♥รักของเสือ ♥#อัพจ้า รักของเสือตอนที่(21) - 18/4/61 (หน้าที่5)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ♥รักของเสือ ♥#อัพจ้า รักของเสือตอนที่(21) - 18/4/61 (หน้าที่5)  (อ่าน 22517 ครั้ง)

ออฟไลน์ Destiny

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 108
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เย่!!!! มาแล้ววว ดีใจมากมาย ขอบคุณก๋อมที่ยังไม่ทิ้งนิยายเรื่องนี้นะคะ
ปอลิง เสียดายย คิดว่ารอบนี้ปิงจะยอมสารภาพว่าชอบเสือเหมือนกันแล้วซะอีก ฮือออ  :ling3: :ling3:

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
โธ่ ปิงมันชัดเจนซะขนาดนี้แล้ว เลิกสับสนได้แล้วนะเดี๋ยวพี่เสือจะรอไม่ไหวนะ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ TEEMOMO

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
กอดน้าา ชาร์ตแบตๆ  :กอด1: สนุกมากเลย ชอบคู่นี้มาก พี่เสือน้องปิง พี่เสือนี่บทจะโรแมนติกทำเอาใจละลาย เราดีใจมากที่มาอัพน้า ติดตามเสมอ รอพาร์ทหลังอย่างใจจดใจจ่อจ้า

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ดีใจ ไรท์มา  :hao5:

ปิง ก็ไรๆพักนี้ก็รู้สึกดีกับพี่เสือนี่นะ

แถมความรู้สึกกับเพลง ก็ชัดเจน
ขนาดเพลงจูบปิง ปิงยังไม่รู้สึกยินดีกับการสัมผัส
เพลงยังรับรู้การไม่รู้สึกว่าปิงชอบเลย

แต่จูบกับเสือ ปิงรู้สึกดีด้วย  :ling1: :ling1: :ling1:
รีบรู้ใจตัวเองได้แล้วปิง  :z3:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ panpang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 497
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ กิงก่องโก๊ะ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-2
    • เข้ามาฝอยกันได้นาจาาาาา
ตอนที่สิบแปด:คนเดิมๆแต่ทำไมไม่เหมือนเดิม
(18.2)


     เช้านี้เริ่มต้นด้วยความไม่สดใสเพราะผมง่วงนอนเป็นอย่างมาก และมันไม่ได้มากธรรมดาเพราะมันมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก 

     เมื่อคืนหลังจากตอนนั้นกว่าจะได้นอนก็ปาไปแล้วเกือบหกโมงเช้า แถมยังต้องมาตื่นอีกทีคือสองโมงเช้าเพราะว่าไอ้โก้มันมีเรื่องด่วนกะทันหันทำให้พวกเราต้องล้มเลิกแพลนทั้งหมดและขนของขึ้นรถกลับบ้านเรารักรออยู่ ทั้งที่มีแพลนเที่ยวต่ออีกหนึ่งวัน และเป็นเช้าของวันพรุ่งนี้ค่อยกลับ

แต่ยังไงทุกคนก็เข้าใจไม่ได้โกรธมัน โดยเฉพาะผม รีบกลับได้ยิ่งดีเพราะตอนนี้ไม่ได้มีกระจิตกระใจจะเที่ยวแล้วต่างหาก

ถ้าทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรือลืมๆเรื่องนั้นไปได้ก็คงไม่เป็นอะไร แต่ประเด็นคือมันทำไม่ได้นี่สิ จะได้ไม่ต้องรู้สึกอึดอัดอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้ และความรู้สึกที่ว่านี้มันไม่ได้เกิดกับพี่เพลง แต่เกิดกับไอ้เสือต่างหาก 

     โว้ยยยย…! ไม่ได้รู้สึกไม่ดีนะแค่รู้สึกอึดอัดเพราะทำอะไรไม่ถูกไม่รู้จะวางตัวยังไง จะต้องพูดกับมันปกติหรือเปล่า แล้วถ้าตอนนี้ในสายตาคนอื่นผมไม่ได้เป็นเหมือนเดิมทุกคนจะรู้ไหม จะสงสัยกันหรือเปล่า? 


     โอ้ยยย! หงุดหงิดว้อยยยยย!!

     เมื่อตอนที่กำลังเดินทางกลับกันโชคดีหน่อยที่ผมโคตรง่วงนอนเลยนั่งหลับมาตลอดทางเลยทุกคนคงยังไม่ได้รู้สึกถึงความแปลกไปส่วนไอ้เสือมันก็ดูปกติอาจเป็นเพราะความหน้านิ่ง และชอบซ่อนความรู้สึก เลยทำให้ไม่มีใครแปลกใจหรือสงสัยว่าทำไมวันนี้เราสองคนถึงไม่เหมือนเดิม แต่ก็นั่นแหละครับถึงในสายตาของคนอื่นๆผมกับมันจะดูปกติ แต่ในสายตาผมแม่งโคตรไม่ปกติ!




     เรามาถึงที่บ้านในเวลาประมาณสี่โมงเย็นโดยประมาณ จากนั้นก็แวะส่งสองสาวพี่เพลงกับแยม น่าแปลกที่กับพี่เพลงผมไม่ได้อึดอัดอะไรมากมายหนำซ้ำก่อนกลับเรายังบอกลากัน คุยกันได้เหมือนปกติ ราวกับว่าเธอจำเรื่องเมื่อคืนไม่ได้ แต่พอกลับมากจากช่วยพี่เพลงเธอขนของลงและกลับขึ้นมาจากรถเท่านั้นแหละ…

     วินาทีที่ผมกับไอ้เสือสบตากันโดยบังเอิญ…หรือเปล่า? ก็ไม่รู้นะ ผมสัมผัสได้ถึงความร้อนวูบวาบดูคุกรุ่นและฉุนเฉียว แต่ก็ไม่นานเท่าไร มันเป็นแค่เพียงครู่หนึ่งที่รู้สึกได้ หลังจากนั้นเหมือนว่าความรู้สึกจะถูกฉาบฉวยไว้ด้วยความเรียบนิ่งแต่ไม่เย็นชาอย่างที่มันชอบทำ


     ไอ้ฉิบลอส…

     ร้อนๆหนาวๆแปลกๆวุ้ยสงสัยจะไม่สบายแน่ๆ

     “ขอบใจมากมึง ขับรถกลับดีๆ”  เมื่อมาถึงคิวที่พวกผมต้องลงบ้างแล้วก็เลยบอกลาไอ้พวกสามตัวบาท และบอกให้มันขับรถดีๆ กลัวมันจะเพลียจนเผลอหลับในเข้า

     “ไอ้ฟาร์มวันนี้มึงไม่นอนกับกูเหรอ?”  ในขณะที่พวกพี่หมากกับไอ้เสือกำลังช่วยกันขนของลงก็เลยชะโงกหน้าเข้าไปในรถถามไอ้เพื่อนรักที่ไม่รู้มันเป็นอะไรหรือเปล่า เพราะตั้งแต่เมื่อเช้าจนตอนนี้หน้ามันบูดบึ้งไม่สบอารมณ์ยังไงไม่รู้  ด้วยความที่เป็นเพื่อนกันมานานพอสมควรก็เลยพอเดาได้ว่ามันต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ คือต้องมีแน่ๆเว้ย ถ้ามันปฏิเสธนี่แม่งแสดงว่ากำลังโกหกแบบหน้าด้านๆอยู่


     “หึ”  มันตอบพึมพำในลำคอ จากนั้นก็หลับตาลง เหมือนกับเป็นการตัดบทสนทนาดีๆนี่เอง

     ไม่หรอกน่า…กูอาจจะคิดมากไปเอง มันคงไม่เป็นอะไรหรอกอาจจะเหนื่อยจนไม่มีอารมณ์ก็ได้
     ไม่สิ! มันต้องมี
     ไม่หรอกมันแค่ง่วง


     “กูไปแล้วนะปิง”  ไอ้เจมส์ตะโกนออกมาจากในรถ ผมที่กำลังยืนถกเถียงกับความคิดตัวเองเลยโบกมือลามัน จากนั้นกระจกก็เลื่อนปิดขึ้นพร้อมกับรถที่ค่อยเคลื่อนตัวออกไปจนหายลับตาในที่สุด



     …

     เช้าวันต่อมา

     06:30

 
     ฮ้าววววววว…


     ระหว่างตลับเมตรกับเสียงหาวผมอันไหนยาวกว่ากันครับหัวหน้า รู้สึกเพลียๆร่างยังไงก็ไม่รู้ วันนี้ก็ได้ฤกษ์เสนอหน้าไปทำงานแล้วครับหยุดมาหลายวันเดี๋ยวจะโดนไล่ออก  ไม่ต้องไล่ให้ไปกินแกลบนะเพราะไม่มีเงินซื้อ ฮ่าๆๆ

เมื่อวานโชคดีหน่อยที่พอกลับมาจากทะเลไอ้เสือมันก็พาน้องกวางไปหาน้าเล็ก เลยมีแค่ผมกับไอ้พี่หมากที่อยู่บ้าน เลยไม่ได้อึดอัดอย่างที่เป็นเหมือนเมื่อวาน แต่…แม่งหวิวๆในใจแปลกๆ
     
     เดี๋ยวนะ…? คือปกติมันก็ไปบ้านน้าเล็กอยู่แล้วป้ะวะ? และทุกครั้งก็ไม่เคยหวิวในใจแบบนี้แล้ววันนี้กูเป็นอะไรล่ะไปเนี่ย!
     สงสัยจะฟุ้งซ่านเกินไป  ไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตาดีกว่า เผื่ออะไรๆมันจะดีขึ้น




     หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วก็แต่งตัวเตรียมไปทำงาน  เผื่อไปช้ากว่านี้แล้วรถจะติด พอรถติดแล้วก็จะไปทำงานสาย ไม่ใช่อะไรครับ หยุดไปหลายวันแล้วยังไปทำงานสายอีกเดี๋ยวจะโดนสวด

     “ตื่นเช้าจังนะมึง!”  “มาๆแดกข้าว ไอ้เสือมันเอาข้าวต้มจากบ้านน้ามาฝาก” ทันทีที่เปิดประตูห้องออกมายังไม่ทันได้ก้าวขาพ้นประตูด้วยซ้ำ ไอ้พี่หมากมันก็ร้องท้วงประหนึ่งว่าไม่เคยเห็นผมตื่นเช้า

     ไม่หรอก…แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือใครบางคนกำลังยืนตักข้าวต้มอยู่ตรงหัวโต๊ะต่างหากและมันเงยหน้าขึ้นมามองนิดหน่อย และเสี้ยววินาทีในความนิดหน่อยนั้นเราดันเผลอสบตากันโดยบังเอิญ 


     ตึกตัก…
     ฉิบหาย…
     ใจกูกระตุกเลยสาดดด


     “อะ เอ่อ… พอดีวันนี้จะไปทำงานไงเลยต้องตื่นเช้านิดหน่อย” แล้วกูจะตะกุกตะกักทำพระแสงอะไรวะ!

     “เออ พอดีเลยไอ้เสือมันกินเสร็จก็จะออกไปละ มึงก็ติดรถมันไปดิ”  ไอ้เชี่ยพี่หมากแม่งพูดจัดแจงให้ทุกอย่างไม่ถงไม่ถามเรื่องหัวใจ เอ้ย!สุขภาพผมสักคำ
 
     “อะ เอ่อ”  ผมเลื่อนเก้าอี้ออกมานั่งฝั่งตรงข้ามกับไอ้เสือซึ่งมีพี่หมากมันนั่งหัวโต๊ะ

     “อะไรของมึง?”   พี่หมากเลิกคิ้วถาม พร้อมกับดันถ้วยข้าวต้มกลิ่นหอมๆมาวางไว้ตรงหน้าผม

     “ปะ…”   


     ตู้มมมม!!

     และวินาทีที่กำลังจะอ้าปากตอบ คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามดันมองมาที่ผม ใช่! มันมอง คือมันตั้งใจมองเลยนะครับหัวหน้า!  เลยทำให้ประโยคที่กำลังจะพูดนั้นหยุดกลางอากาศ

แววตาเรียบนิ่งแต่ไม่เย็นชาทำเอาผมแทบบ้าหัวใจกระตุกวูบจนกลัวว่ามันจะเจ็บ  เฮ้ยยย! ไม่ได้ดิไม่ได้ มึงจะหัวใจกระตุกแบบนี้ไม่ได้!


     “อะไรของมึง วันนี้มึงเป็นไรของมึงไอ้ปิง?”   

     “มะ ไม่ได้เป็นไรหนิ”  ผมตอบปฏิเสธพร้อมกับก้มหน้าก้มตาตักข้าวต้มเข้าปาก


     แต่…


     โอ้ยยย!


     เคร้ง!


     ลืมไปว่ามันร้อน แล้วไงครับ…ก็ลวกปากไอ้ปิงนี่ไง! ไอ้ฝัด! ร้อนโว้ย ปากพองแล้วมั้งเนี่ย 


     “ไอ้เชี่ยปิ…”  ยังไม่ทันที่พี่หมากจะพูดจบสัมผัสของคนตรงข้ามผมพร้อมกับกระดาษทิชชูก็ถูกซับเบาๆที่ริมฝีปากผม อย่าว่าแต่พี่หมากยังพูดไม่จบประโยคเลย ตัวผมเองก็ได้แต่อ้าปากค้างอยู่แบบนั้นจนทิชชูจะเข้าปากอยู่แล้ว   

     “เอามาให้กินแล้วยังต้องให้เป่าให้ด้วยไหม?”   ไอ้เสือพูดพร้อมกับผละมือออกไป ระหว่างนั้นเราสบตากันตลอดจนความร้อนจากข้าวต้มเริ่มมากองรวมอยู่บนหน้ากูแล้วไอ้ฉิบหาย! 

     “สงสัยมันจะหิวจนลืมตัว”  พี่หมากพูด และตักข้าวต้มกินต่อ ท่าทางเหมือนไม่มีอะไรหลังจากที่เมื่อครู่รีแอคชันพี่มันดูอึ้งๆ

     “อะ เอ่อ…ขอตัวก่อนแล้วกันนะพี่”  คือไม่รู้จะตอบอะไร เลยรีบขอตัวลุกขึ้นมาก่อน  “เอ้า! เดี๋ยวสิวะไอ้ปิง” พี่หมากเรียก
จ้างให้ก็ไม่หันเว้ย ผมนี่รีบติดเกียร์หมาออกไปเลยครับ  และเดินยังไม่ทันพ้นประตูบ้านด้วยซ้ำบทสนทนาของพี่มันทั้งสองก็ดังเข้ามาให้ได้ยินอย่างไม่ได้ตั้งใจ

     “มึงไม่ไปส่งมันเหรอวะ?”   

     “มันคงอยากไปเอง” 

     “คนอย่างมันน่ะนะถ้าให้เลือกมีคนไปส่งกับนั่งสองแถวมันคงจะเลือกอย่างหลัง” 

     “ไม่รู้สิ มันอาจจะไม่อยากนั่งมอ’ไซค์ก็ได้ใครจะรู้”
   
     กูไม่ได้ไม่อยากนั่งรถมึง แต่กูแค่ไม่อยากปล่อยให้ตัวเองอยู่ใกล้มึงเว้ย!  ยิ่งนานวันเข้ายิ่งรู้สึกแปลกๆ แม่งเด้ยย!

     ….


     หลังเลิกงาน


     “ผมกลับแล้วนะ หวัดดีครับพี่โบว์ หวัดดีครับพี่ๆ”   และแล้วเวลาเลิกงานก็มาถึง ผมบอกบอกลาพี่ๆที่ทำงานก่อนจะเดินออกมาด้วยสภาพที่อิดโรยเต็มทน

โห…วันนี้เหนื่อยแบบเหนื่อยเชี่ยๆ เหนื่อยสุดตีน เหนื่อยจนต้องร้องขอชีวิตกว่าจะเอาชีวิตรอดมาได้นี่เล่นเอาเกือบตาย สงสัยว่าลูกค้าคงอยากต้อนรับการกลับมาของไอ้ปิงแน่ๆเลยครับหัวหน้า!

     เอ๊ะ…?  เดี๋ยวนะ

     เหมือนผมจะลืมอะไรบางอย่างเลยครับ…
 
     คือ…ผมจะกลับบ้านยังไงวะ?   ก็ปกติไอ้เสือมันจะมารับนี่หว่าแล้วเมื่อเช้า แต่ว่า…ก็นั่นแหละ ความรู้สึกของเราตอนนี้มันก็เปลี่ยนไปแล้วอะไรๆมันก็ไม่เหมือนเดิมน่ะนะ มันคงไม่มารับหรอก (มั้ง?)  เฮ้อ…เมื่อเช้าก็ลืมคิดไปเลยว่าจะกลับยังไง 

     เอาไงดีวะ มันเองก็คงไม่มารับผมแล้วแหละเพราะปกติมันจะมารอไม่ก็มาถึงพอดีตอนที่ผมเลิกงานโดยที่ไม่ต้องรอ

     เหอะ!  ไหนบอกชอบกูไงสาดดด นี่จะปล่อยให้กูเดินกลับจริงดิ?

     โอ้ยยย แล้วผมจะพูดเรื่องนี้ทำไม!   
     เออครับจะกลับยังไงก็ยังไม่รู้มัวแต่มายืนทะเลาะกับจิตใต้สำนึกตัวเองอยู่นั่นแหละ


     เอาไงดีวะ…?

     อ้อ!นึกออกแล้ว…ไอ้ฟาร์ม 

     ทันเท่าความคิด ผมล้วงเอาโทรศัพท์ในกระเป๋าออกมาโทรหาไอ้เพื่อนยากด้วยความรวดเร็ว ที่ไม่รู้ว่าตอนนี้มันจะหลับไปหรือยัง 


     ตู๊ด… ตู๊ด…ตู๊ด… และตู๊ด  โว้ยยย  นี่มึงมีโทรศัพท์ไว้ทำห่าอะไรกันวะ!?

     [ว่า?]   และในที่สู๊ดดดด ในที่สุดก่อนสัญญาณจะถูกตัดไปปลายสายก็กดรับ

     “มึงทำไรอยู่วะ มารับกูหน่อยได้ไหม” 

     [วันนี้รถไม่อยู่]

     “อ้าว… อือๆไม่เป็นไรเดี๋ยวกูกลับเอง”

     [เออ...กลับดีๆ]


     ซวยที่สุดในสามโลก สงสัยคืนนี้จะได้นอนที่หน้าร้านนี่แหละครับ!  ขณะที่ผมกำลังกดวางสายเสียงหนึ่งกลับดังขึ้นเล็ดรอดมาจากฝั่งไอ้ฟาร์ม ปกติผมก็ไม่ได้สนใจอะไรหรอกนะเพราะมันคือบทสนทนาของม๊ากับไอ้ฟาร์ม หากแต่ประโยคที่ได้ยินนั้นบอกว่า
ฟาร์มเสร็จแล้วขับรถไปซื้อข้าวสารให้ม๊าหน่อย’ 


     ติ๊ด!
     และสายก็ถูกตัดไปโดยไอ้เพื่อนรักของผม  แล้วทำไมมันต้องโกหกผมด้วยครับ? 
 

     “จะยืนทำหน้าขี้เร่อีกนานไหม?”   และแล้วความคิดเรื่องไอ้ฟาร์ม และอาการสงสัยต้องสะดุดลงเพราะเสียงทุ้มๆที่โคตรคุ้นเคยดังขึ้นจากทางด้านหลังของผม คือไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าใคร

     “อะ เอ่อ…”   ผมเริ่มพูดตะกุกตะกักเมื่อหันหน้าไปหาเจ้าของเสียงที่ยืนอยู่ด้านหลังผม

     อะไรวะ? เมื่อครู่หัวผมยังอยู่ในโหมดขี้สงสัยอยู่เลย ตอนนี้กำลังอยู่ในโหมดหัวหมุนได้ จนเริ่มลืมเรื่องเมื่อครู่ไปเกือบหมด 

     “มะ มาไงวะ?”   แล้วคำถามบ้าบออะไรกันล่ะเนี่ย?

ไอ้เสือไม่ตอบแต่หันหน้าไปทางริมฟุตบาทที่ผมยืนหันหลังให้ มันคงอยากจะบอกประมานว่า กูเอารถมอ’ไซค์มาสิ จะให้กูเดินมาไง๊?   

เจ้าตัวไม่ได้กล่าวครับ เป็นผมที่กล่าวเอง เพราะรู้สึกว่ามันต้องคิดแบบนั้นแน่     


     “ไม่กลับบ้าน?”  สงสัยจะยืนนิ่งนานเกินไป เจ้ารถซูโม่เอ็กซ์เลยเลิกคิ้วขึ้นถาม

     “กะ กลับ”   เบื่อไอ้อาการตะกุกตะกัก แขนสั่นใจเต้นแรงแบบนี้ว่ะ!

