18
ซีอาร์วีป้ายทะเบียนกรุงเทพมหานครเลี้ยวเข้ามาจอดที่ใต้ต้นกัลปพฤกษ์ในเขตรั้วบ้านสีขาวเหลือง บ้านของเดือนสิบเป็นบ้านไม้สองชั้นหลังไม่เล็กไม่ใหญ่ทาสีขาวทั้งหลัง บริเวณรอบบ้านเต็มไปด้วยไม้ดอกไม้ประดับหลากชนิดที่เยอะจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นสวนดอกไม้ขนาดย่อม แต่ที่เห็นเด่นชัดสุดๆคงเป็นต้นกุหลาบขาวที่ปลูกเรียงกันอยู่ราวๆสี่ห้าแปลงใหญ่ซึ่งกำลังเริ่มออกดอกชูช่อ เยื้องไปทางด้านหลังอีกหน่อยจะเห็นกุหลาบหินหลายสิบต้นหรืออาจจะเป็นร้อยต้นที่ตั้งเรียงกันอยู่บนชั้นไม้ทาสีขาวเรียบๆ รวมถึงกระบองเพชรและไม้พันธุ์แคระชนิดอื่นๆอีกประปราย
“บ้านน่ารักดีจัง” เสียงทุ้มเอ่ยชมหลังจากลงรถมาแล้วกวาดสายตามองบริเวณโดยรอบอย่างคร่าวๆ เขาสูดเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าปวดเฮือกใหญ่ ก่อนจะเดินมาช่วยคนเป็นน้องขนของลงจากหลังรถ
“ขอบคุณครับ” เดือนสิบยิ้มรับ ก่อนจะเดินนำพี่เข้าไปในบ้าน เขาบอกให้อีกฝ่ายนั่งรอที่โซฟาก่อนจะเดินเข้าครัวไปเอาน้ำเย็นๆมาให้ ดวงตาเป็นประกาย ยามเปิดตู้เย็นแล้วเห็นขันน้ำใบใหญ่ที่ข้างในลอยดอกมะลิแช่เอาไว้ กลิ่นหอมอ่อนๆของมันเรียกรอยยิ้มถูกใจขึ้นมาประดับอยู่บนริมฝีปากได้รูป
“ทำไมบ้านเงียบจัง” ร่างสูงเอ่ยขึ้นเมื่อกวาดสายตามองโดยรอบแล้วไม่เห็นใครซักคน
“สงสัยเข้าไร่กันมั้งครับ พี่ยุทธดื่มน้ำก่อน” เดือนสิบว่าพลางยื่นขันน้ำลอยดอกมะลิไปตรงหน้าคนพี่ ยุทธนาเลิกคิ้ว มองของที่อยู่ในมือน้องก่อนจะรับขึ้นมาจิบเมื่อเจ้าตัวพยักพเยิดให้ลอง กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกมะลิบวกกับน้ำเย็นๆทำให้เริ่มรู้สึกผ่อนคลาย ความปวดเมื่อยจากการขับรถยาวนานกว่าหกชั่วโมงคล้ายจะค่อยๆจางไปทีละนิด
“เป็นไงครับ” มองคนเป็นน้องที่กำลังมองมาด้วยดวงตาเป็นประกาย เขายิ้มตอบแล้ววางขันน้ำลงตรงหน้า
“ชื่นใจ”
ได้ยินดังนั้นเจ้าบ้านก็ยิ้มกว้าง
“แม่ชอบน่ะครับ แช่ไว้ก่อนออกไปทำงานกลับบ้านมาจะได้มีน้ำหอมๆเย็นๆไว้ดื่มแก้เหนื่อย บางทีก็เอาน้ำยาอุทัยทิพย์มาหยดใส่มันจะกลายเป็นสีแดงๆดื่มแล้วเย็นๆแถมยังแก้ร้อนในได้อีกด้วยนะ พี่ยุทธเคยกินรึเปล่าครับ”
“ไม่หรอก แต่ฟังที่เราพูดแล้วชักอยากจะลองเหมือนกัน” คนเป็นน้องได้ยินอย่างนั้นก็หัวเราะร่วน ก่อนจะผุดลุกเดินหายเข้าไปในครัวชั่วครู่แล้วกลับออกมาพร้อมกับขวดอะไรซักอย่างในมือ
