เพลงรักที่หายไป
ตอนที่ 4
ทั้งรู้ก็รัก
ศิลปิน ชรัส เฟื่องอารมณ์ ขับร้องใหม่ กบ ทรงสิทธิ์
เจ้าของรถโฟล์คเต่าสีแดงต้องหันมามองหน้าคนที่นั่งมาด้วยเพราะอีกฝ่ายเอาแต่เงียบมาตลอดทาง ทั้งที่อีกฝ่ายขอตามมาเองแต่ทำเหมือนถูกบังคับให้มาด้วยกัน นโมตัดสินใจเปิดวิทยุแล้วหมุนหาคลื่นไปยังสถานีโปรด
“ดีจัง” จู่ๆ คนที่เงียบมานานก็พูดขึ้นมา
“อะไรดี”
“ไม่ต้องอยู่ในทะเลก็มีคลื่นได้ด้วย”
“หึหึ” นโมนึกขำ พอหายเงียบก็ป่วนขึ้นมาเลย
“เอาเพลงนี้ หนูอยากฟังเพลงนี้ ท่าทางจะเพราะ”
“เพิ่งจะขึ้นอินโทรเอง รู้ได้ไงว่าเพราะ”
“หนูเก่ง”
“หึหึ ครับเก่ง”
‘รู้ รู้ เธอนั้นมีคู่ใจ ไยถึงไม่ลืมเธอ เพราะด้วยเหตุใด ใจฉันยังพร่ำเพ้อ เฝ้าละเมอ ไม่ลืม...แม้วันคืนเดือนผ่าน
ใจฉันยังรำพึงถึงเธอ สิ่งที่เคยสัมผัส ยังจำยึดมั่น ตราตรึง..ยังฝังอยู่กลางใจ’“ชื่อเพลงอะไรฮะ”
“ทั้งรู้ก็รัก”
‘รู้ รู้ เธอนั้นมีเจ้าของ มองฉันได้แต่มอง ถึงจะอย่างไร มันก็เป็นสุขใจ สุขชั่วคราว ก็ยัง ก็ยัง...ยังดีเสียกว่า ใจฉันต้องมลายเพราะตรม หยุดระทมขมขื่น เก็บเอาความหวานชื่น จุนเจือ...ความรักแก่ดวงใจ’“ทำไมพี่รู้จักทุกเพลงเลย”
“พี่เก่ง”
“หึหึ” หนูด้วงหัวเราะในลำคอเลียนแบบนโมบ้าง
‘รักนั้นยังอยู่เต็มหัว ใจ ไยนะทำไมถึงคงอยู่ จิตใฝ่ฝันถึงเธอ ไม่ลืมเสียที เต็มเปี่ยมด้วยความรักเธอ’“อยากกินอะไร เดี๋ยวพาไปเลี้ยง”
“ได้หมดฮะ”
‘รู้ รู้ ใจฉันมันก็รู้ ยังฝืนสู้ความจริง แม้จะห้ามใจ ใจฉันทำไม่รู้ เบื่อฝืนใจต้องยอม ให้ใจคิดถึงเธอ ตัวฉันต้องยินยอมแพ้พ่าย ปล่อยให้ใจฝันใฝ่ รักเธอไม่หน่าย เต็มใจ ใจฉันพ่ายใจเธอ’
“ราดหน้า”
“ไม่เอา หนูเพิ่งกินไปเอง”
“ผัดไทย”
“ไม่เอา”
“หึหึ..ไหนบอกได้หมดไง”
‘รู้ รู้ เธอนั้นมีเจ้าของ มองฉันได้แต่มอง ถึงจะอย่างไร มันก็เป็นสุขใจ สุขชั่วคราว ก็ยัง ก็ยัง...ยังดีเสียกว่า’“ให้หนูเลือกเหรอ”
“อืม”
‘แม้จะห้ามใจ ใจฉันทำไม่รู้ เบื่อฝืนใจ...ต้องยอม ให้ใจคิดถึงเธอ ตัวฉันต้องยินยอม แพ้พ่าย’“มีผัดโมร็อกโคไหม”
“หึหึ อยากกินก็จัดให้” นโมยกยิ้ม เห็นอีกฝ่ายเริ่มยิ้มแย้มก็เบาใจขึ้น
“ทั้งรู้ก็รัก”
“.........”
