ตอนนี้ยาวจัง..ต่อคร๊าบบบบ
หลังจากประตูห้องประชุมปิดลง จินดนัยหาที่นั่งรอพร้อมหนังสือการ์ตูนเล่มใหม่ในมือบริเวณหน้าห้อง หากนั่งอ่านไปได้สักพักก็ต้องลดหนังสือลงเพราะขาดสมาธิ สถานที่รอบด้านมีแต่ความเคร่งเครียดเป็นการเป็นงานจะอ่านการ์ตูนได้ยังไง เขาจึงเดินเลี่ยงออกมาหามุมเงียบๆ บริเวณชั้นล่างแทนพลางครุ่นคิดถึงเรื่องกวนใจในระยะนี้
เขาไม่ปฏิเสธว่าดีใจที่เห็นแสงเหนือเริ่มศึกษางานด้านโรงแรมอย่างจริงจัง ชายหนุ่มกับมารดามาที่โรงแรมนี่อาทิตย์ละสี่ห้าวันซึ่งนับว่าบ่อยมากเมื่อเทียบกับสมัยก่อนที่เขาจะเข้ามาทำงานด้วย นอกจากนี้ไม่ว่าจะโรงพยาบาลหรือยาบำรุงอะไร แสงเหนือก็ยอมไปยอมกินแต่โดยดีไม่มีอิดออด จะเรียกว่าเป็นเด็กดีก็ใช่ หรือจะมองว่าเริ่มเป็นผู้เป็นคนก็ถูก คุณรตีดีใจจนยิ้มร่าหน้าบาน ทุกคนมีความสุข แทบทุกเรื่องราบรื่นไม่มีปัญหา ...ที่ต้องใช้คำว่าแทบเพราะเขาคนหนึ่งล่ะ ที่เริ่มมีปัญหาเสียแล้ว
แสงเหนือมีเวลาให้เขาน้อยลง อยู่กับเขาน้อยลง และเมื่อถึงเวลาได้อยู่ด้วยกันสองคน ถึงจะทำท่าฟังเขาเหมือนปกติแต่ในใจคงคิดไปเรื่องอื่น พอเขาเริ่มคาดคั้นก็โดนหาว่าคิดมากและสั่งให้เขาเลิกคิดไร้สาระ
ถ้านั่นยังมีลับลมคมใน กวนหัวจิตหัวใจกันไม่พอ เขายังมีอีกเรื่องที่เริ่มหงุดหงิดมากขึ้นทุกขณะ ซึ่งจะเป็นเรื่องอื่นใดไปไม่ได้นอกจากไอ้ท่าทางวางตัวเป็นพี่ชายแสนดีจอมปลอมของแสงเหนือนั่นล่ะ ว่าแล้วว่าที่เคยบอกไม่เป็นไร ไม่เสียใจนั่นโกหกทั้งเพ คนบอกว่าไม่เป็นไรแต่กลับเริ่มทิ้งระยะห่าง ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาเริ่มห่างเหินเหมือนกลับไปตอนเขาเพิ่งเข้าทำงานใหม่ๆ ไม่มีผิด จะให้เรียกพี่ชายน้องชายกันอีกทำไมในเมื่อฝ่ายนั้นต่างหากที่ทำตัวเป็นเจ้านายไม่ตีสนิทกับคนรับใช้อย่างเขา คงไม่น่าแปลกใจสักนิดถ้าวันหนึ่งแสงเหนือจะสั่งให้เขากลับไปเรียกว่าคุณเหนือเหมือนเดิม
...ก็ดี ทำตัวห่างๆ กันบ้างแบบนี้ก็เข้าท่าดี ว่าแต่ทำไมการ์ตูนเล่มนี้ไม่ตลกเลยเนี่ย เข้าข่ายต้มตุ๋นหลอกลวงผู้บริโภคนี่หว่า... เขาพลิกๆ ผ่านๆ การ์ตูนเรื่องโปรดซึ่งตามอ่านมาตั้งแต่ก่อนตายด้วยท่าทางเซ็งสุดขีด ก่อนเริ่มเลื้อยลงตามความนุ่มนิ่มของเก้าอี้ หากยังไม่ทันจะได้เคลิ้มก็ได้ยินเสียงพูดคุยจุ๊กจิ๊กน่ารำคาญดังเข้าหู “หมายความว่าไง ทำไมประชุมวันนี้เขาไม่ให้คุณพี่เข้าฟัง คุณพี่เป็นถึงหลานของคุณเตโช เป็นผู้ช่วยผู้จัดการแผนกบัญชีแต่กลับไม่เรียกเข้าประชุมแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน”
