บทที่ 15
Definitely, definitely not!!
ต้นน้ำกำลังเดินหอบหิ้วถังน้ำ ถุงขยะ และอื่นๆ อีกมากมายพลุงพลัง บนทางเดินในสวยที่สร้างด้วยอิฐแแดงเก่าๆที่จมลงในดินดำหนืดจนแทบไม่เห็นรอยทางสีแดงที่ปูจากตัวบ้านไปจนถึงกำแพงลวดหนามที่สุดทางท้ายสวน สวนแห่งนี้นับจากพ่อของเขาเสียชีวิตก็ขาดคนดูแลเอาใจใส่ให้ดูเป็นระเบียบสะอาดสะอ้านอยู่เสมอ เพราะลำพังแม่เขาคนเดียวที่ดูแลกิจการที่พ่อเขาทิ้งไว้ให้ก็เต็มไม้เต็มมือจะแย่อยู่แล้ว
มันจึงเป็นหน้าที่ตกทอดมาถึงเขาในการดูแลต่อ ซี่งต้นน้ำเขาสามารถบอกได้เลยว่า ‘ไม่ใช่ทาง’ หากไม่ติดที่ว่ามันเป็นพื้นที่ๆแสนวิเศษของพ่อกับแม่ของเขา ไม่อย่างนั้นผมคงยุแม่ให้ขายไปนานแล้ว ไม่ว่าอย่างไร แม่ก็ไม่ยอมขาย เพราะพ่อสั่งเสียไว้
ต้นน้ำเดินทอดน่องไปเรื่อยๆ จนถึงจุดที่เขาต้องเข้ามาเป็นประจำ ที่ต้นไม้ใหญ่ท้ายสวน ที่ๆผู้คนต่างลักลอบเข้ามาสักการะบูชาเจ้าพ่อต้นแห่งความรัก เช่นเดียวกับที่พ่อของเขาที่ต้องเข้ามาทำความสะอาดดูแลเป็นอย่างดี จนถึงตอนนี้ตัวต้นน้ำเองก็ยังไม่เคยจับคนที่ลักลอบเข้ามาได้เลยสักครั้ง
ต้นน้ำบ่นพึมพำไปด้วยความรำคาญ และความไม่เข้าใจในหน้าที่ที่ตกทอดมาถึงเขา เขาไม่ได้อยากได้สวนเหล่านี้เสียหน่อย ยิ่งต้นไม้เก่าแก่ต้นนั้น หากตัดทำลายไปก็ไม่มีใครเช้ามาแล้ว!! มันเป็นการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนเสียด้วยซ้ำ แต่พวกผู้ใหญ่กลับไม่ทำแค่เพราะความทรงจำเก่าๆ
ระหว่างเขากำลังบ่นพึมพำกับการหอบสัมภาระที่มากมายและหนักขึ้นเรื่อยๆตามระยะทางที่ก้าวเดิน (เขาคิดในใจว่าอยากจะหอบขวานมาจามมากกว่า แต่ก็ได้แค่คิด)
เสียงดนตรีเครื่องสายแบบตะวันตกบรรเลงแว่วมาแต่ไกล ทำนองที่เกิดจากการดีดและเคาะผสมผสานทำให้เกิดท้วงทำนองที่ไพเราะตรึงใจ ต้นน้ำไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เขารู้สึกดีใจทุกครั้งที่ได้ยินเสียงดนตรีแบบนี้แว่วมา แม้เป็นเพียงการบรรเลงด้วยเครื่องคนตรีเพียงชิ้นเดียวแต่ก็ไพเราะกว่าเสียงใดๆ ที่เขาเคยได้ยินมา
ต้นน้ำรู้ตัวอีกทีก็เร่งฝีเท้ามาถึงต้นเสียงเสียแล้ว เขาวางทุกอย่างลงอย่างเงียบเชียบและเฝ้ามองคนตรงหน้าบรรเลงดีดเส้นสายที่ขึงตึงกับโกร่งไม้เรียวยาวสีน้ำตาลลายเนื้อไม้อย่างเสนาะเพราะพริ้ง
วันนี้คนตรงหน้าเล่นกีตาร์จนเขาเผลอคิดไปว่า มีเครื่องดนตรีชนิดไหนที่ชายคนนี้เล่นไม่ได้บ้าง เพราะคนที่แสดงเดี่ยวคอนเสิร์ตคนนี้แทบจะนำเครื่องดนตรีมาไม่ซ้ำเลย (เครื่องเป่าจนไปถึงเครื่องสาย)
หลังจากเล่นจนจบชายคนนี้ถึงได้หันมาทักกับเขา
“อ้าว! มาไม่ให้ซุ่มให้เสียง!?”