“เพลงนี้เพราะดีเนอะ”
“อืม ทั้งรู้ก็รัก”
‘ปล่อยให้ใจฝันใฝ่ รักเธอไม่หน่าย เต็มใจ ใจฉันพ่ายใจเธอ’นโมขับรถเข้ามาในหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่ง มันถูกโอบล้อมด้วยทิวเขาและไม้ใหญ่ มองไปทางไหนก็เห็นแต่สีเขียวชอุ่มจากต้นไม้ใบหญ้าไปทั่วบริเวณ บ้านแต่ละหลังออกแบบเรียบง่ายแต่ดูมีสไตล์ ให้อารมณ์รีสอร์ทมากกว่าเป็นบ้านจัดสรรเหมือนอย่างในเมือง แค่ดูก็รู้ว่าแต่ละหลังราคาคงไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
รถของนโมขับเข้ามาภายในหมู่บ้านและมาจอดอยู่ที่ประตูรั้วขนาดใหญ่พร้อมกับเล่าให้หนูด้วงฟังว่าที่นี่คือโรงเรียนนานาชาติซอเลย เป็นโรงเรียนในเครือของมหา’ลัยโซเลย ที่มาสร้างภายในหมู่บ้านเพราะบ้านของอาจารย์ตะวันเจ้าของโรงเรียนและเจ้าของมหา’ลัยที่หนูด้วงเรียนอยู่ก็ปลูกอยู่ที่นี่ด้วย หนูด้วงจึงรับรู้ว่าบ้านพักของน้าตวงอยู่ที่นี่นั่นเอง
ยังไม่ทันที่นโมจะลงจากรถประตูรั้วก็เปิดออก เด็กน้อยสองคนวิ่งตรงมาที่รถพร้อมกับเกาะขอบหน้าต่างแล้วพยายามเขย่งตัวขึ้นเพราะต้องการมองเข้ามาตรงที่หนูด้วงนั่งอยู่
‘
แฝด’....เด็กน้อยทั้งคู่เป็นฝาแฝดกัน หนูด้วงคิดว่าพี่นโมมีลูกคนเดียวเสียอีก
“นาโมเปิดประตูให้หม่อนหน่อย”
“วันหลังอย่างวิ่งออกมาแบบนี้อีกนะคะน้องไม้น้องหม่อน ดูสิคะ คุณครูวิ่งตามไม่ทันเลย” หญิงสาววัยกลางคนเดินตามออกมา น้ำเสียงเหมือนจะดุแต่รอยยิ้มใจดีปรากฏอยู่บนใบหน้า ถึงจะรู้ว่าที่นี่ไม่ได้ให้คนนอกเข้ามาแต่ก็ต้องระมัดระวังเอาไว้ก่อน เด็กนักเรียนส่วนใหญ่อยู่ประจำที่โรงเรียน มีเพียงไม่กี่คนที่ผู้ปกครองอาศัยอยู่บนเกาะแห่งนี้
“สวัสดีคุณครูก่อน” นโมเปิดกระจกรถฝั่งที่หนูด้วงลงก่อนจะบอกลูกชายทั้งสองคน
“สโนไวท์ ไม้ๆๆ นาโมพาสโนไวท์มา” เด็กน้อยแก้มกลมๆ พูดกับคู่แฝดของตน
เด็กชายใบไม้กอดอกแล้วมองหนูด้วงเหมือนจะประเมินอะไรในใจ พอเห็นหนูด้วงส่งยิ้มมาให้ก็เข่าอ่อนลงจนเสียการทรงตัวไปนิดหนึ่ง แต่แล้วก็หันหลังให้หนูด้วงแล้วไปยกมือสวัสดีคุณครูแทน ส่วนน้องหม่อนเห็นพี่ชายของตัวเองไม่สนใจสิ่งที่บอกก็ทำหน้ายู่ก่อนจะหันไปสวัสดีคุณครูเช่นกัน เมื่อคุณครูเดินกลับเข้าไปในโรงเรียนแล้วน้องไม้ถึงหันกลับมาพูดกับนโม
