สุดขั้ว 9“ไม่เห็นหนูรัญมาหลายวันแล้ว พวกป้ายังกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับหนูหรือเปล่า?”
“ขอบคุณที่เป็นห่วงครับ ผมแค่...” ผมชะงักตัวไม่สามารถบอกความจริงออกไปได้จึงเงียบแล้วก็หัวเราะกลบเกลื่อน
หลังจากที่ผมไม่ได้มาทำวัตรเช้าซะนานก็มีโอกาสกลับหวนสู่ตารางกิจวัตรตามปกติ พวกป้าๆ ทั้งหลายเข้ามาถามไถ่ผมที่หายหน้าหายตาจากกิจกรรมนี้ไปนานด้วยความเป็นห่วงเป็นใย พวกท่านกังวลว่าผมอาจจะไม่สบายหรือเกิดอะไรไม่ดีขึ้น พวกท่านจ้องมองรอให้ผมพูดต่อแต่จะให้ผมพูดได้ยังไงล่ะ ที่สำคัญผมไม่อยากจะโกหกด้วย
“ผมยุ่งมากเลยละครับ” ผมหลุบตาลงมองพื้นตอบหลบหลีกด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาผิดปกติ หัวใจเริ่มเต้นตุบตับกลัวจะมีใครเซ้าซี้ต่อ แต่คุณป้าผู้ใจดีทั้งหลายก็ไม่มีใครสงสัยติดใจสักคน พวกท่านยิ้มรับกับคำตอบที่ได้แล้วเอ่ยคำบ่นที่แฝงไปด้วยความห่วงใยทุกคำ อ่า แย่จัง มโนธรรมในใจปวดแปลบๆ ขอโทษนะครับ ผมไม่อยากบอกว่ายุ่งเพราะอะไรจริงๆ
หลังจากที่ทำวัตรเช้าเสร็จเรียบร้อย ผมพูดคุยกับเหล่าคุณป้านิดหน่อยก็ขอตัวไปหาหลวงพ่อ ผมใช้เวลาคุยกับหลวงพ่อไม่นานก็ขอตัวกลับ เพราะผมต้องไปเช็กสภาพแปลงที่โดนทำลายเสียหายไปเมื่อครั้งก่อน วันนี้ตั้งใจจะแวะไปดูแต่เช้าสักหน่อย เฮอ หลายวันทีเดียวที่ผมไม่ได้สัมผัสความสุขสงบแบบนี้ เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าการมาวัดเป็นสิ่งที่วิเศษสุดจริงๆ
“สวัสดีจ้ะรัญ!”
“สวัสดีครับหนูเล็ก”
ระหว่างที่ผมเดินสูดอากาศบริสุทธิ์ในยามเช้าตรู่ตรงหน้าศาลา ก็มีเสียงตะโกนทักดังลั่นทำเอาผมที่กำลังผ่อนคลายตกใจขวัญแทบกระเจิง ผมหันไปมองเจ้าของเสียงทักอันสดใสแล้วทักตอบกลับ เธอวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาด้วยรอยยิ้มกว้าง สาวแว่นผมเปียคนนี้เป็นคนรู้จักของผมเอง เธอเป็นเพื่อนในคณะและมักจะมาวัดในตอนเช้าเหมือนกัน ทำให้ผมสนิทกับเธอในระดับหนึ่ง
“ไม่เห็นนายมาตั้งหลายวัน นึกว่าจะไม่มาแล้วซะอีก”
“ติดธุระนิดหน่อยนะ อาทิตย์ที่แล้วหนูเล็กมาทุกวันเลยเหรอ?”