“ก็จะอะไร คุณชายเขาไม่ชอบหน้าพี่เลยทำเมินมองข้ามหัวเหมือนพี่เป็นหัวหลักหัวตอน่ะสิ พะเน้าพะนอกันเข้าไป” เสียงผู้ชายตอบกลับด้วยอาการฉุนเฉียวพอกับเสียงแรก “พวกมันพอกันทั้งพี่ทั้งน้อง คนพี่ก็กวนตีน คนน้องก็ทำเป็นพี่ไม่อยู่ในสายตา อ๊ะ แต่จะว่าไป พี่ก็คงไม่อยู่ในสายตาคุณชายแสงเหนือตาบอดจริงๆ นั่นล่ะ ฮ่าๆ”
จินดนัยฟังไปพลาง นอนขมวดคิ้วเคาะนิ้วกับโซฟาไปพลาง ...ไอ้หมอนี่กับยัยผู้หญิงนั่น ถ้าไม่โง่มากๆ ก็คงง่าวสุดๆ คิดยังไงถึงได้มานั่งนินทาเจ้านายกลางวันแสกๆ ต่อให้บริเวณนี้จะเป็นที่ลับหูลับตา และถึงจะมีใครผ่านไปมาก็มักจะมีแต่แขกของโรงแรมมากกว่าพนักงานก็เถอะ แต่อย่างที่โบราณท่านว่าไว้ กำแพงมีหู ประตูมีช่อง แล้วนี่บนโซฟามีเขาแบบไม่ได้มาแค่หูหรือแอบอยู่ในช่องหากนอนอยู่ทั้งตัว ไม่ไหวๆ โง่วจนรับไม่ได้
หากยังไม่ทันที่เขาจะลุกเผยตัว เสียงแหลมก็เอ่ยต่อข้อความที่ทำเอาสะดุดกึก “น้องกลัวแค่ว่าเขาจะเริ่มสงสัยคุณพี่หรือเปล่าน่ะสิถึงไม่ได้เรียกเข้าประชุม เพราะครั้งล่าสุดนี่เรา...”
“ชี่ย์... อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้” อีกฝ่ายคงเริ่มฉลาดและรีบปราม “ที่นี่ไม่ปลอดภัย กำแพงมีหู หนูมีปีก เกิดใครมาได้ยินเข้าเราจะแย่”
จินดนัยเกือบหลุดหัวเราะก๊ากกับคำพังเพยเด็กแนวที่คนโบราณมาได้ยินคงต้องกัดลิ้นตาย ทว่าเริ่มขำไม่ออกเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ที่ที่เขานอนซุกอยู่นี่ “กลับไปก่อนเถอะ พี่เองก็ว่าจะกลับไปนั่งรอพบคุณรตีเสียหน่อยก่อนจะโดนไอ้คุณชายนั่นเป่าหูใส่จนซวยไปหมด หนอย ตัวมันก็แค่คุณหนูเรียนไม่จบแถมตาบอดแต่ดันเก๊กท่าเป็นคนใหญ่คนโต เห็นแล้วหมั่นไส้นัก”
น่าแปลกใจ เส้นเลือดบนขมับเริ่มปูดอย่างไม่รู้สาเหตุ แสงเหนือเป็นคนฆ่าเขา ฉะนั้นเขามีสิทธิ์ด่าแสงเหนือได้คนเดียว “พี่ชัชคะ อย่าใจร้อนเลยค่ะ เราต้องอดทนไปก่อน รอไปสักพักกว่าพวกมันจะรู้ตัวก็...”
