วิมานไม้สน
บทที่ 9
ไม่อยากยอมรับว่าคิดถึงร่างกายนั้นจนนอนไม่หลับ
แต่ปวิธก็ต้องยอมรับความจริง เขากระสับกระส่ายตลอดทั้งคืนเพราะในหัวมีแต่รสสวาทของสนฉัตรอยู่เต็มไปหมดจนกระทั่งตาค้างมาถึงตอนเช้า เขาหงุดหงิดไม่ได้ดั่งใจและพยายามตัดใจจากความต้องการสนฉัตรด้วยความยากลำบาก
แค่ครั้งเดียวแต่ปวิธกลับฝังใจราวกับเขาพบสิ่งที่ต้องการมาเนิ่นนาน และเมื่อได้ลิ้มชิมรสแล้วว่าทั้งหอมหวานปวิธก็อยากจะกลืนกินมันอีกแม้เขาจะรู้ว่าความหวานนั้นเจือด้วยยาพิษ
“มันต้องการไปจากที่นี่ ก็แค่ปล่อยมันไป มึงจะไปสนใจมันทำเหี้ยอะไร”
เขาด่าตัวเองในกระจก คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน สีหน้าเต็มไปด้วยความสับสนปนเปกับความชิงชังและความต้องการที่ต่อสู้กันอยู่ในจิตใจ ปวิธสะบัดหน้าไปมาก่อนจะสบถหยาบคายเมื่อในที่สุดเขาก็ยอมแพ้
ก่อนเที่ยงวันปวิธจึงปรากฏตัวขึ้นหน้าคอนโดมิเนียมกลางเก่ากลางใหม่อีกครั้งในชุดของพนักงานร้านพิซซ่าเช่นเคย เขาเลือกเวลานี้เพราะจากที่เคยมาซุ่มมองแล้วจึงรู้ได้ว่าเป็นเวลาเปลี่ยนกะของยามเฝ้าประตูทางเข้า เมื่อเขาสามารถลอบเข้าไปในคอนโดมิเนียมได้อีกไม่นานลุงยามคนเก่าก็จะออกเวรและเปลี่ยนเป็นยามคนใหม่ที่จะไม่รู้และสนใจเลยว่าเขาจะเดินออกจากคอนโดมิเนียมในชุดเสื้อผ้าปกติที่เขาเตรียมใส่กระเป๋ามาตอนไหน
เขาจุดรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้าส่งให้ลุงยามที่นั่งหาวหวอดอยู่หน้าประตู
“สวัสดีครับลุง”
“อ้าวไอ้หนุ่มร้านพิซซ่า วันนี้มาอีกแล้ว สงสัยจะอร่อยจนลูกค้าสั่งซ้ำบ่อย ๆ สินะ”
ลุงยามพูดคุยอารมณ์ดี ปวิธรีบรับสมอ้างทันที
“ครับลุง วันนี้ผมมีพิซซ่าถาดเล็กมาฝากลุงด้วย เอากลับไปกินที่บ้านนะลุง”
“เฮ้ย แพงหรือเปล่า ลุงไม่มีปัญญาจ่ายนะเอ็ง”
“ฟรีครับลุง โปรโมชั่นช่วงนี้ ลุงรับไปเถอะใกล้จะออกเวรแล้วไม่ใช่เหรอ”
“เอ้า เอ็งมีน้ำใจลุงก็ไม่ปฏิเสธ ขอบใจนะพ่อหนุ่ม ไปสิ จะไปส่งพิซซ่าก็เข้าไป”
ปวิธก้าวผ่านประตูด่านหน้ามาอย่างปลอดโปร่ง จนกระทั่งมาหยุดหน้าประตูห้องที่เขามาเมื่อวานนี้ ชายหนุ่มยกมือขึ้นเคาะและหยุดรอให้มันเปิดออก
“ไอ้เปลว”