“ใช่น่ะสิ อุตส่าห์นึกว่าจะเจอรัญแท้ๆ เชียว”
“หือ?” ผมหันไปมองเธอที่บ่นพึมพำเสียงเบาทำให้ผมได้ยินไม่ถนัดนัก หนูเล็กยิ้มด้วยท่าทีประหม่าเล็กๆ เหมือนเมื่อกี้ไม่ได้พูดอะไร ผมก็ไม่ติดใจสงสัยเอ่ยขอโทษเธอพร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆ แสดงความเสียใจอย่างจริงจัง
“โทษทีนะ”
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันก็แค่บ่นไปอย่างนั่นแหละ นี่รัญจะกลับแล้วเหรอ? ไม่อยู่...เอ่อ...ช่วยหลวงพ่อบิณฑบาตเหรอ?”หนูเล็กรีบโบกมือปฏิเสธ เธอเปลี่ยนเรื่องถามเมื่อหันมามองเจ้าเวปป้าคันเก่งของผม ผมคิดเองหรือเปล่านะว่าน้ำเสียงของเธอคล้ายกับเสียดาย แต่ผมไม่รู้ว่าเธอเสียดายอะไรน่ะสิ ผมพยักหน้าตอบตามตรง
“ครับ หนูเล็กมีอะไรหรือเปล่า?”
“เปล่าหรอก แค่สงสัยว่าทำไมวันนี้นายกลับเร็วจัง ทุกทีต้องอยู่รอจัดของบิณฑบาตเสร็จแล้วค่อยกลับนี่น่า”
“อืม แปลงของผมมีปัญหานิดหน่อยก็เลยอยากจะไปจัดการให้เรียบร้อยเร็วๆ น่ะ แต่ถ้าหนูเล็กมีอะไรให้ช่วยก็บอกได้เลยนะไม่ต้องเกรงใจหรอก เราเป็นเพื่อนกันนี่น่า” ผมอธิบายเมื่อถูกถาม ปกติผมจะกวาดลานวัดหรือไม่ก็ทำความสะอาดศาลารอจนหลวงพ่อและพระรูปอื่นๆ กลับมาจากบิณฑบาตเช้าเพื่อจัดข้าวของช่วยเด็กวัดถึงจะกลับบ้าน วันนี้ที่กลับก่อนเพราะอยากจะไปดูแปลง แต่ถ้าเพื่อนมีปัญหาแน่นอนว่าผมต้องช่วย ไม่ดูดายแน่นอน
“...จ้ะ ถ้ามีจะบอกนะแล้วก็เสียใจด้วยกับเรื่องแปลงน่ะ โชคร้ายจังเลยเนอะ” หนูเล็กยิ้มน้อยๆ รับ มันเป็นรอยยิ้มที่เหมือนฝืน ผมครุ่นคิดอย่างสงสัย เธอกำลังเศร้ากับอะไรบางอย่างอยู่หรือเปล่า? ไอ้ผมก็บื้อๆ เรื่องนี้ซะด้วยสิ แต่ว่าไม่นานอารมณ์เศร้าใจของเธอก็หายไปก่อนจะเอ่ยปลอบใจผมเรื่องแปลงผัก อืม... สงสัยจะเศร้าเรื่องแปลงโดนทำจนเละล่ะมั้ง เรื่องนี้ผมเองก็รู้สึกเสียใจอยู่เหมือนกัน แต่ตอนนี้ไม่รู้สึกอะไรแล้วละ ผมยิ้มรับเล็กๆ
“ไม่หรอก โชคดีแล้วที่ไม่มีใครบาดเจ็บมาก เรื่องแปลงน่ะปลูกใหม่ก็ได้”
“รัญ... นายเป็นผู้ชายที่ดีจริงๆ โลกนี้ยังมีคนดีขนาดนี้เชียวเหรอเนี่ย!?” หนูเล็กอ้าปากอุทานเสียงดังลั่น
“ประชดกันหรือเปล่า?” ผมหัวเราะเบาๆ กับคำชมของเธอ ดวงตาใต้แว่นของเธอเบิกกว้างประกายระยิบระยับจับจ้องผมราวกับไม่เคยพบไม่เคยเจอมาก่อน มันทำให้ผมรู้สึกประหม่านิดหน่อย
“เปล่านะ ชมจากใจเลยต่างหาก!”
“งั้นก็ต้องขอบคุณใช่ไหม?”