“นาโม ตรงนั้นที่นั่งของไม้” น้องไม้ไม่ยอมขึ้นไปนั่งด้านหลัง ยังคงกอดอกแล้วพูดลอยๆ ขึ้นมา
“แต่ไม้มาที่หลัง สโนไวท์นั่งก่อนนะ อย่าเสียมารยาทกับแขกสิ” น้องหม่อนที่ขึ้นมานั่งในรถเรียบร้อยแล้วก็ชะโงกหน้ามาเตือนพี่ชาย
“ก็ได้ก็ได้ พี่หนูด้วงจะไปนั่งข้างหลังให้นะ แต่ว่าถ้านั่งข้างหน้าต้องเอาน้องด้าวนั่งตักด้วยเพราะน้องด้าวไม่ยอมไปนั่งข้างหลัง” หนูด้วงชูตุ๊กตาเอเลี่ยนให้เด็กน้อยนัยน์ตาคมดู ซึ่งพออีกฝ่ายเห็นน้องด้าวก็ตกใจจนต้องถอยหลังไป
“หึหึ..” นโมลอบขำในความเจ้าเล่ห์ของหนูด้วง
“นาโม” น้องไม้เรียกพ่อของตัวเองเสียงเบาเพราะเริ่มกลัวตุ๊กตาหน้าตาประหลาดตัวนี้
“เอาแบบนี้ ไปนั่งข้างหลังทั้งสามคน ให้น้องด้าวนั่งข้างหน้าคนเดียว ตกลงไหม” นโมถาม
“ก็ได้ก็ได้” หนูด้วงเปิดประตูลงมาแล้วเอาน้องด้าวนั่งที่เบาะ จากนั้นก็เดินไปนั่งข้างหลังกับน้องหม่อน
น้องไม้มองน้องด้าวอยู่นาน ในที่สุดก็รีบเดินไปนั่งข้างหลังเหมือนกัน แต่ก็ยังวางท่านั่งกอดอกตัวตรงและหันหน้าไปมองทางหน้าต่างแทน ส่วนน้องหม่อนขยับมานั่งชิดหนูด้วงพร้อมกับนั่งจ้องหน้าแล้วส่งยิ้มให้ตลอดเวลา
“พี่อย่าเพิ่งไป” หนูด้วงพูดกับนโมเมื่ออีกฝ่ายทำท่าจะออกรถ เมื่อนโมมองผ่านกระจกส่องหลังมาหนูด้วงก็ชี้ไปที่น้องด้าว “คาดเข็มขัดให้น้องด้าวด้วยฮะ”
“มาคาดเองสิ” นโมยกยิ้มน้อยๆ
“ก็ได้ก็ได้” หนูด้วงทำหน้ามุ่ยก่อนจะโน้มตัวไปคาดเข็มขัดให้ตุ๊กตาของตัวเอง เสร็จเรียบร้อยแล้วเตรียมตัวจะกลับมานั่งอย่างเดิมแต่นโมแกล้งออกรถแล้วเบรคเบาๆ หนูด้วงเกือบหัวทิ่มไปข้างหน้า ดีที่คว้าพนักเบาะนั่งฝั่งคนขับพร้อมกับกอดคนขับเอาไว้แน่น
“นาโมขับรถดีๆ สิ” น้องไม้ที่นั่งกอดอกหลังตรงอยู่ดีๆ ก็หงายหลังเงิบไปเหมือนกันจนต้องหันมาเตือนพ่อ
“โทษที ขามันลั่น..หึหึ” นโมกลั้นขำ
“จะกอดนาโมอีกนานไหม” น้องไม้ถามหนูด้วง
“อุ่ย...มือมันลั่นเหมือนกัน” หนูด้วงรีบกลับลงมานั่งที่เดิมแล้วยิ้มแหยๆ ตอนนี้แก้มของหนูด้วงเป็นสีชมพูแข่งกับแก้มของน้องหม่อนแล้ว
“หนูหิวแล้วนาโม” น้องหม่อนร้องท้วงเพราะรู้ดีว่าเวลานี้คือเวลาที่จะได้ไปกินของอร่อย
“ครับๆ จะพาไปกินเดี๋ยวนี้แหละ” นโมหันมายิ้มให้ทั้งสามคนผ่านกระจกส่องหลัง
...