กว่าคุณพี่กับคุณน้องจะเดินจากไป จินดนัยก็ลงไปคุดคู้หมอบซุกอยู่หลังโซฟาจนเมื่อยขบ ไม่ต้องเหลืออะไรให้สงสัยอีกแล้ว คุณพี่ซึ่งนินทาเจ้านายระยะเผาขนคือคุณชัช ชายอ้วนที่ชอบแต่งชุดสูทเล็กไปสองเบอร์ เขาเคยคิดว่าหมอนี่ลูกกะตาหลุกหลิกน่าสงสัย ไม่คิดว่าจะกล้าโกงบริษัทจริงๆ แถมเมื่อกี๊ คุณน้องช้างพังยังว่าฝ่ายนั้นเป็นถึงหลานคุณเตโช พ่อของแสงเหนืออีก นี่มิเท่ากับว่าโกงญาติพี่น้องกันเองหรอกหรือ
แว่บแรกที่เขาคิดจะทำคือวิ่งไปบอกแสงเหนือ แต่วิ่งไปได้แค่สองสามก้าวก็ต้องชะงัก เขาจะเอาอะไรไปบอกล่ะ ขืนบอกแค่มีคนคิดจะโกงดูจะน้ำหนักเบาหวิว โกงยังไงไม่รู้ หลักฐานอะไรก็ไม่มี ทางนั้นเขาเป็นถึงญาติฝ่ายพ่อ เขาเสียอีกที่ไม่ใช่ญาติโกโหติกาด้วยสักนิด หรือต่อให้คุณชัชโกงจริง แต่ในฐานะเครือญาติกัน เกิดแสงเหนือกับคุณรตีไม่ติดใจเอาความ เขาเองนั่นล่ะที่จะซวย
หากจะให้นิ่งเงียบเหมือนไม่ได้ยินอะไรเลยก็ทำไม่ได้ วิ่งวนเป็นหนูถีบจักรได้สักพัก จินดนัยจึงค่อยคิดหาทางออกได้ คราวนี้เขาเริ่มวิ่งตึงตังไปทั่ว จนเหงื่อเริ่มแตกนั่นล่ะ ในที่สุดจึงพบคนที่ตามหาในชุดสูทสีเข้มกำลังชะโงกหน้าหยอกล้อกับพนักงานต้อนรับที่แผนกสปาอย่างมีความสุข
ชายหนุ่มผู้กำลังหยอดยิ้มหวานเผลอสะดุ้งโหยงยามได้ยินเสียงตะโกนเรียกชื่อลากยาวเฟื้อยมาแต่ไกลและเป็นเสียงประเภทที่แค่ฟังดูก็รู้ว่าไม่ใช่เรื่องดี “คุณอ้ามมมม!!” ก่อนจะทันรู้ตัว ขายาวๆ ตั้งท่าจะหาทางหนีทีไล่แต่ติดตรงที่ชายเสื้อสูทถูกตะครุบไว้หมับจนแทบหน้าหงาย
“เฮ้ย! ดึงทำไม เดี๋ยวขาดหมด” จินดนัยไม่เพียงไม่ปล่อย หากยังยึดไว้แน่นกว่าเดิมจนขยุ้มไว้เต็มสองมือ “ปล่อย ปล่อยโว้ย กำแน่นขนาดนั้นยับกันพอดี”
“แล้วคุณอั้มจะวิ่งหนีทำไมเล่า” เขาขู่ฟ่อกลับแล้วกลับโดนหิ้วคอลากหลบไปทางด้านในที่เงียบสงบปลอดสายตาคนกว่าทันที “ทำอะไรผิดไว้หรือไงถึงต้องวิ่งหนี ผมไม่ใช่ตำรวจนะ ทำเป็นผู้ร้ายหนีคดีไปได้ จะบอกให้นะว่าโจรสติดีๆ เขาไม่เผ่นหนีซึ่งหน้ากันหรอก ไม่งั้นมีสิทธิ์โดนไข้โป้งทุกราย อีประเภท...”
“เด็กบ้าอะไรวะ พูดมากชะมัด” ชายหนุ่มรีบยกมือห้ามคนตั้งท่าจะเถียง “ไม่ต้องอธิบายให้มากความ เอาแค่ประเด็นหลักๆ พอว่าตามหาฉันทำไม ถ้าจะให้พาไปกินข้าวข้างนอกก็ลาก่อน แค่นี้เจ้าเหนือก็เขม่นหน้าฉันอย่างกับอะไร”
“คุณอั้มเป็นผู้จัดการประสาอะไร ไม่รู้หรือว่าคุณชัชเขาโกง...อื๊อ!!” มือใหญ่ตะปบปากเขาทีเดียวปิดมิดไปครึ่งหน้า โดยไม่สนใจร่างที่ดิ้นฮึดฮัดในมือ เมืองเอกลากเขาต่อไปยังห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ไม่มีลูกค้าใช้บริการอยู่ จนแน่ใจว่ามีเพียงพวกเขาอยู่กันตามลำพัง เมืองเอกจึงยอมปล่อยคนที่เริ่มแน่นิ่งหมดแรงเพราะขาดอากาศหายใจให้เป็นอิสระ “คิดบ้าอะไรถึงพูดโพล่งเรื่องนั้นออกมา เขาไม่ใช่คนที่นายควรเข้าไปยุ่งด้วยหรอกนะ หมอนั่น...”
