั้นโดยไม่ได้คิดอะไร
"ติ๊ง!"
เผลอสะดุ้งนิดหนึ่งเมื่อได้ยินเสียงจากมือถืออีกครั้ง ความเฉื่อยชาเป็นผลพวงจากการเมาค้าง ผมยกมือที่เหมือนไม่ค่อยมีแรงหยิบมือถือขึ้นมาดู ในตอนนั้นสติก็พลันพุ่งเข้าใส่เมื่อเห็นนาฬิกาที่หน้าจอบอกเวลาว่าเลยเที่ยงวันไปแล้ว
ละความสนใจจากนาฬิกาไปดูการแจ้งเตือนจากไลน์ ที่เพิ่งได้รับข้อความจากธงทัพสามสี่ประโยค
"อยู่ไหน"
"แม่บอกมึงไม่ได้ไปนอนที่บ้าน"
"กลับบ้านเหรอ"บ้านในประโยคสุดท้ายนั่นหมายถึงบ้านของผม ที่นานๆ ครั้งผมจะกลับไปที่นั่นบ้าง ผมยันตัวเองขึ้นลุกแล้วตอบกลับไปสั้นๆ
"อือ อยู่บ้าน"
ไม่รู้ว่าทำไมผมจึงเลือกโกหก
เพราะตอนนี้ผมอยู่ที่บ้านนาวี แม้ผ่านค่ำคืนเมาหนักแต่อยู่ในระดับที่พอจำความได้ จึงรู้ตัวว่าตื่นมาที่ไหน แต่ไม่ได้บอกให้ธงทัพรู้ อาจเพราะในเวลานี้ สมองผมอื้ออึงไม่มีความคิดอื่น เลยคิดเอาเองว่ามันดีแล้วที่ไม่ได้พูดความจริง กลัวธงทัพจะไม่พอใจหากรู้ว่าผมมานอนที่นี่ จึงตัดปัญหาด้วยวิธีโง่ๆ ไป ก่อนอีกฝ่ายจะตอบกลับมา
"โอเค"
"ก่อนกลับอย่าลืมบอกแม่กูด้วยนะ เขาเป็นห่วง"
"ขับรถดีๆ"
ผมส่งสติกเกอร์ตอบกลับแทนคำพูด ก่อนลุกออกจากที่นอน ในจังหวะที่กำลังจะยกมือเปิดประตู คนจากข้างนอกก็เปิดขึ้นเสียก่อน นาวีที่เป็นคนเปิดประตูเข้ามาก็ดูตกใจนิดหนึ่งที่ผมยืนอยู่ตรงนี้พอดี ผมที่ยกมือค้างอยู่ก็อาการเดียวกัน ลดมือนั่นลงแล้วยิ้มฝืดๆ แก้เก้อ
"ตื่นแล้วเหรอ ออกไปซื้อแปรงสีฟันมาให้"
"อ๋อ ขอบคุณ..." ผมรับแปรงสีฟันนั่นมา แล้วถอยหลังกลับเข้ามาในห้อง นาวีไม่ได้ตามมาด้วยแต่ยังยืนอยู่ที่หน้าประตู
"เสื้อผ้ามึง กูซักให้แล้วแต่ยังไม่แห้ง ใส่ของกูไปก่อนนะ"
"อือ"
"ในตู้นะ หยิบเอาได้เลย"
"อือ"
"กูรอข้างล่างนะ"
"อือ"
ผมทำได้แค่ตอบกลับสั้นๆ พร้อมพยักหน้ารับ ก้มมองเสื้อผ้าที่สวมอยู่ก็พบว่ามันเป็นของนาวี เมื่อคืนผมอาบน้ำแล้วก็เปลี่ยนมันด้วยตัวเอง
ผมจำความเรื่องเมื่อคืนได้ แต่ไม่ทั้งหมด เพราะกลายเป็นคนพูดเยอะในตอนที่แอลกอฮอล์ออกฤทธิ์ ผมจึงจำไม่ได้ว่ามีบทสนทนาอะไรเกิดขึ้นบ้าง แต่ระยะห่างระหว่างผมกับนาวี เรื่องนั้นรู้ตัวดี ผมนอนบ้านนาวี แต่ไม่ได้นอนกับนาวี เราไม่ได้นอนด้วยกัน