คนที่อยู่ด้านในทำหน้าเหมือนเห็นผีและรีบปิดประตูใส่เขา ปวิธไม่ได้ดึงดันเหมือนเมื่อวาน วันนี้เขาทำแค่ส่งเสียงให้ดังพอจะลอดผ่านประตูที่ขวางกั้นตรงหน้าเข้าไปเท่านั้น
“มึงอยากให้คนอื่นรู้เรื่องระหว่างมึงกับกูงั้นเหรอ กูจะได้ประจานมึงให้เขารู้กันทั้งตึก”
รอแค่อึดใจปวิธก็สามารถเดินตัวปลิวเข้าไปภายในและกดล็อกประตูให้อีกต่างหาก เขาส่งกล่องใส่พิซซ่าให้สนฉัตรที่ยืนหน้าบูดบึ้งต้อนรับ
“กูซื้อพิซซ่ามาฝาก”
“มึงมาทำไมอีก”
สนฉัตรขึ้นเสียงใส่เขา แปลกที่วันนี้ปวิธกลับอารมณ์ดีพอจะฟังเสียงเกรี้ยวกราดนั้นอย่างเพลิดเพลิน
“ไหนมึงบอกว่าถ้ากูยอมมึงแล้ว มึงจะปล่อยกูไป ไม่มายุ่งกับกูอีกไงไอ้เหี้ยเปลว”
“กูพูดตอนไหน มึงสับสนเองต่างหาก”
ปวิธยักไหล่ เขาก้าวเข้าไปหาในขณะที่สนฉัตรถอยหลังกรูด และในที่สุดเขาก็คว้าแขนเรียวนั้นไว้ได้
“กูบอกแค่ว่ากูจะไม่บอกคุณลุงเรื่องของมึง ส่วนเรื่องที่กูจะมาเจอมึงซ้ำอีกกูไม่ได้พูดสักคำ”
“ไอ้เปลว มึงมันเลว”
สนฉัตรมองเขาด้วยความโกรธแค้น ปวิธเจ็บแปลบเมื่อมองเห็น ในสายตาของสนฉัตรเขาคงไม่มีค่าอะไรเลย
“ทำเหมือนว่ามึงเคยมองว่ากูเป็นคนดีอย่างนั้นแหละ”
ปวิธกระชากให้สนฉัตรลอยตามแรงมาปะทะแผงอกของเขา มือใหญ่ฉวยโอกาสโอบรอบเอวของสนฉัตรไว้ทันที ได้กลิ่นลมหายใจอ่อน ๆ ของสนฉัตรที่เป่ารดอยู่ตรงปลายคางของเขา มันทำให้เลือดในกายหนุ่มร้อนระอุไปหมด
“กูอยากเอามึงอีก”
ปวิธพูดออกไปตรง ๆ เขาใช้ปลายนิ้วบีบคางสนฉัตรไม่ให้หนีหน้าไปไหน นัยน์ตาหวานเย้ายวนบอกให้ปวิธรู้ว่าสนฉัตรเองก็หวั่นไหว ปวิธไม่รอช้าเขากดริมฝีปากของเขาลงไปกับกลีบปากนุ่มนั้นทันที
“อื้อ เบาสิ”
ครู่แรกสนฉัตรขัดขืนอยู่บ้าง แต่ไม่นานหลังจากนั้นร่างโปร่งก็เบียดกายแนบชิดและยังยกแขนคล้องไปรอบคอของปวิธด้วย จูบนั้นต่างโหยหาและเรียกร้องซึ่งกันอย่างไม่ยอมแพ้ ปวิธใช้กายที่หนากว่าบังคับให้สนฉัตรก้าวไปยังห้องนอนเล็กพร้อมกับเขา เมื่อถึงเตียงปวิธก็รวบเอวของสนฉัตรให้ล้มลงไปพร้อมกัน
“มึงนี่มันยั่วจริง ๆ”
ปวิธบ่นพึมพำขณะที่ช่วยกันถอดเสื้อผ้าของอีกฝ่ายออกจนเปล่าเปลือยทั้งคู่ เมื่อเห็นร่างขาวผ่องปวิธก็ตาลุกแต่สนฉัตรยั้งเขาไว้ก่อนและมองเขาด้วยสายตาอ้อนวอน
“เปลว มึงอย่ากัด อย่าทิ้งรอย เดี๋ยวพี่จิรัชสงสัย”