“นี่ครับน้ำยาอุทัยทิพย์ แต่อันนี้เป็นแบบสกัดเองตามภูมิปัญญาชาวบ้านนะ หอมชื่นใจกว่าซื้อจากตลาดเป็นไหนๆ” พรีเซ้นต์สรรพคุณเสร็จสรรพเจ้าตัวก็เหยาะมันลงไปในน้ำ กลั้วขันให้มันกระจายจนกลายเป็นสีแดงอ่อนๆแล้วถึงได้ยื่นมาตรงหน้าเขาอีกครั้ง ตากลมเป็นประกายจ้องสบมาราวกับจะบอกว่าให้เขาชิมมันเดี๋ยวนั้น ยุทธนาหัวเราะออกมาเบาๆกับท่าทางกระตือรือร้นจนชวนให้รู้สึกเอ็นดูนั่น ก่อนจะยกขันน้ำขึ้นจิบอีกครั้ง กลิ่นหอมเย็นๆถึงจะแปลกไปหน่อยแต่ก็ช่วยให้สมองรู้สึกผ่อนคลายจนลืมตัวดื่มไปเสียหลายอึก
"อื้มม หอมมาก" เอ่ยปากชมเปาะ เรียกสีหน้าภูมิอกภูมิใจนักหนาจากคนเป็นน้อง
“บอกแล้ว ขวดนี้แม่ผมสกัดเองกับมือด้วย เน้นกลิ่นดอกสารภีมากหน่อยเพราะแม่ชอบมากเป็นพิเศษ ที่หลังบ้านมีปลูกไว้ตั้งหลายต้นแน่ะ พี่ยุทธเคยเห็นรึเปล่าครับ” ยุทธนาส่ายหน้ายิ้มๆ ปล่อยให้คนเป็นน้องพูดนั่นเล่านี่ให้ฟังไปเรื่อยๆ น้ำเสียงห้าวต่ำบวกกับท่าทางดูมีชีวิตชีวากว่าครั้งไหนๆชวนให้ฟังไม่รู้เบื่อ เดือนสิบดูเหมือนจะร่าเริงขึ้นมากตั้งกลับมาถึงบ้าน ไม่สิ เรียกว่าตั้งแต่ตื่นเช้ามาเลยต่างหาก ตอนนั่งรถมาด้วยกันก็ชวนเขาคุยนั่นคุยนี่ไม่หยุด
“โอ๊ะ! ลืมไปเลย พี่ยุทธหิวรึยังครับ” อยู่ดีๆคนที่เอาแต่พูดจ้อก็กลับมาทำหน้าตกใจราวกับเพิ่งนึกได้ว่าลืมเรื่องสำคัญไปยังไงอย่างนั้น
“นิดหน่อย” เขาตอบ จริงๆก็หิวมาซักพักแล้วแต่เห็นว่าน้องกำลังเล่าเรื่องเพลินๆเลยไม่อยากขัด นานๆทีเดือนสิบจะพูดมาก ซึ่งเขาเองก็ไม่เถียงว่าชอบฟังเสียงห้าวๆนั่นพูดเจื้อยแจ้วแบบนี้ เจ้าตัวพอได้ยินคำตอบก็หัวเราะแหะๆ เอ่ยขอโทษขอโพย
“ผมก็ลืมไปเลย พี่ยุทธรอเดี๋ยวนะ เดี๋ยวผมไปดูกับข้าวในครัวก่อนไม่รู้ว่าแม่ได้ทำไว้ให้รึเปล่า” ว่าจบก็รีบเดินแกมวิ่งเข้าไปในครัวอีกรอบ ทิ้งให้ร่างสูงได้แต่มองตามยิ้มๆ รออยู่ไม่นานใบหน้าน่ารักก็โผล่ออกมาจากหลังประตูอีกครั้ง
“พี่ยุทธ มีแกงเลี้ยงผักหวานกับผัดยอดฟักแม้วแหละ ทานได้รึเปล่าครับ” เสียงใสเอ่ยถาม ยุทธนาพยักหน้ายิ้มๆ คนน้องเลยผลุบหายเข้าไปในครัวอีกครั้ง เขาเดินตามไปหยุดยืนอยู่หน้าประตู เห็นน้องกำลังสาละวนอยู่กับการอุ่นกับข้าว
“อยากได้อะไรเพิ่มรึเปล่าครับ” เจ้าตัวเอ่ยขึ้นเมื่อหันมาเห็นเขา ยุทธนาเลยส่ายหน้า
“มีอะไรให้พี่ช่วยไหม”
“ช่วยไปนั่งรอเฉยๆก็พอครับ เดี๋ยวที่เหลือผมจัดการเอง” ว่าพลางยักคิ้วกวนๆแล้วหันไปยกหม้อที่มีควันหอมฉุยพวยพุ่งออกมาลงจากเตา
“เดี๋ยวพี่ช่วยยก”
“ไม่ต้องๆ พี่ยุทธไปนั่งรอเลย บอกแล้วไงว่าเดี๋ยวผมจัดการเอง” เจ้าตัวทำหน้าขึงขังก่อนจะเดินมารุนหลังเขาให้เดินออกจากห้องครัว ยุทธนาได้แต่โคลงหัวยิ้มๆแล้วเดินมานั่งลงบนโซฟาตัวเดิม แต่ยังไม่ทันได้หย่อนก้นลงนั่งเสียงคุยกันที่แว่วมาจากหน้าบ้านก็ทำให้เขาชะงักอยู่กับที่ซะก่อน
“เพราะแม่เลยมัวแต่โม้ไม่หยุด”
“ใครจะไปรู้ล่ะพ่อ ปกติเห็นมารถประจำทางกว่าจะถึงก็เกือบเย็นโน่น โอ๊ะ!”