“แน่นอนอยู่แล้ว สาวสวยอุตส่าห์ชมทั้งที”
“ขอบคุณคร้าบ~ งั้นผมขอตัวก่อนนะ แล้วเจอกัน” ผมยิ้มอารมณ์ดี รู้สึกขำนิดๆ ที่สาวเจ้าทำท่าค้อนขวับแถมยังชมตัวเองหน้าบานเชียว ผมขอตัวกลับอย่างสุภาพพร้อมกับโบกมือบอกลา
“จ้ะ แล้วเจอกัน”
ผมหันมองหนูเล็กที่โบกมือลาเล็กน้อยแล้วหันกลับมาขับเจ้าเวปป้ามาที่บ้าน เพื่อเปลี่ยนชุดนักศึกษาก่อนจะออกไปที่แปลง ผมยังไม่ได้ทานข้าวเช้าอย่างที่ควรจะทำ เพราะลืมเตรียมข้าวของทำอาหารเช้าไปเสียสนิท เมื่อคืนนี้ผมมึนงงหรือไม่สบายกันแน่นะ? ขนาดนึกย้อนกลับไปยังแทบจะจำไม่ได้เลยว่าเมื่อวานตัวเองทำอะไรไปบ้าง จำได้แต่ว่า...
‘โชคดี’
นั่นแหละ คือ สิ่งที่ผมจำได้จากเมื่อวาน ถ้าเป็นปกติผมต้องซื้อขนมนมเนยมาเลี้ยงฉลองให้กับความเป็นไท แต่ไม่รู้ทำไมอารมณ์มันถึงได้ค้างเติ่งดูว่างเปล่าแบบนี้ จะให้พูดตามตรงมันคาใจมากกว่า เมื่อวานนี้ทุกอย่างเกิดขึ้นกะทันหันจนผมตั้งรับไม่ทัน เฮ้อ อาการแบบนี้ชวนให้รู้สึกทะแม่งๆ ทั้งๆ ที่ผมควรจะดีใจกับอิสรภาพที่ได้รับกลับคืนมา แต่ทำไมมันรู้สึกดีใจไม่ออก ไม่เข้าใจตัวเองจริงๆ
ผมมาถึงแปลง จอดรถไว้หน้ารั้วเหมือนทุกครั้ง แปลงที่เสียหายบางส่วนถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว สงสัยวันหยุดที่ผ่านมารุ่นพี่ต้องเกณฑ์ไพล่พลมาทำแปลงใหม่แล้วแน่ๆ แต่ทำไมพวกเขาถึงไม่เรียกผมมาด้วยกันนะ ผมเดินมาหยุดที่แปลงของตัวเองแล้วต้องแปลกใจเมื่อเห็นมันถูกปลูกใหม่อย่างเป็นระเบียบ มีใครบางคนกำลังยืนรดน้ำอยู่ด้วย ผมกะพริบตาปริบๆ เรียกอีกฝ่ายอย่างงุนงง
“พี่ลูกหมี”
“อ้าว ไอ้รัญ มาแล้วเหรอวะ? หายหัวไปไหนตั้งหลายวัน ไม่เห็นมาที่แปลงเลย นี่เพิ่งจะปลูกใหม่เดี๋ยวมันก็ตายอีกรอบหรอก” พี่ลูกหมีหันมามองผม ทำหน้าเข้มเปิดปากบ่นในทันที ผมยิ้มรับอย่างเขินๆ ให้ตายสิน่า พี่ลูกหมีเป็นคนปลูกให้กับผมงั้นเหรอ? น่าอายจริงๆ ที่ปล่อยให้พี่รหัสมาดูแลแปลงแทนแบบนี้ แต่ก็แอบดีใจอยู่นิดๆ แฮะที่มีพี่รหัสใจดี
“ขอโทษครับ”
“เอ่อ ขอโทษอย่างเดียวไม่พอหรอกโว้ย เลี้ยงข้าวด้วยสิมันถึงสมน้ำสมเนื้อกับเรี่ยวแรงที่ลงทุนไป” พี่ลูกหมีวางบัวรดน้ำแล้วหันมาทวงบุญคุณอย่างไม่รอช้า รู้ว่าเขินนะครับพี่แต่โปรดให้ผมซึมซาบกับความมีน้ำใจที่ใสบริสุทธิ์ของพี่ให้นานกว่านี้หน่อยเถอะครับ โธ่ ไอ้อาการปิ๊งๆ เมื่อกี้หายไปหมดเลย พี่หมีนะพี่หมี!
