ปฐมลิขิต :: ในที่สุดก็ได้ฤกษ์อัพคู่รักโลกแตกคู่นี้เสียที
แต่ไม่มีอะไรคืบหน้าเลย เพราะคนเขียนก็ตันๆ เดี๋ยวมาใหม่นะ
เออ วันนี้ไชโยด้วยกันหน่อย ผมลงทะเบียนได้ทุกวิชา อ๊ากกก [เรียนได้มั๊ยอีกเรื่อง ]
คิดถึงเกรียนคนอ่านเว้ย !! สู้ๆ !!
มช. เปิดพรุ่งนี้ ฮ่อกกกก..Chapter 7 : Does the pain weight out the pride?..ผมนั่งชันเข่าขึ้นข้างหนึ่งริมประตู
บนเตียง.. ร่างบางของหนุ่มกอล์ฟยังคงมองมาอย่างไม่พอใจ
“สรุป นายจะไม่ต่อแล้วใช่ไหม?”
เขาถามงอนๆ
ผมจึงส่ายหน้าเบาๆ ดวงตายังคงเหม่อมองออกไปข้างนอกบ้าน..
“โอเค”
กอล์ฟยักไหล่ “ฉันจะได้ไปต่อ”
“อืม”
ผมครางรับ ขณะเขาแต่งตัว เดินลั้ลลากลับไปขึ้นรถตัวเองและซิ่งทิ้งห่างบ้านเช่าผมไป
“ขอโทษ..”.
.
คำๆนั้นยังคงดังก้องอยู่ในใจ
ทำไม..ทำไมกันนะ?
ทุกอย่างก็สำเร็จ..ลุล่วงด้วยดี
ไอ้หนุ่มได้รับกรรมที่มันก่อไว้แล้ว..
อย่าว่าแต่ผม แม้แต่ต้นไม้สายน้ำก็คงจะรับรู้ได้ว่าไอ้หนุ่มเจ็บปวดเพียงใดขณะนี้
สาสมกันแล้ว..
แต่ทำไมผมหมดแรง..ได้เพียงทรุดลงตรงนี้..
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
ผมไปเรียนตามปกติ..
ไม่แปลกใจที่ไม่เห็นแม้แต่เงาของอดีตเมีย
เพราะเราเรียนคนละแผนกกัน เจอกันเฉพาะเวลาเข้ากลุ่มเท่านั้น
ผมยังคงไปกินข้าว ไปเที่ยวกับไอ้ทัศน์ไอ้โกเมื่อมีเวลา แต่ก็ไม่เจอไอ้หนุ่มเช่นเดิม
มันน่าแปลกใจ..ที่เพื่อนที่เหลืออีกสองคนไม่ได้พูดถึงมันเลย..
ผมนั่งเช็ควิชาเรียนในอินเตอร์เน็ตไปมา
พลางคิดคำนึงในใจ.. เป็นสัปดาห์แล้วที่ไอ้ตูดหมึกนั่นหายหัวไป
ผมพยายามบอกตัวเองว่าผมไม่ได้เป็นห่วงมัน..
แต่..
..ผมไม่เจอมันเลยนะ
ผมลุกจากเก้าอี้ไปค้นรหัสผ่านในลิ้นชัก
ไอ้หนุ่มเคยขอให้ผมช่วยลงทะเบียนให้ ผมรู้ว่ารหัสอะไร ถ้าเพียงแต่ใบนั้นยังอยู่..
เศษกระดาษสีฟ้าสงบนิ่งอยู่ในลิ้นชัก ผมหยิบมาและล็อกอินเข้ารหัสนายณัฐพล..
เจ็ดวิชาที่ผมลงทะเบียนให้มันโชว์หราบนหน้าจอ..
เพียงแต่.. หลังทุกวิชามีตัวอักษร W กำกับอยู่..
มันคิดว่ามันกำลังทำอะไรของมัน!
.
.
ผมผุดลุกขึ้นหยิบโทรศัพท์มากด
แต่ก็ชะงัก
..ผมจะโทรทำไม
มันดร็อปเรียน.. ก็ช่างพ่อช่างแม่มันสิ
ถ้ามันจะทำลายอนาคตตัวเองเพราะเรื่องแค่นี้ ก็ถือว่ามันไม่มีหัวคิดเอง ช่วยไม่ได้..
ไม่ใช่ความผิดผมเลย..