ใบไม้กับใบหม่อนเป็นฝาแฝดเพศชายที่หน้าตาไม่ได้เหมือนกันจนแยกไม่ออก นโมเล่าให้หนูด้วงฟังว่าทั้งคู่อายุ 7 ขวบแล้วและกำลังเรียนอยู่ชั้นประถมหนึ่ง น้องไม้สูงกว่าน้องหม่อนเล็กน้อย แม้จะดูผอมกว่าแต่เป็นเด็กแข็งแรง ค่อนข้างหัวแข็งพอสมควร ส่วนน้องหม่อนจะเป็นเด็กเจ้าเนื้อตัวกลม แก้มอิ่มแต้มด้วยสีชมพูทั้งสองข้าง เป็นเด็กขี้อ้อน ขี้สงสาร แต่ใบหม่อนขี้โรคและป่วยบ่อยๆ น้องไม้เกิดก่อนน้องหม่อนเพียงไม่กี่นาทีแต่ก็ชอบทำตัวเป็นพี่ที่คอยปกป้องน้องเสมอ
“ทำไมน้องสองคนเรียกพี่ว่านาโมฮะ ทำไมไม่เรียกพ่อ แด๊ดดี้หรือป๊า” หนูด้วงถามพลางมองเด็กสองคนที่กำลังยืนเกาะตู้ไอศกรีมเพื่อเลือกรสชาติกันอยู่
“พี่อยากให้เขารู้สึกว่าพี่เป็นเพื่อนมากกว่าเป็นพ่อ แต่ก่อนเขาพูดไม่ชัด เรียกนโมเป็นนาโมจนติดปาก”
“เก๋ดี เอาไว้หนูกลับไปเรียกมัมกับแด๊ดว่าน๊าบบบบตังกับมีคูมมมมบ้างดีกว่า” หนูด้วงพูดจบก็หัวเราะคิกคัก
“หึหึ...”
“อ๊ะ หนูฝากน้องด้าวก่อนนะฮะ จะไปเลือกไอติมบ้าง” หนูด้วงส่งน้องด้าวให้นโมก่อนจะวิ่งไปเกาะตู้ไอศกรีมบ้าง นโมมองไปแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
ช่วงระหว่างทานข้าวและของหวาน หนูด้วงก็ชวนเด็กน้อยทั้งสองคนคุยเจื้อยแจ้วไปเรื่อยๆ เอาเรื่องตลกมาเล่าบ้าง เอาเรื่องสนุกๆ ที่ตัวเองเคยฟังมาเล่าบ้าง น้องหม่อนรู้สึกชื่นชอบหนูด้วงมากขึ้น ส่วนน้องไม้ที่วางมาดใส่ก็เริ่มพูดคุยด้วยแต่ก็ยังวางท่าอยู่บ้าง ยิ่งพอหนูด้วงโชว์ความสามารถของน้องด้าวเวอร์ชั่นใหม่ที่นอกจากจะอัดเสียงได้แล้วยังเป็นกล้องโพลารอยด์ได้อีกด้วย พอกดปุ่มถ่ายรูปตรงหัว ไม่นานรูปก็ออกมาทางปากของน้องด้าว จากทีแรกที่เด็กแฝดรู้สึกกลัว ตอนนี้น้องด้าวกลายมาเป็นพี่ชายคนสนิทของทั้งคู่ไปแล้ว รวมถึงหนูด้วงด้วยที่เด็กแฝดเริ่มจะให้ความเป็นกันเอง
“ทำไมเรียกพี่หนูด้วงว่าสโนไวท์ล่ะ ผิวพี่หนูด้วงขาวมากเหรอฮะ” หนูด้วงถามน้องหม่อน
“ก็พี่เหมือนสโนไวท์” น้องหม่อนตอบ
“ทำไมชื่อหนูด้วง ตัวก็โตแล้ว จะเป็นหนูได้ยังไง” น้องไม้ถามบ้าง
“แล้วน้องไม้ตัวนิ่มแบบนี้ ทำไมชื่อไม้ล่ะ” หนูด้วงจิ้มไปที่แก้มของน้องไม้แล้วย้อนถามกลับ