ขบกรามกรอดเพราะรู้ว่าตนเองนั้นก็ไม่ได้ต่างจากชายชู้ที่ขโมยปลาย่างมากินเมื่อเจ้าของไม่อยู่เฝ้า ปวิธเหยียดยิ้มพลางใช้ฝ่ามือลูบไล้ผิวกายอ่อนนุ่มนั้นอย่างกระหาย
“มึงต้องการแค่นี้ใช่ไหมสน ได้สิ กูจะเอามึงอย่างไม่ทิ้งรอยเลย”
ไฟของปวิธโหมไหม้ไปทั่วร่างกายของสนฉัตร ยอดอกเม็ดเล็กถูกริมฝีปากของเขาขบเม้มบดคลึงเรียกเสียงสยิวซ่านอย่างลืมตัว ลีลาของปวิธมุทะลุดุดันร้อนแรงด้วยอารมณ์พลุ่งพล่านและวัยเลือดร้อน หากแต่มันกลับทำให้สนฉัตรเตลิดไม่รู้ต่อกี่ครั้ง ทุกแรงกระแทกสนฉัตรถึงกับผวาเข้ากอดเกี่ยวเนื้อกายร้อนฉ่า
“เปลว อื้อ เสียว เปลว เปลว”
ยิ่งครางปวิธก็ยิ่งออกแรงเข้าใส่ ชายหนุ่มเองก็หน้ามืดไปหมดกับความคับแน่นพอดีกับของเขา ไม่ว่าจะเปลี่ยนท่ากี่ครั้งสนฉัตรก็ยังรับได้อย่างเหนียวแน่นกว่าเขาจะส่งไปถึงฝั่งฝันได้สำเร็จ
“เปลว อ๊ะ ไม่ไหวแล้ว”
“โอ๊ย บีบฉิบหาย”
ปวิธเร่งเครื่องหลังจากทำให้สนฉัตรปลดปล่อยไปหลายน้ำ เขากลั้นใจครั้งสุดท้ายก่อนกระชากแรงเปียกปอนจนต้องทิ้งกายลงไปกับร่างนุ่มที่ยังนอนหอบกระเส่าเบื้องล่าง เนิ่นนานกว่าความเหน็ดเหนื่อยจะคลายลงทิ้งไว้แต่ความสบายตัวกับกิจกรรมบนเตียง
“จะไปไหน”
ปวิธส่งเสียงเข้มเมื่อสนฉัตรผลักแขนของเขาออกจากกาย
“สมใจมึงแล้วก็ปล่อยกูสิ”
“มึงจะเล่นตัวทำไมสน เพิ่งเอากันเสร็จเหนื่อยจะตาย มึงจะนอนนิ่ง ๆ ไม่ได้หรือไง”
ปวิธไม่ยอมให้สนฉัตรหนีไปได้ เขากดให้ศีรษะของสนฉัตรซุกอยู่กับอกของเขา อ้อมกอดของปวิธทำให้สนฉัตรต้องหยุดดิ้นรนและปล่อยให้ปวิธกอดเขาต่อไป
“ไอ้จิรัชมันรู้เรื่องที่กูเอาเมื่อวานไหม”
“มึงอยากให้เขารู้เหรอ หือ ไอ้คนชั่ว”
ถึงแม้จะด่าแต่ก็ไม่ใช่เสียงแข็ง คงเป็นเพราะความอบอุ่นแปลก ๆ ที่ส่งผ่านมาจากวงแขนที่โอบรัดอยู่
“เมื่อตะกี้ที่กูเอามึง มึงมีความสุขไหมสน”
สนฉัตรแปลกใจกับเสียงอ่อนโยนนั่น ปวิธไม่เคยใช้น้ำเสียงแบบนี้กับเขา
“ถามทำเหี้ยอะไร”
“ถามให้มึงตอบ ไม่ได้ถามทำเหี้ย ตอบกูสิว่ามึงมีความสุขไหม”
สนฉัตรถามตัวเอง จิตใจของสนฉัตรสับสนไปหมด หากจะว่าไม่มีความสุขก็ไม่ใช่เพราะปวิธปรนเปรอให้เขาจนล้นทะลัก
“อืม”
“อะไรนะ”
“ไอ้เหี้ย”
ปวิธหัวเราะ นานแล้วที่ไม่ได้หัวเราะอย่างนี้
“แปลกเนอะ มึงกับกูรู้จักกัน เจอหน้ากันด่ากันมาตลอดสิบปี ใครจะนึกว่าเราเพิ่งจะมาคุยกันดี ๆ ในช่วงเวลาแบบนี้”