“พี่หมีกำลังรีดเลือดกับปูอยู่นะครับ” ผมท้วงด้วยท่าทางหงอยๆ
“ดีสิ กูชอบกินปู”
“...” ไม่รู้กับพี่ชายคนนี้แล้วละครับ
ผมย่อตัวนั่งลงมองแปลงของตัวเองที่ถูกดูแลอย่างดี ดูจากดินบนแปลงและผักที่ดูสดชื่นพวกนี้ก็รู้ได้เลยว่าพี่รหัสของผมเป็นมืออาชีพในด้านนี้จริงๆ เอาว่ะ อุตส่าห์พี่รหัสลงทุนมาทำแปลงให้ขนาดนี้ แค่เลี้ยงมื้อเดียวจะเป็นอะไรไป ผมก็ไม่ได้ขี้เหนียวด้วย ผมยิ้มให้กับผักบนแปลงแล้วเงยหน้าขึ้นไปมองพี่ลูกหมี
“ขอบคุณมากครับพี่ เดี๋ยวไว้ผมมีเงินแล้วจะเลี้ยงข้าวแน่นอน”
“เออ กูจะจดบันทึกเอาไว้ในไดอารี่ ถ้ามึงลืมได้เห็นดีกันแน่ไอ้น้อง”
“ครับๆ”
“เฮ้ยยย~! ไอ้รัญญญ~!”
เสียงมาก่อนตัวแบบนี้มีแค่คนเดียวนั่นแหละครับ เอกลักษณ์ของซันเซ็ตเลยละ ผมหันไปมองซันเซ็ตที่วิ่งเข้ามาในแปลงพร้อมกับตะโกนเรียกผมตั้งแต่หน้ารั้วยันแปลงของผม ซันเซ็ตทำหน้าทะเล้นเหมือนเคย
“เสาร์อาทิตย์หายไปไหนวะ ไปหาที่บ้านก็ไม่อยู่ กะจะชวนไปนัดบอดกับสาวๆ ซะหน่อย”
“มีเรื่องนิดหน่อยแล้วก็ขอทีเถอะว่ะไอ้เรื่องผู้หญิงน่ะ แค่นี้มึงยังไม่พออีกเหรอวะ?”
“โธ่ หลวงพี่ครับ ชีวิตคนเราคือการค้นหา เพราะฉะนั้นกูก็ต้องค้นหาต่อไปถ้ายังไม่เจอของแท้”
“ระวังเถอะไอ้ซันเซ็ตเลือกมากจะเจอของเทียมเข้าสักวัน” พี่ลูกหมีเบ้ปากหมั่นไส้ไอ้หนุ่มหล่อเลือกได้ เอ่ยเสียงขึ้นจมูกแขวะได้ตรงกับใจผมเป๊ะ ซันเซ็ตย่นหน้าเป็นหมาบลูด็อกตอบกลับ
“พี่หมีแม่งปากอัปมงคลฉิบหายเลยว่ะ”
“อะไร้ กูเตือนมึงด้วยความหวังดีนะโว้ย หึๆ สมัยยิ่งแยกของแท้ของเทียมยากอยู่” พี่ลูกหมีหัวเราะอย่างพึงพอใจที่ทำให้เพลย์บอยตัวพ่อหน้าซีดเป็นไก่ต้มได้ พี่หมีพาร่างใหญ่ๆ ตันๆ เดินไปตบไหล่ของซันเซ็ตแล้วหัวเราะในลำคอเดินจากไปพร้อมกับชัยชนะในกำมือ