“พี่จินไห่มัวแต่มีสมาธิกับการเล่นตรีมากกว่า ผมหอบของพะรุงพะรังขนาดนี้เลยนะ ไม่ได้ย่องมาเสียหน่อย” ต้นน้ำผายมือมือให้เห็นสิ่งที่กองอยู่ตรงพื้นบริเวณเท้าตนเอง
“ฮ่าฮ่า นั่นสิ” จินไห่ยิ้มแก้เขิน
“เอาอีกแล้วนะพี่ ผมก็บอกอยู่ว่าไม่ต้อง! เดี๋ยวแม่ผมรู้ก็ด่าผมพอดี” ต้นน้ำมองปราดไปที่บริเวณตีนต้นไม้ใหญ่ที่สะอาดสะอ้านเรียบร้อย
“ไม่เป็นไร เห็นแล้วไม่สบายใจ แม่เราอุตส่าห์อนุญาตให้พี่เข้ามาเดินเล่นได้ทั้งที” จินไห่รวบเก็บกีตาร์แนบข้างลำตัวและเดินไปนั่งบนรากไม่ใหญ่ใกล้ๆ จึงทำให้ต้นน้ำเหลือบไปเห็นธูปหนึ่งดอกที่ปักไว้
“เอาอีกแล้วนะ พี่มักจะเหลือทิ้งไว้ตรงนี้เสมอเลยนะ ไหนว่าไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ไง” ต้นน้ำถอนหายใจก่อนจะเดินไปใกล้กับจินไห่มากขึ้น
“ก็พี่มีเรื่องที่ขอไว้ไง?” จินไห่พูดเสียงอ่อน
“อะ.....ไร....” ต้นน้ำหันไปทางคู่สนทนาก็พบว่าคู่สนทนาของตนขยับเข้ามาใกล้จนแทบบดเขากับลำต้นไม้ใหญ่ที่แสนขรุขระ
“เฮ้ย!! เดี๋ยวพี่! ทำอะไร?!?!” ต้นน้ำโวยในขณะที่มือและเท้าของเขาโดนรากต้นไม้ใหญ่ยกขึ้นมาโอบรัดจนขยับตัวไม่ได้
“พี่อยากจะรู้ว่าที่พี่ขอไว้มันจะเป็นจริงหรือเปล่า?” จินไห่ขยับหน้าเข้ามาใกล้ต้นน้ำที่แทบขยับตัวไม่ได้จากการรัดพัวพันของรากไม้ที่เหมือนมีชีวิตที่รัดเหยื่อไม่ให้ดิ้นรนหลีกหนี
“เฮ้ยยยยยยย!!!!” ต้นน้ำร้องลั่นและลืมตาโพลง
สติค่อยๆกลับเยือนเขาทีละน้อยทันทีที่เขาเห็นแสงสว่างที่สาดส่องเพดานสีขาวสะอาดและกรอบไฟฟลูออเรสเซนซ์ลวดลายสวยงาม
‘ทำไมถึงได้ฝันถึงเรื่องอดีตไปปนกับเรื่องน่ากลัวแบบนั้นได้วะ!’ เขาคิดพลางถอนหายใจเสียงดัง
แต่เหมือนฝันร้ายที่ว่ายังไม่จบต้นน้ำค้นพบตัวเองจมอยู่ภายใต้กองผ้าห่ม ภายใต้ร่มผ้าห่มผืนหนาพบแขนและขาพัวพันหนักอึ้ง ส่วนเจ้าของแขนขาเหล่านั้นยังคงหลับลึกไม่ได้สติ ใบหน้าที่ยังรู้สึกถึงลมจากเครื่องปรับอากาศที่เย็นเฉียบ แต่ภายในร่มผ้านั้นเขามีเหงื่อฉโลมกาย คอที่แห้งผาดจนรู้สึกกระหายน้ำ แต่เจ้าน้องชายของเขาที่รู้สึกคึกคักตื่นตัวเต็มที่ที่เบื้องล่าง เพราะกระเพาะปัสสาวะเต็มเปี่ยมไปด้วยของเสียจากไตมาคั่งอยู่จนแทบล้น (ไม่ได้มีอารมณ์ใดๆ) แต่เหมือนเคราะห์ซ้ำเพราะน้องชายของเขาที่ตื่นเต็มที่นั้นดันอยู่ภายใต้ขาของคนร่วมเตียงที่พาดอยู่