“เอ่อ.. สวัสดีครับ” ยุทธนายกมือไหว้สองสามีภรรยาที่คาดว่าน่าจะเป็นพ่อแม่ของคนที่เตรียมกับข้าวอยู่ในครัว รอยยิ้มเล็กๆถูกส่งไปให้เมื่อถูกผู้อาวุโสกว่าทั้งสองชะงักมองเขาอย่างแปลกใจ ก่อนที่ผู้เป็นภรรยาจะเป็นฝ่ายยิ้มหวานแล้วเดินเข้ามาใกล้
“ไหว้พระเถอะพ่อคุณ มากับเดือนสิบใช่ไหม”
“ครับ ผมชื่อยุทธนาครับ เรียกยุทธเฉยๆก็ได้ ยังไงต้องขอรบกวนคุณลุงกับคุณป้าด้วยนะครับ” รีบเอ่ยแนะนำตัวพร้อมฝากเนื้อฝากตัวไปด้วยไม่ให้เสียโอกาสซะเสร็จสับ ถึงจะรู้สึกเกร็งๆนิดหน่อยในทีแรกแต่พอได้รับรอยยิ้มกว้างๆละม้ายคล้ายกับคนเป็นน้องใจมันก็ชื้นขึ้นมาบ้าง
“รบกงรบกวนอะไรกันฮึ เพื่อนเจ้าสิบก็เหมือนลูกแม่อีกคน ยังไงก็ให้คิดซะว่าเป็นบ้านตัวเองนะ ไหนมาให้แม่ดูใกล้ๆหน่อยซิ หน้าตาหล่อเหลาหน่วยก้านก็ดี ดูซิเนี่ยสูงกว่าพ่อตั้งเยอะแน่ะ” ว่าแล้วก็หัวเราะคิกคักจนคนถูกพาดพิงทั้งที่ยืนมองนิ่งๆอยู่ทีแรกต้องเอ่ยปรามอย่างไม่จริงจังนัก
จากที่ได้สังเกตบุพการีทั้งสองคนของน้องคร่าวๆ ยุทธนาก็สรุปได้ทันทีว่าเดือนสิบถอดแบบจากคนเป็นพ่อมาแทบจะทุกระเบียดนิ้ว หน้าตาละหม้ายคล้ายคลึงจนแทบจะเป็นพิมพ์เดียวกัน จะมีก็แต่ดวงตากลมโตคู่นั้น และรอยยิ้มสดใสที่ถอดแบบผู้เป็นแม่มาไม่มีผิดเพี้ยน พ่อของเดือนสิบเป็นคนตัวเล็ก อาจจะสูงกว่าน้องบ้างนิดหน่อยแต่พอมาเทียบกับเขาก็ยังเรียกได้ว่าตัวเล็กกว่ามากอยู่ดี ส่วนคนเป็นแม่ก็เหมือนกัน ส่วนสูงอยู่แค่ระดับอกของเขาเท่านั้น หน้าตาก็ยังดูไม่แก่มาก กะจากสายตาคร่าวๆน่าจะอยู่ที่ประมาณสามสิบปลายๆ หรือไม่ก็สี่สิบต้นๆ ผิวขาวสะอาดด้วยกันทั้งคู่ดูไม่เหมือนคนทำไร่ทำสวนเลยซักนิด เห็นแล้วไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเดือนสิบถึงได้ผิวสวยขนาดนั้น เพราะถอดแบบจากทั้งคนเป็นพ่อและแม่มานี่เอง
“ก็มันจริงนี่พ่อ ว่าแต่เจ้าสิบไปอยู่ไหนซะล่ะ” ว่าพลางชะเง้อหาลูกชายที่โทรมาบอกตั้งแต่เช้าว่าจะกลับมาหาวันนี้
“แม่!” เสียงใสดังออกมาก่อนตัวทันทีเมื่อได้ยินชื่อตัวเองอยู่ในบนสนทนา ก่อนที่ร่างเล็กในมือมีถาดอาหารจะเดินแกมวิ่งตึกตักออกมาจากในครัว วางกับข้าวลงบนโต๊ะได้ก็โผเข้ากอดคนเป็นแม่เสียเต็มรัก “คิดถึง”
“ขวัญเอ้ยขวัญมานะลูก” คนเป็นแม่ยิ้มรับจนเต็มแก้ม กอดลูกชายไว้เต็มอ้อมแขนพลางลูบหัวลูบไหล่ให้พรไม่ขาดปาก ความอบอุ่นคุ้นเคยที่ถึงแม้จะห่างหายไปนานทำให้เดือนสิบกระชับกอดแน่นขึ้น สูดเอากลิ่นหอมของดอกมะลิอ่อนๆจากไหล่เล็กที่กำลังซุกซบอยู่จนเต็มปอด ความเหนื่อยล้าที่สั่งสมมานานคล้ายจะปลิวหายไปเพียงแค่ได้อยู่ในอ้อมกอดนี้