     “…”

     “…” 

     ระหว่างที่กระโดดขึ้นนั่งมอ’ไซค์อย่างชำนิชำนาญและจนกกระทั่งรถเคลื่อนตัวออกไปเราสองคนก็ยังคงอยู่ในความเงียบ ผมรักษาระยะห่างของเราเอาไว้ไม่ให้มันชิดกันมากนัก แต่… 

ทำม๊ายยยยยยย ทำไมวันนี้เบาะมันลื่นจังวะ ผมคิดว่าไอ้เสือมันต้องเพิ่งล้างรถมาแน่ๆ แล้วมึงก็เอาน้ำยามาขัดเบาะให้มันลื่น เวลากูนั่งรถจะได้ไถลไปหามึงใช่ไหมล่ะ! แหมมมม…ไอ้นี่มันร้ายนะครับหัวหน้า!


     วืด….

     นั่นไง! พูดยังไม่ทันขาดคำ พอมันจอดรถเพราะตรงแยกไฟแดงเท่านั้นและวันแพ็คผมนี่ถึงกับไปกระแทกหลังมันอย่างจัง

     “โทษทีวันนี้เพิ่งล้างรถน่ะ”  แหม…รีบแก้ต่างให้ตัวเองเลยนะ 

     “…”  เงียบครับไม่รู้จะตอบอะไรดี ได้แต่ไถลตัวให้ห่างออกมาจากหลังมันให้มากที่สุด


     บรื้น!

     ไอ้ฉิบหาย!

     แต่พอไปเขียวแล้วรถออกตัวเท่านั้นแหละ…

     ผมก็ไถลตัวเอาพุงน้อยไไปกระแทกหลังมันอีกครั้ง  โว้ยยย! ไอ้เบาะเฮงซวย อย่าให้มีโอกาสนะพ่อจะเลาะออกมาสับเป็นชิ้นๆเลย ไม่สิผมไม่ควรโทษเบาะแต่ควรโทษไอ้เจ้าของรถที่มันเอารถไปล้างแล้วจังไรขัดเบาะมาต่างหาก!


     “ไม่ต้องขยับห่างหรอก ใกล้กันบ้างก็ได้” 

     เจ้าของรถนั้นพูดขึ้น และไม่พูดอย่างเดียวกลับดึงแขนผมให้เอื้อมไปกอดเอวเจ้าตัวไว้ด้วย ตัวผมเลยต้องไถลลงไปใกล้ชิดแผ่นหลังของไอ้เสืออีกครั้ง ในขณะที่กำลังเลื่อนตัวเองให้ออกห่างไปจากมัน 

ฝ่ามือใหญ่กุมมือของผมแน่นไม่ยอมปล่อย นิ้วทั้งห้าของเราสอดประสานเข้าหากันตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้เลย  แน่นอนว่าตอนนี้มันต้องขับรถด้วยมือข้างเดียว


     เดี๋ยวนะ…?  ฉิบหายละรถล้มขึ้มาทำไงเนี่ย!

     “เฮ้ย! ปล่อยมือกูก่อนแล้วขับรถดีๆ”  เมื่อคิดขึ้นได้ว่ามันต้องขับรถมือเดียวผมเลยยอมพูดกับมันพร้อมกับชักมือออกมาจากการเกาะกุมนี้ให้ได้

     “ถ้ากูจับมึงก็อย่าปล่อยสิ”  มันตอบกลับมา

    “เป็นบ้าเหรอ มึงขับรถดีๆดิ”   ผมสวนกลับและยังคงไม่ละความพยายามที่จะดึงมือกลับมา แต่ทำไมยิ่งรู้สึกว่ามันจะจับมือผมแน่นมากกว่าเดิม

     “…”  เงียบครับ มันเงียบครับหัวหน้า!

     “เออๆ กูไม่ปล่อย”  ท้ายที่สุดก็ต้องยอม ไม่ได้อยากกอดหรืออะไรนะ แต่เพราะกลัวตายครับ ไม่อยากเจ็บตัว ถึงมันจะขับรถแข็งยังไงก็เถอะ อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอถ้าเราประมาท

     “แค่นี้ก็สิ้นเรื่อง” 

     มันตอบกลับครับ แต่เสียงมันเบาเหมือนรำพึงรำพันกับตัวเอง 


     ผัวะ!

     ไม่ต้องสงสัยครับ หลังจากที่จบประโยคมันรำพึงรำพันกับตัวเองผมก็จัดการต่อยเข้าที่ลาดไหล่ของมันจังๆ เพราะจะตบหัวมันก็ใส่หมวกกันน็อคเดี๋ยวเจ็บมือ “อย่าคิดว่ากูไม่ได้ยิน” 


     “ก็ดี จะได้รู้ว่าเสียงกูอยู่ในหูมึงตลอดเวลา” 

     “…” 

     จึก!

     ไอ้ฝัด! ใครใช้ให้พูดแบบนี้วะ!



     …


  อ่านต่อข้างล่างนะคะ

ออฟไลน์ กิงก่องโก๊ะ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-2
    • เข้ามาฝอยกันได้นาจาาาาา
ต่อค่ะ




(บันทึกของเสือ)

     ‘ก็ดี จะได้รู้ว่ากูอยู่ในหูมึงตลอดเวลา’ 


     หึ…คิดแล้วก็ตลกตัวเองจริงๆ เกิดมาผมยังไม่เคยพูดอะไรแบบนี้เลย ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรดลใจให้พูดออกไปแบบนั้น ขนาดกับแก้มผมยังไม่เคยพูด     

ไม่ได้ตั้งใจจะรุกหนักอะไรขนาดนั้นนะ แค่อยากคุยด้วยอยากอยู่ใกล้เฉยๆเพราะตั้งแต่หลังจากเหตุการนั้นระหว่างเรามันก็ไม่เหมือนเดิม 

ใจหนึ่งก็อยากด่าตัวเองที่ทำอะไรโดยไม่ยับยั้งชั่งใจ แล้วเป็นยัง? ไงสุดท้ายปิงมันก็เปลี่ยนไป  เพราะตอนนี้รู้สึกเหมือนระหว่างเราจะมีเส้นบางๆกันอยู่ และเป็นเส้นที่ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่สัมผัสได้ 

แต่ก็นะ…. ใจหนึ่งผมก็รู้สึกดี ผมโล่งมากที่ได้พูดมันออกไป เอาจริงๆแล้วผมก็ไม่ได้เสียใจหรอก  แค่รู้สึกประหม่าทำตัวไม่ถูกเพราะปิงไม่เหมือนเดิมแค่นั้นเอง


     วันนี้น้องกวางไม่ได้อยู่กับผมเพราะเธองอแงไม่ยอมกลับจากบ้านน้าเล็กท่าเดียวเลยต้องปล่อยให้นอนที่นั่นไป และวันนี้ดันมารับไอ้ปิงช้าเพราะติดสอนน้องที่มาติวกับผม พอดีว่าผมหยุดไปทะเลเลยจัดหนักจัดเต็มให้น้องเล่นเอาซะเกือบอ้วกทั้งคนสอนแล้วก็คนเรียนไปเลย พอดูนาฬิกาอีกทีก็นึกขึ้นได้ว่าถึงเวลาไปรับไอ้ปิงซะแล้ว

เราสนทนากันนิดหน่อยระหว่างขับรถ พอกลับถึงบ้านเราต่างก็เงียบแล้วก็เงียบ และแยกย้ายกันเข้าห้องไปจนตอนนี้ก็ยังไม่ได้คุยกันเลย 

วันนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองดูงุ่นง่านมากเป็นพิเศษ นี่ก็เดินเข้าออกห้องเป็นสิบรอบได้แล้ว เพราะหวังว่าถ้าออกมาแล้วจะเจอไอ้ปิงมันนั่งอยู่ตรงโซฟาข้างนอกแต่ก็ไม่มี             

ผมวนเวียนอยู่หน้าห้องมันประมานห้ารอบได้ ชั่งใจอยู่นานสองนานว่าจะเคาะประตูห้องมันดีหรือเปล่า แต่สุดท้ายก็ไม่กล้า เลยได้แต่เดินวนไปวนมาทั่วบ้านอยู่แบบนี้  คือถ้ามันเปิดประตูมาผมไม่รู้จะพูดอะไรเหมือนกัน เพราะแค่อยากเห็นหน้าเท่านั้นเอง  และเพราะวันนี้ไอ้หมากไม่อยู่บ้านเลยเงียบเป็นเท่าตัว ถ้ามันอยู่สถานการณ์คงไม่ดูอึมครึมขนาดนี้


     สุดท้ายผมเลยขนงานที่ต้องทำต่อออกมานั่งทำข้างนอกให้มันรู้แล้วรู้รอดเพราะขืนมัวแต่เดินเข้าเดินออกมีหวังงานไม่เสร็จแน่ๆ

     แอด… นั่งได้ไม่นานเสียงประตูที่ผมอยากได้ยินมานานก็ดังขึ้น   


     เห็นไหม! ในที่สุดไอ้ปิงก็ออกมา


     ปัง!  แล้วก็ปิดไป


     พร้อมกับเจ้าตัวที่หายเข้าไปในห้องเหมือนเดิม
อะไรของมัน? 
 

     แอด…


     และประตูก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง พร้อมกับร่างสูงโปร่งที่เดินออกมา “เอ่อ…”  ผมว่าผมดูงุ่นง่านแล้วนะ ไอ้ปิงมันดูยิ่งกว่าผมอีก
ก็ดูสิมันเดินออกมาเหมือนจะพูดอะไรแต่ก็ไม่พูด เหมือนจะทำตัวไม่ถูกนะ

ผมเองก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน เพียงแค่ไม่ได้แสดงออกมาเท่านั้น เลยแกล้งทำเป็นนั่งทำงานต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่ภายในใจรู้สึกดีจนอยากจะฉีกยิ้มออกมากว้างๆ


     “อ เอ่อ…”  และเจ้าตัวก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม จะพูดอะไรก็ไม่พูดสักที  ไม่ใช่อะไรนะ ผมก็อยากคุยด้วยไม่เข้าใจหรือไง!?

     “เอ่อ?”  ผมเลยเป็นฝ่ายถามกลับบ้าง และละสายตาจากงานตรงหน้าหันไปมองไอ้ปิงเต็มๆตา ซึ่งตอนนี้มันกำลังยืนเกาท้ายทอยไปมาแก้เก้อ หน้าตาเหรอหราตามแบบฉบับของมัน 

     “คือ…”   

     “เป็นอะไร?”  ผมเลยเปิดประเด็นถาม เพราะถ้าไม่ถามวันนี้คงไม่รู้เรื่องแน่ๆ 

     “คะ คือ… หิวข้าวว่ะ” 

     จะให้ทำอะไรให้กินว่างั้น?

     “แล้ว?”   ผมก็รู้นะว่ามันต้องการจะสื่ออะไร แต่แค่อยากแกล้งเท่านั้นเอง

     “ทะ ทำอะไรให้กินหน่อยดิ”  มันพูดติดๆขัดๆพร้อมกับเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าตู้เย็น แล้วก็เปิดหาอะไรไม่รู้

     “เดี๋ยวทำให้”  ว่าแล้วผมก็ลุกขึ้นไปตรงโซนครัวที่อยู่เยื้องๆกับทางตู้เย็นที่ปิงมันกำลังก้มๆเงยๆทำอะไรอยู่ก็ไม่รู้ “แล้วนั่นทำอะไร?”  เลยอดไม่ได้ที่จะถามออกไป   

     “ก็หาดูไงว่าในตู้มีอะไรให้ทำกินได้บ้าง”   

     “กับข้าวมึงยังทำไม่เป็นแล้วมึงรู้เหรอว่าต้องใช้อะไรทำอะไร?”   ไม่แปลกใจที่มันจะใช้ให้ผมทำอาหาร เพราะมันทำอะไรไม่เป็นเลยสักอย่าง ถึงทำได้ก็คงไม่พ้นที่ผมต้องเข้าไปช่วย เพราะไม่อย่างนั้นครัวอาจจะเละก่อนก็ได้   

     “มะ ไม่รู้”  เจ้าของบ้านตอบพร้อมกับปิดตู้เย็นลง
     ปกติเวลาให้ผมทำอะไรให้กินมันก็ไม่เคยช่วยหาอะไรหรอก ทำไมวันนี้ถึงเป็นแบบนี้ได้

     “ไปนั่งรอหน้าทีวีไป เสร็จแล้วเดี๋ยวบอก” 

     “อะ เออ” 



     สิบห้านาทีผ่านไป…

     ผมเดินถือถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกลิ่นหอมฉุยออกมาจากห้องครัวและวางลงตรงหน้าคนที่กำลังตั้งใจดูหนังที่เอามาฉายทางช่องเคเบิลมากเป็นพิเศษ เรื่องนี้ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นเรื่อง shutter island 

     “ได้แล้ว”  เมื่อเห็นว่าคนหิวไม่ยอมละสายตาจากโทรทัศน์ผมเลยใช้เท้าเขี่ยขามันให้รู้สึกตัว

     “…” 

     “ปิง” 

     “เออ…รู้แล้วกำลังสนุก อย่าขัดดิ” 


     เหมือนบรรยากาศกำลังจะกลับมาเป็นปกตินะครับ

     คำพูดของมันที่ใช้พูดต่อผมก็เริ่มจะเหมือนก่อนๆแล้ว ไม่แน่ใจว่าเพราะตั้งใจหรือมัวแต่ดูหนังจนลืมตัว 

     หลังจากนั้นเลยปล่อยให้คนหิวตั้งใจดูหนังต่อไป ส่วนผมก็พยายามที่จะนั่งทำงานตรงหน้าอย่างมีสมาธิที่สุด ย้ำนะครับว่าพยายามตั้งใจ เพราะไอ้คนข้างๆนี่มันหลอกล่อสายตาผมดีเหลือเกิน คือมันยากมากที่จะพยายามให้สายตาจดจ้องอยู่หน้าจอคอมไม่ใช่คนข้างๆ และขาของคนข้างๆ

     เอ่อ… ไม่ได้กำลังคิดไม่ดีหรืออะไรนะ แค่เป็นช่วงหนึ่งที่มันนั่งชันขาแล้วขากางเกงย้วยๆของมันดันร่นไปกองรวมกันข้างล่าง

     ไม่ได้คิดอะไรจริงๆครับ แค่บังเอิญเหลือบไปเห็นพอดี

     แค่รู้สึกว่ามันขาวมากแค่นั้นเอง   เห็นไหมนี่ไม่ใช่ความคิดมันเป็นความรู้สึก แต่ตอนนี้ ผมรู้สึกว่าจิตใต้สำนึกกับผมกำลังตีกันด้วยความบ้าคลั่งยังไงก็ไม่รู้


     “กินได้แล้วมั้ง มาม่าอืดหมดแล้ว”  ผมเตือนคนข้างๆอีกครั้งที่เวลานี้ก็ยังไม่แม้แต่จะตักบะหมี่เข้าปากจนตอนนี้มันจะกลายเป็นเส้นอูด้งแล้ว
     ไหนบอกหิวไง?

     “แป้บ ใกล้จบแล้ว”  มันตอบทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากจอโทรทัศน์ 

เมื่อมันว่าอย่างนั้นผมเลยไม่ยุ่ง กลับมาเรียกสมาธิตัวเองให้ตั้งใจทำงานเหมือนเดิม  จนเวลาผ่านไปได้สักพัก ถ้วยบะหมี่ที่ตอนนี้เส้นอืดในระดับหนึ่งถูกมันเลื่อนไปไว้ตรงหน้า และจัดการมันทั้งที่สายตายังไม่ละออกจากจอ

     ถ้าจำไม่ผิด…ปิงมันไม่ใช่พวกตั้งใจดูหนังอะไรขนาดนี้นะ  หรือว่าผมจะจำผิด?


     สักครู่หนึ่งซึ่งนานพอสมควร…ผ่านไปแล้วบะหมี่ก็ยังไม่หมดถ้วย

     “เมื่อไรจะกินหมด อมเส้นอยู่รึไง?”  และเวลาผ่านไปพักหนึ่งก็ยังไม่หมดจนผมออดที่จะถามไม่ได้

     “แป้บ จะจบแล้วอย่ากวน”   เจ้าตัวตอบและหันไปตั้งใจดูต่อ จนกระทั่งไม่ถึงห้านาทีหนังเรื่องนั้นก็จบลง มันเลยเอารีโมทไปเลื่อนช่องเปิดดูเรื่อยๆ 

     รู้สึกว่าวันนี้จะสนใจดูหนังเป็นพิเศษนะ…

     “นี่เรื่องอะไรวะ”  เสียงพึมพำของคนข้างๆดังเข้ามาในหู แต่ผมก็ไม่ได้สนใจเท่าไรเพราะกำลังเร่งปั่นงานตรงหน้าให้เสร็จ


     แต่…


     ผ่านไปสักพักหนึ่งเสียงเพลงในภาพยนตร์ที่ดังขึ้นทำเอาผมต้องละสายตาจากหน้าคอมไปหาหน้าจอโทรทัศน์


     นี่มัน…


     Fifty shades of gray



     แล้วจะมาฉายอะไรตอนนี้วะ?


     มันไม่ได้แปลกอะไรหรอกครับถ้าจะเอามาฉาย  แต่เพราะตอนนี้ดันมีไอ้ปิงนั่งอยู่ด้วย แถมยังเป็นไอ้ปิงที่ผมชอบ และหนังอีโรติคที่กำลังเล่น


     “เปลี่ยนช่องเถอะ”  ผมบอก

     “ทำไม?”  มันเอียงหน้ามาถามผม  จริงๆตั้งแต่นั่งมาครั้งนี้เราเพิ่งจะได้สบตาและ มองหน้ากันเต็มๆตา

     “เออ…เปลี่ยนเถอะน่า”  เข้าใจนะว่ามันก็แค่ภาพยนตร์ แต่… ผมว่ามันไม่โอเคแน่ๆถ้าเลิฟซีนดันโผล่มาตอนนี้

     “ไม่!กูจะดูนางเอก”  “แม่งโคตรสวย”  ว่าแล้วมันก็หันไปสนใจหนังต่อ แต่ว่า…



       พรวด!   และเพียงแค่เสี้ยววินาทีเส้นบะหมี่ที่มันกำลังจัดการเข้าไปในปากก็พุ่งพรวดกลับลงถ้วยทันควัน   


     แค่กๆ!  พร้อมกับอาการสำลักจนเจ้าตัวหน้าดำหน้าแดง

   
     สาเหตุที่เป็นแบบนี้ก็เพราะเลิฟซีนที่ผมไม่อยากให้มาถึง มันดันมาถึงพอดี   
     เพราะมันเป็นซีนที่คริสเตียนมาหาอนาตเซียที่บ้านเนื่องจากทนความคิดถึงไม่ไหว หลังจากที่ให้เวลาตัดสินใจในเรื่องสัญญา
และไอ้คนหน้ามึนมันดันหันไปเห็นพอดี  รีแอคชันเลยเป็นอย่างที่เห็น


     แค่กๆ!   

     เมื่อมองหาแก้วน้ำตรงหน้าแล้วไม่มีผมเลยรีบลุกขึ้นไปเอาน้ำมาให้เจ้าตัวก่อนที่มันจะขาดใจตายซะก่อน “กินน้ำก่อน” 
แค่กๆ! 

     ไม่รอช้าที่มันยื่นมือมารับแก้วน้ำจากผมไปดื่มด้วยความรวดเร็ว “แค่กๆ!”  ขณะที่ดื่มน้ำมันก็ยังไม่หยุดไป เลยทำให้สำลักไปยิ่งกว่าเดิมจนตอนนี้น้ำหกเลอะเต็มพื้นหมดแล้ว


     แค่กๆ!

     “หายใจเข้าลึกๆ”  พูดและเอื้อมมือไปลูบหลังคนสำลักให้มันเย็นลง ไม่รู้ว่าจะได้ผลไหมนะเพราะผมมักจะใช้วิธีนี้กับน้องกวาง
ประมาณเกือบสองนาทีกว่ามันจะกลับมาสู่โหมดปกติ  “กูบอกแล้วให้เปลี่ยนช่องใหม่” ผมบ่น

     “กะ กูไม่ได้สำลัก พะ เพราะหนังสักหน่อย กะ กูแค่…” 

     “แค่…?”  ผมถามย้ำเมื่อเห็นว่ามันยังไม่ตอบ ยังคงหยุดที่คำว่าแค่

     “แค่ไรก็ช่างมันเถอะ”  “กูไปนอนละ”  มันพูดพร้อมกับเตรียมตัวจะลุกขึ้น แต่ก็ไม่ไวไปกว่ามือผมที่คว้าแขนมันไว้ก่อน

     “เดี๋ยวสิ” 

     “อะไร?”  ปิงมันถาม สีหน้าของมันดูตกใจเล็กน้อย

     นั่นสิ?  แล้วอะไรของผมล่ะเนี่ย ก็แค่ยังไม่อยากให้เข้าไป นั่งก่อนไม่ได้หรือไง จะนั่งหลับหรืออะไรก็ได้

     “ไปเอาผ้ามาเช็ดพื้นด้วย เปียกหมดละ แล้วก็เอาถ้วยไปเก็บให้เรียบร้อย”  ตอนแรกก็หาเหตุผลที่รั้งให้มันอยู่ต่อไม่ออก แต่พอเหลือบไปเห็นเศษซากที่มันทำไว้เลยใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้าง

     “เออๆ”  แล้วก็บิดแขนออกจากมือผมที่ยังคงจับไว้อยู่ 

     จริงๆเดี๋ยวเก็บให้ ทำให้ก็ได้ แค่อยากให้อยู่ต่ออีกนิดเท่านั้นเอง

     แปลกใจตัวองเหมือนกันนะ ทำไมถึงชอบมันได้ขนาดนี้? 