หลังจากอาบน้ำเสร็จ ผมเดินออกจากห้องเพื่อไปหานาวี แต่ไม่เห็นว่าเขาอยู่ที่ไหน เมื่อกวาดสายตามองไปรอบๆ บ้านที่อดีตคุ้นเคยดี บางอย่างเปลี่ยนไป บางอย่างก็อยู่ที่เดิมไม่ขยับเลย อย่างกีตาร์ตัวนั้นที่พ่อนาวีชอบเล่น หรือแม้แต่แก้วลายดอกไม้ใบโปรดของแม่นาวี
สายตาผมเลื่อนมองพลางนึกถึงบางเรื่องที่ผ่านมาแล้ว ก่อนสายตาไปหยุดอยู่ที่รูปถ่ายของพ่อกับแม่นาวี
ได้เจอกันครั้งสุดท้าย...เมื่อไรนะผมวนเวียนคิดไปถึงครั้งสุดท้ายที่ได้พบหน้า ความรู้สึกโหยหาช่วงเวลาในอดีตก็เกิดขึ้นในตอนนั้น และที่ผสมปนเปกันก็คงเป็นความรู้สึกเสียใจ
ขอโทษที่ไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้ว่าพวกเขาจากไปเมื่อไร ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น....
"อุบัติเหตุ"
"..."
"เกือบสี่ปีได้แล้ว"
นาวีเดินเข้ามาโดยที่ผมไม่ทันรู้ตัว คำพูดที่เอ่ยขึ้นมาเอง ตอบคำถามในใจของผมจนกระจ่าง ผมหันมองตัวหนังสือที่ระบุอยู่บนรูปภาพ วันที่พ่อกับแม่นาวีจากไปเป็นวันเดียวกัน การสูญเสียเกิดขึ้นพร้อมกันซ้ำยังรวดเร็วไม่มีเวลาตั้งตัว ผมเผลอตั้งคำถามในใจ นาวีผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ยังไง หรือไม่บางที...ช่วงเวลาเหล่านั้นมันอาจจะยังไม่ได้ผ่านไป
"ไม่รู้ว่าจะอยู่ด้วยกันได้นานแค่นั้น"
"..."
"จะได้บอกรักให้มากกว่าที่ผ่านมาสักหน่อย"
"ขอแค่ย้อนเวลากลับไปได้..."
"ถ้าย้อนเวลากลับไปได้..."
เราหันมองหน้า ในตอนที่พูดออกมาพร้อมกันด้วยถ้อยคำที่คล้ายคลึงจนแทบเป็นประโยคเดียวกัน อาจเพราะต่างคนต่างเข้าใจความรู้สึกนั้นดี นาวีขยับมุมปากขึ้นยิ้มจางๆ
"กูคงจะกลับมาหาพ่อแม่บ่อยกว่านั้น"
"กูก็คงจะทำตัวกับแม่ให้ดีกว่านั้น"
"เข้าใจแล้วใช่ไหม ว่าทำไมวันนั้นกูถึงปล่อยมือ"
ผมเงียบ คิดไปถึงวันนั้นอีกครั้ง
เรื่องในอดีตกับปัจจุบันปนเปกันจนความคิดยุ่งเหยิง ผมเข้าใจนาวี เหมือนว่าตัวเองได้กลายไปยืนในจุดที่นาวีเคยยืน นาวีไม่ได้อยู่ด้วยในวันที่แม่ผมตายและผมไม่ได้รับรู้อะไรเลยในวันที่พ่อกับแม่นาวีจากไป รวมถึงเรื่องราวระหว่างผมกับธงทัพและการไม่ยอมรับของลุงวุธ ที่ผมกำลังเผชิญอยู่ ดูเหมือนว่านาวีจะผ่านมันมาทั้งหมด
และหากว่านี่คือความแค้น ผมคงกำลังถูกเอาคืนอย่างสาสม...
"แต่ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ กูจะไม่ทำแบบนั้นนะ"
"หมายถึง?"