“สาธุ ขอให้พี่หมีเจอตอก่อนกู!” พอพี่ลูกหมีเดินไปไกล ซันเซ็ตแยกเขี้ยวพ่นคำสาปแช่งตามหลังไปทันที ไอ้บ้านี่ก็จริงๆ เลยถึงพี่ลูกหมีแกจะปากปีจอไปหน่อยแต่ก็เตือนด้วยความเป็นห่วง ยังจะไปแช่งพี่แกอีก ผมส่ายหน้าไปมา ซันเซ็ตหันมาบ่นพึมพำกับผมด้วยใบหน้าเซ็งๆ
“พอมึงไม่อยู่ กูก็ถูกไอ้พี่เวรใช้เอาๆ ทำอย่างกับกูเป็นข้ารับใช้ใต้ฝ่าพระบาทมันอย่างนั่นแหละ เหอะ ถ้าไม่เห็นว่าเจ็บอยู่นะกูกระทืบซ้ำไปนานแล้ว”
“มึงมีพี่ด้วยเหรอ?” ผมหันมาถามด้วยความข้องใจ ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าไอ้ซันเซ็ตมีพี่ด้วย ก็มันไม่เคยพูดถึงนี่น่า
“อ้าว มึงยังไม่รู้เหรอวะ? ก็ไอ้ซันไรส์ห่าเหวนั่นไง ชื่อก็น่าจะเดาได้แล้วนะมึง”
หะ พี่ซันไรส์ผู้แสนดีกะไอ้ซันเซ็ตจอมมั่วนี่นะพี่น้องกัน!? ผมอ้าปากแอบช็อกเบาๆ แฮะ จะว่าไปแล้วชื่อมันก็เข้าคู่กันจริงๆ ด้วยว่ะ โธ่เอ๊ย ทำไมผมถึงไม่เคยเอะใจเลยวะ!
“เรื่องจริงเหรอวะ?” ผมเลิกคิ้วอย่างไม่เชื่อสักเท่าไรจนไอ้ซันเซ็ตแอบทำหน้าเหวี่ยงใส่ จะให้เชื่อง่ายๆ ได้ยังไงเล่า ดูจากพฤติกรรมของพี่ซันไรส์แล้วไม่น่าจะเป็นคนแบบนั้นได้นี่น่า ไอ้เพื่อนของผมมันต้องบ่นโอเว่อร์ไปเองแน่ๆ อีกอย่างพี่ซันไรส์บาดเจ็บคงจะเคลื่อนไหวตัวลำบากสินะ จะว่าไปแล้วผมก็เป็นต้นเหตุที่ทำให้พี่เขาบาดเจ็บด้วยแหละ เฮ้อ รู้สึกผิดจังเลย
“ขอโทษว่ะ”
“หือ มึงจะมาขอโทษกูทำไมวะ?” ซันเซ็ตทำหน้างงๆ เมื่อผมเอ่ยขอโทษมัน ผมถอนหายใจเบาๆ
“พี่ซันไรส์เจ็บแบบนั้นต้นเหตุมาจากกูแท้ๆ ขอโทษที่ทำให้มึงลำบากไปด้วยแต่มันจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้วละ”
ใช่แล้วเพราะว่าตอนนี้ตัวต้นเหตุจริงๆ ได้หายไปจากชีวิตของผมแล้วนี่นะ ผมคงจะไม่มีวันเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสถานการณ์นองเลือดแบบนั้นอีกแน่ ซันเซ็ตมองผมอยู่นานเหมือนกำลังสำรวจหาอะไรบางอย่างแล้วมันก็เอ่ยถามถึงบางอย่างที่ผมไม่อยากจะคิดถึงเลย
“มึงเกี่ยวข้องยังไงกับเขาวะ?”
“ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน เพิ่งรู้จักแต่ก็แค่นั้นแหละ คงไม่ได้เจอกันอีกแล้วล่ะ”
“เหรอ? เออ ดีแล้วละ กูกะจะเตือนมึงให้อยู่ห่างๆ เขาไว้เหมือนกัน ไอ้มอตโตบอกว่าบางอย่างในตัวของหมอนั้นมันอันตราย” ซันเซ็ตทำหน้าโล่งอกเมื่อได้ยินคำตอบของผม ก่อนที่มันจะเล่าด้วยท่าทางสบายๆ ผมเลิกคิ้วเมื่อได้ยินซันเซ็ตอ้างถึงเพื่อนอีกคนในกลุ่มซึ่งเพิ่งถูกพูดถึงปุ๊บก็เดินเข้ามาในแปลงปั๊บ
“หวัดดีมอตโต”
“ไงวะมอตโต!”
ผมกับซันเซ็ตหันไปทักทายเหนุ่มแว่นสุดเท่ที่สาวๆ หลงใหลได้ปลื้มความเงียบขรึมดูลึกลับของเขา มอตโตพยักหน้ารับไม่พูดอะไรตอบกลับ แต่กลับกวาดสายตามองผมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าด้วยสายตาสำรวจหาจุดสึกหรอ จะว่าไปหน้าตาของหมอนี้เหมือนใครสักคนที่ผมเพิ่งพบมาหรือเปล่านะ? แล้วคนๆ นั้นเป็นใครกันล่ะ? ผมขมวดคิ้วครุ่นคิดในระหว่างนั้นซันเซ็ตเปิดประเด็นหารือกับมอตโตอย่างจริงจัง
“เฮ้ มอตโต ไอ้รัญปกติดีไหมวะ?”
“ออร่าอ่อนลงไปนิดแต่ไม่มากพอที่จะเป็นอันตราย โชคดีที่รัญเป็นคนมีโชคมากกว่าคนทั่วไป”
“อะอืม” ซันเซ็ตทำหน้างงๆ แต่ก็พยักหน้ารับคำตอบที่ได้มา มันถอนหายใจอย่างโล่งอก ผมหัวเราะนิดหน่อยกับสีหน้าเอ๋อของเพื่อนที่มีต่อคำตอบแปลกๆ ของมอตโต
หนุ่มแว่นผู้เงียบขรึมที่ชอบพูดอะไรแปลกๆ ออกมา ในบางครั้งบางคราวซึ่งมันค่อนข้างจะไม่เป็นวิทยาศาสตร์เอาซะเลย อย่างกับว่าเขามองเห็นบางอย่างที่คนอื่นไม่เห็น และที่สำคัญพวกเพื่อนๆ ก็ชอบให้มอตโตตรวจสอบอะไรบางอย่างทำอย่างกับว่ามอตโตเป็นหมออย่างนั่นแหละ
หือ? หมองั้นเหรอ?... โอ๊ย! ให้ตายสิ! ใช่แล้ว ทำไมผมถึงได้ความจำสั้นขนาดนี้กันนะ มิน่าถึงได้คุ้นๆ ว่าเคยเจอที่ไหน ที่แท้หมอคนเมื่อวานที่เข้าไปตรวจพี่ยูคนนั้นเหมือนกับเพื่อนของผมคนนี้เปี๊ยบเลยนี่! อย่างกับฝาแฝดคนละฝาอย่างนั่นแหละ ผมเบิกตาด้วยความตื่นเต้นเมื่อคิดได้
“มอตโต! นายมีญาติที่โรงพยาบาลxxxหรือเปล่า?”
“พ่อกูทำงานอยู่ที่นั้นน่ะ ทำไมเหรอ?” มอตโตหันมาตอบเสียงเรียบๆ
โป๊ะเชะ!