“พ่อ..” กอดแม่จนเต็มอิ่มถึงได้ค่อยๆผละออกแล้วขยับมายืนอยู่ตรงหน้าบุพการีอีกคนที่กำลังกางแขนรอท่าอยู่ก่อนแล้ว เดือนสิบยิ้มให้พ่อ ที่ทำเพียงคลี่ยิ้มจางๆส่งมาก่อนจะโผเข้าหาอ้อมกอดที่ห่างหายไปนานจนเต็มรัก
“ขวัญมานะเอ็ง”
คำอวยพรสั้นๆแต่เรียกความรู้สึกสุขล้นได้มากโข เดือนสิบกอดกระชับคนเป็นพ่อแน่น ใบหน้าน่ารักเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มจนเต็มแก้ม ไม่ต่างจากผู้เป็นพ่อที่นานครั้งจะได้เผยรอยยิ้มกว้างๆแบบนี้ซักที
“พ่อผอมลงอีกแล้วใช่ไหมเนี่ย” เดือนสิบเอ่ยขึ้นหลังจากผละห่างออกมาแล้วไล่สายตาสำรวจพ่อทั้งตัว ใบหน้าที่ละม้ายคล้ายคลึงกันดูซูบตอบลงไปนิดหน่อยจากครั้งสุดท้ายที่เจอกัน
“ผอมอะไรของเอ็ง น้ำหนักข้าขึ้นตั้งสองกิโล” คนเป็นพ่อเถียงพลางลูบหัวลูบไหล่ลูกชายไม่ขาด ใบหน้าแม้ติดจะนิ่งเรียบตามความเคยชินทว่าแววตาที่มองลูกชายคนโตกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและคิดถึง ขนาดยุทธนาที่เป็นคนนอกมองอยู่ห่างๆยังสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอบอุ่นที่แผ่ออกมาจากดวงตาคู่นั้นไปด้วย
“ไม่จริงหรอก พ่อทำงานหนักอีกแล้วใช่ไหม สิบบอกแล้วไงว่าให้พักบ้าง”
“ขี้บ่นเหมือนแม่เอ็งไม่มีผิด”
“ก็มันจริงนี่ พ่อน่ะชอบรั้น เนอะแม่เนอะ” เดือนสิบย่นจมูกใส่เมื่อถูกพ่อโยกหัวไปมา แต่ถึงอย่างนั้นรอยยิ้มกลับไม่จางหายไปจากใบหน้า ยิ่งผู้เป็นแม่เออออรับคำไปตามน้ำเจ้าตัวก็ยิ่งหัวเราะออกมาอย่างชอบอกชอบใจ
“เข้ากันดีจริงๆ นะพวกเอ็ง แล้วนี่มาถึงกันนานรึยังล่ะ” ผู้อาวุโสสุดในบ้านว่าพลางหันไปมองแขกไม่คุ้นตาที่กำลังมองมาหน้าสลอน เล่นเอาคนที่อยู่ดีๆก็ถูกสามคนพ่อแม่ลูกจ้องมาเป็นตาเดียวถึงกับนิ่งชะงักไปชั่วขณะ
“ถึงซักพักแล้วครับ” ยุทธนาตอบ เขารู้สึกเกร็งขึ้นมานิดหน่อย แต่พอเห็นน้องคอยส่งยิ้มให้กำลังใจมาอยู่เรื่อยๆ อีกทั้งสายตาที่คอยส่งมาถามไถ่อยู่ตลอดว่าเขาอึดอัดไหม โอเครึเปล่า เพียงแค่นั้นยุทธนาก็ยิ้มออกแล้ว เขาไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไร เพียงแต่เกร็งนิดหน่อยเพราะยังไม่คุ้นชินเท่านั้น
คนฟังพยักหน้ารับก่อนจะรุนหลังลูกชายที่ยังยืนเกาะเป็นลิงให้เข้าไปนั่ง
“งั้นก็กินข้าวกินปลากันซะก่อน ว่าแต่อาหารบ้านๆอย่างนี้พอกินได้ไหมล่ะไอ้หนุ่ม”
“ได้ครับ ตอนอยู่ที่กรุงเทพน้องก็ทำให้ทานบ่อยๆ” คนแก่กว่าชะงักนิ่งไปชั่วขณะ แววตาที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมองสำรวจคนหนุ่มกว่า
“สนิทกันมากรึ”
“ครับ ผมกับน้อง เอ่อ เดือนสิบอยู่หอพักใกล้ๆกัน เลยไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ” ยุทธนามองตอบอีกฝ่ายอย่างฉะฉาน ก่อนจะรีบเปลี่ยนสรรพนามเมื่อเห็นว่าคนเป็นหัวหน้าครอบครัวหลุดคิ้วกระตุก