ต้นน้ำตัดสินใจหันไปหาคนที่ทำกับเขาเหมือนหมอนข้างทันที เพื่อจะได้ปลุกและจะได้เลิกคุกคามเขาแบบนี้เสียที ถึงจะไม่ได้ตั้งใจ แต่แบบนี้มันไม่ดีกับหัวใจของเขามากๆ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่หัวใจเขาเต้นผิดปกติเมื่อต้องอยู่ใกล้กับคนๆนี้
สิ่งแรกที่เขาหันไปเจอคือโครงหน้าของคนที่หลับอย่างมีความสุข ใบหน้าที่สงบนิ่งราวกับดำดิ่งสู่ฝันดี ลมหายใจเข้าออกที่กระทบใบหน้าของเขาอย่างสม่ำเสมอ ริมฝีปากที่เผยอแคบๆ เผยให้เห็นส่วนเสี้ยวของฟันหน้าที่ขาวสะอาด คิ้วเข้มที่รับกับใบหน้ายามนิทรา วงหน้าเหล่านั้นทำให้ต้นน้ำลืมจุดประสงค์ที่หันมาชั่วขณะ
‘หอม’ ต้นน้ำแอบคิดเมื่อได้สูดกลิ่นที่ขจายออกมาอ่อนๆ จากตัวคนที่นอนด้วย ทั้งๆ ที่เมื่อคืนเขาก็เช็ดตัวให้ด้วยน้ำเปล่าธรรมดาแต่ทำไมตัวของจินไห่ถึงไม่มีกลิ่นที่น่ารังเกียจเลย
“ตื่นแล้วเหรอ?” คนที่หลับตาสนิทเอ่ยขึ้นเบาๆ ก่อนที่จะค่อยๆยกแผงขนตานั่นขึ้นเผยให้เห็นดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่มีความงัวเงียแฝงอยู่
“ครับ! เอ่อ... คือ.....” ต้นน้ำมองที่ร่างกายของเขาเป็นการขอความเห็นใจให้ช่วยปลดปล่อยตนเอง
“เฮ้ย!! พี่ขอโทษ!! พี่นึกว่าเราเป็นหมอนข้างอีกแล้ว!! ปวดฉี่ใช่ไหม?” จินไห่พูดพลางพลิกตัว
“ทำไม....เอ่อ....” ต้นน้ำรู้สึกหน้าร้อนผ่าว
“ผู้ชายด้วยกัน รู้หรอกน่า” จินไห่ยิ้มกริ่ม
‘เชี้ย!!’ ต้นน้ำสบถในใจและรีบรุดวิ่งไปห้องน้ำ
ต้นน้ำอ้อยอิ่งอยู่ในห้องน้ำอยู่นานเขาทำทุกอย่างที่สามารถทำในห้องน้ำได้ ตั้งแต่ปลดทุกข์เบา ทุกข์หนัก แปรงฟันโกนหนวด รวมถึงยืนทำใจหน้ากระจกในขณะที่ตัวเองเปลือยเปล่า พยายามพินิจพิเคราะห์ร่างกายตัวเองว่าเขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับร่างกายผู้ชายแน่นอน มันคงเป็นแค่ปฏิกิริยาของชายวันรุ่นช่วงเช้าเท่านั้น
ต้นน้ำสูดลมหายใจเข้าปอดเต็มแรงและค่อยๆผ่อนออกเพื่อปลดปล่อยความคิดไร้สาระพรรณนั่นออกจากอก ทำหัวให้โล่งเขายังต้อนผจญภัยกับเสือสิงกระทิงแรดในทริปนี้อีกหนึ่งวันเต็ม ๆ
ทันทีที่น้ำสาดออกจากฝักบัว สายน้ำที่เย็นจับใจก็ไหลชะโลมเขาตั้งแต่หัวจรดขา ความสดชื่นคืนสู่เขาอีกรอบ แม้จะมีอาการแสบๆ ของแผลที่ศรีษะอยู่บ้าง แต่ก็ทำให้เขาสบายใจขึ้นมาบ้าง เพราะการอาบน้ำถือเป็นช่วงเวลาส่วนตัวหนึ่งเดียวในหลายวันที่ผ่านมา
ผั๊ว!!
เสียงผลักประตูเปิดออกเผยให้เห็นชายร่างสูงโปร่งยืนใส่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวอยู่หน้าห้องน้ำ