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
“ใกล้สอบทำกูมึนตึ๊บหมดแล้วว่ะ ขี้เกียจก็ขี้เกียจ ไอ้หนุ่มก็ไม่อยู่ให้ถามอีก”
เสียงไอ้ทัศน์บ่นดังมาจากโต๊ะ
ผมเดินไปทางที่เพื่อนสองคนนั่งอยู่
“อ่าว ไอ้โจ นั่งๆ”
ไอ้โกชวน
“สอบวันไหนวะน่ะ”
“อืม ใกล้ละ ระยะเผาขน”
ผมตอบเบาๆ คอยฟังว่าไอ้ทัศน์จะพูดอะไรอีกไหม
แต่เพื่อนก็เงียบไป และไม่พูดอะไรอีก
“กูไม่ค่อยเข้าใจตรงนี้เลยว่ะ”
ไอ้ทัศน์บ่นอีกครั้ง
ผมหันไปมองมันนิ่งๆ มันต้องรู้สิว่าไอ้ตูดหมึกอยู่ที่ไหน!
“แล้วคนที่ติวให้มึงเป็นปกติไปไหนซะละ?”
ไอ้ทัศน์เงยหน้าขึ้นมองผมอย่างงงๆ แต่แล้วก็นึกได้
“ไอ้หนุ่ม?”
เออ.. ก็จะใครซะอีกล่ะ
ผมมองมันประมาณ ถามอะไรโง่ๆ
แต่ไอ้ทัศน์มองกลับมาแบบโง่กว่า “มึงไม่รู้เหรอโจ?”
อะไร..ไม่รู้อะไร
ผมไม่รู้อะไร?
ผมยักไหล่อย่างหงุดหงิดและไม่ใส่ใจ
“กูไม่รู้หรอกว่ามันไปมุดหัวอยู่ที่ไหน แต่ก็ไม่ใช่อะไรที่ต้องรู้จริงมั๊ย”
ไอ้ทัศน์ขมวดคิ้ว
“นี่พวกมึงยังทะเลาะกันอยู่?”
ผมไม่ตอบ..
ไม่อยากพูดถึงเรื่องนั้น
ยังไงก็จบกันแล้ว..
ไอ้ทัศน์พยักหน้าน้อยๆ แค่นหัวเราะ
“โอเค ไม่จำเป็นต้องรู้ก็ดีแล้ว กูก็คงไม่จำเป็นต้องบอกเหมือนกัน”
หน็อย..!
ไอ้เวรทัศน์!
“อ้าว มึงไม่รู้ว่าไอ้หนุ่มบวชเหรอโจ..”
เสียงไอ้โกแทรกขึ้นมาอย่างแปลกใจ
อะไร..อะไรนะ
“มันไปไหนนะ?”
ผมผุดลุกขึ้น
ไอ้โกตอบอีกทีอย่างงงๆ
“บวช”
.
.
บวช..
บวชเนี่ยนะ
“สิ้นคิด!”
ผมตวาดลั่น
“มันไม่รู้หน้าที่ตัวเองรึไง หน้าที่มันคือเรียน แต่เสือกดร็อปเรียนไปบวช”
“เฮ้ย ใจเย็นดิ กูว่ามันคงมีปัญหาอะไรสักอย่าง”
ไอ้โกลุกขึ้นมาตบไหล่ผมอย่างแปลกใจในความเดือดดาล
แต่ผมไม่หยุด
“ปัญหาอะไรก็เถอะ มันไม่ควรจะหนีแบบนั้นสิ ไอ้..”