"ไม่ปล่อยมือ"
"ต่อให้ย้อนกลับไปได้ ก็จะเริ่มต้นใหม่แบบนั้นเหรอ"
นาวีพยักหน้ารับ
"แต่ตอนจบคงไม่ใช่แบบนั้น"
ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ เพราะเอาแต่ก้มหน้าคิด ผิดตรงที่มันไม่ใช่ความโกรธแค้น เป็นแค่เพียงความไม่เข้าใจที่ถูกปล่อยทิ้งเอาไว้จนเนิ่นนาน ที่ผ่านมาผมก็ห่วงแต่ตัวเองว่าจะเจ็บปวดแค่ไหน ไม่ได้สนใจว่านาวีจะบอบช้ำเหมือนกันหรือเปล่า จมปลักอย่างโง่เขลากับความทรงจำที่เว้าแหว่ง เสียเวลาโกรธเคืองกันยาวนานอย่างนั้นเพราะความไม่เดียงสาจากวัยเด็ก ถูกทั้งหมดอย่างที่ธงทัพเคยบอกผม...จะโกรธกันไปเพื่ออะไร
"ภูผา"
"..."
"เมื่อไรมึงจะหายโกรธกูเหรอ"
"..."
"เราอย่าวิ่งหนีกันอีกเลยนะ"
"..."
"กูขอโทษ"
ผมพยักหน้ารับ ความปรารถนาของตัวเองก็เป็นไปเช่นนั้น แม้รู้ดีว่าผมกับนาวีคงไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อย่างวันนั้น แต่อย่างน้อยเราก็จะได้ไม่ต้องวิ่งหนีทุกทีที่เจอกัน เราจะยิ้มให้กัน เรียกชื่อกันโดยไม่ต้องฝืนใจ ปล่อยวางเรื่องระหว่างเราและให้อภัยซึ่งกันและกัน
"ขอโทษเหมือนกัน"
อาการบอบช้ำจากความทรงจำเลวร้ายคล้ายกำลังถูกเยียวยาจนผมเองเริ่มไม่รู้สึกเจ็บปวดเมื่อต้องมองย้อนกลับไป และผมหวังว่าวันหนึ่งนาวีจะหายดีเช่นกัน
"งั้นกูกลับก่อนนะ"
นาวีพยักหน้ารับ ก่อนผมจะเดินออกมานอกบ้าน
"เออ กุญแจรถอยู่หน้าทีวี"
นาวีเดินกลับเข้าไปหยิบกุญแจให้ ระหว่างที่ผมก้มหารองเท้าของตัวเองแต่ไม่มี คนที่เดินตามออกมาเอ่ยปากพูดขำๆ
"เมื่อคืนมึงไม่ได้ใส่รองเท้ามานะ"
ไม่มีปฏิกิริยาใดตอบกลับ นอกจากยืนนิ่งแล้วรำลึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน ผมไม่รู้ตัวเองถอดรองเท้าไว้ที่ไหน เดินกลับไปหาจนทั่วชายหาดก็ไม่เจอ เลยต้องเท้าเปล่ากลับบ้าน และถ้าจำไม่ผิด...
"กูเดินเท้าเปล่าเข้าเซเว่นด้วยใช่ไหม"
"มึงเข้าไปซื้อนมช็อกโกแลต"
ผมถอนหายใจไว้อาลัยให้วีรกรรมจากความเมาของตัวเอง นาวีหลุดหัวเราะอย่างกับเป็นเรื่องตลกที่สุดในชีวิต
"เอาของกูใส่ไปก่อนสิ"
"ไว้เอามาคืนพร้อมเสื้อผ้านะ"
"เราเจอกันอีกได้ใช่ไหม"
ผมพยักหน้ารับ เอ่ยบางคำโต้ตอบกลับไป คำที่ไม่เคยคิดว่าจะได้พูดกับนาวีอีกครั้งหนึ่ง
"ไว้เจอกันนะ" เมื่อเปิดประตูรถเข้าไปนั่งก็หันไปเห็นนมช็อกโกแลตแพ็คหนึ่งวางอยู่ที่เบาะข้างคนขับ พลันเหตุการณ์เมื่อคืนก็พุ่งเข้ามาในหัว ละอายใจแต่ทำได้แค่หัวเราะกับตัวเองอยู่ในลำคอเบาๆ
"กูจะซื้อนมช็อกโกแลตไปฝากธงทัพ ถ้ามันรู้ว่ากูเมานะ มันด่าตายเลย ต้องเอานมช็อกโกแลตไปปิดปากมัน" ผมอยากรีบกลับไปหาธงทัพ แล้วถามมันสักครั้ง...ว่าตอนนี้ผมดูโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นบ้างหรือยังนะ
...