     อีกนานไหมนะ กว่าทุกอย่างจะโอเค และมันจะอีกนานแค่ไหนที่คำตอบของอีกคนจะชัดเจนมากกว่านี้ นอกคำว่าไม่รู้
หรือมันอาจจะรังเกียจที่ผมมีลูก จริงๆมันก็น่าคิดเพราะปิงเองก็ไม่ได้ชอบเด็กเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว


ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆผมคงทำอะไรไม่ได้เลย จะให้ทิ้งลูกไปหาคนที่ชอบมันก็ไม่ใช่ จะให้ตัดใจจากคนที่ชอบมันก็ยาก สำหรับผมแล้วไม่ว่าทางไหนมันก็เจ็บ สุดท้ายแล้วผมก็ต้องเลือกลูก ทั้งที่จริงผมอยากเลือกทั้งสองอย่าง แต่มันคงไม่ได้เรื่องนั้นผมรู้ดี…


     “เมื่อไรกูจะได้คำตอบที่ชัดเจนสักที?”   ท้ายที่สุดผมก็ทนคำถามที่วนเวียนอยู่ในหัวไม่ไหว ก่อนที่มันจะเดินเอาถ้วยไปเก็บก็เลยเผลอตั้งคำถามออกมา และมันเป็นอีกครั้งที่ผมทำอะไรตามใจตัวเองมากเกินไป ไม่มีแม้แต่การหักห้ามใจหรือชั่งเหตุผลว่าสมควรทำหรือไม่


     “คะ คำตอบอะไรของมึง?”   เจ้าตัวย้อนถามด้วยเสียงตะกุกตะกัก
ทำไมต้องย้อนถามทั้งที่รู้ดีอยู่แก่ใจ ถ้าครั้งนี้ไม่ได้คำตอบที่แน่ชัดหรือมันพูดออกมาว่า ไม่ ผมเองก็คงต้องลาจากกันกับมัน หนึ่งเลยคือย้ายออกจากที่นี่ เพราะถ้าให้ผมทนอยู่ต่อคงทำไม่ได้


     “จริงๆมันก็ผ่านมายังไม่ถึงอาทิตย์เลยด้วยซ้ำ กูอาจจะเร่งรัดมึงเร็วไป”

     “…” 

     “แต่มึงรู้ไหม ไอ้ไม่กี่วันที่ผ่านมา สำหรับกูมันเหมือนเวลามันเดินช้ามากจนกูเริ่มทรมาน” 
ใช่ผมทรมานมาก... ใช่ผมเร่งรัดที่จะเอาคำตอบ ผมอยากรู้ ผมเป็นคนใจเย็นนะ แต่ก็มีบางเรื่องที่ทำให้ใจร้อนอย่างเช่นเรื่องของปิง 


     “…” แต่ปิงยังคงเงียบไม่ยอมตอบอะไร

     “เฮ้อ… อะไรทำให้กูชอบมึงได้ขนาดนี้วะ?”   


     ปิงมองมาที่ผมด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย หนึ่งในนั้นผมสัมผัสถึงได้ความสับสน  อยากบอกว่าผมเองก็สับสนไม่แพ้กัน เราสบตากันเนิ่นนาน  แต่จนแล้วจนรอดคำตอบก็ยังคงไม่ได้ มีแค่เพียงความเงียบที่ล้อมรอบ


     “ขะ ขอเอาถ้วยไปเก็บก่อนนะ” 


     และได้ประโยคบอกเล่ามาแทนประโยคคำตอบ


     ให้ตาย!  ทำไมผมถึงได้ใจร้อนขนาดนี้ จริงๆไม่สมควรถามเลยด้วยซ้ำ!   




     TBC.



     กราบสวัสดีค่า มาดึกมากวันนี้ทั้งที่ตั้งใจว่าจะมาตั้งเเต่หัวค่ำ เเต่เพราะความที่ยังไม่ได้นอนมาทั้งคืนเลยเผลอหลับไปสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกทีก็ดึกเเล้ว เกือบเที่ยงคืน นั่งเขียนต่ออีกนิดหน่อยเเละเเก้ไขลบเเล้วลบอีกจนรำคาญตัวเอง ฮ่าๆ 

ขอโทษด้วยนะคะไม่มีคำเเก้ตัวที่หายไปนานค่ะ ได้เเต่ส่งตอนล่าสุดมาให้คนอ่านด้วยความสำนึกผิด เเง้งงงง ตีน้องได้นะคะ เเต่อย่าทิ้งกันน้าาาาาาาา   

ก็ไม่มีอะไรจะบอกเลย นอกจากคำว่าคิดถึงนะคะ เเละรักเสมอ ขอบคุณที่ติดตามกันค่ะ 

ออฟไลน์ Zetnezz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Destiny

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 108
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ขอบคุณที่มาต่อนะคะ ยาวมาก สะใจเลย แต่จริงๆเรื่องนี้ก็ใกล้จะจบแล้ว ตามที่คนเขียนบอก อยากให้มีช่วงสวีท หวาน กันหลายๆตอนหน่อย แต่จนบัดนี้ความสัมพันธ์ก็ยังคลุมเครืออยู่เลย กลัวว่าสถานะของสองคนจะไปชัดเจนเอาตอนจบเรื่องเลยน่ะสิ  :serius2:

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ดีใจ ไรท์มา  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ทั้งเสือ ทั้งปิง ต่างพะวักพะวน
ทั้งที่ใจตรงกัน
รอวันปิง เสือพร้อม
เสือ   ปิง   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Duangjai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
มารอคำตอบจากปิงนะ

 :katai5:   :katai5:  :katai5:  :katai5:  :katai5:

......


ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
คิดถึงคนแต่งจังง ก็เข้าใกล้กันไปทีละนิดเนอะ

ออฟไลน์ กิงก่องโก๊ะ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-2
    • เข้ามาฝอยกันได้นาจาาาาา
ตอนที่สิบเก้า : ตัดใจ หรือ รอต่อไป



     ผมไม่ได้ตอบคำถามไอ้เสือที่ถามมา เพราะไม่รู้จะตอบว่าอะไร หนึ่งเพราะผมสับสน สองเพราะผมคิดว่ามันไม่ถูกต้อง ไม่ถูกต้องในที่นี้ไม่ใช่ว่ามันเป็นผู้ชายด้วยกันแต่เพราะว่ามันมีลูกแล้วต่างหาก และที่ว่าสับสนก็เพราะว่าไม่รู้ใจตัวเองเหมือนกันว่าที่จริงแล้ว ไม่ชอบหรือชอบมันจริงหรือเปล่า

     เพราะถึงจะบอกตัวเองว่าไม่แต่ไม่รู้ทำไมทุกครั้งที่อยู่ใกล้กันผมต้องหวั่นไหว  และความรู้สึกหวั่นไหวของผมมันไม่ได้รู้สึกหลังจากที่ไอ้เสือบอกชอบ แต่มันรู้สึกมานานแล้วต่างหาก  และหลังจากนั้นมันก็แค่หนักขึ้นเรื่อยๆ  เลยยังไม่ให้คำตอบอะไรทั้งนั้น  เพราะถ้าหากว่าผมตัดสินใจพลาดไป อะไรต่ออะไรก็คงไม่ดีสักเท่าไร

สุดท้ายเลยเลือกที่จะเดินเข้าห้องตัวเองมาอย่างเงียบๆ และทั้งบ้านก็ตกอยู่ในความเงียบ จะมีก็แค่เสียงความคิดของผมที่กำลังทะเลาะกันอย่างหนัก 



     …


     (หลายวันต่อมา)


  บันทึกของหมาก

     เช้านี้ของผมมันโคตรไม่สดใส เพราะสถานการณ์ตอนนี้มันน่าอึดอัดจนผมเริ่มจะอึดอัดตาม แม้จะพยายามพูดให้มันหายตึงเครียดมากแค่ไหน แต่ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม และพวกที่ทำให้สถานการณ์ตอนนี้อึดอัดก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจาก…
ไอ้เจ้าของบ้าน และเพื่อนร่วมบ้านของผม ที่ตอนนี้มันกำลังสร้างความอึกอัดเป็นอย่างมาก 
เพราะต่างคนก็พากันไม่พูดไม่จาแต่ก็ยังตักกับข้าวให้กัน จะมีก็แต่เสียงผมกับน้องกวางนี่แหละที่คอยทำให้การทานอาหารเช้าในแต่ละวันไม่เงียบจนเกินไป

     แต่ก็…อะไรของพวกมันวะ!?

     แบบนี้มันคืออะไรผมไม่เข้าใจ พอชวนมันสองคนคุยก็ไม่ยอมคุยด้วย ไม่รู้เป็นอะไรกัน
แต่จริงๆไม่ต้องบอกก็ขอเดานะ เดาตามความรู้สึกก็แล้วกัน  ผมคิดว่าพวกมันสองคนต้องมีอะไรกันสักอย่างซึ่งถ้าผมเดาไม่ผิดก็คงไม่พ้นเรื่องความรัก เพราะถ้าจะให้บอกว่าพี่น้องก็ขอเถียงขาดใจเลยว่า พี่น้องเหี้ยอะไรทำแบบนี้?


     เอ๊ะ? หรือว่าพี่น้องจะทำแบบนี้

 
     แต่ถึงจะสงสัยมากขนาดไหนผมก็ไม่ถามหรอก เพราะถ้าพวกมันสองคนไม่ใครก็ใครอยากที่จะเล่าเดี๋ยวก็เล่ามาเอง ผมจะไม่ยุ่งครับ เพราะเรื่องของตัวเองก็ยังคิดไม่ตกเหมือนกัน 

     เนื่องจากว่าล่าสุดที่ย้ายออกมาจากบ้านก็เพราะว่าทะเลาะกับแม่ แล้วท่านก็ล้มป่วย จริงๆก็รู้สึกผิด ผิดจนผมไม่กล้าที่จะไปสู้หน้า 

เหตุผลที่ทะเลาะกับแม่เพราะแม่ต้องการให้ผมแต่งงานกับลูกสาวของเพื่อนแม่ที่คบกันมานาน  ผมว่าสมัยนี้น่าจะหมดยุคของการคลุมถุงชนไปแล้วนะ และปัญหาเรื่องนี้มันเรื้อรังจนวันหนึ่งเริ่มลุกหลามใหญ่โต ผมโกรธมากที่แม่ทำให้เรื่องพวกนี้มาทำให้เราทะเลาะกัน ผมไม่รู้ปัญหาของแม่นะว่าทำไมถึงรบเร้าให้ผมแต่งงานขนาดนี้ แต่ปัญหาของผมน่ะคือ… ผมมีคนในใจแล้ว

แต่คนในใจของผมคนนั้นเขากลับไม่อยู่ตรงนี้และตอนนี้ ไม่รู้ว่าเราจะได้เจอกันอีกตอนไหน เลยทำได้แค่รอ ผมรอเขาเสมอตั้งแต่คืนนั้น จะว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมไม่อยากตามใจแม่ในเรื่องการแต่งงานก็ได้

เมื่อคิดถึงแล้วก็ปวดหนุบหนับตรงอกข้างซ้าย บวกกับบรรยากาศน่าอึดอัดในตอนนี้เลยเลือกที่จะรวบช้อนซ้อมรวมกันเอาจานเข้าไปเก็บในครัว และหนีไปอาบน้ำ เพราะมีธุระที่ต้องไปทำข้างนอก


     หนึ่งชั่วโมงต่อมา…

     อาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว กำลังจะออกไปทำธุระข้างนอกแต่สองเท้าก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเปิดประตูห้องออกมาแล้วเห็นไอ้เจ้าของบ้านมันนั่งทำหน้าเหมือนคนคิดไม่ตกอยู่ตรงโซฟาหน้าทีวี


     “มึงไม่ไปทำงานเหรอ?”  ผมเดินผ่านโซฟาที่ไอ้ปิงนั่งอยู่พร้อมกับถามมัน


     “ไม่อ่ะ วันนี้ร้านหยุด”   เจ้าตัวตอบเสียงเหนื่อยๆ หน้าตานี่อย่างกับคนไม่มีแรงจะเดิน  นี่เดี๋ยวก็เปิดเทอมแล้วมันจะมีแรงไปเรียนไหมให้ทาย


     “เออๆ งั้นกูไปละ อยู่บ้านดีๆล่ะมึง”   ที่บอกเพราะกลัวมันจะไปล้มลุกคลุกคลานที่ไหนต่างหาก ดูสภาพแล้วไม่น่ารอด
 

     “อือ…” 



     ตกเย็น…


     วันนี้ผมไม่ต้องไปทำงานที่ไหน ซึ่งก็คือการร้องเพลงตอนกลางคืนตามร้านเหล้า วงพวกผมมีกันสามคนมีผมเป็นมือกีตาร์ เราร้องเพลงแบบนี้มาตั้งแต่ปีหนึ่งแล้ว หารายได้เล็กๆน้อยๆจากสิ่งที่ตัวเองชอบ จนตอนนี้มันไม่ใช่เล็กๆน้อยๆแล้วเพราะมันเลี้ยงทั้งชีวิตของผมเลย  ในบ้านดูเงียบและมืดมากสงสัยปิงมันจะออกไปข้างนอกแล้ว ส่วนไอ้เสือกับน้องกวางก็ยังคงไม่กลับมา


     แต่…


     ทุกอย่างก็ผิดคาดเมื่อเมื่อผมเดินเข้าไปในตัวบ้านแล้วก็เจอกับไอ้ปิงที่ยังคงอยู่ที่เดิม แต่ครั้งนี้มันกำลังนอนเล่นโทรศัพท์อยู่บนโซฟาด้วยสภาพเดิมของเมื่อเช้า ขอบตาดำคล้ำโทรม แถมยังทำตัวรุงรังน้ำท่าไม่รู้อาบน้ำบ้างหรือยัง 


     “เฮ้ยยย!”  ผมตะโกนเสียงดังใส่เผื่อว่ามันจะตกใจ แต่ก็เปล่าเลย เหมือนสิ่งที่ทำไปนั้นไม่มีผลต่อฟังก์ชันเท่าไร

 
     “…”


     “ปิงโว้ยย!”   เมื่อยังเห็นมันเงียบเลยเรียกชื่อพร้อมกับเขย่าตัวไปมาเพื่อเรียกสติสะตัง ให้กลับมาหน่อย


     “รู้แล้ว จะเรียกทำไมนักหนาวะพี่!?”  โห…ไอ้ปิงโหมดหงุดหงิดครับ มันถึงขั้นกับขึ้นเสียงใส่ผมเลย  นี่กูพี่มึงนะโว้ย!


     “กูแค่จะถามว่ากินอะไรหรือยัง?”  ผมถาม


     “ยังอ่ะ” 


     “เออ…ก็แค่นั้น พอดีจะชวนไปกินบุพเฟ่ต์”   


     “ไม่อ่ะ ไม่มีเงิน”


     “แหม…ไม่มีอะไรกูเพิ่งจ่ายค่าเช่ามึงไปนะ” 


     “ก็ต้องเก็บไหมล่ะพี่”


     “งั้นกูเลี้ยง”


    “งั้นไปก็ได้”

     ถึงช่วงนี้มันจะไม่ค่อยเหมือนเดิมเท่าไร แต่ก็ยังคงหลงเหลือความเป็นไอ้ปิงครับ ที่ชอบเห็นแก่กินและของฟรีเสมอ


     “ของฟรีนี่รีบเลยนะมึง!”


     ครึ่งชั่วโมงต่อมา…


     เรามาถึงร้านบุพเฟ่ต์ด้วยเวลาประมาณสิบห้านาที ซึ่งมันอยู่ไม่ไกลจากบ้านเท่าไร ขับรถครู่เดียวก็ถึง แต่ไอ้สิบห้านาทีหลังนั้นเป็นเพราะคุณชายเขาต้องอาบน้ำแต่งตัว เนื่องจากว่าเน่ามาตั้งแต่เช้าแล้ว


     “ไอ้เสือมันยังไม่กลับเหรอวะ?”  ถ้ามันอยู่ก็ว่าจะมา แต่ดูเหมือนว่าคนตรงหน้าผมจะมีอาการเวลาที่พูดถึงไอ้เสือนะเพราะขณะที่กำลังคีบเนื้อลงหม้อต้มถึงขั้นกับชะงักมือนิดหน่อย ถ้าไม่สังเกตก็ไม่เห็นหรอก แต่เพราะความตาดีของผมมั้ง?เลยทันได้เห็น


     “มาก็เห็นดิ”  มันตอบแต่ไม่กล้ามองหน้าผม จับพิรุธได้หรอกน่าว่าพยายามทำเสียงแข็งกลบเกลื่อนปฏิกิริยาของตัวเอง


     “กูก็ถามดู” 


     “…”


     “กูถามจริงๆนะ… พวกมึงสองคนมีอะไรกันหรือเปล่า?”   ท้ายที่สุดที่ว่าไม่อยากยุ่งก็ต้องยุ่งจนได้ เพราะไม่อยากตื่นมาร่วมโต๊ะอาหารที่เต็มไปด้วยความอึดอัดของพวกมัน และไม่อยากเห็นแต่ละคนหน้าตาเหมือนคนอมทุกข์ เพราะคนข้างๆเขาจะอมทุกข์ตาม


     “บะ บ้า…จะให้มีอะไรล่ะ?”   ตอบปฏิเสธแบบไม่กล้าสบตา  ให้ตายก็ไม่เชื่อหรอกว่ะ ถ้าไม่ใช่เรื่องรักๆใคร่ๆมันก็ต้องมีสักเรื่องสิวะ แค่ประเด็นแรกมันมีแนวโน้มมากกว่าเท่านั้น


     “ถ้าคิดว่าโกหกแล้วสบายใจก็ตามใจมึง”   และสถานการณ์ตอนนี้ก็กำลังเข้าสู่ขั้นวิกฤต นั่นก็คือมีความเงียบเข้าปกคลุม จะโทษความปากหมาของตัวเองก็ได้ที่ดันอยากพูด 


     “ที่จริงมันก็มี…”   อยู่ๆจากที่ก้มหน้าก้มตาคีบเนื้อเข้าปากและเงียบมาพักหนึ่งผมก็ได้ยินเสียงปิงพูดขึ้นในที่สุด


     “ผมไว้ใจพี่ได้ใช่ไหม?”  เจ้าตัวถามต่อ


     “แน่นอน เอาเรื่องมึงไปนินทาก็ไม่ได้เงินหรอก”


     “ไอ้เชี่ยพี่หมาก!”   


     “อะไรมึงจะโวยวายทำไม?” 


     “สาระสิวะ นี่ผมจริงจังนะเว้ย!”   นี่คือเหตุผลที่โวยวายสินะ  ผมเหมือนคนไม่จริงจังตรงไหน


     “กูก็จริงจังอยู่นี่ไง กูบอกกตรงไหนว่าเล่น”  ผมเถียงกลับ อาจเป็นเพราะผมเหมือนพวกขี้เล่น ปิงมันเลยไม่อยากเชื่อใจ แต่เชื่อเถอะว่าผมไม่เอาไปพูดหรอก


     “แน่ะนะ”   ปิงถามย้ำ


     “เออ”  หมดคำจะมายืนยัน ไม่รู้จะสันหาคำไหนมาทำให้เชื่อใจดี


     “คือ…” 
     แต่ดูท่าว่ามันเชื่อใจผมนะ เพราะความลับกำลังถูกเล่าออกมาแล้ว


     “พี่เคยมีวันไนท์แสตนด์ไหมวะ?” 
     สองครั้งแล้วนะที่มีคนถามผม หนึ่งไอ้เสือ สองปิง


     “ก็เคยอยู่”  ผมตอบ พร้อมกับสามชั้นสไลด์ตรงหน้าที่ถูกผมนำไปลงหม้อต้ม


     “ล แล้วพี่เคยรักเคยชอบ หรือรู้สึกดีกับวันไนท์แสตนด์คนนั้นไหม?” 


     “ก็เคย”  ไม่ใช่เคยสิ ยังเป็นอยู่เพราะผมยังรู้สึกดีต่อเขาอยู่ไม่ว่าจะเรียกว่ารัก ว่าชอบ หรือจะอะไรก็ตามแต่ ความรู้สึกเหล่านั้นที่พูดมาผมมีมันต่อเขาทุกอย่าง มันคงเป็นบาปของพวกที่ชอบทำตัวเหลวไหลอย่างผม ที่เหมือนโดนสาปให้ตกหลุมรักวันไนท์แสตนด์ของตัวเอง และไม่มีโอกาสได้สานสัมพันธ์ต่อ เพราะเธอนั้นหายไป  เหมือนจะอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่กลับสัมผัสไม่ได้


     “แล้วพี่ทำยังไง?” 