สนฉัตรเองก็แปลกใจไม่แพ้กัน ใครจะนึกว่าวันหนึ่งเขากับเปลวจะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกันเช่นนี้
“ไอ้จิรัชมันให้ในสิ่งที่มึงอยากได้หรือเปล่าสน”
สนฉัตรนิ่งงัน คำถามของปวิธตอบยากเหลือเกิน
“อย่างน้อยมันก็เป็นสิ่งที่กูเลือกว่ะเปลว”
ปวิธถอนหายใจ วูบหนึ่งที่เขาสงสารร่างเปลือยในอ้อมกอดกับชีวิตที่ไร้ทางเลือก เขาเชยคางสนฉัตรออกจากอกให้สบตา ดวงตาเรียวหวานยังคงฉ่ำชื้นเป็นประกายจากกิจกรรมบนเตียง
“มึงอยากได้อะไรล่ะสน ไอ้สิ่งที่มึงใฝ่ฝันนักหนาน่ะ”
สนฉัตรนิ่งคิด คนอย่างเขาน่ะเหรอที่จะมีความฝัน
“กูต้องการแค่พื้นที่ของกู พื้นที่ที่กูจะเป็นเจ้าของอย่างแท้จริงล่ะมั้งเปลว อาจจะบ้านเล็ก ๆ สักหลังที่สร้างจากไม้สนฉัตรเหมือนชื่อกู อยู่กับใครสักคนที่รักกูจริงไม่เห็นกูเป็นสิ่งของหรือสัตว์เลี้ยง”
“ไม้สนฉัตรมันเป็นไม้เนื้ออ่อน ไม่มีใครเขาเอามาสร้างบ้านกันหรอก มันไม่มั่นคง อย่างดีเขาก็เอาไว้ทำเฟอร์นิเจอร์ประดับบ้าน พอพังเขาก็ทิ้ง”
ปวิธลืมตัวพูดตามประสาสถาปนิกที่ใกล้เรียนจบแล้ว ไม่ได้คิดอะไรมากกว่านั้น เขาไม่นึกว่าคำพูดโดยไม่ทันคิดจะเสียดแทงเข้าไปในหัวใจอันมีแต่บาดแผลของสนฉัตร
“ใช่สินะ ค่าของกูก็มีแค่นี้ ของประดับที่เจ้าของมันพร้อมจะทิ้ง”
ดวงตาแดงจัดเอ่อคลอไปด้วยน้ำตาก่อนจะหยดลงมาทำให้ปวิธตกใจ เขาอยากจะตบปากตัวเองนักที่พูดไม่ทันคิด ความสัมพันธ์ที่เริ่มจะดีกลับต้องมาชะงัก
“กูขอโทษที่พูด กูไม่ได้ตั้งใจ”
ปวิธเอ่ยคำขอโทษทั้งที่ตลอดมาเขาไม่เคยรู้สึกผิดกับสนฉัตรเลยสักครั้ง ปลายนิ้วสากไล่เช็ดน้ำตาให้สนฉัตรจนหมดก่อนที่เขาจะค่อย ๆ จูบตามลงไปที่ผิวหน้าชุ่มฉ่ำ
“อย่ามัวทะเลาะกันเลย เดี๋ยวกูจะทำให้มึงมีความสุขอีกรอบก่อนกูกลับนะสน”
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่ปวิธกลับใจอ่อนเสียแล้ว ในเมื่อสนฉัตรไม่ได้ดื้อดึงปวิธก็ได้แต่จูงมือให้สนฉัตรติดตามเขาไปในห้วงเสน่หา ระหว่างกันนั้นเหมือนไฟกับน้ำมันที่จุดติดง่ายดาย ปวิธใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุดก่อนที่เขาจะกลับออกไปจากคอนโดมิเนียมแห่งนี้เมื่อยามบ่ายคล้อยของวัน
มีต่ออีกนิด...