ไม่มีอะไรผ่านไปเร็วเท่าวันหยุดยาว ผมใช้เวลาในวันหยุดไปอย่างคุ้มค่าที่สุดด้วยการพักผ่อนอย่างเต็มที่ แต่ธงทัพไม่ได้หยุดเลย ตั้งแต่ถูกเรียกกลับมาทำงานในวันนั้น ซ้ำยังงานเยอะจนไม่มีเวลาพัก ตั้งแต่เปิดงานเราจึงยังไม่ได้เจอกันเลย ทำได้แค่โทรหากันเท่าที่ธงทัพพอจะมีเวลาว่าง
(ย้ายมาอยู่ด้วยกันเถอะ)
เป็นครั้งที่สามในรอบสัปดาห์ที่ธงทัพชวนผมไปอยู่ด้วย และผมยังคงปฏิเสธด้วยเหตุผลเรื่องการเดินทาง
"มันไกลที่ทำงาน จะให้ทำยังไง"
(งั้นก็ย้ายที่ทำงาน)
"วันเสาร์ค่อยเจอกันก็ได้ เดี๋ยวกูไปหามึงเอง"
(วันเสาร์นี้มีงานว่ะ)
"อ้าวเหรอ"
(เย็นวันศุกร์ กูอาจจะไปหา ถ้างานเสร็จนะ)
"ถ้าเหนื่อยก็ไม่ต้องมาก็ได้"
(ไม่อยากเจอหน้ากูหรือไง)
"ไม่ใช่แบบนั้น"
(ไม่คิดถึงกูบ้างเลย)
"ใครบอกว่าไม่"
(ก็ไม่เคยบอกว่าคิด...)
"คิดถึง!"
ผมแทรกพูดคำนั้นก่อนธงทัพจะพูดจบประโยค อีกฝ่ายเงียบไปครู่หนึ่งก่อนผมได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ
"คิดถึงนะพี่ทัพ"
(ชอบพูดเพราะเวลากูจะงอน กูก็โกรธไม่ลงเลยเนี่ย)
"ไม่งอนนะ เดี๋ยวอาทิตย์หน้าค่อยเจอกัน"
(ก็ได้ แค่นี้นะ)
"เดี๋ยวดิ!"
(อะไร)
"มึงก็ไม่เคยพูดว่าคิดถึงกูเหมือนกัน"
(...)
"ไม่เคยพูดสักคำ"
(ไม่ใช่หน้าที่ของคนขี้เก๊ก)
"อ้าว! ธงทัพ! พี่ทัพ!"
ปลายสายกดวางไปก่อนโดยไม่สนเสียงเรียกของผม ปล่อยให้ผมส่งเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจอยู่คนเดียวก่อนหลุดยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้ เมื่อสถานะขยับ ความรู้สึกในใจก็อ่อนไหวง่ายกับคำพูดเล็กๆ น้อยๆ ผมดูเหมือนคนอ่อนหัดเรื่องความรักซ้ำยังหมดความสามารถในการกลั้นอาการเคอะเขินเหล่านั้น ทั้งที่เคยทำได้ดีกว่านี้ ผมจึงคิดว่าดีแล้วที่เราแยกกันอยู่ เพราะบางครั้งเมื่อเจอสถานการณ์เช่นนี้ ผมอาจต้องขอพื้นที่ส่วนตัวเพื่อใช้ในการหลบไปเขินบ้าง...
...