     “ก็ไม่ทำยังไง เพราะหลังจากนั้นกูก็ไม่ได้เจอเธออีก” เหมือนมันหลอกถามผมมากกว่าที่ผมถามมันยังไงไม่รู้ “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับที่มึงจะเล่าวะ?”


     “เกี่ยว…เพราะเมื่อไม่นานมานี้ผมไปปมีวันไนท์แสตนด์กับใครคนหนึ่งมา”


     “…”


     “และผมคิดว่าผมรู้สึกดีกับเขา”


     “แต่ผมสับสน”


     “…”

 
     “และวันไนท์แสตนด์คนนั้นก็คือ…”


     “…”


     “คือ”


     “…”


     “คือไอ้เสือ…”
     นั่นไง ผมว่าแล้วแต่คิดไม่ถึงว่ามันจะถึงขั้นลึกซึ้งขนาดนี้


     “พะ พี่ รังเกียจผมไหม?”


     “กูจะรังเกียจมึงเรื่องอะไรวะ?”   


     “เรื่องที่ผมมีอะไรกับผู้ชายด้วยกัน มะ ไม่สิ ผมไม่ใช่เกย์นะ ไม่ได้ชอบผู้ชายด้วย ไม่สิผมชอบไอ้เสือ ไม่สิอาจจะชอบผู้ชาย ไม่ๆผมยังไม่รู้รสนิยมตัวเองด้วยซ้ำ ว่าที่จริงแล้วเป็นยังไง”


     “กูไม่รังเกียจมึงหรอก มึงไม่ได้เป็นฆาตกรนี่ และมึงไม่ได้ทำอะไรผิดความรักความชอบมันไม่เคยผิด รสนิยมก็คือรสนิยมของใครของมัน กูไม่มีสิทธิ์ไปยุ่งอยู่แล้ว”


     “…”


     “แล้วไง มึงชอบมันนี่มึงแน่ใจจริงๆแล้วใช่ไหม ถามใจตัวเองดูแล้วแน่นะ”


     “ผม… ไม่รู้สิ ผมรู้สึกดีกับมันแบบที่ไม่เคยรู้สึกกับผู้ชายคนไหน แบบนี้เรียกว่าชอบได้ไหม?”


     “…”  ยอมรับเถอะปิงว่ามึงชอบไอ้เสือเข้าจริงๆแล้ว


     “แล้วอีกอย่างนะ…ตอนนั้นตอนที่ไปทะเลไอ้เสือ ม มันบอกชอบผม”


     “ก็ดีสิมึงก็ชอบ เอ้ย!รู้สึกดี” “แล้วมึงตอบไปว่าไงล่ะ?”


     “ผมยังไม่ได้ให้คำตอบ”


     “ทำไมวะ?” 


     “พี่จะให้ผมตอบได้ยังไงไอ้เสือมันมีลูกแล้วนะ”


     “เออกูลืมไป”


     “เพราะมันมีลูกผมเลยไม่อยากให้คามสัมพันธ์ขอเราก้าวไกลไปมากกว่านี้” 


     “พูดอีกก็ถูกอีก”


     “เพราะถ้าเราคบกันได้นาน หรือนานมากขนาดที่น้องกวางโตพอจะรู้เรื่อง” ปิงเงียบไปครู่หนึ่ง “มันคงไม่ดีแน่”  ในประโยคสุดท้ายเสียงนั้นเบาหวิว มันเขี่ยเนื้อที่อยู่ในจานตัวเองไปมา


     “ก็ถูกของมึงน่ะนะ เว้นเสียแต่ว่าน้องกวางจะรับได้แต่มึงไม่สามารถรู้ได้ไงว่าโตขึ้นมาแล้วน้องกวางจะยอมรับได้จริงหรือเปล่า” 


     “…” 

     น่าสงสารมันนะ แต่จะทำยังไงได้ เลือกทางไหนก็เจ็บทั้งนั้น แต่ผมว่าควรแนะนำให้มันเลือกทางที่ไม่ส่งผลเสียต่ออะไรต่อมิอะไรจะดีกว่า


     “กูว่าถ้ามึงไม่รีบตัดใจหรือมึงชอบมันจริงๆแบบตัดใจไม่ได้ มึงก็ต้องรอเวลา รอเวลาที่น้องกวางจะโตพอและเขาจะรับรู้และยอมรับได้ แต่ถ้ายอมรับไม่ได้มึงก็ต้องถอยออกมานะ”


     “…”  มันไม่ตอบแต่สีหน้าดูหงอยลงอย่างเห็นได้ชัด 


    “กูรู้ว่ามึงไม่ผิดและในทีนี้ไม่มีใครผิด”


     “ผมว่า…ผมตัดใจดีกว่าจะได้ไม่เจ็บไปมากกว่านี้”


     อาจจะดีเพราะถ้าอนาคตมันไม่เป็นอย่างที่คิดไว้มันคงเจ็บมาก ถึงจะรักกันแต่ไม่สามารถรักได้เต็มอกเพราะความถูกต้องที่ควรจะเป็น บางครั้งโลกแม่งก็ตลกกับร้าย อยากรู้นักความผิดถูกบ้าบอนั่นใครเป็นคนตั้งมันขึ้นมา!



     …


    อ่านต่อข้างล่างนะคะ

ออฟไลน์ กิงก่องโก๊ะ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-2
    • เข้ามาฝอยกันได้นาจาาาาา
 เราออกจากร้านบุพเฟ่ต์กันมาได้ครู่หนึ่งตอนนี้กำลังขับรถกลับบ้าน  ปิงเงียบมาตลอดทางเลยปล่อยให้มันอยู่กับโลกของตัวเองไปสักพัก ปิงในโหมดนี้น้อยนักที่จะได้เห็นแต่พอเห็นมันเป็นแบบนี้แล้วก็อดสงสารมันไม่ได้  ถ้าเลือกได้ก็ไม่ขอให้มันเป็นแบบนี้ แต่ไม่ใช่แค่กับปิงนะ จะกับใครก็ช่างรอยยิ้มไม่ควรหายไปจากที่ที่มันเคยอยู่


     “เป็นอะไรกันวะนั่น!?”  ผมแทบจะเบรครถไม่ทัน ตอนขับรถผ่านทางสี่แยกที่จะกลับบ้าน ซึ่งตอนนี้กำลังมีรถฮุกกู้ภัย และสัญญาณไฟน้ำเงินแดงที่เปิดเป็นสัญลักษณ์จอดอยู่กลางไฟแดง ผู้คนประมาณสิบชีวิตได้ยืนมุงดูอยู่แถวนั้น
     ที่จริงมันไม่เกี่ยวกับผมนะ แต่ไม่รู้ทำไมถึงอยากลงไปดูนัก? 



     (จบบันทึกของหมาก)




     อยู่ๆไอ้พี่หมากมันก็หยุดรถลงพร้อมกับเดินลงไปยังเหตุการณ์ตรงหน้าที่เกิดขึ้นตอนแรกผมก็เหมือนว่าไม่มีอะไร แต่พอพี่มันเดินลงไปรวมกับผู้คนเหล่านั้น ก็เห็นมันพุ่งเข้าไปได้สักพักก็เดินมาหาผมด้วยสีหน้าตื่นๆ 


     “เป็นไรวะพี่?”  สีหน้าพี่มันทำเอาผมใจคอไม่ดีฉิบหายเลย!


     “มึงเดินลงไปดูเองดีกว่า” 

     ยิ่งพูดแบบนี้ยิ่งทำเอาผมใจคอไม่ดีเข้าไปใหญ่  นี่อำอะไรกูอีกล่ะเนี่ย!?   


     แต่…


     ผมว่าพี่มันไม่ได้อำแล้วล่ะ ทันทีที่เดินมาดูตามที่พี่มันบอกภาพตรงหน้าก็เล่นทำเอาผมหัวใจแทบหยุดเต้น เพราะ…
ตรงหน้าได้เกิดอุบัติเหตุทางท้องถนน อาจจะรถล้ม รถชน หรืออะไรก็ตามแต่ ผมไม่รู้หรอก แต่รถที่นอนอยู่บนพื้นถนนคันนี้คือซูโม่เอ็กซ์สีดำคันที่ผมคุ้นเคย และเจ้าของรถก็กำลังถูกหามขึ้นไปในรถ ถึงแม้จะมองได้ไม่เต็มตาเท่าไร
แต่ด้วยความรู้สึกผมมั่นใจว่าคนนั้นต้องเป็น… ไอ้เสือ


     ทะเบียนรถก็ใช่ รองเท้ามันที่แค่เห็นแค่ผ่านตาผมยังจำได้ว่าเป็นของมัน 


     นี่คือเหตุผลที่บางครั้งผมก็อยากบอกความรู้สึกให้มันได้รับรู้ให้รู้แล้วรู้รอดแบบไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น เพราะด้วยเหตุผลนี้ จากกันทั้งที่ยังตัวเป็นๆนั่นถึงจะเจ็บแค่ไหนแต่อย่างน้อยก็ยังได้รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่บนโลกเดียวกัน  แต่ถ้าในกรณีแบบนี้ผมคงทำใจได้ยากกว่าจากกันทั้งเป็นซะอีก ผมจะทำยังไงถ้าเราไม่ได้อยู่บนโลกเดียวกันแล้ว ไม่รู้หรอกนะว่ามันจะเจ็บมากเจ็บน้อยถึงขึ้นไหน แต่ตอนนี้ผมน่ะ…เจ็บมาก


     …


     พี่หมากพาผมขับรถมายังโรงพยาบาลที่เจ้าหน้าที่พาไอ้เสือมาส่ง เรานั่งรอกันสักพักใหญ่ๆพยาบาลก็ให้เราเข้าไปเยี่ยมมันได้ โชคดีที่ไม่เป็นอะไรมาก แขนหักและรอยถลอกขนาดใหญ่ตามร่างกาย นั่นทำเอาผมถอนหายใจออกมาด้วยความ       โล่งอก  เพราะมันไม่ได้เป็นอะไรมากอย่างที่คิดไว้ก่อนหน้า


     ไอ้บ้าเอ้ย!


     ถ้าเป็นหนักกว่านี้ขึ้นมาจะทำยังไงวะ!?  แล้วอีกอย่างโชคดีมากที่น้องกวางไม่ได้นั่งรถมาด้วย ดีที่น้องกวางอยู่กับน้าเล็ก       ที่รู้นี่ไม่ใช่เพราะผมถามมันหรอกนะ แต่ได้ยินที่มันคุยกับพี่หมากต่างหาก  มันจะมีก็แค่ครู่หนึ่งที่เราเผลอสบตากัน เราเป็นแบบนี้มาทั้งอาทิตย์จนถึงตอนนี้ มันอึดอัดมากนะกับอะไรที่เป็นอยู่ ไม่รู้สิมันอาจจะไม่ยาก แต่มันก็ไม่ง่ายที่จะทำให้เรื่องนี้จบลง


     เช้าต่อมา ผมมาทำงานโดยมีพี่หมากมาส่งและพี่มันบอกว่าเดี๋ยวจะเป็นคนไปรับไอ้เสือเอง และตอนเลิกงานผมก็มีพี่หมากมารับ ในบ้านเงียบมากเราต่างคนต่างก็แยกย้ายกันเข้าห้องตัวเอง ส่วนน้องกวางเห็นพี่หมากบอกว่าน้าเล็กเป็นคนดูแลให้ในช่วงนี้ แน่ล่ะเจ็บขนาดนี้ถ้ายังดั้นด้นจะดูน้องกวางเองมันก็เกินไปละ

แล้วไอ้ที่มันโดนรถชนมาแบบนี้ก็เพราะคู่กรณีของมันดันฝ่าไฟแดงมาเพราะที่จริงไฟเหลืองก็ต้องหยุดรถแล้วแต่เขาดันขับฝ่ามาคิดว่าจะทันแต่ก็ไม่  แต่ก็ยังดีอีกอย่างที่คู่กรณีของมันไม่ได้หนี ค่ารักษาทั้งหมดเขาเลยรับผิดชอบ

ที่รู้มาเนี่ยก็เพระพี่หมากมันเล่าให้ฟังทั้งนั้นผมกับมันยังไม่ได้คุยกันเลยสักคำ ถ้าจะคุยก็กลัวมันจะถามหาคำตอบจากผม  ยอมรับว่าชอบ แบบไม่มีข้ออ้างอะไรแล้ว  เพราะรู้สึกจะเป็นจะตายก็เนื่องจากเหตุการณ์เมื่อวานนี้เอง แต่จะทำยังไงได้ในเมื่อสิ่งที่จะทำลงไปมันอาจจะส่งผลดีหรือไม่ดีก็ได้สำหรับน้องกวาง เพราะฉะนั้นการตัดใจจากไอ้เสือเลยเป็นสิ่งที่ผมจะเลือกทำ ถึงมันจะตัดยาก แต่ผมว่าผมตัดได้…


     หรืออาจจะไม่ได้… ถ้าได้คืออาจจะอยู่กับความเจ็บสักระยะแต่ถ้าไม่ก็แค่อยู่กับความเจ็บตลอดไป

 

     เป็นอีกคืนที่รู้สึกว่าตัวเองจะนอนไม่หลับ เพราะรู้สึกว่าอึดอัดกับอะไรที่เป็นอยู่อย่างมาก จะโทรหาไอ้ฟาร์มก็ไม่กล้า เพราะรู้สึกเหมือนกับมันจะโกรธอะไรผมสักอย่าง เหตุผลมันไม่แน่ชัดหรอก แต่เป็นเพื่อนกันมานานนะ ทำไมจะไม่รู้ว่าโดนโกรธ จริงอยู่ที่เคยพูดกับพี่หมากไปแล้ว แต่มันก็ยังไม่หายอึดอัดอยู่ดี ผมควรทำยังไงเหรอ?มันยากมากเลยนะกับการที่ต้องอยู่ในสภาวะสับสน งุ่นง่าน อึดอัด หรือจะอะไรก็ตามแต่นั่นแหละ  เรื่องพี่เพลงยังไม่ทำให้ผมเป็นหนักได้ขนาดนี้เลย


     โว้ยยย! ไอ้บ้าเอ้ย! ไม่น่าเลยกูไม่น่ารู้สึกเลยกู  ไม่น่าให้มันมาเช่าบ้านแต่แรก ถ้าวันนั้นไม่ไปขอโทษไม่ไปง้อให้มันกลับมาตอนนี้คงไม่ต้องมาอยู่ในสภาพแบบนี้เลย  หรือไม่ก็ถ้าวันนั้นมันไม่บอกชอบผมก็คงไม่เป็นแบบนี้ ตอนนั้นมันแค่คลุมเครือยังไม่รู้ใจตัวเอง ตอนนี้เป็นยังไง พอรู้ใจตัวเองแล้วแต่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้มันเจ็บขนาดไหนล่ะ


โทรศัพท์หยิบมาเล่นแล้วก็ยังไม่เลิกคิด และถ้านอนอยู่เฉยๆบนที่นอนทั้งที่ไม่ยอมหลับตอนนี้ผมว่าผมต้องเป็นบ้าในอีกไม่ช้า และก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรเหมือนกันหลังจากที่ออกมาจากห้อง ผมทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาเปิดโทรทัศน์ดู กดรีโมทเลื่อนช่องดูแล้วดูอีกก็ยังหาช่องที่อยากดูไม่ได้  ว่าจะชวนไอ้พี่หมากไปหาอะไรกินตรงสี่แยกหน้าบ้านก็ดูเหมือนพี่มันจะนอนแล้ว ตอนไปรับเห็นบ่นว่าเหนื่อยๆ 


     และสุดท้ายจะทำยังไงได้นอกจากไปเอง รถก็ขับไม่เป็น ไอ้บ้าเอ้ย!   


     จริงๆตอนนี้มันก็น่ากลัวนะ จะออกไปดีไหมวะ พอมองออกไปข้างนอกบ้านแล้วรู้สึกน่ากลัวแปลกๆ ทั้งที่จริงเดินไปไม่เท่าไรก็ถึงสี่แยกแล้วผู้คนก็จะเยอะหน่อย คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง…?


     “จะไปไหน?” แต่ยังไม่ทันได้ก้าวพ้นประตูบ้าน เสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้น  หันไปเห็นก็เจอคนแขนเจ็บที่เดินออกมานอกห้องด้วยสภาพของคนเพิ่งตื่นนอน ผมเผ้ายุ่งเหยิงหน้าตานี้งัวเงียจนอยากจะเดินเข้าไปตบกะโลก แล้วถามว่าใครสั่งใครสอนให้ทำหน้าแบบนี้ 

     หัวใจกูไม่ปกติเลยไอ้สัด!

     เฮ้ย! ไม่ได้สิวะ จะมาไม่ปกติไม่ได้นะโว้ยยยย  อุตส่าห์คิดแล้วว่าต้องตัดใจ


     “ไปข้างนอก เอาอะไรไหม?”  ที่ถามเพราะเห็นว่าเจ็บดูแลตัวเองไม่ได้เฉยๆหรอกน่า


     “เอา” มันตอบพร้อมกับเดินกะเผลกๆมันหาผม จำได้ว่ามันมีแผลถลอกรอยใหญ่ตรงต้นขาด้วยนะ แผลมันคงจะตึง แต่มันก็มันก็ยังเดินได้เกือบปกตินะ ไม่ถึงกับขยับขาไม่ได้


     “ตังมา”  ผมแบมือขอเงินมัน แต่สิ่งที่ได้คือฝ่ามือข้างที่แขนไม่ได้ใส่เฝือกของมันวางลงทาบกับมือผม 

     มัน… ทำไมอุ่นแบบนี้วะ

    ไม่ได้! จะมารู้สึกอุ่นบ้าอุ่นบออะไร!
 

     “กูจะเอาเงิน ไม่ได้เอาขาหน้า” 


     “จะไปด้วย กลัวซื้อมาไม่ถูกใจ” 

     เป็นไปไม่ได้หรอก เพราะกูรู้ว่ามึงชอบหรือไม่ชอบอะไร
     แล้วจำเป็นต้องจำได้ด้วยเหรอวะ ลืมเดี๋ยวนี้เลยไอ้ปิง!


     “จะไปก็เดินดีๆไม่ต้องจับมือเว้ย!”  ว่าแล้วก็สะบัดมือมันทิ้ง ถึงแม้จะไม่อยากปล่อยก็เถอะ  มีโอกาสจับมือมันบ่อยอย่างนี้ที่ไหนล่ะ


ตอนแรกคิดว่าน่าจะอึดอัดใจมากกว่านี้นะเวลาเจอกัน แต่ทำไมตอนนี้ถึงรู้สึกดีแบบนี้ก็ไม่รู้… หรืออาจจะเพราะผมยอมรับกับตัวเองมากขึ้น (มั้ง?)


     “ก็เจ็บขา เดินไม่ถนัด” 
     ลองคิดสภาพคนหน้านิ่งแล้วพูดอะไรทำนองนี้นะครับ  หมั่นไส้จนอยากจะตีแผลให้มันเจ็บยิ่งว่าเดิม


     “งั้นก็ไม่ต้องไป”


     “ไป รอด้วย”


     “งั้นก็เร็วๆ”  พอเห็นว่ามันยังลวดลายผมเลยเร่ง แต่จริงๆก็พอรู้ว่ามันเจ็บเลยอาจจะเคลื่อนย้ายตัวไม่สะดวก เห็นมันจะก้มหยิบรองเท้าที่กะจัดกระจายไปอยู่ทางอื่นด้วยความยากลำบาก สงสัยว่าแผลถลอกของมันจะตึง ซึ่งก็ไม่รู้หรอกนะว่าเป็นตรงไหหนบ้าง ทำไมถึงได้เคลื่อนตัวยากขนาดนี้

ด้วยความมีน้ำใจของเจ้าของบ้านและผู้เช่าเลยใจดีนิดหน่อยด้วยการก้มไปหยิบรองเท้าให้มันแล้วเอาไปวางไว้ให้ที่เท้าตรงหน้า ถ้ายังใส่ไม่ได้ก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว ขณะที่ใส่รองเท้ามันก็เกาะไหล่ผมไว้ประหนึ่งว่ากลัวล้ม ขนาดนี้คงไม่ล้มแล้วมั้ง เห็นเงียบๆไม่คิดนะว่าจะเป็นพวกมือไม้เร็ว!

เอะอะนี่จำเป็นต้องโดนตัวกูตลอด!


     “เห็นว่าเจ็บเฉยๆหรอกนะ ถ้าไม่เจ็บนี่กูตีแขนให้หักอีกข้างเลย”   ขณะที่เดินออกมาก็อดบ่นไม่ได้ เพราะเดี๋ยวมันจะได้ใจคิดว่าผมจะชอบอะไรแบบนี้


     “ยอมกูหน่อยก็ได้ นี่เจ็บอยู่นะ”  ว่าแล้วมันก็เปลี่ยนจากการเกาะไหล่ผมเป็นการกอดคอแทนจนทำให้ช่องว่างระหว่างเราเหลือน้อยเต็มที


     “อย่าเยอะ!”  กำลังจะจับแขนข้างที่ไม่ได้ใส่เฝือกของมันออกจากคอ แต่ก็ต้องหยุดเพราะ…


     “ขอเถอะ แค่วันนี้เอง…”


     “…” ผมเงียบ


     “…” และมันก็เงียบ


     “ถือว่าอนุญาตแล้วนะ”  คนเจ็บพูด  มือผมที่จับแขนมันอยู่เลยปล่อยลงข้างกายแทน 



     เพราะเจ็บหรอกเว้ย!… เลยยอม



  TBC...