จากสายตาที่มองเขาเหมือนจะจับผิดนี่แล้ว ดูท่าคนเป็นพ่อเขาจะหวงลูกชายไม่เบาเลยทีเดียว
“เป็นพี่เป็นน้องกันมันก็ดี มีอะไรจะได้ช่วยเหลือช่วยดูกัน เจ้าสิบไปอยู่ที่โน่นก็ตัวคนเดียวแม่เขาก็อดเป็นห่วงไม่ได้ …นี่ยังแปลกใจกันไม่หายเลยนะตั้งแต่ที่โทรมาบอกว่าจะมีเพื่อนมาด้วย ปกติก็ไม่เห็นว่าจะพาใครที่ไหนมาเที่ยวบ้านเที่ยวช่องซักที” คนเป็นพ่อบ่นยาว เดือนสิบเลยย่นจมูกใส่
“มีแต่แม่ห่วง แล้วพ่อไม่ห่วงสิบบ้างหรอ”
“ข้าก็ห่วงหมดนั่นแหละ ทั้งเอ็งทั้งเจ้าอ้ายมันด้วย” โดยเฉพาะเดือนอ้าย เจ้าลูกชายคนเล็กที่เหมือนจะแสบจะซนกว่าพี่มันเป็นไหนๆ
“เอ้อ แล้วนี่อ้ายมันอยู่ไหนอ่ะแม่ ตั้งแต่มาสิบยังไม่เห็นเลย” เดือนสิบตักข้าวใส่จานส่งให้คนเป็นพ่อ พลางเอ่ยถามถึงน้องชายวัยไล่เลี่ยกันที่ยังไม่เห็นแม้แต่เงาตั้งแต่ก้าวเข้ามาในบ้าน
“ไร่ลุงพงษ์โน่น แกมาตามตั้งแต่เช้า เห็นว่าเจ้าเพชรมันไม่อยู่เลยให้อ้ายมันไปช่วยขับรถให้”
เดือนสิบพยักหน้ารับหงึกหงัก ถามโน่นถามนี่กับบุพการีทั้งสองอีกนิดหน่อยระหว่างที่ทานข้าวไปด้วย บ่อยครั้งที่เขาเห็นพ่อเอาแต่จ้องมองคนที่นั่งอยู่ข้างกัน ขนาดพูดกับเขาสายตาก็ยังเอาแต่จับจ้องอยู่ที่พี่ยุทธไม่ไปไหน
“แล้วนี่จะมาอยู่กันซักกี่วันล่ะ” ผู้เป็นแม่เอ่ยถาม มองลูกชายที่กำลังเคี้ยวข้าวตุ้ยๆด้วยรอยยิ้ม แถมยังเผื่อแผ่ไปยังชายหนุ่มอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆลูกชายเธออีกด้วย
“จนกว่าจะเปิดเทอมโน่นอ่ะ สิบอยากอยู่กับแม่นานๆ” คนเป็นลูกก็ว่าพลางยิ้มอ้อนซะเต็มแก้ม
“แล้วแม่บอกให้กลับตั้งแต่ปิดเทอมก็ไม่ยอมกลับ มันน่าตีนักเชียว”
“ก็ทำงานไงแม่ เนี่ยได้มาตั้งสองหมื่นเชียวนา” ว่าอย่างอวดๆ คนเป็นแม่เห็นท่าทางภูมิอกภูมิใจของเจ้าตัวก็อดเอ็นดูไม่ได้
“ได้มาก็เก็บไว้ อย่าเอาไปใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย เอาไว้ใช้ยามจำเป็น เข้าใจไหม” ว่าพลางยื่นมือไปลูบหัวทุยของลูกชายไปด้วย เดือนสิบเป็นคนเก่ง เป็นเด็กขยันและไม่เคยทำให้เธอกับสามีผิดหวังเลยซักครั้ง
“รับทราบ” เจ้าตัวทำท่าตะเบะรับ ซึ่งคนเป็นแม่ก็ได้แต่โคลงหัวไปมาด้วยความเอ็นดู ก่อนจะหันไปพูดกับอีกหนึ่งหนุ่มที่กำลังมองลูกชายเธอยิ้มๆ
“แล้วนี่ยุทธจะอยู่ซักกี่วันล่ะลูก หรือจะอยู่ยาวเหมือนน้องเลย” คนถูกถามยิ้มค้าง ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติเมื่อเผลอสบตากับผู้อาวุโสสุดในบ้าน ที่ถึงแม้จะนั่งฟังอยู่เงียบๆแต่ก็พอจะรู้ว่ากำลังเก็บทุกรายละเอียดไม่ปล่อยให้คลาดสายตา
สงสัยเขาจะโดนหมายหัวเข้าแล้วจริงๆสินะ