“ชื่อใบไม้” น้องไม้หน้าแดงก่อนจะตอบสั้นๆ
“งั้นต้องเกาะแขนพี่หนูด้วงเอาไว้นะ!!” หนูด้วงแกล้งทำหน้าตาตื่น
“ทะ..ทำไม” น้องไม้ตกใจตามไปด้วย
“ใบไม้มันปลิวได้ไง” หนูด้วงพูดจบหัวเราะ ส่วนน้องไม้กับน้องหม่อนได้แต่มองหน้ากันไปมาแต่ไม่ได้ขำตามไปด้วย
“ถ้าพายุมาไม้ต้องเกาะอะไรแน่นๆ เลยนะ” น้องหม่อนรีบเตือนฝาแฝดของตัวเอง
“นาโม...” น้องไม้หน้าเสียเพราะเชื่อว่าตัวเองจะปลิวได้จึงหันไปฟ้องพ่อ
“พี่หนูด้วงล้อเล่น” หนูด้วงเห็นเด็กทั้งสองเริ่มกลัวก็รู้สึกผิด แค่จะเล่นมุกแท้ๆ แต่ดันไปทำให้เด็กกลัว ตอนนี้หน้าของหนูด้วงเจื่อนมากๆ
‘แชะ!!’ เสียงชัตเตอร์ดังมาจากตัวของน้องด้าว
“ฮ่าๆๆๆ ตลกจริงๆ ด้วยหม่อน”
“สโนไวท์ทำหน้าบู้บี้เลยไม้”
สรุปว่าเด็กทั้งสองคนแกล้งให้หนูด้วงตกใจจนทำหน้าตาตลกแล้วก็เอาน้องด้าวมากดถ่ายรูปเอาไว้
“นา...โม.....” คราวนี้หนูด้วงหันไปฟ้องพี่นโมบ้างเพราะเป็นฝ่ายถูกเด็กแฝดแกล้ง
“หึหึ....ฮ่าๆๆๆๆ” นโมพยายามกลั้นขำ แต่สุดท้ายก็อดไม่ได้หัวเราะตามลูกๆ ไปด้วยเพราะหน้าของหนูด้วงตอนงอนมันน่าขำจริงๆ
“ก็ได้ก็ได้ ขำก็ได้ ฮ่าๆ” หนูด้วงเห็นทุกคนหัวเราะก็เลยตัดสินใจหัวเราะตามไปด้วย
“อาหารมาแล้ว มากินกันก่อน” นโมเลิกขำแล้วสั่งให้ทุกคนมากินข้าวให้เรียบร้อยก่อน
“ถ้าเป็นแด๊ดดี้ของหนูนะ หนูไม่มีทางได้กินไอติมก่อนข้าวแน่ๆ” หนูด้วงเล่าให้นโมฟังเรื่องของตัวเองบ้าง
“ทำไม”
“หนูก็ไม่รู้” หนูด้วงไม่ยอมเล่าความจริง
“ทุกคนมีวิธีการสอนลูกแตกต่างกัน ถ้าพี่เป็นแด๊ดดี้ของหนูด้วงก็คงไม่ให้กินไอติมก่อนหรอก”
“อ้าว ทำไมฮะ”
“เพราะหนูด้วงคงจะกินของหวานก่อนของคาวแล้วปวดท้องมั๊ง”
“พี่รู้ได้ไง” หนูด้วงทำตาโต
“ก็ส่วนใหญ่เด็กๆ จะเป็นแบบนั้น”
“แล้วไม้กับหม่อนไม่เป็นเหรอฮะ”
“ไม่เป็น กินได้” น้องไม้เป็นคนตอบแทนพ่อ
“ดีจัง อยากแข็งแรงเหมือนน้องไม้น้องหม่อนบ้าง” หนูด้วงชมจากใจเพราะตัวเองเป็นคนไม่ค่อยแข็งแรงมาตั้งแต่เด็กๆ
“น้องหม่อนกินได้ทุกอย่าง” น้องหม่อนคุยโวบ้าง