สุดสัปดาห์กำลังผ่านมา ผมกลับบ้านดึกนิดหน่อยในคืนวันศุกร์เพราะใช้เวลาเคลียร์งานที่ค้างให้เสร็จ ก่อนจะกลับห้องในตอนที่ฟ้าเริ่มมืด การจราจรในคืนวันศุกร์ยังคงแน่นขนัดผสมโรงกับฝนที่กำลังตกหนัก เป็นเหตุให้ท้องถนนดูแออัดกว่าปกติ ผมเป็นเพียงหนึ่งในจำนวนผู้คนมากมายที่ต้องการกลับบ้านจึงไม่มีทางเลือกมากนักนอกจากอดทนกับมันต่อไป
บนรถเมล์ที่ขยับไปได้ทีละนิด ผมได้ยินเสียงคนพูดกันว่าข้างหน้ามีอุบัติเหตุ รถจึงติดกว่าปกติ บางคนทำเสียงหงุดหงิดออกมาอย่างจงใจ บางคนเพิกเฉย บางคนก็ยังยิ้มได้อย่างอารมณ์ดีเพราะมีเพื่อนคุยด้วยข้างๆ เมื่อรถเมล์คันที่ผมนั่งเคลื่อนผ่านจุดเกิดอุบัติเหตุ ผมหันไปเห็นรถยนต์สภาพพังยับกับแสงไฟจากรถกู้ชีพ วินาทีเดียวที่หันมองก่อนหลีกเลี่ยงด้วยการหันไปทางอื่น คำว่าอุบัติเหตุส่งผลกระทบต่อจิตใจผมจนไม่กล้าที่จะหันมอง ผมได้แต่หวังว่าคนตรงนั้นจะปลอดภัยดี
ใช้เวลานานกว่าปกติ แต่ผมก็กลับมาถึงห้องแล้วตอนที่ฝนหยุดตกพอดี ผมจำได้ว่าธงทัพบอกจะมาหา หากว่าทางนั้นทำงานเสร็จ ผมรอจนถึงห้าทุ่ม ในตอนที่กำลังจะตัดสินใจเข้านอน อีกใจก็สั่งให้รอต่อไปอีก จนถึงเที่ยงคืน จนถึงตีหนึ่ง...
ผมนั่งมองหน้าจอมือถือที่ส่งไลน์ไปหาก่อนหน้านี้ ข้อความถูกอ่านแต่ไม่มีการตอบกลับ ผมหวังว่าธงทัพจะยุ่งมาก ไม่อยากให้มีเหตุผลอื่น เพราะผมกำลังเป็นห่วง มากกว่าที่เคยเป็น
ถอนหายใจเบาๆ ก่อนตัดสินใจโทรหา แต่ไม่ทันจะกดโทรออกประตูห้องก็เปิดเข้ามาเป็นเหตุให้เผลอสะดุ้ง
"ยังไม่นอนอีกเหรอภูผา"
ริมฝีปากผมขยับเป็นรอยยิ้ม ไม่รู้ว่าดีใจอะไรนักหนาแต่ว่าหุบยิ้มไม่ลงจนถูกอีกคนทัก
"ยิ้มอะไรขนาดนั้นวะ"
"กำลังเป็นห่วง..."
ผมพูดไม่ทันจบ ธงทัพก็ทิ้งตัวลงนอนบนโซฟา เอาหัวหนุนตักผม พร้อมเสียงบ่นยาวๆ
"โคตรเหนื่อยเลย ทำงานตั้งแต่เช้าไม่ได้พักกินข้าว แถมมีประชุมอีกงานด่วน เลิกประชุมห้าโมง ฝ่ารถติดกลับถึงออฟฟิศเกือบสองทุ่ม มานั่งทำอีกงานต่ออีก กูรู้สึกเหมือนกำลังจะตาย เออ กูอ่านไลน์แล้วแต่ลืมตอบ โทษที"
"เหนื่อยขนาดนี้ก็ไม่น่ามานี่เลย"
"ไม่ดีใจที่กูมาเหรอ"
"..."
"เห็นทำหน้าเป็นเป็ดเจอเจ้าของเลยนะเมื่อกี้"
"เป็ดอะไรมึง"
"เมื่อกี้มึงยิ้มปากฉีกถึงนี่เลย" ว่าแล้วก็ยกสองมือขึ้นบีบแก้มผมแล้วดึงให้มุมปากขยับออก
"กูก็ดีใจแหละ แต่ไม่อยากให้มึงเหนื่อย"
ธงทัพถอนหายใจทีหนึ่งแล้วลุกขึ้นนั่งมองหน้าผม
"ย้ายไปอยู่ด้วยกันเถอะ"
เป็นครั้งที่สี่...