“คงกลับพร้อมเดือนสิบนั่นแหละครับ ยังไงก็ต้องขอรบกวนคุณลุงคุณป้าด้วย” ว่าแล้วก็ส่งยิ้มละไมเรียกคะแนนซักหน่อย
“ตามสบายนะลูก คิดซะว่าเป็นบ้านของตัวเองอยากอยู่นานเท่าไหร่ก็ได้ทั้งนั้น” แม่น้องว่าแล้วยิ้มตอบเขา แววตาที่กำลังมองมาดูอ่อนโยน
“ขอบคุณครับ” ยุทธนายิ้มรับ บรรยากาศอบอุ่นที่ลอยฟุ้งอยู่รอบตัวผู้หญิงคนนี้พลอยทำให้เขารู้สึกอุ่นไปด้วย มันเป็นความรู้สึกอบอุ่นแบบที่เขาก็ไม่แน่ใจว่าห่างหายจากมันมานานแค่ไหนแล้ว
“แล้วนี่ไปรู้จักกันได้ยังไงล่ะ” คนที่นั่งเงียบมานานเอ่ยถามบ้าง ยุทธนาหันมาสบตากับเดือนสิบ แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรคนเป็นน้องก็ชิงตอบขึ้นซะก่อน
“พี่ยุทธเป็นรุ่นพี่ที่คณะไงพ่อ มาช่วยติวหนังสือให้เลยรู้จักกัน พี่ยุทธเรียนเก่งมากเลยนะ สอนก็เข้าใจง่าย นี่ถ้าไม่ได้พี่ยุทธช่วยติวนะสิบแย่แน่ๆ ข้อสอบย้ากยาก”
คนเป็นพ่ออือออรับคำ ตักข้าวเข้าปากพลางลอบสังเกตท่าทางของลูกชายไปด้วย ไม่บ่อยนักที่เดือนสิบจะพูดคุยเรื่องของคนอื่นให้ฟัง เวลาโทรมาหาก็เพียงแต่ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ ว่าเป็นยังไงบ้าง ทานข้าวหรือยัง ส่วนนอกจากนั้นก็จะเป็นฝ่ายแม่เขานั่นล่ะที่เล่าโน่นเล่านี่ให้ลูกชายฟังไม่หยุด
“เพราะเราหัวไวด้วยต่างหาก” ยุทธนาขัดขึ้นยิ้มๆ ก่อนจะเลื่อนมือไปยีผมน้องเบาๆด้วยความเคยชิน
ซึ่งท่าทางนั้นก็ไม่ได้เล็ดรอดไปจากสายตาของผู้อาวุโสทั้งสองคน
.
.
หลังจากทานข้าวเสร็จเดือนสิบก็พาคนเป็นพี่เอาของขึ้นมาเก็บบนห้องตามคำสั่งของผู้เป็นแม่ เดินเข้ามาในห้องได้เจ้าตัวก็ทิ้งตัวกลิ้งเกลือกลงบนฟูกนอนทันทีด้วยความคิดถึง แม้ห้องนี้จะไม่ได้ใช้งานเลยตั้งแต่ที่เขาไปเรียนกรุงเทพแต่มันก็ยังสะอาดสะอ้านเพราะแม่บอกว่าเข้ามาทำความสะอาดให้อยู่บ่อยๆ ยิ่งพอรู้ว่าเขาจะกลับมาก็ถึงกับหอบผ้าห่มผ้าปูไปซักให้ซะหอมฟุ้ง
ยุทธนาที่เดินตามหลังเข้ามาวางกระเป๋าไว้หน้าตู้เสื้อผ้า ยิ้มขำกับท่าทางของคนเป็นน้องจนถูกเจ้าตัวย่นจมูกใส่อย่างที่ชอบทำ ก่อนจะเดินไปหยุดยืนอยู่ริมระเบียงที่ยื่นห่างไปจากตัวห้องราวๆหนึ่งเมตร บ้านของเดือนสิบบรรยากาศดีมากจริงๆ ถึงจะมีแดดออกแต่มันก็ไม่ได้ร้อนจนแสบเหมือนที่กรุงเทพ แถมรอบๆตัวบ้านยังมีต้นไม้ใหญ่หลายต้นคอยให้ความร่มรื่นอีกต่างหาก
“พอจะนอนได้ไหมครับ” กลิ้งเกลือกเอาสัมผัสคุ้นเคยที่ห่างหายไปนานจนพอใจแล้วก็เดินไปหยุดยืนอยู่ข้างกายสูงของคนเป็นพี่
“มันก็ได้ แต่สิบนอนกับพี่ไม่ได้หรอ” ยุทธนาหันมามองคนเป็นน้อง ส่งสายตาออดอ้อนแต่กลับถูกเจ้าตัวยิ้มขำซะอย่างนั้น