“มิน่าล่ะ! เมื่อวานนี้กูไปที่โรงพยาบาลนั่นแล้วเจอกับคนที่หน้าเหมือนมึงอย่างกับแกะเลยละ” ผมพูดอย่างตื่นเต้น เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าคุณพ่อของมอตโตเป็นถึงแพทย์โรงพยาบาลใหญ่ขนาดนั้น ถึงว่ามอตโตหัวดีมากๆ เลยนี่
“อืม ใครๆ ก็พูดอย่างนั้น”
“อะไรๆ พ่อของไอ้มอตโตเหรอ!? เป็นแพทย์ด้วย โฮ~ ยอดเลยว่ะ!” ซันเซ็ตกระโดดเข้ามากอดคอผมแล้วพยายามเข้ามาร่วมแจมบทสนทนา ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับซันเซ็ต มอตโตทำหน้านิ่งเหมือนเดิมก่อนจะเอ่ยถามผมด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ
“แล้วมึงไปทำอะไรที่โรงพยาบาลนั้นล่ะ?”
“เออ จริงด้วย! ไปฝากครรภ์เหรอวะ ฮ่าฮ่าฮ่า!”
“มันจะเป็นไปได้ยังไงเล่าไอ้บ้า กูไปเยี่ยมพี่ยูที่บาดเจ็บนิดหน่อยก็เลยเข้ารักษาตัวอยู่ที่นั่น” ผมหันขวับมาโบกหัวซันเซ็ตที่หัวเราะขำกับมุกสิ้นคิดของตัวเองก่อนจะหันไปตอบกับมอตโต ซันเซ็ตที่หนีรอดจากการโบกหัวหวุดหวิดอุทานออกมาอย่างแปลกใจ
“พี่ยูนี่นะ? รายนั้นเจ็บเป็นด้วยเหรอวะ!?”
“ก็ต้องเจ็บเป็นสิวะ”
“จุ๊ๆ หายากน่ะเนี่ยที่พี่ยูโคตรอึดคนนั้นล้มป่วยเข้าโรงพยาบาลได้ พี่แกออกจากโรงบาลยังวะ? ถ้ายังพวกเรายกพลไปเยี่ยมกันเถอะ!”
พวกเพื่อนๆ ของผมน่ะรู้จักกับพี่ยูกันทุกคน เพราะพี่ยูอยู่ข้างบ้านและเจ้าพวกนี้มักจะไปค้างที่บ้านของผมบ่อยๆ โดยเฉพาะซันเซ็ตเป็นเพื่อนที่พักหอใกล้ๆ บ้านของผมทำให้มันมีโอกาสได้เจอกับพี่ยูบ่อย และรู้สึกว่าจะเป็นคนประเภทเดียวกันทำให้ทั้งสองคนค่อนข้างสนิทกันเลยละ
“ก็ดีนะ กูเองก็อยากไปเยี่ยมอีกเหมือนกัน” ผมพยักหน้าเห็นด้วย ซันเซ็ตยิ้มแป้นหันไปขอคำตอบจากหนุ่มแว่นร่างสูงที่ยืนนิ่งไม่พูดอะไรสักอย่าง มอตโตขยับตัวเล็กน้อยแล้วเอ่ยทิ้งท้ายก่อนจะเดินไปที่แปลงของตัวเอง
“ไม่ละ ไม่อยากโดนคุกคามทางเพศ”
ผมกับซันเซ็ตทำหน้างงแล้วหันมามองหน้ากัน ซันเซ็ตหัวเราะขำอย่างมีเลศนัยเหมือนเข้าใจสิ่งที่มอตโตพูด เหลือแต่ผมที่ทำหน้าเอ๋อเหรอตามลำพัง คุกคามทางเพศ!? หมายความว่ายังไงกันมอตโต พี่ยูเคยทำอะไรนายอย่างนั้นเหรอ!?
“มิน่าล่ะ หึๆ”
ซันเซ็ต มึงเข้าใจแล้วก็อธิบายให้กูเข้าใจด้วยที ผมพยายามส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากมันแต่ไอ้เพื่อนไม่รักดีกลับหัวเราะร่ายกมือตบหัวของผมเบาๆ
“มึงยังเด็กเกินไปที่จะรู้เรื่องนี้ว่ะรัญ”
หะ? ได้ข่าวว่ากูเกิดหลังมึงไม่กี่เดือนนะ!