ชายหนุ่มรับร่างที่ทรุดฮวลลงได้ทันและตบหน้าซีดๆ ซึ่งหายใจพะงาบๆ อย่างต้องการเรียกสติ “อ้าว ไอ้หนู อย่าเพิ่งเป็นลมนะโว้ย เฮ้ย อย่าตายนะ ขืนนายม่องคามือฉันก็ซวยสิ”
“คราย...ม่อง...” ลากเสียงพูดได้แค่สองคำก็ตาลายวูบเพราะโดนอุ้มช้อนขึ้นทั้งตัว รับรู้อาการใกล้เป็นลมแต่ยังฝืนสติไว้สุดฤทธิ์ สูดหายใจลึกและหลับตาเพื่อหลีกภาพวูบวาบน่าเวียนหัว ได้กลิ่นยาดมมารนๆ อยู่แถวใต้จมูกพร้อมผ้าชุบน้ำเย็นๆ ลูบตามใบหน้าลำคอให้จนรู้สึกดีขึ้น จินดนัยลืมตาปรือเห็นเมืองเอกกำลังนั่งยองๆ หน้านิ่วคิ้วเข้มขมวดโดยมีพนักงานหญิงอีกคนรอดูอาการเขาอยู่ด้วย
“นี่กินข้าวกินปลาบ้างหรือเปล่า สุขภาพตัวเองทำไมไม่ดูแลให้ดีๆ น้า นี่ถ้าไปเป็นลมเป็นแล้งที่อื่นแล้วจะทำยังไง ฉันก็พอเข้าใจนะว่าเด็กวัยรุ่นสมัยนี้มันชอบรักษาหุ่นให้ผอมเพรียวชะลูดตูดแฟบหัวโตเป็นถั่วงอก แต่ผอมมากไปมันก็ไม่ดีหรอก อย่าบอกนะว่าบ้านนั้นไม่มีอะไรให้กิน ฉันเห็นเจ้าเหนือออกจะประเคนให้นายทุกอย่าง กับอีแค่...” ผู้ชายปากมากหยุดพล่ามกะทันหันเพราะโดนคนป่วยปาผ้าเปียกเข้าเต็มหน้า “เฮ้ย ทำอะไร คนอุตส่าห์อุ้มมา แถมช่วยพยาบาลให้ รู้งี้ปล่อยกองทิ้งไว้ก็ดี”
“ก็ปล่อยทิ้งไว้เลยเซ่ ใครใช้ให้ช่วย” นอกจากไม่รู้จักบุญคุณแล้วยังไม่รู้สำนึก เขาลุกพรวดด้วยความไม่เจียม ผลลัพธ์คือวูบอีกระลอก ทำให้เผลอคว้าหัวคุณเมืองเอกไว้ทันท่วงที “นั่น เห็นฉันเป็นหัวหลักหัวตออีกต่างหาก นอนลงไปเลย ไอ้ลูกหมาสารพัดพิษ จะนอนลงไปโดยดีหรือต้องให้จับกด”
ไม่ได้กลัวแต่เขาต้องยอมลงนอนเพื่อพักเอาแรง ระหว่างนั้น เขาได้ยินเมืองเอกกล่าวขอบคุณและบอกให้พนักงานหญิงกลับไปทำงาน หลังสิ้นเสียงฝีเท้า เสียงทุ้มจึงค่อยเอ่ย “ฉันรู้เรื่องคุณชัชอยู่แล้ว พูดไปมันก็ลำบากใจนะ ทางนั้นเขาก็เป็นญาติที่คุณเตโชฝากมา จะพูดจะทำอะไรก็ลำบาก ที่สำคัญคือฉันเกรงใจคุณรตี”
“บอกพี่เหนือสิ รับรองว่าพี่เหนือไม่เอาหมอนั่นไว้แน่” เขาลุกขึ้นมานั่ง คราวนี้อย่างช้าๆ
“...คิดอยู่เหมือนกัน แต่เจ้าเหนือมันเกลียดขี้หน้าฉันจะตาย เธอก็รู้ พูดไป เจ้าเหนืออาจไม่เชื่อแถมด่าฉันกลับก็ได้” อืม ไอ้เรื่องเกลียดขี้หน้าน่ะเข้าใจ แต่กับเรื่องหลังนี่เขาไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนั้น ครั้นพูดออกไป เมืองเอกจึงหันกลับมามองหน้าเขาแล้วหัวเราะ “ช่วยไปพูดเกริ่นๆ ให้ก่อนทีสิ เอาน่า ไม่ต้องทำหน้ากลัวขนาดนั้นหรอก รู้ตัวบ้างไหมว่าทุกวันนี้เจ้าเหนือฟังเธอมากกว่าฟังคุณรตีเสียอีก”
“ไม่จริงอ่ะ” หน้าร้อนซู่แบบไม่เกี่ยวกับอาการหน้ามืด จินดนัยรีบมองไปทางอื่นที่ไม่ใช่สีหน้าจับผิดของเมืองเอก “ตอนนี้เขาโกรธผมอยู่ ไม่รู้งอนบ้าอะไร ไม่อยากยุ่งกับไอ้คุณชายเอาใจยากนั่นหรอก...”