“แน่ะ! ไม่ได้ยินที่พ่อบอกหรอครับว่าให้พี่ยุทธนอนห้องผม ส่วนผมก็ต้องไปนอนกับอ้าย” เดือนสิบยักคิ้ว
แน่นอนล่ะว่ายุทธนาได้ยินมันเต็มสองรูหู แต่เขาก็อยากนอนกับน้องนี่ อุตส่าห์ได้มาเที่ยวบ้านแฟนทั้งทีแต่กลับถูกพ่อตากีดกันตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่มแบบนี้มันใช่ที่ไหน นี่มันไม่ใช่อย่างที่คิดไว้เลยซักนิด
“นี่พี่เผลอทำอะไรผิดไปจนพ่อเราไม่ชอบรึเปล่า” คิ้วเข้มขมวดมุ่น
“ไม่หรอกครับ พ่อคงอยากให้พี่ยุทธนอนสบายๆมากกว่า อีกอย่างที่นอนผมมันเล็กนอนสองคนคงไม่สบายตัวเท่าไหร่ พี่ยุทธนอนคนเดียวน่ะดีแล้ว ห้องอ้ายมันก็อยู่ข้างๆนี่เองไม่ได้อยู่ไกลกันซักหน่อย” เอ่ยปลอบใจ พลางใช้ปลายนิ้วเขี่ยรอยย่นบนหน้าผากคนเป็นพี่ให้คลายออก
“อยู่ใกล้แค่ไหนก็ไม่เท่าอยู่ในอ้อมกอดของพี่อยู่ดี”
“หึ่ยย เลี่ยนอ่ะ ฮ่าๆๆ”
“เดี๋ยวจะโดน” ยุทธนาว่าพลางทำท่าจะเคาะมะเหงกลงบนหัวคนเป็นน้องซักที แต่เจ้าตัวรู้แกวเลยเอียงตัวหลบไปแล้วหัวเราะร่วน แน่นอนว่าท่าทางสดใสของเดือนสิบทำให้เขายิ้มตามได้ไม่ยาก
.
.
หลังจัดของช่วยคนเป็นพี่เสร็จเดือนสิบก็พาอีกฝ่ายออกมาเดินเล่นสำรวจบริเวณรอบๆบ้าน ตกเย็นพ่อกับแม่เขาก็ต้องออกไปข้างนอก เพราะวันนี้ที่บ้านของลุงชอบญาติห่างๆที่อยู่ถัดไปอีกหมู่บ้านมีงานบุญเลยต้องไปช่วย เดือนสิบไม่ได้ว่าอะไรเพียงแต่บ่นเสียดายนิดหน่อยที่กลับมาบ้านวันแรกพ่อกับแม่ก็ไม่ได้อยู่ทานข้าวเย็นด้วยกัน กระทั่งหกโมงเย็นน้องชายที่ไม่ได้เห็นหน้าค่าตากันมาหลายเดือนก็กลับมาบ้านซักที เดือนอ้ายโผกอดเขาที่นั่งอยู่บนแคร่ไม้หน้าบ้านเต็มรักด้วยความคิดถึง โชคดีที่เขากับมันตัวพอๆกัน ไม่อย่างนั้นคงได้ล้มพับไปทั้งคู่
“ปล่อยเลยๆ ดูดิเนื้อตัวมอมแมมขนาดนี้มากอดได้ไง” เดือนสิบว่ายิ้มๆ มองสำรวจทั่วร่างของน้องชายที่ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่นัก เพียงแต่เดือนอ้ายจะมีหน้าตาติดหวานเหมือนแม่ซะมากกว่า
“คิดถึงอ่ะ” มันอ้อน กระพริบตาปริบๆ นั่งแหมะลงข้างกันแล้วเกาะแขนเขาหนึบไม่ยอมปล่อย
“เออ คิดถึงเหมือนกัน”
เดือนสิบยีผมยุ่งฟูของคนเป็นน้องไปมา ก่อนจะนึกขึ้นได้จึงหันมาเอ่ยแนะนำคนที่นั่งเงียบอยู่ข้างกันให้น้องชายได้รู้จัก
“พี่ยุทธนี่เดือนอ้ายครับน้องชายผมเอง ส่วนนี่พี่ยุทธ รุ่นพี่ที่มหา’ลัย”
“สวัสดีครับ แต่สิบแน่ใจนะว่าเป็นแค่รุ่นพี่เฉยๆอ่ะ” เดือนอ้ายยกมือไหว้คนโตกว่า ก่อนประโยคหลังจะหันกลับมาเอ่ยถามคนเป็นพี่ชาย
“ทำไมถามงั้นอ่ะ”
“ทำไมอ่ะ ถามไม่ได้หรอ หรือจริงๆแล้วไม่ใช่แค่รุ่นพี่ธรรมดา” มันย้อน หรี่ตาลงมองเขาสลับกับพี่ยุทธที่เอาแต่นั่งยิ้มมุมปากราวกับจะจับผิดสลับกันไปมา
นี่ก็ไม่คิดจะช่วยกันเล้ย!