“อ๊ะ ไหนพี่ว่าจะพาหนูไปกินอาหารโมร็อกโคไง ทำไมกลายเป็นเนื้อทอดกระเทียมราดข้าว” หนูด้วงถามเมื่ออาหารของตัวเองมาเสิร์ฟตรงหน้า แต่เนื้อทอดกระเทียมก็เป็นอาหารจานโปรดของหนูด้วง แค่เห็นและได้กลิ่นท้องก็ร้องประท้วงแล้ว
“ก็เนี่ยแหละโมร็อกโค”
“หื้อออ” หนูด้วงมองไปที่จานข้าวของตัวเองแล้วส่งเสียงประหลาดใจ
“ก็เนี่ย...เนื้อโคกับวัวมันก็เหมือนกัน ก่อนมันจะตายมันเป็นนักร้องเพลงร็อกที่ไปโมหน้ามาใหม่ ก็โมร็อกโคแล้วไง” นโมตอบก่อนจะยักคิ้วให้หนูด้วง
“หนูเกือบขำแล้ว พยายามอีกหน่อยนะฮะ” หนูด้วงพูดหน้าตายก่อนจะตักข้าวเข้าปาก
“หน้าแตกเลยนาโม” น้องไม้ถอนหายใจที่พ่อของตัวเองเล่นมุกแป๊ก
“ฮ่าๆๆๆ” น้องหม่อนเป็นคนที่หัวเราะออกมาอยู่คนเดียว
“มีน้องหม่อนรักพ่ออยู่คนเดียว” นโมเอามือไปยีผมใบหม่อน
“หม่อนขำที่นาโมพูดอะไรก็ไม่รู้ วัวร้องเพลงร็อกไม่ได้สักหน่อย มันต้องเป็น มอร้องโค เอ้ย..โคร้องมอ” ใบหม่อมพูดจบคราวนี้ทั้งหนูด้วงทั้งน้องไม้ก็หัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน ปล่อยให้นโมทำหน้าเซ็งอยู่คนเดียว
...
เมื่ออิ่มท้องกันแล้วนโมก็พาเด็กๆ กับหนูด้วงกลับมาที่ร้านกล่องดนตรี ส่วนบ้านที่นโมและเด็กแฝดอาศัยอยู่ถูกปลูกเยื้องไปทางด้านหลังของร้านกล่องดนตรี เป็นบ้านสองชั้นขนาดกลางสไตล์วินเทจ สร้างจากไม้เป็นส่วนใหญ่ บริเวณโดยรอบปลูกต้นไม้ ทั้งไม้ใหญ่และไม้ประดับ
“สวยจัง” หนูด้วงกวาดสายตาสำรวจไปทั่วก่อนจะเอ่ยปากชมหลังจากที่นโมพามาที่บ้านก่อนเพราะร้านยังไม่เปิด
“พี่สโนไวท์ไปที่ห้องนอนของหนูนะ หนูมีของเล่นเยอะแยะเลย” น้องหม่อนรีบเดินมาจูงมือของหนูด้วง
“เราตกลงกันแล้วว่าจะไม่ให้ใครขึ้นไปที่ป้อมปราการของเราไง” น้องไม้รีบท้วงน้องชาย
“แต่ว่า...” ใบหม่อนดูลังเลเพราะอยากอวดของเล่นให้หนูด้วงดู
“พี่หนูด้วงรอที่นี่ก็ได้ น้องหม่อนเอาของเล่นลงมาเล่นข้างล่างดีกว่าเนอะ” หนูด้วงไม่อยากให้เด็กทั้งสองคนเถียงกัน
“ไปทำการบ้านก่อนแล้วค่อยลงมาเล่น” น้ำเสียงของนโมไม่ได้ดุสักนิดแต่เด็กน้อยทั้งสองคนก็รีบทำตามอย่างว่าง่าย จะว่าไปก็ไม่แปลกใจหรอก ขนาดตัวเองยังต้องทำตามเหมือนกัน เสียงของพี่นโมมีอำนาจยังไงก็ไม่รู้