สวัสดีปีใหม่ค่ะ ขอถือโอกาสสวัสดีปีใหม่กับคนอ่านเลยนะคะ เหมือนเดิมค่ะ คิดถึงคนอ่านมากนะคะ ปีใหม่เเล้ว อีกไม่นานนิยายเรื่องนี้้ก็จะครบหนึ่งปีแล้ว ฮ่าๆๆๆๆ  เขียนนานอะไรขนาดนี้  ขอให้คนอ่านมีวามสุขมากๆนะคะ  เอาพี่เสือน้องปิงมเป็นของขวัญส่งท้ายปี  ขอบคุณที่รอกันนะคะ ขอบคุณที่อ่านค่ะ 

รักนะคะ คิดถึสัมเหมออออออออออ    / กอด


ปล.ปิงก็ยังคงเป็นปิงนะคะ เศร้าขนาดไหน ก็บ้าเหมือนเดิม ฮ่าาาๆๆๆ /อย่าว่าน้อง!

ออฟไลน์ oki

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 300
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
 :a5: เพิ่งเห็นว่ามาอัพตอนใหม่แล้วว  สวัสดีปีใหม่แบบสายๆกับคนเขียนเด้อ
ชอบความตลกในความเศร้าของน้องปิงเช่นเดิม

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
สวัสดีปีใหม่ ให้ไรท์สุขสันต์.....♪♪♪♪♪

คิดถึงเสือ ปิง  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
ปิง รู้ใจตัวเองแล้ว และยอมรับได้แล้วว่าตัวเองก็ชอบเสือ
ต่างฝ่ายต่างไม่มีใคร อย่ากั๊กตัวเองเลย
ยอมให้ตัวเองมีความสุขเถอะ
ในเมื่อรู้สึกดีๆต่อกัน  :mew1: :mew1: :mew1:

เอาใจช่วยหมาก  :katai2-1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ กิงก่องโก๊ะ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-2
    • เข้ามาฝอยกันได้นาจาาาาา
ตอนที่ยี่สิบ: เสือคะ…




     เมื่อคืนมีความสุขมากจะพูดแบบนี้ได้เต็มปากก็ได้ แต่ก็อายตัวเองไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม มันเป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งอาทิตย์ที่เราใกล้กัน ได้คุยกันมากขนาดนี้ จริงอยู่ที่ผมยอมรับกับตัวเองว่าชอบไอ้เสือ แต่ผมไม่ได้ยอมรับกับมันว่ารู้สึกยังไง มันคงยังไม่รู้ และผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะรู้สึกได้หรือเปล่าว่าผมคิดยังไง

วันนี้เป็นวันแรกของภาคเรียนที่สอง พวกไอ้โก้ไอ้เจมส์ก็เจอกันครั้งแรกหลังกลับมาจากทะเล จะมีก็แต่ไอ้ฟาร์มที่ผมยังไม่ได้เจอ และไม่รู้ว่ามันเป็นบ้าอะไรถึงไม่ยอมคุยกับผม โกรธอะไรก็ไม่ยอมพูด ผมยอมง้อคนก็จริงแต่ในเมื่อเรื่องที่ผมไม่ผิดให้ตายก็ไม่ง้อ ถึงจะเหงาๆบ้างก็เถอะเวลาที่ไม่ได้คุยกับมัน 

เลิกเรียนผมกลับจากมหาลัยและตรงไปยังที่ทำงาน และเลิกงานตามเวลาเดิมและคนที่มารับก็คือไอ้พี่หมาก เพราะตอนนี้ไอ้เสือมันยังขับรถเองไม่ได้ ถึงมันขับได้ก็ไม่ให้ขับ
จะขับรถแข็งขนาดไหนก็ไม่ไว้ใจ เพราะถ้าเราไม่ชนเขา เขาก็ชนเรา อันตรายทุกทาง ทางที่ดีรอให้ร่างกายหายเป็นปกติก่อนแล้วค่อยขับจะดีกว่า และคงต้องหยุดขับรถไปอีกนานเพราะกว่าจะได้เอาเฝือกออกก็คงเป็นเดือน 

มันคงต้องคิดถึงน้องกวางแน่ๆ ไม่ใช่แค่มัน ผมกับพี่หมากก็คิดถึง บ้านมันเงียบมากเพราะจากที่เคยมีเด็กน้อยตอนนี้กลับไม่มี
ผมกลับมาจากที่ทำงานก็ถึงบ้านประมาณเกือบตีหนึ่ง พี่หมากเข้าห้องของมันไปแล้วหลังจากที่นั่งกินข้าวด้วยกันครู่หนึ่ง ตอนนี้เหลือไอ้เสือที่ไม่รู้ว่ามันกินอะไรไปแล้วหรือยัง ไม่ใช่ว่ากำลังนั่งทำงานงกๆอยู่หรอกนะ ถึงมันจะเจ็บ ก็แอบเห็นว่าเอางานมาทำต่ออีกด้วย แม่งจะขยันไปไหนวะ!?



     ก๊อกๆ! 


     ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วกำลังจะเอาหนังสือมาอ่านนิดหน่อย เพราะสงสัยว่าพรุ่งนี้งานตั่งต่างมันจะไหลลงมาทับหัวบี้แน่  ผมไม่ได้ยินเสียงตอบรับเลยถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไปซะเลย 
กำลังตัดใจอยู่จริงๆ แต่เพราะกลัวว่ายังไม่ได้กินข้าวเฉยๆหรอกเลยเข้ามาถาม เพราะมีข้าวมันไก่ที่ซื้อมาเกินอยู่หนึ่งห่อแล้วไม่มีใครกิน

ถึงกำลังอยู่ในโหมดตัดใจก็ใช่ว่าเราจะห่วงเขาไม่ได้ หนำซ้ำมันยังเจ็บอีก สาบานได้ว่ากูไม่ได้ออยากห่วงมึงเล้ยยยย! ไอ้เสือ
เมื่อประตูเปิดออกภาพตรงหน้าที่ปรากฏคือคนแขนหักที่พยายามใช้มือเดียวพิมพ์งาน  ไอ้เสือเหลือบตาขึ้นมามองผมนิดหน่อย จากนั้นก็ก้มหน้าพิมพ์งานต่อ “มีไร?”   เขาถาม


     “กินข้าวกินยาหรือยัง”  ผมยืนพิงกรอบประตูที่ภายในห้องเปิดแอร์เย็นจัด จนกางเกงบอลตัวเก่าของผมก็ช่วยบดบังความเย็นไม่ค่อยจะได้  คือมึงจะร้อนอะไรขนาดนี้วะ


     “เอ้อ!…ลืมไปเลย” ถึงเสียงจะดูตกใจขนาดไหน แต่ก็ยังคงพิมพ์งานหน้านิ่งๆไม่ได้รู้สึกตกใจเหมือนน้ำเสียงเลย   “ตอนนี้กี่โมงแล้ว” 


     “ตีหนึ่งกว่าแล้ว!” 
 
     ห่าเอ้ย! คนบ้าอะไรลืมกินข้าวจนถึงตอนนี้ คือแบบ…มึงไม่รู้สึกว่าท้องมันว่างจนหิวบ้างเลยหรือไง


     “ทำไม จะทำอะไรให้กิน”   


     “มีข้าวมันไก่เหลืออยู่หนึ่งห่อจะกินไหม?” 


     “ถ้าเอาใส่จานมาให้ก็กิน”


     “เออ! ก็จะเอามาให้นี่ไงเลยถาม”   ก่อนจะรู้สึกอยากตีไอ้เสือมากกว่านี้เลยหมุนตัวออกมาจากหน้าห้องมันด้วยความรวดเร็ว ไม่ได้หงุดหงิดมันมากขนาดนั้นหรอก แค่แกล้งทำไปเฉยๆ คือมันต้องคีพลุคไงครับหัวหน้า ถ้าแสดงออกมาว่าเป็นห่วงเดี๋ยวมันจะได้ใจ เพราะผมบอกแล้วไงว่าจะตัดใจ!


     ไม่นานข้าวมันไก่ก็ถูกแกะใส่จานเรียบร้อยพร้อมกับราดน้ำจิ้มใส่ในข้าวให้เสร็จสรรพ ผมรู้ครับมันชอบกินแบบนี้


     “ข้าว”  ผมวางจานข้าวลงบนโต๊ะญี่ปุ่นที่มันใช้ตั้งคอม “แล้วยาอยู่ไหน”


     “อยู่บนหัวเตียง” 

      ผมเดินไปหยิบยาตรงตำแน่งที่มันว่า จากนั้นก็ดูว่าต้องทานตัวไหนอะไรยังไงบ้าง จัดทุกอย่างให้พร้อมและตบท้ายด้วยการเอาน้ำดื่มขวดเล็กมาวางไว้ให้ข้างกาย คือทำให้ถึงขนาดนี้แล้วไอ้เสือมันก็ยังไม่แม้แต่จะหันมาสนใจข้าวตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย มัวแต่พิมพ์งานจนผมเริ่มรำคาญ เข้าใจครับว่าเร่งแต่สละเวลามากกินข้าวสักห้านาทีมันจะตายไหมวะ!  ยาก็ยังไม่กินแล้วชาติไหนมึงจะหาย! 


     “กินข้าวก่อนแล้วค่อยทำก็ได้มั้ง?”  ตอนแรกคิดว่าจะเดินออกไปแบบไม่สน แต่คือมันอดไม่ได้ อยากจะตบให้กะโหลกร้าวซะจริง


     “เดี๋ยวใกล้เสร็จแล้ว”


     โอเค…ใกล้เสร็จ


     ผมยืนรอดู อยากรู้ว่าไอ้คำว่าใกล้เสร็จของมันน่ะนานแค่ไหน แต่จนแล้วจนรอดตอนนี้สิบนาทีเข้าไปแล้วมันก็ไม่ยอมมากินข้าวสักที และขณะที่ยืนดูมันก็ยังทำเหมือนทองไม่รู้ร้อน ไม่รู้สึกตัวใดๆทั้งสิ้นจนเริ่มหงุดหงิดเข้าไปทุกที ง่วงก็ง่วง ให้ตายเถอะไอ้ฝัด!


     สุดท้าย…


     เป็นตัวผมเองที่ทนไม่ไหว  เดินไปทิ้งตัวนั่งลงข้างๆมันพร้อมกับถือจานข้าวมันไก่มาไว้ในมือ “อ้าปาก”  และตักข้าวจะป้อนเข้าปากคนเจ็บ ที่มัวแต่บ้างานจนไม่ยอมกินข้าว

ช้อนที่จ่ออยู่ใกล้กับริมฝีปากของไอ้เสือมาก จนเจ้าตัวถึงกับเหลือบตามองผมนิดหน่อย เหมือนจะถามอะไรแต่ก็ไม่และก็ยอมเปิดปากทานข้าวที่ผมป้อน จากคำแรกจนคำที่สองมาเรื่อยๆระหว่างนั้นเราเงียบมาก จนมีแค่เสียงเครื่องปรับอากาศและแป้นพิมพ์จากโน๊ตบุ๊คเท่านั้น ข้าวในจานตอนนี้เริ่มหมดและผมก็เริ่มง่วงรู้สึกเหมือนเปลือกตากำลังจะปิดอยู่รอมร่อ   


     “กินยา”  แต่ยังคงมีสติอยู่   พอข้าวหมดจานเลยยื่นยาที่เตรียมไว้ให้มัน เสร็จแล้วจะได้เข้าไปนอนสักที เป็นไงหนังสือก็ยังไม่ได้อ่าน เหลือบมองดูนาฬิกาก็เกือบตีสองแล้ว   
ไอ้เสือรับยาไปกินอย่างว่าง่าย “ง่วงก็นอน”   สงสัยมันเห็นว่าผมอาปากหาวจนแทบจะกินหัวคนได้เลยพูดขึ้นหลังจากที่ทานยาเสร็จ


     “ก็กำลังจะไปนอนนี่ไง”  ผมกำลังจะลุกขึ้นแต่ก็ต้องหยุดชะงัก เพราะๆไอ้เสือใช้มือข้างที่กำลังพิมพ์งานมารั้งแขนผมไว้


     “นอนนี่แหละ”  พูดเสียงเรียบ ก่อนจะออกแรงดึงให้ผมนั่งลงที่เดิม


     “ไม่เอา”


     “…”  มันไม่ตอบแต่หันมามองหนาผมนิ่งๆ มือก็ยังไม่ปล่อยจากแขนผม “ถ้าไม่นอนกูก็จะจับมึงไว้อย่างนี้แหละ”


     “มึงลองคิดดูนะ มึงกับกูใครได้เปรียบ”  แหม…คิดจะออกคำสั่งกับกู  ง่ายไปหรือเปล่า!?


     “อย่าคิดว่ามีมือเดียวแล้วจะทำอะไรไม่ได้”  ไอ้เสือพูดเสียงเรียบ “แต่ก็ดี ถ้าเจ็บกว่าเดิม กูจะได้มีคนดูแล” 

     โธ่… ไอ้ฟายยยยยย!! แค่นี้กูยังไม่ดูแลมึงหรือไง!?


     “แล้วที่กูทำอยู่นี่ไม่ได้กำลังดูแลหรือไง?”  อ้าวฉิบหายแล้ว มันรู้หมด แอบเห็นนะว่าครู่หนึ่งมันอมยิ้ม


      ร้ายกาจ!


     “หมายถึงดูและตลอดชีวิต เพราะถ้าแขนกูใช้การอีกไม่ได้มึงต้องดูแลกูตลอดชีวิต” 


     แค่กๆ! ไอ้ฝัด! คำพูดมึงนี่ทำกูแทบสำลักน้ำลายตัวเอง


     “กูรู้มึงไม่กล้าทำหรอก มึงมันขี้สงสาร”  แหม… ยังมีหน้ามารู้ใจกูอีกนะ! 


     “งั้นก็ปล่อย จะได้นอนสักที!” 

     เออ! กูมันคนขี้สงสารที่ชอบมึงไง! 

     ไว้เดี๋ยวรอมันหลับแล้วค่อยหนีออกไปก็ได้

     มันยอมปล่อยแต่โดยดี ผมเลยกระโดดขึ้นเตียง และเลือกที่จะนอนฝั่งติดกำแพง นอนเคลิ้มไปมาได้สักสิบนาทีก็รู้สึกเหมือนมีคนขึ้นมาบนที่นอน ถึงกำลังจะเคลิ้มหลับแต่ก็พอรู้ว่ามันเป็นใคร แล้วไม่นานความมืดก็เริ่มโรยตัวเข้าครอบครองภายในห้อง ผ้าที่ใช้ห่มโดนขยับไปมาไอ้เสือคงเอาไปห่มด้วย เพราะในห้องมีผ้าแค่ผืนเดียว


     ช่างมันเถอะตอนนี้ไม่ได้สนอะไรแล้ว เนื่องจากง่วงมาก… แต่ก่อนจะหลับสนิทจริงๆ รู้สึกว่าบางอย่างที่อบอุ่นกำลังคืบคลานเข้ามาเกาะกุมมือผม 


     “ขอจับมือได้ไหม?”  ไอ้เสือถามผมหลังจากนั้น

     จริงๆจับขนาดนี้แล้วไม่ต้องขอก็ได้หรอกไอ้ห่า! 

     ไม่สิ! จริงๆผมไม่น่ายอมนอนในห้องมันเลย!




     หกอาทิตย์ต่อมา…

     จากวันกลายเป็นอาทิตย์และหลายอาทิตย์ก็กลายเป็นเดือน สาบานได้ว่าชีวิตผมวนลูปอยู่กับไอ้เสือในทุกๆวันเราตัวติดกันแทบจะตลอดเวลาที่เจอหน้า เว้นก็แต่ตอนไปเรียน และบางอาทิตย์ผมก็ต้องช่วยมันดูน้องกวาง เราค้างบ้านน้าเล็กบ้างในบางครั้ง 
และเชื่อเถอะว่าผมกำลังตัดใจ แต่พอเป็นอย่างนี้แล้วรู้สึกได้ว่ามันน่าจะใช้ความพยายามมากกว่าเดิมมาก   


     โธ่เว้ย!


     โชคดีหน่อยที่วันนี้มันต้องไปเอาเฝือกออกแล้วเลยคิดว่าไม่ต้องดูแลอะไรอีก วันนี้เป็นวันเสาร์ ผมกลับมาจากที่ทำงานด้วยสภาพที่อ่อนล้าเต็มที ในตลอดหลายอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ผมต้องทั้งเรียน ทำงาน พ่วงด้วยการดูแลไอ้เสืออีก คิดว่าผมจะมีสภาพเหมือนศพขนาดไหน  เดินผ่านกระจกทียังแทบไม่กล้ามอง

มีอีกเรื่องนะ ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ผมยังไม่ได้คุยกับไอ้ฟาร์มเลย จำได้ว่าเดินสวนกับมันที่แคนทีน ไอ้ฟาร์มมันเดินมากับเพื่อน มันเห็นผมแต่เราไม่ได้ทักกัน  ไอ้เชี่ยฟาร์มมันทำผมหงุดหงิดมาก อยากจะเดินเข้าไปถามให้รู้แล้วรู้รอด แต่ไม่ทำหรอก เพราะถ้าผมถามแสดงว่าผมแพ้ แพ้ให้กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ที่ผมไม่ได้ทำผิด

และวันนี้คนที่มารับจากที่ทำงานก็คือไอ้พี่หมาก ช่วงนี้นี่ว่างรับผมเหลือเกิน มันเลยทำให้ผมมีเวลาคุยกับพี่มันมากขึ้นนะ   พอเรากลับมาถึงบ้านต่างคนก็ต่างแยกย้ายและไอ้เสือผมก็ยังไม่เห็นหน้าเลยตลอดทั้งวันนี้ คงไปไหนไม่ได้ไกลหรอกนอกจากบ้านน้าเล็ก และวันนี้มันคงไม่กลับ

หลายอาทิตย์ที่ผ่านมานี้อยู่กับมันตลอดจนรู้สึกเหมือนหลายเดือน   มันก็รู้สึกดีนะ แต่รู้สึกผิดมากกว่า จะสุขก็สุขไม่สุด ทั้งกับตัวเองและน้องกวาง  หวังว่ามันจะไม่มีอะไรแบบนี้อีกนะ… แต่มันจะได้เหรอวะ อยู่บ้านเดียวกันเจอหน้ากันทุกวัน ผมจะทำได้จริงๆเหรอ…?



     วันต่อมา…


     วันนี้ตื่นค่อนข้างสายเพราะเป็นวันอาทิตย์ ไม่ต้องไปทำงานเพราะร้านหยุดแต่วันนี้พวกไอ้โก้ ไอ้เจมส์ชวนไปร้านกาแฟไปอ่านหนังสือ คือ…มึงมาอ่านที่บ้านกูก็ได้ไหม  จะเหาะไปทำไมที่ร้านกาแฟ เปลืองเงินกูไหมล่ะไอ้ฝัด!  แต่ก็นั่นแหละถึงจะแอบบ่นพวกมันในใจผมก็ต้องไปอยู่ดี คือพวกมันเรียนเก่งกว่าผมนิดหน่อยเลยจะไปอาศัยให้ติวให้ด้วย  ไม่งั้นอย่าหวังว่าคนขี้เกียจแบบผมจะไป


ผมอาบน้ำแต่งตัวว่าจะออกไปหาอะไรกินสักหน่อยเพราะกว่าจะไปหาเพื่อนก็ตอนเย็นๆ ตอนนี้ก็ยังไม่เที่ยงเลยหาอะไรลองท้องก่อนน่าจะดีกว่า และว่าสงสัยพี่หมากยังไม่ตื่น เห็นว่ารถมอเตอร์ไซค์ยังจอดอยู่หน้าบ้าน ส่วนไอ้เสือนี่คงยังไม่กลับเพราะไม่เห็นซูโม่เอ็กซ์จอดอยู่ที่ของมัน 


     แต่… อยู่ๆเสียงรถคุ้นหูก็ดังขึ้น ไม่มีคันไหนหรอกนอกจากไอ้ซูโม่เอ็กซ์ที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้ยินมานานเป็นเดือน ไม่นานเจ้าของรถก็โผล่มาพร้อมกับลูกสาวเขา “อ้าว! ไม่ได้ไปทำงานเหรอ?”  คงเห็นว่าผมยังอยู่บ้านทั้งที่น่าจะไปทำงานแล้ว


     “ไม่”  ผมไม่ได้ตอบอะไรมาก และกำลังจะเดินออกไปข้างนอก เพื่อหาอะไรกิน


     “กินข้าวยัง น้าเล็กทำจับฉ่ายมาฝาก” 
 
     และสุดท้ายเลยพับเก็บโครงการที่ว่าจะออกไปหาอะไรกิน เปลี่ยนมาเป็นการกินจับฉ่ายที่น้าเล็กเอามาฝาก


     “ไอ้หมากล่ะ?” มันเดินเข้ามาหาผมพร้อมกับส่งน้องกวางให้ผมอุ้ม “ฝากก่อน”   


     เดี๋ยวนะ…?