“บ้าดิ ก็ไม่ทำไม ก็เป็นรุ่นพี่ที่สนิท” เขาเลือกที่จะตอบไปแบบนั้น เพราะตัวเองก็ยังไม่แน่ใจนักว่าพร้อมหรือยังที่จะให้คนในครอบครัวรับรู้ เขาก็แค่กังวน กลัวว่าถ้าทุกคนรู้แล้วเกิดรับไม่ได้ขึ้นมาคงเป็นตัวเขาเองนี่แหละที่จะแย่
“สนิทมากป่ะ” เดือนอ้ายซักต่อ แววตาหรี่ลงมองพี่ชายด้วยท่าทีที่เห็นแล้วต้องบอกว่าโคตรน่าถีบ
“ก็มาก แล้วจะมาซักอะไรนักหนาเนี่ย เข้าไปอาบน้ำอาบท่าได้แล้วไป เหม็นเหงื่อ” เขาบอกปัด ขืนปล่อยให้มันซักต่อมีหวังได้หลุดบอกออกไปจริงๆแน่ ถึงจะเตรียมใจมาบ้างแล้วตอนที่อยู่กรุงเทพ แต่พอมาถึงบ้าน ได้เห็นหน้าพ่อหน้าแม่แล้วมันก็ทำใจกล้าให้บอกออกไปได้ยากจริงๆ ยิ่งมาถูกเดือนอ้ายมองด้วยสายตาจับผิดแบบนี้อีก
เฮ้ออ!
ขอเวลาอีกนิดเถอะ ให้เขาพร้อมกว่านี้ก่อนรับรองว่ามันได้รู้สมใจอยากแน่ แล้วพอถึงตอนนั้นก็หวังว่ามันจะรับได้และเข้าใจเขาก็แล้วกันนะ
“แค่นี้ทำมาโมโห โด่! เดี๋ยวคอยดูเหอะ” มันส่งเสียงฮึขึ้นจมูกใส่เขา ก่อนจะยื่นหน้าออกมามาส่งยิ้มให้กับอีกคนแล้ววิ่งปรู๊ดเข้าไปในบ้านเพื่ออาบน้ำอาบท่า
เดือนสิบมองตามหลังน้องชายแล้วได้แต่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“คิดมากอะไรฮึ” เสียงทุ้มเอ่ยถาม ยิ้มบางๆให้คนเป็นน้องที่ยังขมวดคิ้วไม่เลิก
“พี่ยุทธว่าอ้ายจะรู้ไหมครับว่าเราสองคนเป็นอะไรกัน” แววตาจ้องตอบคนเป็นพี่ดูเป็นกังวล
“ไม่รู้สิ แต่ถ้าเขารู้สิบจะทำยังไงล่ะ”
“ไม่รู้สิครับ ก็คงต้องยอมรับไปตามความจริง” เพียงแต่ตอนนี้เขายังใจกล้าไม่พอเท่านั้นเอง
“ลำบากใจหรอ” เดือนสิบส่ายหน้ารัว ไม่อยากให้พี่รู้สึกแย่กับความขี้ขลาดของเขาเลย
“เปล่าครับ มันแค่รู้สึกกลัวแปลกๆน่ะ ไม่รู้สิผมก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน คงกลัวว่าพวกเขาจะรับไม่ได้ล่ะมั้ง”
“พี่อยู่ข้างเรานะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นพี่จะอยู่ตรงนี้ ถ้าสิบไม่สบายใจที่จะบอกพวกเขาตอนนี้ก็ยังไม่ต้องบอกก็ได้” เขาเลื่อนมือไปกอบกุมมือเล็กของน้องเอาไว้ ส่งถ่ายความรู้สึกที่ยังคงเดิมให้อีกฝ่ายสบายใจ
“ขอบคุณนะครับพี่ยุทธ เฮ้อ! ทำไมถึงได้ดีกับผมขนาดนี้เนี่ย” ดีจนเขากลายเป็นแฟนที่ไม่เอาไหนไปเลย
“คนดีๆอย่างพี่หายาก เพราะงั้นต้องรักษาไว้ดีๆรู้ป่าว” ยุทธนาโยกหัวคนเป็นน้องไปมา
เดือนสิบฟังแล้วได้แต่ย่นจมูกใส่คนเป็นพี่อย่างที่ชอบทำ ช่างเป็นคนที่ขยันพูดให้เขานึกหมั่นไส้ได้บ่อยจริงๆเลย แต่มันก็จริงอย่างที่อีกฝ่ายว่าล่ะนะ ดีขนาดนี้จะไปหาได้อีกจากที่ไหน
“ครับ ผมจะจับไว้ให้แน่นเลย”
ขอให้พี่ยุทธรอดปลอดภัย