เสียงหัวเราะหึๆ เหมือนรู้ทันแต่ยังไม่ทันได้ทุบสักอั้ก เมืองเอกกลับขยุ้มหัวเขาแล้วขยี้แรงๆ “หัดเอาใจหมอนั่นหน่อยสิ เจ้าเหนือมันนิสัยเหมือนเด็กจะตาย ชอบแกล้งคนที่ตัวเองชอบ อ้อนเก่ง งอนก็เก่งเป็นอันดับหนึ่ง ง้อๆ เข้าหน่อย ขี้คร้านจะใจอ่อนปวกเปียก ยอมออกปากขอโทษเธอแทนด้วยซ้ำ”
“รู้ดีจังนะ คุณอั้ม รู้ดีขนาดนี้น่าจะสนิทสนมกลมเกลียวมากกว่าเกลียดขี้หน้ากันนี่นา” ปรายหางตามองหวาดระแวง แต่โดนดีดหน้าผากจนความคิดอกุศลหล่นกระจาย “หยุดไอ้ความคิดบ้าๆ ในสมองเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ฉันเห็นหมอนั่นตั้งแต่เล็กไม่รู้ก็เกินไปล่ะ สำหรับฉัน เจ้าเหนือก็เหมือนน้องชายเกเรๆ คนหนึ่ง และเพราะรู้ดีขนาดนี้ เจ้าเหนือถึงเกลียดคนรู้ทัน เอาล่ะ เธอน่าจะกลับไปได้แล้วนะ นี่ก็เกินเที่ยงแล้วเดี๋ยวเจ้าเหนือจะอาละวาด พนักงานกระเจิงอีกรอบ”
++++++++++
“ทำไมเมื่อกลางวัน จินถึงมาช้า” จินดนัยชะงักมือซึ่งยกจัดที่หลับที่นอนบนเตียง เหลือบมองหน้าคนนั่งตรงริมเตียงนิดหนึ่งแล้วทำเหมือนไม่ได้ยิน “พี่ถามทำไมไม่ตอบ! หรือมีความลับอะไรถึงตอบไม่ได้”
“ถ้าพี่เหนืออยากถามว่าทำไมคุณอั้มถึงมาพร้อมผมก็ถามมาตรงๆ ดีกว่า ไม่ต้องอ้อมค้อมหรอก ผมง่วง อยากนอน ขี้เกียจเล่นยี่สิบคำถาม” หน้าขาวๆ ของแสงเหนือแดงก่ำขึ้นทันตา เขาสงสัยว่าเป็นเพราะชายหนุ่มเขินหรือของขึ้นกันแน่ แต่ฟังจากเสียงตวาดที่ไม่ได้ยินมาเสียนาน คาดว่าน่าจะเป็นเพราะประการหลังเสียมากกว่า
“รู้ตัวก็ดี! ไหนลองตอบมาซิว่าทำไมต้องมาพร้อมไอ้หมอนั่น พี่สั่งแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่าไปยุ่งกับมัน!” จินดนัยถอนหายใจยืดยาวและตั้งใจให้อีกฝ่ายได้ยินอีกต่างหาก ส่งผลให้หน้าแสงเหนือที่แดงอยู่แล้วยิ่งแดงจัด “จิน!”