"มึงไม่อยากอยู่กับกูเหรอ"
"ไม่ใช่"
"มึงกลัวไปทำงานลำบากแค่นั้นเหรอ"
"ก็มันไกล"
"งั้นกูมาอยู่กับมึงเองก็ได้"
"กูก็ไม่อยากให้มึงเหนื่อย"
"แล้วมึงจะเอาไง"
"ก็อยู่แบบนี้ไปก่อน..."
"แต่กูอยากอยู่กับมึงไง!"
ผมเผลอสะดุ้งตอนที่ธงทัพเสียงดังใส่ อีกคนก็เหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าเสียงดังเกินไป เกิดเป็นความเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ธงทัพจะเอ่ยคำขอโทษออกมาก่อน
"ขอโทษ วันนี้กูแค่เหนื่อยมาก เลยอยากให้มึงอยู่ใกล้ๆ"
"..."
"กูคงคิดถึงมึงมากไป"
คำว่าคิดถึงหลุดออกมาจากปาก ในสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวยให้เคอะเขิน กลับกลายเป็นความรู้สึกผิดแทนที่ปฏิเสธการชักชวนนั่นด้วยเหตุผลแค่นั้นมาตลอด ผมเพิ่งรู้ว่าตัวเองคิดผิด ทั้งที่ความจริงผมต่างหากที่เป็นฝ่ายโหยหาการอยู่กับธงทัพขนาดไหน
"กูไปอาบน้ำก่อนดีกว่า"
พูดจบก็ลุกออกไป ผมหันมองตามแต่ไม่ได้พูดอะไร ระหว่างที่ธงทัพอาบน้ำ ผมคิดอะไรหลายๆ อย่างไปพร้อมๆ กัน ผมจะย้ายไปอยู่กับธงทัพ หรือยอมให้ธงทัพย้ายมาอยู่กับผม หรือเราจะไปหาที่อยู่ใหม่ ที่ๆ เราทั้งคู่ไปทำงานสะดวก จะมีที่แบบนั้นสำหรับเราไหม หรือผมจะไปหางานใหม่ใกล้ๆ ธงทัพ ผมควรทำยังไง...เพื่อให้เราได้อยู่ด้วยกัน
เมื่อธงทัพอาบน้ำเสร็จก็ทิ้งตัวนอนลงบนที่นอนก่อนที่จะเช็ดตัวให้แห้งด้วยซ้ำ เมื่อรู้ตัวว่าถูกผมมองอยู่จึงหันมามอง เลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม
"โกรธกูหรือเปล่า"
"..."
"กูขอโทษ"
"ไม่เป็นไร นอนเถอะ" ธงทัพยกมือขึ้นโน้มใบหน้าผมเข้าไปจูบเข้าที่หน้าผากเบาๆ ก่อนเราจะไม่ได้พูดอะไรต่ออีก ใช้เวลาไม่นานอีกคนก็หลับไปก่อน ผมเลื่อนมือขึ้น ตั้งใจจะกอดธงทัพเอาไว้ แต่เปลี่ยนใจดึงมือตัวเองกลับมาก่อน
หลับตาลงช้าๆ แล้วตื่นขึ้นมาในอีกไม่กี่ชั่วโมงหลังจากได้ยินเสียงคนข้างๆ ลุกเตรียมตัวไปทำงานแล้วทั้งๆ ที่เพิ่งได้นอน มีความผิดปกติเล็กๆ น้อยๆ เกิดขึ้นในเช้านี้ ธงทัพไม่ได้บอกอะไรผมก่อนที่จะออกไป อาจเพราะเร่งรีบจนลืม และผมหวังว่าจะเป็นเพราะเหตุผลนั้น
ธงทัพไม่ได้บอกว่าเราจะเจอกันอีกวันไหน ผ่านวันหยุดสุดสัปดาห์ไปแล้วสองครั้ง ผมก็ยังไม่ได้เจอกับธงทัพอีกเลย กระทั่งวันศุกร์วนกลับมาอีกครั้ง ผมหวังว่าเราจะได้เจอกัน
(มีอะไรภูผา)
ผมได้ยินเสียงธงทัพเป็นครั้งแรกในรอบอาทิตย์ จากการตัดสินใจโทรหาเพื่ออยากขอให้ออกมาเจอกัน
"เจอกันได้ไหม"
(กูยังทำงานอยู่เลย)
"กูไปหาก็ได้"
(ไม่ต้องมาหรอก)
ผมเงียบ ไม่รู้ว่าจะถูกปฏิเสธกลับมาในทันทีแบบนั้น
(มึงมากูก็ต้องทำงานอยู่ดี งานเร่งต้องเสร็จวันนี้ กูจะได้กลับบ้านหรือเปล่ายังไม่รู้เลย)
"อ๋อ...โอเค"
(ไว้คุยกันนะ)
ธงทัพกดวางสายไปแล้ว ก่อนที่ผมจะเผลอถอนหายใจออกมาเบาๆ
แม้มันไม่ใช่ความโกรธแค้น แต่ผมรู้สึกว่ากำลังถูกเอาคืนอีกแล้ว...