หนูด้วงเดินดูรูปถ่ายต่างๆ ที่แขวนตามผนัง ส่วนใหญ่เป็นรูปน้องไม้กับน้องหม่อนในช่วงอายุต่างๆ พยายามมองรูปถ่ายครอบครัวเพราะอยากเห็นแม่ของเด็กทั้งสองคนแต่ก็ไม่มีภาพผู้หญิงปรากฏอยู่เลยสักภาพ จนสายตาไปหยุดอยู่ตรงรูปภาพสองรูปที่อยู่ภายในกรอบไม้เดียวกัน เป็นรูปเส้นยุ่งๆ สีดำกับสีฟ้า
“มันสวยเหรอฮะ” หนูด้วงหันมาถามเจ้าของบ้านเพราะรูปถูกใส่กรอบอย่างดี
“มันสวยสำหรับพี่”
“คงต้องใช้จินตนาการสูงมากๆ ในการรับชม” หนูด้วงพูดแล้วก็หัวเราะก่อนจะเดินไปดูภาพอื่นๆ ต่อ
“เดินเล่นไปก่อนนะ พี่ขอตัวไปดูเจ้าแฝดก่อน”
นโมเดินออกมาหยุดยืนที่ปลายบันได ชะโงกมองไปที่หนูด้วงอีกครั้งก่อนจะถอนหายใจออกมา เขาเดินขึ้นมาถึงห้องไม้กับหม่อน ทั้งคู่เพิ่งจะเปลี่ยนชุดเสร็จ เขาสอนให้เด็กทั้งสองคนช่วยเหลือตัวเองตั้งแต่ยังเล็กๆ นอกจากว่าทั้งคู่จะทำไม่ได้จริงๆ เขาถึงยื่นมือเข้าไปช่วย เมื่อน้องหม่อนเห็นนโมเดินเข้ามาก็รีบเข้าไปกอดแล้วอ้อนถาม
“พี่สโนไวท์เป็นสโนไวท์ของนาโมใช่ไหม”
“ใช่ดีหรือไม่ใช่ดีนะ” นโมแกล้งถาม
“ดีจ้า หม่อนชอบพี่สโนไวท์”
“ไม่ใช่หรอก” น้องไม้ทำหน้าเข้ม
“ไม้ดูสิ ใช่นะ” น้องหม่อนคลายกอดออกแล้ววิ่งไปหยิบรูปในลิ้นชักของตัวเองมายื่นให้น้องไม้ดู
“ไม่เห็นจะเหมือน ในรูปสโนไวท์ตัวเท่าๆ เราเอง แล้วสโนไวท์ก็เป็นผู้หญิงไม่ใช่ผู้ชาย” น้องไม้เหลือบมองดูคนในรูปแล้วยังยืนยันตามเดิม
“ไปแอบขโมยของพ่อมาอีกแล้วใช่ไหมน้องหม่อน” นโมถามเมื่อเห็นว่าของของตัวเองมาอยู่ในลิ้นชักของใบหม่อน
“ก็น้องหม่อนชอบเอาไว้ดูก่อนนอน นาโมไม่โกรธนะ ไม่โกรธน้องหม่อนนะ” น้องหม่อนรีบกลับไปกอดนโมอีกรอบ
“ไม่ได้โกรธ แต่พ่อกำลังสอนหนู หนูต้องขออนุญาตเจ้าของก่อนถึงจะหยิบมา เข้าใจไหมครับ”
“เข้าใจครับ น้องหม่อนคืนให้นาโมก็ได้” น้องหม่อนยื่นรูปคืนให้ก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะญี่ปุ่นเพื่อรีบทำการบ้านให้เสร็จ กลัวว่าถ้าชักช้าแล้วพี่หนูด้วงจะกลับบ้านเสียก่อน
นโมรับรูปคนสำคัญมายัดใส่กระเป๋าเสื้อก่อนจะนั่งลงข้างเด็กทั้งสองคนแล้วสอนการบ้านให้
มีต่อด้านล่างค่ะ
V
V