“ผมอยู่แค่นี้ พี่เหนือจะตะโกนทำไม” เมื่อครู่ที่บอกว่าง่วงและอยากนอนนั่น เขาไม่ได้โกหก จินดนัยทิ้งตัวลงนอนแผ่กลางเตียงกว้างของเจ้านายโดยไม่ต้องห่วงเรื่องโดนดุ “หมู่นี้ผมเผลอทำอะไรให้พี่เหนือโกรธหรือเปล่า”
แผ่นหลังเหยียดตรงดูเกร็งขึ้นนิดหนึ่งก่อนเสียงห้วนจะย้อนถาม “ทำไมอยู่ๆ ถึงมาถามพี่เรื่องนี้ พี่ไม่ได้...”
“ถึงผมจะโง่แต่ก็ไม่ใช่ควายนะถึงจะได้ไม่รู้ว่าพี่เหนือกำลังโกรธผมอยู่” เสียงสลดแบบไม่ต้องเล่นละคร เขาเหนื่อยจริงๆ นะกับการตามอารมณ์แสงเหนือให้ทัน “ถ้าพี่อยากให้ผมทำอะไร พี่ก็บอกผมตรงๆ สิ”
“พี่ไม่ได้โกรธจินจริงๆ เพียงแต่... เพียงแต่ว่า...” ทำหน้าตัดใจแล้วแสงเหนือจึงเอ่ยเบาๆ ราวกับกลัวเขาจะได้ยิน “พี่ต่างหากที่กลัวจินจะโกรธ พี่รู้ว่าเคยบอกให้จินไม่ต้องกังวลแต่ว่า...”
ถ้าแสงเหนือพูดคำว่าแต่ว่าอีกครั้งเดียวล่ะก็ โดนยันโครมตกเตียงแน่ “พี่พยายามทำตัวเป็นพี่ชาย เป็นแค่พี่ชายที่ดีอย่างที่จินต้องการ แต่พี่ตัดใจไม่ได้นี่” เวรแล้ว เสียงตัดพ้อมาแต่ไกลเชียว เขายังไม่ได้ง้างเท้าถีบสักน่อยเลยนะ “รักไม่ได้ อยู่ใกล้ก็พาลจะตบะแตก จะให้ห่างกันไปเลยพี่ก็ทนไม่ได้หรอก สรุปแล้วเลยกลายเป็นแบบที่จินว่า... ถ้าไอ้อาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของพี่ มันทำให้จินรำคาญล่ะก็...พี่ขอโทษ แต่จินจะให้พี่ทำยังไงล่ะถึงจะพอใจ”
“พี่เหนือ ผม...” พอยกมือแตะแผ่นหลังกว้างหากบัดนี้เริ่มงองุ้มนั่น กลับโดนเจ้าตัวสะบัดชิ่งหลบ น่าแปลกที่เขากลับรู้สึกสงสารแทนหมั่นไส้อย่างที่ควร “ผมเคยบอกพี่เหรอว่าโกรธหรือรำคาญ ...ผมเคยบอกหรือเปล่าว่ารักไม่ได้”
พูดไปแล้วก็อายตัวเอง หากก่อนจะลากเลื้อยหลบไปได้ กลับโดนเจ้าคนที่เมื่อวินาทีทีแล้วยังนั่งคอตกพลิกตัวกลับคร่อมเขาไว้ ...เอ่อ ได้ข่าวว่าตาบอดอยู่ไม่ใช่เหรอ หรือไอ้เรื่องขึ้นคร่อมนี่มันแทรกซึมเข้าไปทุกอณูของร่างกายจนสามารถทำได้โดยอัตโนมัติ คิดยังไม่ตกระหว่างมุดดำดินกับเอาหัวโหม่ง ชายหนุ่มก็ถามเสียงเข้มเอาจริงเอาจัง
“จิน...ไม่ได้โกรธ ไม่ได้รังเกียจพี่จริงๆ นะ” กลืนน้ำลายเอื้อก จินดนัยจึงค่อยตอบเบาแสนเบาซึ่งมันช่วยเรียกรอยยิ้มหวานจากคนรอฟัง “อืม นั่นสิ จินไม่เคยบอกพี่สักคำเลยว่ารักไม่ได้หรือแม้แต่ไม่ได้รัก... งั้นแสดงว่า...พี่รักจินต่อไปได้ใช่ไหม”