ตอนที่ธงทัพร่ำร้องอยากมาเจอ ผมบอกปัด บ้างก็ผลัดไปเป็นวันอื่น เพราะคิดว่าการไม่เจอหน้ากันสักอาทิตย์คงไม่เป็นไร แต่พอถึงวันที่ตัวเองเป็นฝ่ายอยากเจอบ้างแล้วธงทัพทำในแบบเดียวกัน กลับกลายเป็นผมที่ทนไม่ได้
ก็ไม่ได้คิดว่ามันจะนานขนาดนี้...
"น้องภู"
"ครับ?"
"คืนนี้พวกพี่จะไปเที่ยวกัน น้องภูไปด้วยกันไหม ไม่ได้ไปด้วยกันนานแล้ว"
"วันนี้ผม..."
"อยู่กับธงทัพเหรอ"
"ครับ?"
"โอเคๆ ไม่รบกวนเวลา แต่ถ้าเปลี่ยนใจโทรมานะ"
"ครับ"
ผมตอบรับไปอย่างนั้น แม้ว่าความจริงไม่ใช่เลยก็ตาม แต่จะเรียกว่าโกหกก็ไม่ถูกนัก เพราะผมตัดสินใจที่จะไปหาธงทัพ ผมเพิ่งเข้าใจคำว่าคิดถึงมากไปของธงทัพในวันนั้น เพราะมันคือสิ่งที่ผมกำลังเผชิญอยู่ในวันนี้
...
ฝ่ารถติดไปซื้อของที่ธงทัพชอบกินหลายอย่าง ก่อนตรงไปที่ออฟฟิศธงทัพในตอนที่ฟ้ามืด ผมได้รับอนุญาตให้เข้ามาในตึกจากรปภ.ที่จำหน้าผมได้ ผมตรงไปที่ห้องทำงานของธงทัพซึ่งเปิดประตูค้างเอาไว้อยู่ ได้ยินเสียงพูดคุยในนั้นจากคนสองคน
"พี่ทัพ หิวอะ"
"ไปหาไรแดกสิ ใครล่ามมึงเอาไว้ล่ะ"
"ผมชวนพี่อยู่นี่ไง ไปเซเว่นกัน"
"ขี้เกียจลุก ไปคนเดียวได้ไหม"
"ก็ได้ พี่เอาอะไร กาแฟไหม"
"กินกาแฟตอนนี้เดี๋ยวก็นอนไม่หลับกันพอดี"
"โถ! คืนนี้จะได้นอนเหรอครับ กาแฟน่ะดีแล้ว"
"เอานมช็อกโกแลตมาให้กูด้วย"
"ขนมจีบกุ้งไหม ซื้อคู่กันลดเจ็ดบาทด้วย"
"เอามาสองอันเลย"
"ครับ"
ผมไม่ได้เข้าไปขัดบทสนทนานั่น กระทั่งคุยกันจบ ปอก็เดินออกมาจากห้อง ไม่รู้ทำไมผมจึงเลือกที่จะหลบ ก่อนที่ปอจะเห็น เมื่ออีกคนลงลิฟต์ไปแล้ว ผมจึงก้าวออกมาจากมุมเสาแล้วเข้าไปหาธงทัพ
"ลืมอะไร..."