     และมันก็หายไปในห้องพร้อมกับสัมภาระของน้องกวาง มันคงยังยกของหนักไม่ได้เท่าไร คือแค่ใช้งานแขนได้นิดหน่อยเพราะเมื่อครู่เห็นอุ้มน้องกวางด้วยแขนข้างเดียวนะ 


     “ว่าไงอ้วน” 


     “จะ จ้า…” ดูว่าเด็กอ้วนจะอารมณ์ดี เพราะพอหยอกแล้วเธอมีปฏิกิริยาตอบโต้


     “ไปปลุกอาหมากกัน”    ผมพาเด็กอ้วนเดินเข้ามาในห้องของพี่หมาก โชคดีที่ไม่ได้ล็อคเลยถือวิสาสะเดินเข้าไป  ผมปล่อยให้น้องกวางปลุกไอ้พี่หมากด้วยการให้เธอขึ้นไปเล่นบนเตียงพี่มัน จากนั้นไม่ถึงห้านาทีคนบนเตียงก็ตื่นขึ้นมา


     พวกเราใช้เวลาทานข้าวด้วยกันหลังจากนั้น เหมือนมันเป็นความเคยชินไปแล้วนะ ถ้าเราทานข้าวกันที่บ้านแล้วอยู่กันครบก็ต้องมานั่งทานด้วยกัน ขนาดตอนนั้นที่อยู่ในสถานการณ์ค่อนข้างอึดอัดระหว่างผมกับไอ้เสือ เรายังต้องมานั่งทานข้าวด้วยกันเลย 
เสร็จแล้วหลังจากนั้นเราก็แยกย้าย พี่หมากมันกลับไปนอนต่อ ส่วนไอ้เสือก็ไปนั่งทำงานอะไรของมันต่อก็ไม่รู้ และมันจะมีใครดูน้องกวางถ้าไม่ใช่ผม

พาน้องกวางเล่นอยู่ตรงกลางบ้าน  ตรงส่วนของพื้นที่นั่งเล่น นั่งไปนั่งมาสักพักเป็นผมเองที่เริ่มง่วงทั้งที่นอนเพิ่งตื่น อาจเพราะเพิ่งกินข้าวเสร็จหนังตามันเลยเริ่มหย่อน


     “จะ…จ้า”  “ป ปิ ปิน” หืม… เหมือนน้องกวางจะเรียกชื่อผมเลย 

     น้องกวางส่งเสียงจ้อ พร้อมกับพยายามปีนขึ้นมาเล่นบนตัวผม ที่กำลังนอนเอกเขนกอยู่บนพื้น “อะไรอ้วน”   


     “จ้ะ จ้า”   น้องกวางพยายามให้ผมเล่นกับเธอ เอาของเล่นที่เกลื่อนกลาดบนเบาะนอนมาให้ผม แต่ขอโทษนะอ้วนตอนนี้ไม่มีอารมณ์เล่นเลย ง่วงมาก…


     ถึงน้องกวางจะกวนมากขนาดไหน ยังไงก็ไม่มีผลต่อฟังก์ชันเพราะมันง่วงมากจริงๆ




     (บันทึกของเสือ)


     งานที่ทำค้างไว้ยังไม่เสร็จหนังสือก็ต้องอ่าน เทอมหน้าก็ต้องเตรียมหาที่ฝึกงาน อ่า…แค่มองอนาคตก็เหนื่อยแล้ว  ผมพักสายตาจากคอมตรงหน้าและออกจากห้องมาข้างนอก ดูน้องกวางว่าตอนนี้เป็นยังไงบ้าง และภาพตรงหน้าที่ปรากฏคือน้องกวางกำลังนั่งเล่นข้างๆปิง ซึ่งตอนนี้หลับไปแล้ว มันก็เป็นอย่างนี้แหละกินอิ่มหน่อยไม่ได้ชอบหลับตลอด ถ้าอาหารไม่ย่อยขึ้นมาจะหัวเราะให้


ผมเอาผ้าผืนบางมาคลุมตัวให้คนหลับ ผมรู้ว่ามันขี้หนาว และถ้านอนก็ต้องมีผ้าสักผืนมาห่ม ผมเอาน้องกวางไปนั่งเล่นต่อในห้อง พร้อมกับนั่งทำงานไปด้วยจนสักพักเธอก็ผล็อยหลับไป ผมอุ้มน้องกวางไปนอนบนเปลที่ตั้งอยู่ข้างเตียง

จากนั้นเลยออกไปดูคนข้างนอกว่ามันตื่นหรือยัง และก็ยังเหมือนเดิม ไอ้ปิงยังนอนอยู่ที่เดิมจนกลัวว่ามันจะปวดหลังเลยคิดว่าจะปลุกให้มันเข้าไปนอนในห้องดีๆ


      “เฮ้ยย”   ผมแกล้งดึงผ้าห่มผืนบางที่มันนอนกอดอยู่ออกมา  ปิงส่งเสียงพึมพำออกมาด้วยความหงุดหงิด “ไปนอนในห้องดีๆ”  พร้อมกับดึงแขนยาวๆของมันให้ลุกขึ้นตาม ถึงตัวจะมาตามแรงที่ผมดึงแต่เปลือกตาก็ยังไม่เปิดขึ้น 
มันจะรู้ตัวไหมครับว่าตอนนี้มันแม่งโคตรน่ารักเลย!


     “ฮือ…อย่ากวนกู”  ครั้งนี้เจ้าตัวพูดพร้อมกับปรือตาขึ้นมาเล็กน้อย 


     “ไปนอนดีๆ เดี๋ยวไอ้หมากมันเดินเหยียบหัวมึงหรอก”  และครั้งนี้ผมดึงแขนให้มันลุกขึ้นตามได้สำเร็จ ก่อนจะล็อคคอมันไว้แล้วให้เดินตามเข้ามาในห้องผม เพราะมันขัดขืนที่จะไม่เข้าไป   ก็แค่เข้าไปนอนน่า…ใครมันจะไปทำอะไร


     “ทำไมมันมึงชอบกวนกูจังวะ!” ปิงเริ่มแสดงท่าทางหงุดหงิดออกมาในขณะที่ผมลากคอมันตามเข้ามาในห้องได้สำเร็จ


     “เบาๆเดี๋ยวน้องตื่น” ผมเตือน ไม่ได้แกล้งนะ แต่กลัวน้องกวางตื่นจริงๆ

     หน้ามันเริ่มงอแล้วครับ แบบบูดเบี้ยวมาก ตลกจนอย่างถ่ายคลิปไว้ ฮ่าๆ 


     “อ้ะ!”   ผมร้องออกมาแทบไม่ทันตอนที่มันใช้ฝ่ามือทั้งใหญ่ทั้งหนักของมันฟาดเข้าที่กลางหลังผมเต็มๆจนเกิดเสียง         


     โห…ธรรมดากลัวไม่เป็นที่จดจำหรือไง ฟาดลงมาได้เป็นรอยมือแล้วมั้ง  จริงๆไม่อยากเล่นแรงกับมันมากเท่าไร แขนยังดามเหล็กไว้อยู่มันเสียง แต่ก็เอาคืนมันได้เล็กน้อยๆ โดยการเอาข้ออ้างตรงนี้มาเล่น


     “โอ้ย! กระทบไปถึงแขนเลย”  ผมแกล้งพูด ทำท่าทางให้สมจริงด้วยการปล่อยแขนจากคอมันและจับที่แขนตัวเอง ถ้ามันไม่สังเกตก็คงไม่รู้แต่ถ้าสังเกตครั้งนี้คงไม่โดนตบแต่เป็นโดนต่อยแทน


     “เฮ้ย! เป็นไงบ้างวะ?”  สุดท้ายก็เป็นไปตามแผน  ปิงมันรีบจับแขนผมขึ้นมาสำรวจ  ผมไม่ตอบแต่เลือกที่จะมองดูการกระทำของคนตรงหน้าแทน


      มันไม่เคยบอกนะว่ารู้สึกยังไงกับผม…แต่รู้สึกว่าระหว่างเรามันมีเส้นบางๆกั้นอยู่เหมือนจะไม่ชอบแต่บางครั้งก็ไม่ใช่
วินาทีนั้นที่ปิงเงยหน้าขึ้นมาจากการสำรวจความเจ็บของผม มันดูอึ้งไปครู่หนึ่ง “ ม มองไร?” จากนั้นก็เอ่ยถามผมด้วยเสียงตะกุกตะกัก ก่อนจะรีบหันหลังหนีพร้อมจะเดินออกไปจากห้อง  “ก กูกลับห้องก่อน” 


     “เดี๋ยวดิ” แต่ก็ไม่ทันผมที่จับข้อมือเจ้าตัวไว้ได้ทัน


     “อ อะไร?”  ถามทั้งๆที่ยังไม่หันหลังกลับมา


     “…”   เหตุผลที่ผมรั้งให้มันอยู่น่ะค่อนข้างฟังยาก จนผมไม่กล้าพูดสุดท้ายเลยรู้สึกอ้ำอึ้งพูดไม่ถูก
เหตุผลก็คือ อยากให้อยู่ข้างๆ อยากเห็นในสายตาตลอดเวลา ไม่อยากให้ไปไหน


     “ก กูจะไปอ่านหนังสือ” 


     “…”


     “ปล่อยกูได้แล้ว” 


     “…”

     และผมไม่ได้ตอบออกไป เพียงแค่จับแขนมันไวอย่างนั้นไม่ปล่อย และปิงก็ยังไม่ขยับตัวไปไหนเช่นกัน


     “ไอ้เสื…”


     หมับ!


     ผมกอดปิงจากทางด้านหลัง จากที่กำลังเรียกชื่อผมเสียงนั้นกลับหายไปในลำคอ “เมื่อไรกูจะได้คำตอบจากมึงสักที” 
ไอ้การกระทำแบบนี้บอกเลยว่าไม่เคยทำกับใคร ผมไม่เคย เอ่อ… อ อ้อน  ใช่มันคือการอ้อน ผมไม่เคยอ้อนใครมาก่อนมันเลยอายกับการกระทำของตัวเองนิดหน่อย


     “ก กู ขอพูดตรงๆเลยนะ”  ปิงพูดพร้อมกับที่ผมซบหน้าผากลงตรงลาดไหล่ของอีกฝ่าย


     “…”


     “มึงทำอย่างนี้ไม่ห่วงอะไรที่มันจะตามมาในอนาคตบ้างเหรอ?”  คำถามของปิงที่เอ่ยออกมาเหมือนมีดที่แทงเข้ากลางใจผมจนรู้สึกเจ็บ  นี่คือความจริงที่ผมพยายามหนีมาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่ครั้งนั้นที่ตัดสินใจบอกความรู้สึกกับปิง


     “…”  เริ่มรู้สึกตัวเองงี่เง่าก็วันนี้ ผมไม่ตอบแต่กระชับอ้อมกอดที่กอดรอบตัวของปิงไว้แน่นยิ่งกว่าเดิม


     “มึง… ไม่สงสารน้องกวางเหรอ ถ้าวันนี้น้อง…โตขึ้นแล้วสามารถรับรู้เรื่องราวทั้งหมดได้” 


     “…”


      “กู… ท ทำไม่ได้จริงๆว่ะ” ความเปียกชื้นหนึ่งหยด ไหลลงประทบแขนผม


     “…”

     มันกำลังร้องไห้…


     “กูเองก็ชอบมึงเหมือนกันนะ ทุกวันนี้กูรู้สึกทรมานเหมือนกัน ว่าเราต่างก็รู้สึกดีเหมือนกันแต่ทำไมถึงรักกันไม่ได้”


     “…”
 

     “เพราะกูไม่อยากให้เราทำลายอนาคตเด็กคนหนึ่ง มึงก็รู้ว่าตอนนี้ที่เราอยู่มันเป็นยังไงคนที่ยอมรับก็มี แน่นอนว่าคนที่ไม่ยอมรับก็ต้องมีด้วย”


     “…”


     “นั่นแหละสิ่งที่กูกลัว…ถ้าถึงวันนั้นจริงๆ วันที่น้องกวางเติบโตขึ้นและโดนเพื่อนล้อว่าพ่อมีแฟนเป็นผู้ชายมึงไม่สงสารลูกมึงเหรอ…”


     “…”


     “กูไม่อยากสร้างรอยร้าวในความทรงจำของใคร ยิ่งกับเด็กที่เป็นเหมือนผ้าขาวด้วยแล้ว…”


     “…”


     “กูเจ็บนะ ไม่ใช่กูไม่เจ็บ” 

     อย่าร้องได้โปรด…
     ผมทำได้แค่เพียงพูดปลอบมันในใจ ไม่กล้าพูดออกไปเพราะปากหนักเกินไป


     “ที่มึงพูดมาก็ถูก…แต่มึงรู้ไหมบางครั้งกูก็ไม่อยากสนใจอะไรเลย กูมีความสุขมากในช่วงหลายอาทิตย์ที่ผ่านมา มันเหมือนกูอยู่ในความฝัน ฝันว่ามีมึงอยู่ข้างๆ มีน้องกวาง  กูมีความสุขมากจนไม่อยากให้ช่วงเวลาของความฝันหมดไป…แต่แล้วกูก็ต้องตื่น” 


     “…”


     “กูอยากเห็นแก่ตัวบ้างแต่กูก็ทำไม่ได้ แค่คิดก็รู้สึกผิดกับน้องกวางจนจะตายอยู่แล้ว”


     “…”


     “มีใครให้ทางออกนี้กับกูได้บ้าง”  “ก กูไม่อยากเสียมึงไปเลย”


     “มึงไม่ได้เสียกูไปสักหน่อย  ถ้าทางนี้มันไม่โอเค เราเลือกทางอื่นก็ได้ เราเลือกที่จะเป็นพี่น้อง หรือ เจ้าของบ้านกับผู้เช่าที่ดีต่อกันได้”   


     “…”

     ไม่ กูไม่ได้อยากเป็นแบบนี้


     “อย่างน้อยเราก็ไม่ได้เกลียดกัน”


     ต่อง! 


     หลังจากที่ผมเงียบไปพักใหญ่  เสียงออดหน้าบ้านก็ดังขึ้น ผมเลยจำเป็นต้องปล่อยปิงไป ทั้งที่ไม่ได้อยากปล่อยเลย มันเหมือนเป็นสัญญาณเตือนว่าถึงเราจะไม่อยากปล่อยเขาไปขนาดไหน สุดท้ายวันหนึ่งเขาก็ต้องออกกจากพันธนาการของเราอยู่ดี


     “เดี๋ยวกูไปดูก่อนใครมา” เสียงของปิงเบาจนแทบไม่ได้ยิน  เจ้าตัวบอกผมก่อนที่จะเดินออกไป
ไม่ถึงหนึ่งนาทีหลังจากนั้นปิงก็เดินมาหาผมที่ยังคงอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน “มีคนมาหา” 

ผมไม่ได้ถามว่าเป็นใคร แต่เลือกที่จะเดินออกไปดูด้วยตาตัวเอง 

รู้สึกทุกก้าวที่กำลังก้าวออกไปมันหนักอึ้งจนอยากจะหยุดเดิน อยากวางความรู้สึกแย่ๆและภาระทั้งหมดที่แบกไว้ลงข้างกาย  ผม… ผมรู้สึกเหนื่อยจนไม่สามารถพาเท้าคู่นี้เดินออกไปไหน


     “เสือคะ…” 


     แต่แล้วหัวใจผมเต้นระรัวด้วยความรู้สึกหลากหลายปะปนกัน เมื่อเสียงคุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับภาพตรงหน้าที่ปรากฏในม่านตา

     ผู้หญิงคนหนึ่งผมดำขลับ  เธอมีรูปร่างค่อนข้างผอมบางกว่าเมื่อก่อนในความทรงจำมาก ส่วนสูงประมาณร้อยเจ็ดสิบที่ครั้งหนึ่งในอดีตเวลาเดินเคียงข้างผม ส่วนสูงเราจะไล่เลี่ยกัน ผิวขาวซีดน่าถะนุถนอมนั้นผมจำได้ และแน่นอนยิ่งกว่าสิ่งไหนที่ยังคงเป็นภาพติดอยู่ในมโนของผมคือ ดวงตา   

ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนสวย ที่สวยหวานน่ามอง จนไม่อยากละสายตาและแน่นอน น้องกวางถอดแบบดวงตานั้นมาจากเธอราวกับว่าเป็นดวงตาเดียวกัน


     ผู้หญิงตรงหน้าบ้านที่ยืนอยู่ตรงรั้วนั้นคือแม่ของน้องกวาง


     แก้ม…



     TBC...




     สวัสดีค่ะ น้องมาแล้ว เย่!   

    คิดถึงกันมั้ยคะ  น้องคิดถึงคนอ่านมากเยยยยยย  ก็ไม่มีอะไรมาก เอามาม่าชามน้อยมาเสิร์ฟจ้า 
    ขอบคุณสำหรับคอมเม้นนะคะ เวลาไม่แรงก็ลุกขึ้นมาอ่านคอมเม้น จากนั้นแรงมาเลยจ้า
   
    รักเสมอนะคะ
 


 




 




CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ cchompoo

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-4

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
จะกลับมาทำไม ไปไม่รอดซินะถึงกลับมาหาเสือแบบนี้นะ

ออฟไลน์ อิ๊อ๊ะชะเอิงเอย

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 128
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
หมากใช่พ่อน้องกวางมะ :m28: :m28:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
            กลับมาทำม้ายหญิงโลเล         หันเหหัวใจมีใหม่
    ทิ้งลูกทำ ผัวช้ำใจ                          ไปก็ไปไม่ต้องกลับมา


เหอะ.....ไม่ใช่ผัวไหม่ไม่ดี
เลยกลับมาหาผัวเก่านะ  :fire: :fire: :fire:

เสือเจ็บแล้วจำ อย่าหันหลังกลับไปหานางนะ
ปิง คิดมากคิดเผื่อไปถึงตอนที่กวางโตด้วย
ไม่น่าคิดไปถึงขนาดนี้  o22 o22 o22
ทุกข์ กังวลกับเรื่องที่ยังไม่เกิด
เลยชาตินี้ไม่ต้องมีความสุขกัน
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ กิงก่องโก๊ะ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-2
    • เข้ามาฝอยกันได้นาจาาาาา
รักของเสือตอนที่ ยี่สิบเอ็ด: อดีตนั้น…มันยากที่จะลืม










หลายปีก่อนหน้านี้…







     “ทะเลาะกับพ่ออีกแล้วเหรอเสือ?”  หญิงสาวคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นขณะที่กำลังทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ม้าหินอ่อนซึ่งได้มีแฟนของเธอนั่งอยู่ก่อนแล้ว  เขามีสีหน้าที่เรียบเฉยแต่ทว่าแววตานั้นบ่งบอกความหลากหลายของอารมณ์ที่กำลังประทุ 


     “อือ…”  ด้วยความไม่ชอบพูดเจ้าตัวเลยตอบกลับไปสั้นๆ


     “มา เดี๋ยวแก้มทำแผลให้”   ว่าแล้วก็จับใบหน้าของแฟนหนุ่มให้หันไปทางตน จากนั้นก็นำน้ำเกลือขวดเล็กกับสำลีที่มักจะพกติดตัวไว้เสมอออกมา และลงมือทำตามขั้นตอนจากนั้นก็บรรจงติดพลาสเตอร์ลงตรงแผลที่หัวคิ้วให้อย่างเบามือ   


มันเป็นเรื่องเคยชิน เธอรู้ดีว่ามันต้องเกิดขึ้นในทุกครั้งที่พ่อลูกคู่นี้ได้เจอกัน เขาทั้งคู่มักจะมีปากเสียงกันเสมอ บางครั้งก็ถึงขั้นลงไม้ลงมืออย่างเช่นวันนี้ 


     “คราวนี้เรื่องอะไรล่ะ?” เธอถามต่อหลังจากแปะพลาสเตอร์เสร็จ  จริงๆแล้วก็ไม่น่าถามเพราะมันคงไม่ห่างไกลจากเรื่องเดิมเท่าไรนัก


     “เรื่องเดิม”  เขาตอบอย่างคนไร้ความรู้สึก คล้ายกับว่าชินชาเรื่องพวกนี้ไปเสียแล้ว แต่ก็เปล่าหรอก…เขายังคงเป็นมนุษย์ และมนุษย์ก็มีความรู้สึก

     ที่ทะเลาะกับพ่อนั้นสาเหตุทั้งหมดก็มากจากแม่เลี้ยงซึ่งเพิ่งเข้ามาในชีวิตพวกเขาไม่กี่ปี 
     เขามีความโกรธ ความเกลียด ความน้อยใจอยู่เต็มไปหมดที่พ่อปล่อยให้คนที่เพิ่งเข้ามาในชีวิตแค่ไม่กี่ปีมามีอิทธิพลต่อคนในครอบครัวอย่างเขา