ไอ้อาการคัดแน่นในอกเหมือนจะหายใจไม่ออกนี่ต้องเป็นหนึ่งในสัญญาณเตือนภัยแน่ๆ ใจเย็นก่อน พรรคพวก ก็แค่ปล่อยให้หมอนี่มันฝันลมๆ แล้งๆ เท่านั้น ตราบใดที่เขาไม่ได้รักตอบ นั่นก็น่าจะปลอดภัย... น่าจะ...นะ
อารามคิดฟุ้งซ่านอยู่นาน ฝ่ายรอคำตอบจึงจัดการทึกทักเข้าข้างตัวเสียฉิบ “ไม่ตอบ พี่ถือว่าไม่ปฏิเสธนะ”
ต่อจากอาการคัดแน่นคือความร้อนวูบวาบยามใบหน้าขาวกับรอยเคราเขียวๆ ที่เห็นว่าลอยวนเวียนอยู่หลัดๆ เริ่มซุกซบลงกับซอกคอ ตอหนวดแข็งๆ ที่เผลอจ้องเมื่อครู่ครูดกับผิวเนื้ออ่อนจนขนลุกเกรียว ท่าซุกไซร้หาไออุ่นไม่ต่างกับแมวทำให้จั๊กกะจี้จนต้องพลิกหน้าหนีพัลวัน “ฮื้อ จั๊กกะจี้น่า อย่า... ไม่เล่นแล้ว”
“อืมมม... คิดถึงจัง” เสียงครางแหบนุ่มตรงริมใบหูราวแมวตัวโตที่ได้ละเลียดนมอุ่นๆ หวานๆ ทำเอาจินดนัยขนลุกซู่ หัวใจเต้นแรงขึ้นจวนเจียนจะเกมโอเวอร์เต็มทน ซ้ำร้ายเข้าไปอีกเมื่อฟันคมๆ แกล้งงับเนื้อนุ่มตรงติ่งหูอย่างต้องการจะแกล้ง ส่งผลให้เขาหลุดเสียงหัวเราะสลับตะโกน “พี่...พี่เหนือ! บอกว่าไม่เล่นไง มันจั๊กกะจี้... ฮะ อ๊า...”
“ไม่เล่นจั๊กกะจี๋ก็ได้”เขายังหายใจหอบจากการหัวเราะเมื่อครู่แต่ก็ไม่ละความพยายามยันหน้าขาวๆ ที่ยิ้มกรุ้มกริ่มออกให้ห่างจอ จู่ๆ กลับโดนคว้ามือข้างนั้นไปจูบฟอดก่อนที่แสงเหนือจะกระซิบ “งั้นขอจูบแทนนะ”
วินาทีนั้น หัวใจที่กำลังเต้นจังหวะแซมบ้าอย่างเมามันกลับทำเหมือนจะลืมวิธีแดนซ์ไปเสียดื้อๆ ไม่รู้ว่าเป็นเขาเองที่หยุดหายใจหรือร่างกายเกิดปฏิกิริยาต่อต้านออกซิเจน รู้แต่ลิ้นแข็ง ปากชา คิดอะไรไม่ออกเท่านั้น คิดคำปฏิเสธไม่ออก หรือจะหาวิธีตอบรับก็ทำไม่ได้ เขานอนอึ้งเหมือนคนเป็นใบ้ปล่อยให้แสงเหนือลูบใบหน้าช้าๆ และใช้มือใหญ่ข้างเดียวกันนั้นประคองแก้มเย็นชืดไว้
“...ไม่ตอบ พี่ถือว่าไม่ปฏิเสธนะ” เขาต้องใกล้ตายอย่างที่เทวดาพะยี่ห้อไว้แน่ๆ เพราะแทนที่จะเอาหัวโหม่ง ขึ้นท่าโช้คแสลมหรือรัวอัปเปอร์คัทแจกหมัดดาวตกเทือกนั้น กลับทำแต่อะไรงี่เง่าๆ อย่างใช้มือที่อ่อนเป็นวุ้นยันใบหน้าที่ก้มลงมาหาและหลับตาปี๋ยามหมดทางหนี
มันงี่เง่าจริงๆ นะ ให้ดิ้นตาย
++++++++++++++++++++++++++++++++
TBC
จาจูบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบแล้ว
เจ้าจินหนีไม่พ้นแน่ๆ