ยังไม่ทันจะไอ้อะไร ทัศน์ก็สวนขึ้นมา
“มันไม่ได้หนี”
เพื่อนหนุ่มมองผมเข้มๆ
“ไม่ได้หนีงั้นเหรอ”
ผมมองตอบกลับไปด้วยอารมณ์คุกกรุ่น ในใจยังคงหวังให้นี่เป็นเรื่องล้อเล่น
“อีกเดือนนึงก็จะสอบอยู่แล้ว ถ้ามันดร็อปไปตอนนี้ มันต้องเรียนใหม่หมด และจบช้าไปปีนึง มันคุ้มกันรึไง ทำไมมันไม่ทน”
ไอ้ทัศน์ลุกขึ้นยืน
“มึงรู้งั้นเหรอว่ามันต้องทนกับอะไร มึงรู้ความเจ็บปวดของมันเหรอ”
“เออ กูรู้ กูก็เคยเหมือนกัน! มึงน่ะไม่รู้อะไรหรอกว่ะทัศน์”
ผมตวาด ไม่รู้ว่าไอ้ทัศน์รู้อะไรแค่ไหนและได้อย่างไร
แต่ตอนนี้มันเกินจะสะกดอารมณ์แล้ว
ผมอยากไปคว้าตัวไอ้หนุ่มมาเขย่าๆทุบๆแล้วปั้นใหม่เสียจริงๆ
“ใช่ กูไม่รู้อะไรหรอก”
ไอ้ทัศน์พยักหน้า
“ไอ้หนุ่มบอกกูแค่ว่ามันจะบวช และมันขออโหสิกรรมจากกูเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นที่มันมีกับมึง กูไม่รู้ กูรู้ว่ามีบางอย่าง แต่กูก็ไม่รู้หรอกว่าอะไร”
ไอ้ทัศน์ยังคงมองตาผม
“แต่กูรู้ว่ามันไม่ได้หนี จบช้าไปปีนึงแล้วทำไม ถ้าจบมาแล้วไอ้หนุ่มมันมีคุณภาพ ไอ้หนุ่มเป็นคนเก่ง แต่ในเมื่อวันนึง มันแค่เหนื่อยจนไม่ไหวแล้ว และมันอยากจะทำบุญ อยากจะขออานิสงส์ในการบวชช่วยให้มันมีแรง มีความสงบในใจ และขออโหสิกรรมจากสิ่งต่างๆ แล้วไอ้หนุ่มมันผิดมากไหม แล้วมึงเป็นอะไร? มึงมีปัญหาอะไร?”
ผม..
ผม..
ไม่จริง..ผมไม่เชื่อ
เราอยู่คนละโลกกันแล้วจริงๆหรือ?
ผมยืนขาชาอยู่ตรงนั้น..
“ไม่จริงใช่ไหม..”
ไอ้ทัศน์ไม่ตอบคำถาม เพียงแต่พูดเบาๆ
“วัดอุโมงค์”
ผมกลับหลังหันคว้ากุญแจรถทันที แต่ไอ้ทัศน์ย้ำเตือน
“โจ.. มึงจะยังไงก็เรื่องของมึง แต่อย่าลืมว่ามึงเป็นฆราวาส อีกฝ่ายเป็นภิกษุ..”
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
มันเป็นสิ่งที่ผมคุ้นเคย แต่บัดนี้ดูเหมือนมันไกลแสนไกล..
ร่างขาวในจีวรเหลืองยืนกวาดลานวัดอยู่
..ผมไม่อยากเชื่อเลย
เพื่ออะไร..
มันทิ้งทุกอย่าง..เพื่ออะไร..
ผมยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก..
ร่างที่อยู่ไกลออกไปไม่แสดงอาการรับรู้หรือเห็นผม
ผมทำได้เพียงยืนมอง..
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
ไม่รู้ทำไม..
คนไม่เคยเข้าวัดอย่างผม ถึงวนเวียนมาวัดทุกวันตั้งแต่วันนั้น
พระหนุ่ม..
พระหนุ่มกวาดลานวัด..พระหนุ่มให้อาหารไก่ ..พระหนุ่มนั่งสมาธิ..
เขาไม่เห็นผม ..แต่ผมเห็นเขา
ผมมองเขา..
ผมไม่รู้ว่าจะบาปไหมที่มองพระด้วยสายตาแบบนี้..
แต่ผมก็ละสายตาไปไม่ได้เลย..
พระหนุ่มเห็นผมเฉพาะตอนเช้าที่ผมตักบาตรให้เท่านั้น
..ข้าวของตักบาตรผมคงพิสดารมาก
แม้แต่อมยิ้มยังมีสารพัดรส..
พระหนุ่มไม่เคยพูดอะไร นอกจากให้ศีลให้พร..
ผมเองก็ไม่เคยพูดอะไร.. นอกจากหยิบของใส่บาตรและประนมมือไหว้..
แต่ในวันนี้..
พระหนุ่มพูดอย่างอื่นที่ทำให้ผมไม่สามารถลุกขึ้นจากพื้นได้..
.
.
"ความเจ็บแค้นของโยม..อาตมาขอบิณฑบาตได้ไหม..”ประโยคนั้นลอยผ่านสายลม..กระทบโสตประสาทผมอย่างจัง..ก่อนที่ร่างห่มเหลืองจะหันหลังเดินจากไป
ผมปวดร้าวในใจ..
แก้แค้นไป..แก้แค้นมา..สุดท้ายก็ไม่เหลืออะไรเลยสักอย่าง..
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
ขอได้รับความขอบคุณจาก..เกรียนน้อย