แต่มันก็เยอะเกินไปจนยากที่จะแสดงออก  เหตุการณ์ต่างๆมันสอนให้เขาเลือกที่จะปกปิดไว้ดีกว่าเปิดเผยจนถึงตอนนี้คลับคล้าย คลับคลาว่าจะกลายเป็นมนุษย์เย็นชาไปโดยปริยา     



     “เอาน่า ใจเย็นๆนะ” แฟนสาวพูดและจับมือเขามากุมไว้ ไม่น่าเชื่อว่าฝ่ามือบางๆคู่นี้จะมาสามารถสร้างความอบอุ่นให้ได้เสมอ 

   
     “แก้มอยู่ตรงนี้เสมอนะ”   เธอส่งยิ้มบางๆให้เขา 

     ใช่เธออยู่ตรงนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ถ้าไม่มีแก้มเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงเหมือนกัน 
     ในความโชคร้ายมักมีความโชคดีเสมอ อย่างน้อยก็ยังมีเธอคนนี้ที่รักมาก คอยอยู่ข้างๆเขาไม่ไปไหน ไม่ว่าจะมีเรื่องดีหรือร้ายผ่านเข้ามา และเขาเชื่อว่าเธอจะไม่ผ่านไป 







     …




     “แก้มเย็นนี้เสือไม่ว่างนะต้องไปทำงาน”  เขาบอกเธอหลังจากที่ลุกขึ้นจากเตียงนอนนุ่ม พร้อมกับหยิบบ๊อกเซอร์ตัวโปรดขึ้นจากพื้น เพราะหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้มันถูกโยนทิ้งไปที่ไหนสักที่บนพื้นในห้องนี้ จากนั้นเตียงนอนแสนนุ่มก็เป็นสังเวียนรักร้อนระอุของชายหญิง



     “อ่าว..? ซะงั้น”  เธอตอบกลับและลุกขึ้นมาจัดแจงเสื้อผ้าหน้าผมตัวเองบ้าง


     “โทษที ไว้ไปกินข้าวกันวันหลังนะ”    คนตัวสูงนั่งลงบนเตียงนอนพร้อมกับขยับร่างเข้าไปใกล้แฟนสาวมากขึ้น เพราะตอนนี้เธอกำลังนั่งหน้าตึงเนื่องจากโดนเบี้ยวนัดกะทันหัน



     “ขอโทษนะ” พร้อมกับจรดปลายจมูกลงบนกลุ่มผมหอมนุ่มที่กลางศีรษะหนึ่งครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำชำระร่างกายที่เต็มไปด้วยคราบเหงื่อไคล

   

     ถ้าเขาจะขี้ลืมขนาดนี้และลืมว่าวันนี้เป็นวันสำคัญของเธอ เธอก็คงทำอะไรไม่ได้นี่นะ นอกจากนั่งหน้าบูดเบี้ยวอยู่ที่เดิม
     เธอคิดอย่างนั้น 


     แต่หารู้ไม่ว่านั่นเป็นแค่เพียงการแสดงของแฟนหนุ่มก็เท่านั้น วันสำคัญของคนสำคัญใครจะไปลืมลง






     เย็นวันนั้น



     เสือไม่ได้ไปทำงานอย่างที่ว่าไว้ เขาอุตส่าห์ลางานนายจ้างหนึ่งวันเพื่อนระการฉะนี้โดยเฉพาะ ซึ่งตอนนี้แก้มคงจะออกไปปาร์ตี้ที่ไหนกับเพื่อนสักที่ และก่อนเธอจะกลับมาเสือต้องจัดเตรียมสถานที่ให้พร้อม เขาคิดว่าจะเซอร์ไพรส์แฟนสาวด้วยกุหลาบช่อใหญ่ เค้กช็อกแล็ตที่เธอโปรดปราน แถมยังเพิ่มอ็อฟชันเสริมอีกคือลูกโปร่งสีฟ้า และชมพูอ่อนลอยเต็มบนเพดานห้อง ไหนจะรูปถ่ายของทั้งคู่ที่เอาติดไว้ที่ปลายเชือก



เขารอแก้มมาได้สักพักแล้ว ตั้งแต่สองทุ่มได้ จนตอนนี้เวลาล่วงเลยผ่านไปจนถึงเที่ยงคืนแก้มก็ไม่มีทีท่าว่าจะกลับ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้โทษเธอหรอกนะ ไม่ได้โกรธเลยด้วยซ้ำที่ต้องรอนานขนาดนี้


ที่จริงเขาไม่เคยทำอะไรแบบนี้เลย ด้วยความที่พูดอะไรหวานๆไม่เป็น และไม่ชอบทำอะไรจุกจิกอย่างเช่นเรื่องเซอร์ไพรส์วันเกิด หรือจะอะไรก็ตามที่คู่รักอื่นเขาทำกัน



     ก็นะ… เข้าอิหรอบพูดไม่ค่อยเก่งแต่รักหมดใจ อะไรประมาณนี้มั้ง?


     ให้ตายเถอะ! ถึงใครจะว่าเขาเป็นพวกไร้ความรู้สึกและดูเหมือนจะตายด้านแต่บอกได้เลยว่าตอนนี้โคตรตื่นเต้น



     แก้มจะดีใจมากขนาดไหนกันนะ…



     และเวลาที่รอคอยก็มาถึง เมื่อมีเสียงกุกกักๆดังอยู่หน้าประตูห้อง เขาคิดว่าต้องเป็นแก้มแน่ๆ เทียนที่ปักบนเค้กประมาณสี่เล่มเลยถูกจุดไฟขึ้น 



     จากนั้น…




   แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยู…


     เสียงทุ้มรองเพลงอวยพรวันเกิดแฟนสาว



     เปลวไฟสีส้มสาดส่องอยู่ต่อหน้าเธอ แก้มนิ่มกำลังขึ้นสีระเรื่อเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ผสมปนเปกับความเขิน



   แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยู




     ตอนนี้สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเพราะแอลกอฮอล์ที่มีอยู่ในกระแสเลือด เธอดื่มมันเยอะนิดหน่อยเพราะเกิดอาการเซ็งที่แฟนหนุ่มจำวันเกิดตัวเองไม่ได้




   แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยู…



     แต่เธอรู้แล้วว่าคิดผิดไป
     เขาจำได้

     และกำลังทำเรื่องแบบที่ไม่เคยทำมาก่อน 



     น่ารักอะไรอย่างนี้…



     ความรู้สึกมึนๆเบลอๆถูกแทนที่ด้วยความดีใจและตื่นเต้น



     เธอฉีกยิ้มกว้าง



     “อธิฐานครับ”  เพลงอวยพรจบลง เค้กขนาดสองปอนด์ลอยเด่นอยู่ตรงหน้า เขาบอกเธอให้อธิฐานขณะที่เธอเอาแต่ยิ้มทั้งที่เพลงอวยพรจบลงแล้ว



     รอยยิ้มกว้างๆกับดวงตาสวยๆนั้นน่ามองเสมอ
 


     เธอหลับตาลงและอธิฐานออกเสียงว่า “ขอให้แก้มกับเสือมีความสุขมากๆ…และตลอดไป”

     จากนั้นเปลวไฟจากแสงเทียนดับลง  แค่เสี้ยววินาทียังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะวางเค้กลงดีๆด้วยซ้ำเธอก็พุ่งเข้ากอดร่างสูงใหญ่ด้วยความสุข “คิดว่าจะลืมแล้ว”  เสียงเธออู้อี้อยู่ตรงช่วงลาดไหล่เขาเพราะกำลังซบหน้าลงตรงนั้น
รู้สึกถึงความเปียกชื้นเล็กน้อย   


     ถ้าให้เดา เธอกำลังร้องไห้อยู่แน่ๆ



     “ไม่ลืม จะลืมวันสำคัญของคนสำคัญได้ยังไง”  เขากระซิบข้างหู



     หญิงสาวเลยมอบจูบที่แสดงถึงคำขอบคุณให้ไป  และแค่จูบมันคงไม่พอทั้งคู่ต่างก็รู้ดี พวกเขาแสดงความรักที่ลึกซึ้งมากกว่านั้น



ในตอนนั้นความรักเอ่อล้นเต็มอก ถึงครั้งหนึ่งจะเคยโทษฟ้าว่าทำไมถึงได้มอบแต่ความโชคร้ายให้ชีวิตเขา แต่ตอนนี้กลับขอบคุณที่ส่งความโชคดีแฝงมาให้ด้วย 



     เขารักผู้หญิงคนนี้มากเหลือเกิน…





     …






     สามเดือนผ่านไป





     “ฉันไม่อนุญาตให้แกสองคนแต่งงานกัน!”   เสียงเข้มของคนเป็นพ่อพูดดังลั่นด้วยความโกรธ ก่อนจะเอ่ยประโยคที่เสือไม่คาดคิดว่าจะได้ยินมาก่อนเลยในชีวิต 



     “ไปเอาเด็กออกซะ!”



     รู้ว่าตัวเองกับพ่อไม่ค่อยจะลงลอยกัน แต่… ไม่คิดว่าจะใจร้ายกับหลานที่ยังไม่แม้แต่จะลืมตาดูโลกได้ขนาดนี้
แก้มนั่งก้มหน้างุดเพราะไม่กล้าสบตากับผู้ใหญ่ทั้งสอง คนหนึ่งคือแม่เลี้ยงของแฟนนุ่มและอีกคนคือพ่อของเขา เธอบีบฝ่ามือทั้งสองข้างเข้าหากันแน่น เม้มริมฝีปากแรงพอๆกับฝ่ามือที่กำลังบีบเพราะเครียดกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้
ภายในสมองคิดหนักกับเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นจนหลายวันที่ผ่านมานี้ไม่เป็นอันทำอะไรแล้ว




     ‘เสือคะ…แก้มท้อง’ 



     ประโยคบอกเล่าคำว่า ‘ท้อง’ ที่เอ่ยออกไปก่อนหน้านี้ลอยวนเวียนอยู่ในหัวเต็มไปหมด  มันเป็นคำสั้นๆที่คอยตอกย้ำความผิดพลาดของตัวเองอยู่ทุกชั่วขณะ ความผิดหวังประเดประดังเข้ามาในชีวิตจนเธอเริ่มจะรับไม่ไหวเข้าไปทุกที



     ไม่โทษใครทั้งนั้น…นอกจากตัวเอง



     รู้สึกผิดหวังกับตัวเองมากจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ หากแต่เด็กที่เกิดมาทั้งที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยนั้นน่าสงสารเกินกว่าที่จะมาจบชีวิตลงพร้อมกับตัวเอง




     ไหนจะพ่อ?



     ไหนจะแม่?



     ไหนจะคนรอบข้างที่ต่างก็คาดหวังให้เธอมีอนาคตที่ดี เรียนจบสูง มีครอบครัวและอาชีพที่ใฝ่ฝัน
แต่ดูตอนนี้สิ มันตรงกันข้ามแทบจะทุกอย่าง พ่อแม่ของเสือไม่แม้แต่จะยอมรับเธอด้วยซ้ำแล้วจะมีครอบครัวดีๆได้ยังไงกัน?
ฝ่ามือทั้งสองข้างที่เริ่มบีบเข้าหากันแน่นด้วยความกดดันหลังจากที่ได้ยินประโยคที่ว่า… ‘ไปเอาเด็กออกซะ




     ไม่ได้… ทำไม่ได้จริงๆ



     เธอร่ำร้องอยู่ภายในใจ กรีดร้องให้กับความน่าสมเพชของชีวิตนี้



     มองไปทางไหนก็ดูมืดมน จะกลับบ้านไปบอกพ่อกับแม่ก็ไม่กล้าพอ  เรียนก็ยังไม่จบไม่รู้ว่าจะหาเงินมาเลี้ยงชีพตัวเองและครอบครัวได้ยังไง ไหนจะสายตาของใครๆที่มองมาอีก



     เธอ… รับไม่ได้จริงๆ และยังตัดสินใจไม่ได้อีกต่างหาก



     หากแต่ก็มีฝ่ามือใหญ่ของคนที่นั่งอยู่ข้างๆเอื้อมมาสัมผัสด้วยความแผ่วเบา 



     สัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ว่า ‘เสือจะอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน’  มันส่งผ่านมาจากความอบอุ่นใต้ฝ่ามือนั้น จนน้ำตาที่พยายามกลั้นไว้เริ่มทะลักออกมาคล้ายกับเขื่อนแตก


เสือเป็นคนไม่ชอบแสดงออก ข้อนั้นเธอรู้ดี เวลาที่งอแงงี่เง่าอยากให้เขาทำแบบนั้นแบบนี้ให้ น้อยนักที่จะได้อย่างใจหวัง แต่ครั้งนี้เขากลับมอบมันให้เธอโดยที่ไม่ต้องร้องขอ แม้รู้ทั้งรู้ว่าเขาแสดงออกไม่เก่ง



เธอกำลังต้องการกำลังใจ ต้องการทุกคำปลอบประโลมของเสือ ต้องการมันทั้งหมดไม่ว่าอะไรก็ตามที่เสือจะช่วยให้เธอรู้สึกดีได้ในขณะนี้ เพราะเธอกำลังรู้สึกผิดมากๆ  เพราะสิ่งที่ตัดสินใจทำลงไปเธอรู้ดีว่ามันผิดมหันต์หนำซ้ำยังทำลายอนาคตของแฟนหนุ่มที่เธอรักมากอีกต่างหาก 



     “แต่...นั่นหลานพ่อนะครับ?”  คนพูดน้อยถามขึ้นด้วยความเหลือเชื่อ 



     “ฉันยอมไม่ได้หรอกนะ! ที่จะต้องให้ชื่อเสียงที่สั่งสมมานานป่นปี้ไปเพราะแก”



     “…”  คนเป็นลูกหมดคำจะพูดแล้วจริงๆ  ถ้าพ่อจะกลัวเสียชื่อเสียงจนถึงขั้นคร่าหนึ่งชีวิตไปจากโลกนี้เขาคงยอมไม่ได้


     ขอบคุณสำหรับการตัดสินใจนี้ 



     ถ้ากลัวว่าชื่อเสียงที่ว่านี้จะเสียไปจริงๆเขาก็จนปัญญา



     “ถ้าแกเก็บเด็กคนนี้ไว้ก็ไม่ต้องมาให้ฉันเห็นหน้าอีก!”



     “…”



     อีกครั้งที่คุณพ่อตวาดเสียงดังลั่น จนแฟนสาวที่กำลังปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาเงียบๆถึงกับช่วงลาดไหล่สั่นแรงขึ้นกว่าเดิมเพราะแรงสะอื้น


     แม่เลี้ยงนั่งยิ้มเยาะให้กับเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความสะใจที่ได้เห็นว่าในที่สุดสองพ่อลูกนี้ตัดขาดกันสักที!
     ก็ดี…ออกไปได้ก็ดี จะได้ไม่ต้องอยู่เป็นเห็บหมัดคอยกวนใจกันแบบนี้



     “ครับ…”  คำพูดสั้นๆหลุดออกมาจากปากของคนเป็นลูก 


     “ขอให้พ่อมีความสุขกับครอบครัวของพ่อนะครับ” 


     และประโยคบอกอวยพรนั้นเขาพูดมันจากใจด้วยเสียงราบเรียบที่ยังคงเหมือนเดิมตั้งแต่ต้นจนจบ



     ต่อไปนี้…ครอบครัวเขาก็คงจะมีแค่แก้มและลูกเท่านั้น

     สัญญาจากใจว่ารักษาไว้อย่างดี จะดูแล และทำทุกอย่างเพื่อสองคนที่เหลืออยู่ในครอบครัวอย่างสุดหัวใจ จะรับผิดชอบไม่ทอดทิ้ง 
 



     เขาสัญญา





     หลายเดือนต่อมา




     นับจากวันนั้นชีวิตของเสือเหนื่อยมากขึ้นกว่าเดิมเป็นร้อยเท่า แต่ถึงเหนื่อยขนาดแทบขาดใจชนิดที่ว่าแม้แต่จะหลับตาลงนอนก็ยังทำไม่ได้  แต่เขาก็ยังคงสู้ต่อไปอย่างไม่เคยปริปากบ่นแม้ว่าจะเหนื่อยจนสายตัวแทบขาดก็ตาม


เขาเคยคิดฝันว่าอนาคตอยากจะสร้างครอบครัวกับแก้มเมื่อมีทุกอย่างที่เพียบพร้อม หากแต่ตอนนี้แค่ทุกอย่างถูกเร่งเข้ามาเร็วกว่าเดิมหน่อยก็ไม่เป็นไร ถือว่าเป็นรางวัลของชีวิตแม้ว่าจะเหนื่อยขนาดไหนก็เถอะ และสิ่งที่ทำลงไปเขาไม่เคยคิดว่ามันเป็นหน้าที่ที่ควรจะรับผิดชอบหลังจากที่ทำพลาดไปแล้ว  แต่ทั้งหมดนั้นเขาทำลงไปด้วยความรัก มันคือสิ่งที่หัวใจเลือกให้ทำไม่ว่าจะตอนนี้หรือตอนไหนเขาก็ยังจะมีมันให้เธอเสมอ



     แต่แล้วความรักที่เขามอบให้เธอดูคล้ายว่าจะไม่จำเป็นอีกต่อไปเพราะ… อยู่ๆวันหนึ่งเธอก็เดินออกไปจากชีวิตเขาอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีแม้แต่คำบอกลา ไม่มีคำอธิบายว่าทำไม ทิ้งไว้แค่เพียงลูกน้อยที่นอนร้องไห้งอแงเพราะความหิวอยู่ในเปล
หลังจากนั้นชีวิตก็ดำเนินต่อมาด้วยความย่ำแย่  มันแย่มากจนคิดว่าจะก้าวเดินต่อไปไม่ไหว กำลังใจที่คอยผลักดันให้เขาสู้และก้าวเดินไปในแต่ละวันมันหมดลงตั้งแต่วันที่แก้มหายไป



การหาเงินคนเดียวและรับผิดชอบทุกอย่าง การได้ใช้ชีวิตแบบผู้ใหญ่ เติบโตแบบเต็มตัว ได้สัมผัสโลกกว้างมากขึ้นกว่าเดิมมันไม่ได้ง่ายเลย


เงินกว่าจะมาอยู่มือได้แต่ละบาทกก็ต้องแลกกับเม็ดเหงื่อจำนวนมหาศาลที่เสียไป บางครั้งข้าวสักเม็ดเขาก็ไม่ได้แตะเพราะว่าเงินที่หามาได้ต้องเก็บไว้ให้ลูก เพราะถ้าคิดคำนวณดูแล้วก็แทบจะไม่พอค่านมค่าของใช้ลูกด้วยซ้ำ เขาหมดไฟ เขาท้อแท้ เขาคิดว่าตัวเองไม่เหลือใคร จนลืมไปว่ายังมีอีกหนึ่งชีวิตเล็กๆที่ลืมตาขึ้นมาดูโลกไม่ถึงสามเดือนด้วยซ้ำที่ต้องดูแล



วินาทีที่กำลังจะกดปลายมีดลงบนข้อมือตัวเอง เสียงร้องไห้โยเยหลังจากการตื่นนอนของลูกน้อยก็ทำให้เขาได้สติ คนที่ขึ้นชื่อเรื่องของการเก็บความรู้สึกอย่างเสือถึงกับปล่อยให้น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลออกมาอย่างไม่ขาดสายเมื่อคิดถึงการกระทำของตัวเองเมื่อครู่



     เขาเกือบพลาดไปแล้ว



     เกือบแล้วจริงๆ




     แม้ชีวิตจะทุกข์ทรมานมากขนาดไหน เขาก็ยังไม่เลิกดิ้นรน ตะเกียกตะกายเพื่อตัวเองและลูก เขาทำยอมทำทุกอย่างเพื่อแลกกับเงินทุกบาททุกสตางค์มาประทังชีวิต จนวันหนึ่ง คล้ายกับพระเจ้าได้ประทานความโชคดีมาให้ในรอบหลายปีที่เขาไม่ได้รับ นั่นคือการที่ได้พบกับน้าเล็ก

น้องสาวของแม่ตัวเองที่โผล่เข้ามาในชีวิตเขา น้าเล็กไม่เคยถามเรื่องแม่ของเด็ก ท่านบอกแค่ว่าจะอยู่ข้างๆเสมอ ช่วงแรกๆเลยมีน้าเล็กคอยช่วยดูแลน้องกวางให้ หลังจากนั้นที่น้องเริ่มโตขึ้นและเขาพอที่จะมีเงินอยู่บ้าง เลยเริ่มไม่อยากเป็นภาระให้น้าเล็กมากกว่านี้ แม้ว่าท่านจะบอกว่าไม่เป็นไร และ เต็มใจมาก ก็ตามที  แต่ถึงอย่างนั้นเสือก็ไม่ได้หายไปซะเลย เขาและลูกก็ยังคงวนเวียนอยู่ในชีวิตน้าเล็กอยู่อย่างนั้น 