ซันเซ็ตไม่อธิบายอะไรใดๆ เดินผิวปากอารมณ์ดีไปที่แปลงของตัวเอง ปล่อยให้ผมยืนมองตามหลังไปด้วยใบหน้าที่มีเครื่องหมายคำถามใหญ่เบ้อเริ่ม จนแล้วจนรอดผมก็ไม่เข้าใจคำพูดปริศนาของมอตโตเลยสักนิด ระหว่างที่ผมยืนใช้ความคิดซีเนียร์ก็เดินเข้ามา พร้อมกับโอเล่ที่มีรอยยิ้มอิ่มอกอิ่มใจผิดแปลกไปจากปกติที่ตอนเช้ามักความดันต่ำหน้าบึ้งเสมอ
“สวัสดีรัญ~!” โอเล่เขย่งเท้าเข้ามาทักทายผมด้วยน้ำเสียงร่าเริงแจ่มใส จากนั้นก็ฮัมเพลงไปที่แปลงของตัวเองพร้อมกับรอยยิ้มขนาดบิ๊ก ผมมองตามเพื่อนตัวเล็กของกลุ่มไปด้วยความงุนงง ปกติแล้วตอนเช้าๆ โอเล่จะความดันต่ำไม่ใช่เหรอ ไหงวันนี้ถึงได้หน้าบานปานกระด้งขนาดนั้นได้ ผมเหลือบไปมองซีเนียร์ที่ยังทำหน้ามึนๆ เหมือนยังไม่ตื่นนอนดี
เออ นี่สิถึงเป็นสภาพปกติ
“ซีเนียร์ โอเล่มันเป็นอะไรไปน่ะ?”
ซีเนียร์เกาหัวแกรกๆ หันไปมองโอเล่ด้วยสายตาเบื่อหน่าย จากนั้นก็หันมาส่ายหน้าให้กับผม
“ไม่ต้องใส่ใจหรอกรัญ คงเพราะเมื่อคืนผัวมันทำให้จนอิ่มล่ะมั้ง”
“หา?” ผมทำหน้างงยิ่งกว่าเดิม
อิ่ม? แฟนโอเล่พาไปกินข้าวงั้นเหรอ? เรื่องแค่นี้ก็ทำให้เขาอารมณ์ดีเหมือนโลกนี้ช่างสวยงามนักได้ขนาดนั้นเชียวเหรอ? สงสัยโอเล่จะรักแฟนคนนั้นมากแน่ๆ เลย
ซีเนียร์มองหน้าผมแล้วหัวเราะมีเลศนัยแบบเดียวกับเมื่อกี้ที่ซันเซ็ตเพิ่งทำไป เหมือนย้อนฟิล์มฉายซ้ำ ผมเงยหน้าเลิกคิ้วถามแต่ก็ไม่ได้คำตอบอะไรเหมือนเดิม นอกจากฝ่ามือที่วางลงบนไหล่อย่างปลอบโยนและคำพูดที่เหมือนถูกดูแคลนอย่างแรง
“มึงยังเด็กไปที่จะเข้าใจเรื่องนี้ว่ะรัญ”
(อีกครั้ง) ได้ข่าวว่ากูเกิดหลังมึงไม่กี่เดือน!!? เรื่องมันซับซ้อนขนาดที่อายุเกือบจะยี่สิบอย่างผมไม่เข้าใจงั้นเหรอ? นี่มันเรื่องอะไรกัน ใครก็ได้ช่วยบอกผมที!
ผมมองซีเนียร์ที่เดินจากไปด้วยสายตาเต็มไปด้วยคำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบเหมือนเดิม หันไปมองซันเซ็ตก็ฝอยแตกกับเพื่อนคนอื่นอยู่ หันไปมองมอตโตที่ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใดๆ กลับ หันไปมองโอเล่ที่เข้าไปสู่โลกสวยงามส่วนตัวไปซะแล้ว
โอเค กูโง่! ตกลงมันคือเรื่องอะไรกันวะ!? ช่วยบอกกูที