คำพูดหยุดชะงักไปตอนที่หันมาเห็นว่าเป็นผม
"ภูผา"
"ซื้อของกินมาให้" ผมว่าแล้ววางสิ่งที่ซื้อมาในมือลงบนโต๊ะทำงาน
"กูเพิ่งฝากไอ้ปอซื้อไปเมื่อกี้"
"แค่นั้นไม่อิ่มหรอก"
ธงทัพพยักหน้ารับ...แค่นั้น
บรรยากาศไม่ปกติ ทุกอย่างไม่ปกติ ผมไม่ได้มาเพื่อให้เรามองหน้ากันไปมาแบบนี้เฉยๆ ท่ามกลางความเงียบนั้น ผมจึงถามบางคำออกไป
"ธงทัพ"
"..."
"มึงโกรธอะไรกูหรือเปล่า"
"แล้วทำอะไรผิดไว้หรือเปล่า"
"กูไม่ได้ทำอะไร..." ผมเถียงได้ไม่เต็มปาก ก่อนเป็นฝ่ายเงียบไปเอง ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัด ธงทัพยังคงมองหน้าผมด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ เรียบเฉยจนผมคาดเดาไม่ได้ ไม่รู้แม้แต่ว่าตัวเองควรจะพูดอะไรต่อไป
"มึงโกรธที่กูไม่ยอมย้ายมาอยู่ด้วยเหรอ"
"เป็นมึงจะโกรธไหมล่ะ"
"..."
"เรื่องแค่นั้นกูเข้าใจนะ แต่เรื่องอื่นกูไม่เข้าใจจริงๆ"
คำว่าเรื่องอื่นในประโยคนั้น เป็นเหตุให้คิ้วขมวดเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว เรื่องอื่นที่ไหน...เรื่องอื่นอะไร
"กูขอโทษ"
"เรื่องอะไร"
"กูไม่รู้"
"ไม่รู้แล้วขอโทษทำไม"
"กูไม่อยากให้มึงโกรธ"
"ไม่อยากให้โกรธแล้วทำไปทำไม"
ไม่เข้าใจเลยสักนิด...ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรเลยด้วยซ้ำ ความสับสนทำให้ผมเอาแต่เงียบอย่างไม่มีอะไรจะเถียง กระทั่งธงทัพก้มหยิบบางอย่างใต้โต๊ะแล้วส่งให้ ผมจึงเข้าใจ ความผิดที่เคยก่อเอาไว้ถูกจับได้อย่างไม่ทันตั้งตัว
"นาวีมันฝากเสื้อผ้ามึงมาคืน"
"..."
ขอโทษ...
ผมอยากพูดว่าขอโทษ อยากอธิบาย แต่ติดตรงที่ไม่กล้าเอ่ยขัดธงทัพที่กำลังแสดงความโกรธการกำมือแน่นคล้ายกำลังสงบสติอารมณ์ของตัวเองอยู่เช่นกัน ก่อนที่ผมจะได้เอ่ยคำนั้น อีกฝ่ายก็พูดขึ้นมาก่อน
"กลับไปก่อนเถอะ"
"ธงทัพ..."
"..."
"กูไม่ได้นอนกับนาวี หมายถึง...กูไม่ได้นอนด้วยกัน กูแค่ไปนอนบ้านมัน แต่ไม่ได้..."
"แล้วมันต่างกันยังไง"
"..."
"กูถามว่ามันต่างกันยังไง"
"..."
"ทำไมมึงไม่บอกกู"
"..."
"ทำไมมึงไม่พูดกับกูตรงๆ"
ธงทัพพูดพลางก้าวเท้าเข้ามาหา เป็นเหตุให้ผมต้องก้าวเท้าถอยหลังหนี รู้ตัวอีกทีผมก็ออกมาอยู่นอกห้อง เกิดเป็นความอื้ออึงอยู่ในหัวจนคิดอะไรไม่ออก ผมไม่รู้จะโต้ตอบกลับไปยังไง ไม่ต้องการให้ทุกอย่างมันแย่ลง แต่ความเงียบก็ไม่ได้ทำให้มันดีขึ้นเช่นกัน ผมแค่สับสน กำลังสับสน
"มึงเลือกโกหกกูก่อนนะภูผา"
ประตูถูกปิด ผมหมดสิทธิ์เข้าไปในนั้นอีกครั้ง ผมยังคงสับสน และนี่คงเป็นครั้งแรก...
ที่ธงทัพทิ้งผมเอาไว้กับความไม่เข้าใจ To be continued.