ชีวิตเขาดำเนินมาอย่างเรื่อยๆไม่ได้มีอะไรหวือหวา แผลในใจก็เริ่มตกสะเก็ดกลายเป็นแผลเป็นอยู่ไม่จางหาย จนกระทั่งเขาได้มาพบกับเด็กคนหนึ่ง  ที่เป็นวันไนท์แสตนด์ของเขา และกลายมาเป็นเจ้าของบ้านที่เขากำลังเช่าอยู่  เด็กคนนั้นชื่อว่าปิง จนตอนนี้เจ้าตัวไม่ได้เป็นแค่วันไนท์แสตนด์  ไม่ได้เป็นแค่ผู้ให้เช่า แต่กลับกลายเป็นคนในใจของเขาเรียบร้อยแล้ว



แรกเริ่มเดิมทีสารภาพว่าไม่ได้ชอบนิสัยของเด็กคนนี้เท่าไร หากแต่ได้สัมผัสไปนานๆกลับคิดว่าปิงเองก็ไม่ใช่คนที่เลวร้ายอะไรมากนัก ถ้าโดนขัดเกลานิสัยให้ได้มากกว่านี้ก็คงจะดีขึ้น


ปิงเข้ามาสร้างสีสันให้กับชีวิตเขาเป็นอย่างมาก จากที่จืดชืดก็ออกรส เปรี้ยว ขม หวานบ้างปนกันไป
เขากับปิงนิสัยค่อนข้างต่างกัน  ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันนั่นคือเส้นทางชีวิต 


เขาทั้งคู่ต้องได้ใช้ชีวิตในแบบฉบับของผู้ใหญ่ทั้งที่ยังไม่พร้อม ได้หลุดออกจากกรอบของวัยรุ่นมาสัมผัสโลกที่แท้จริงและที่เป็นอยู่ ไม่ใช่โลกในรั้วมหาลัย มัธยมที่เคยเจอ หรือแม้แต่กระทั่งโลกที่มีปีกกว้างของพ่อแม่คอยกางปกป้อง 

เรื่องราวต่างๆมากมายของเขาทั้งคู่ที่เกิดขึ้นเริ่มหล่อหลอมให้เกิดความรู้สึก 
ความรู้สึกที่เรียกว่าความรัก




     ‘รัก’ เกิดขึ้นตอนไหนไม่มีใครรู้ รู้แค่ว่ามันเกิดขึ้นแล้ว  แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไปเพราะรู้ว่ารักครั้งนี้มันไม่ถูกต้อง หนำซ้ำมันไม่ควรเกิดขึ้นด้วยซ้ำ แต่ใครจะห้ามความรู้สึกได้เพราะความรักไม่เลือกเวลาเกิด 



     บางครั้งเสือก็อยากที่จะฉีกทึ้งคำว่า ‘ถูกต้อง’ นั้นออกมาเป็นชิ้นๆให้รู้แล้วรู้รอด จะได้ก้าวผ่านตรงนี้ไปเสียที 



     แต่ก็นั่นแหละ… บางอย่างมันก็ไม่ได้ง่ายอย่างใจคิด



     พูดง่ายแต่ทำยาก


     ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า นอกจากแก้มแล้วก็มีปิงที่ทำให้เขารู้สึกดีในทุกๆวันที่มีชีวิตอยู่ จนกระทั่งตอนนี้…คนที่ เคยทำให้เขารู้สึกดีในและวันได้หวนกลับคืนมา…



     เธอกำลังยืนอยู่ตรงหน้าพร้อมกับปะโยคบอกเล่าที่ทำเอาเขาแทบล้มทั้งยืน


มีต่อนะคะ

ออฟไลน์ กิงก่องโก๊ะ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-2
    • เข้ามาฝอยกันได้นาจาาาาา
ต่อค่ะ


     “แก้มจะมาพาน้องกวางกลับบ้าน”



     คนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแม่ของน้องกวางพูดขึ้นเป็นครั้งแรก หลังจากที่ผมเชื้อเชิญเธอเข้ามาในบ้าน เพราะดูท่าแล้วถ้ารอไอ้เสือคงได้ยืนคุยกันที่หน้าบ้านจนตะคริวกินขาแน่ เพราะตอนนี้เรียกได้ว่าไม่มีคำไหนหลุดออกมาจากปากมันสักคำ 



ไอ้เสือไม่ได้นั่งลงตรงโซฟาอย่างที่ควร มันกลับยืนค้ำหัวผมที่นั่งลงอยู่ก่อนแล้ว  เมื่อเงยหน้าขึ้นมองกลับพบว่าใบหน้านั้นเรียบตึงไร้ความรู้สึกเฉกเช่นคนตายด้าน แต่ผมรู้ว่ามันแค่กำลังปกปิดความรู้สึกตัวเองอยู่ด้วยการสร้างหน้ากากน้ำแข็ง และผมก็รู้ว่าพี่แก้มเขาเองก็น่าจะรู้ดีกว่าใครๆ



พอคิดถึงตรงนี้แล้วทำไมผมรู้สึกเจ็บแปลบๆที่หัวใจกันนะ…




     “ผมขอตัวก่อนนะครับ”  ผมว่ามันไม่ควรถ้าหากจะมานั่งหน้าสลอนฟังเขาคุยกันแบบนี้ เลยเลือกที่จะเอ่ยขอตัวไปดีกว่า แต่ขณะที่กำลังจะลุกขึ้นไอ้คนที่ยืนค้ำหัวผมอยู่มันกลับดันไหล่ผมให้นั่งลงเช่นเดิม



ฝ่ามือใหญ่ที่สัมผัสอยู่ตรงลาดไหล่ผมมันให้ความรู้สึกเย็นเฉียบมากกว่าทุกครั้ง หาความอบอุ่นเหมือนครั้งก่อนแทบไม่ได้
คล้ายกับว่ามันต้องการให้ผมอยู่ตรงนี้ ไม่ต้องไปไหน



แอบเห็นว่าสายตาของพี่แก้มที่มองมามันดูเศร้าสร้อยมากกว่าเดิมเมื่อเห็นท่าทางของพี่เสือต่อผมเมื่อครู่  เธอมองที่ฝ่ามือตรงไหล่ผมครู่หนึ่งก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นไปมองพ่อของลูกตัวเอง  คล้ายกับว่ารอให้มันพูดอะไรสักอย่างออกมาจากปาก



     “ทำไม?” 
     และหนึ่งคำที่รอคอยก็หลุดออกมาสักที


     “แก้ม…”  เธอเงียบเสียงไปครู่หนึ่ง และก้มหน้าลงคล้ายกับว่ากำลังกลัว  เห็นว่าฝ่ามือของเธอทั้งสองข้างบีบเข้าหากันแน่น


     “เสือคงให้ไม่ได้”  แต่ยังไม่ทันได้พูดต่อประโยคให้จบ ไอ้เสือก็พูดแทรกขึ้นมา ส่วนตัวผมเองก็นั่งเงียบระหว่างบทสนทนาที่แสนตึงเครียด ทั้งที่พูดกันแค่ไม่กี่ประโยคด้วยซ้ำ


ดวงตาสีอ่อนของพี่แก้มที่สวยมากๆ  แต่กลับมองดูแล้วโศกเศร้าตามอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งในตอนนี้ความเศร้าสร้อยยิ่งฉายแววออกมาอย่างเห็นได้ชัด   
ส่วนคนตัวใหญ่ข้างหลังผมก็ยังคงวางฝ่ามือไว้ที่ลาดไหล่ผมเช่นเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคืออารมณ์ที่มันถ่ายทอดออกมาจากฝ่ามือนั้นสู่ลาดไหล่ผม จนรู้ได้ว่าตอนนี้มันกำลังรู้สึกแย่มากขนาดไหน



     “แต่…”  พี่แก้มเม้มริมฝีปากแน่น พร้อมกับก้มหน้าลงมองฝ่ามือที่บีบเข้าหากันแน่นที่วางไว้ตรงตัก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตากับพ่อของลูกตัวเอง หยาดน้ำตาที่ตอนแรกมันเอ่อคลอตอนนี้กลับไหลออกมาหนึ่งหยด จากนั้นก็ไหลออกมาเรื่อยๆอย่างไม่ขาดสาย  “แต่น้องกวางไม่ใช่ลูกของเสือนะ…”   







     บันทึกของเสือ   




     “แต่น้องกวางไม่ใช่ลูกของเสือนะ…”    ประโยคนี้ดังสะท้อนอยู่ในหูผมเป็นร้อยรอบหลังจากที่ได้ยิน  แข้งขาผมแทบอ่อนแรงเมื่อเธอพูดประโยคเมื่อครู่นี้ออกมา ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า




     บ้าน่า… นี่แก้มกำลังเล่นตลกอะไรกับผมอยู่ ?



     ใช่…แก้มต้องล้อผมเล่นแน่ๆ




     “แก้มอย่าล้อเล่นกับเสือแบบนี้”   



     ใช่… มันไม่ตลกเลยสักนิด
     น้องกวางจะเป็นลูกของคนอื่นไปได้ยังไง  และถ้ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ ผมยอมไม่ได้เด็ดขาด 



     “แก้มไม่ได้โกหก”  เธอพูดทั้งน้ำตาพร้อมกับแรงสะอื้น



     ให้เธอกลับมาแย่งน้องกวางดีกว่ากลับมาบอกว่าน้องกวางไม่ใช่ลูกผมยังดีกว่าซะอีก


     แต่เอาเข้าจริงๆแล้วแบบไหนก็ไม่ดีทั้งนั้น



     ในใจผมขอร้องอ้อนวอนให้คำพูดนั้นเป็นแค่เพียงฝันร้าย หรือให้มันเป็นแค่มุขตลกหลังจากที่เราไม่ได้พบกันมานาน
แต่เหมือนว่าคำภาวนาจะยิ่งไกลห่างออกไปเรื่อยๆ เมื่อท่าทีของแก้มในตอนนี้ไม่ได้ดูล้อเล่นเลยแม้แต่นิด หนำซ้ำเธอกลับร้องไห้จนน้ำตาแทบจะกลายเป็นสายเลือดมากขึ้นกว่าเดิม



     เธอไม่ได้ล้อเล่นจริงๆ…
 



     อยู่ๆฝ่ามือผมที่วางไว้ตรงลาดไหล่ของปิงก็ถูกทาบทับโดยฝ่ามือของอีกฝ่าย เจ้าตัวบีบกระชับแน่น เหมือนกับบอกว่าจะอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน



     มันอบอุ่น…
     แต่ไม่ว่าจะอบอุ่นขนาดไหนก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสู้ความเย็นเฉียบที่กำลังคืบคลานเข้ามาในหัวใจผมไม่ได้


     แต่ก็ขอบคุณที่ยังอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน



     ในตอนนี้ที่ผมรู้สึกมืดแปดด้าน เหมือนนักมวยที่โดนน็อคกลางอากาศยังไรอย่างนั้น  ทั้งความคิดและอารมณ์ของผมมันกำลังสับสนเป็นอย่างมาก



     ผม… ทำอะไรไม่ถูกแล้ว



     “แก้มโกหก!”   ตั้งแต่คบกันมา จนถึงตอนนี้ที่เลิกราสาบานได้ว่าผมไม่เคยขึ้นเสียงใส่เธอ
 
     แต่ครั้งนี้อารมณ์มันยากเกินที่จะควบคุม ก็เลยเผลอทำตัวแบบนั้นออกไปในที่สุด


     “เสือ…”  เธอร้องเรียกชื่อผมเบาๆในลำคอ พร้อมกับมองมาอย่างเหลือเชื่อในกิริยาที่แสดงออกไป


     “แก้มกลับไปได้แล้ว ต่อไปนี้ก็ไม่ต้องมาให้เสือเห็นหน้าอีก ส่วนเรื่องวันนี้เสือจะถือว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น”


     “แต่เขาไม่ใช่ลูกของเสือนะ”  เธอว่าอย่างนั้นพร้อมกับน้ำตาที่ไหลนองหน้าจนแก้มทั้งสองข้างเปียกชื้น


     “แล้วเขาเป็นลูกของใคร!?”  ผมเป็นพวกอยากรู้แต่ก็กลัวความจริง  แม้ใจหนึ่งจะกลัวแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าอยากรู้เหมือนกัน




     และไม่ว่าพ่อน้องกวางจะเป็นใคร เขาก็ยังคงเป็นลูกของผมเหมือนเดิม



     “ไม่รู้ ฮึก…”   เธอส่ายสั่นหน้าไปมาเป็นการตอบปฏิเสธ “แก้มไม่รู้จริงๆ”   ฮือ…
     และร้องไห้โฮออกมาอย่างหนัก จนปิงถึงกับรีบยื่นทิชชู่ตรงหน้าไปให้เธอ



     “คุยกันดีดิวะ อย่าใช้อารมณ์”    ปิงเอ่ยเตือน


     แต่เชื่อเถอะ…  ถ้าใครลองได้มาอยู่ในจุดจุดนี้ไม่มีใครไม่ใช้อารมณ์ได้หรอก



     “แก้มไม่รู้แต่ก็ยังมาบอกว่าน้องกวางไม่ใช่ลูกของเสือเนี่ยนะ?”



     “แต่เขาไม่ใช่ลูกของเสือจริงๆ…”   



     “ไม่! แก้มโกหก!”    ตอนนี้ผมคงเป็นไอ้สติแตกตัวหนึ่งที่กำลังยืนเถียงกับผู้หญิงคนหนึ่งปาวๆว่ายังไงนั่นก็คือเรื่องโกหก 



     “แก้มกลับไปได้แล้ว!”  อีกครั้งที่ผมเผลอตวาดเสียงดังลั่น จนน้องกวางที่นอนอยู่ในห้องถึงกับร้องไห้ออกมาเสียงดัง
และก็เป็นเสียงนั้นที่ดึงสติผมให้กลับมา



     “แล้วก็ไม่ต้องกลับมาอีก”  ผมกัดฟันพูด เพื่อสกัดกั้นอารมณ์ตัวเองไม่ให้พุ่งสูงไปมากกว่านี้  ก่อนจะเดินหนีเข้าห้องไปและกดล็อคประตูไว้ไม่ให้ใครได้เข้ามา



     เพราะผมไม่รู้ว่าถ้าให้ใครเข้ามาแล้วเขาจะมาพาน้องกวางไปจากผม




     “เสือ!”




     ปังๆ!



     ดูท่าว่าแก้มก็คงจะไม่ยอมให้ง่ายๆเหมือนกัน เพราะเธอกำลังยืนทุบประตูอยู่ที่หน้าห้องผม  และยิ่งได้ยินเสียงดังจากการทุบประตูน้องกวางก็ยิ่งร้องไห้งอแงมากขึ้นกว่าเดิม



ผมเข้าไปอุ้มลูกออกมาจากเปลพร้อมกับกอดปลอบประโลมให้หยุดร้อง แต่เสียงทุบประตูก็ยังคงดังอยู่มันเลยยากที่จะโอ๋น้องกวางให้กลับมาอยู่ในโหมดปกติ


แต่นั่นก็ไม่ถึงห้านาที ผมได้ยินเสียงของปิงเล็ดลอดออกมาจากประตูหน้าห้อง และเสียงของแก้มก็หายไป
ก่อนจะทิ้งท้ายไว้ว่าจะกลับมาใหม่…
โอเค…ผมอาจจะยังไม่ตื่นจากฝันร้าย ใครก็ได้ช่วยปลุกผมที
เพราะมันร้ายเกินไป… ผมรับไม่ไหวแล้ว




จบบันทึกของเสือ






     “ไอ้เสือ”  ผมยืนเรียกมันอยู่หน้าประตูหลังจากที่ไปส่งพี่แก้มที่หน้าบ้าน



     แต่ก็ไร้ซึ่งเสียงตอบรับกลับมา



     “พี่เขากลับแล้ว” 


แต่ถึงอย่างนั้นไอ้เสือมันก็ยังไม่โผล่หน้าออกมาจากห้อง เลยเลือกที่จะปล่อยให้มันอยู่ในนั้น เมื่อพร้อมแล้วค่อยคุยกันก็คงไม่เป็นไร





     ขณะนี้เวลาล่วงเลยมาเกือบจะเป็นเช้าวันใหม่อยู่รอมร่อไอ้เสือมันก็ยังไม่ออกมาจากห้องสักที ไม่รู้ว่าได้กินอะไรบ้างหรือยัง ดีหน่อยที่ตอนเย็นผมเดินไปตลาดใกล้บ้านเลยได้กับข้าวติดไม้ติดมือมาเผื่อมันบ้าง ผมเทอาหารใส่จานรอมันตั้งแต่หัวค่ำ จนตอนนี้มันก็ยังอยู่อย่างนั้นไม่หายไปไหน



     “ไอ้เสือ!”  อีกครั้งที่ผมมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องมันพร้อมกับเคาะประตูเรียกให้มันออกมา



     “ออกมากินข้าวกับกูหน่อยสิ” 



     หลังจากจบประโยค ผมก็ยืนรออยู่อย่างนั้นประมาณห้านาทีได้ไอ้คนในห้องมันถึงได้โผล่หน้าออกมาช้าๆ



     สาบานได้ว่าสภาพนี้ของมันไม่ได้น่ามองเลย
     ดวงตาบวมแดงที่บ่งบอกได้ว่าก่อนหน้านี้ได้ผ่านการเสียน้ำตาอย่างหนัก
     ผมรู้ว่ามันเสียใจ เพราะมันรักน้องกวางมากขนาดไหนผมเองก็รู้ดี



     “ยังไม่หิว…”   ไอ้เสือว่าเสียงเรียบ ก่อนจะดึงผมให้เข้าไปในห้องมันอย่างรวดเร็วจนผมตั้งตัวไม่ทัน “แต่อยู่เป็นเพื่อนหน่อยได้มั้ย?”   แม้สีหน้าจะราบเรียบขนาดไหน แต่ผมก็สัมผัสได้ว่าในแววตานั้นโคตรเว้าวอน

ผมพยักหน้าตอบตกลงแทนคำพูด ก่อนจะหันไปปิดประตูห้องและเดินไปนั่งบนเตียงมันเงียบๆ




     “ถ้ายังคิดไม่ออกก็นอนพักก่อน”   สักพักใหญ่ๆกว่าผมจะพูดออกมา  อาจจะเพราะการกระทำของคนตรงหน้าที่กำลังนั่งพิมๆพ์ลบๆ งานในคอมอยู่อย่างนั้นตั้งแต่ที่ผมเข้ามา 
ผมว่าอย่างนั้นพร้อมกับไกวเปลน้องกวางไปมาเมื่อเห็นว่าเธอเริ่มขยับยุกยิก


ไอ้เสือนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้นไปปิดไฟ ทั้งห้องเลยเริ่มเข้าสู่ความมืด  หลังจากนั้นผมถึงได้รู้สึกถึงเตียงนอนที่ยวบลง เพราะไอ้เสือได้ทิ้งตัวลงนอนข้างๆ
ในส่วนของผมก็ทิ้งตัวลงนอนบ้างหากแต่ไม่ได้หลับตานอนอย่างที่ควรจะเป็น 



     “มึงคิดเหมือนกูมั้ย? ว่าแก้มเขาแค่พูดเล่น”   นานพอสมควรกว่าที่เสียงทุ้มพูดขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ


     “ไม่รู้สิ”  ผมรู้ว่ามันก็รู้ดีอยู่แก่ใจ แต่จะให้ตอบไปโต้งๆเลยว่า พี่แก้มเขาไม่น่าจะล้อเล่นก็กลัวมันจะเสียใจมากกว่าเดิม
ชีวิตคนเรามันจะทนรับเรื่องร้ายๆได้มากขนาดไหนกัน ต่อให้เคยผ่านมันมาแล้วก็เถอะนะ  บทเรียนที่ได้เจอในแต่ละวันมันเหมือนกันเสียที่ไหน



     ผมรู้ว่าไอ้เสือมันเป็นคนเก่ง เข้มแข็ง และจัดการกับชีวิตตัวเองได้



     แต่ก็ใช่ว่าคนเก่งจะไม่มีจุดอ่อน…  คนเราล้มได้ตลอดเวลา



     และคนเก่งคนนี้กำลังหลงทาง  ไอ้เสือขยับตัวเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น ช่วงแขนยาวโอบกอดรอบเอวผมอย่างแน่นหนาพร้อมกับซุกหน้าลงที่อกผมอย่างหมดแรง 



     “ถ้าอยากแน่ใจ พาน้องกวางไปตรวจ DNA สิ”   ผมว่าอย่างนั้นพร้อมกับลูบศีรษะมันไปมาเพื่อปลอบประโลม เนื่องจากสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นที่กำลังแผ่กว้างตรงอกผม   



     “ไม่เอา”  มันส่ายศีรษะไปอยู่สองครั้งพร้อมกับตอบปฏิเสธ “กูอยากรู้… แต่ก็กลัวเกินกว่าที่รู้ได้”



     “แต่มันก็ถึงขั้นนี้แล้วมึงจะทำยังไง? กูรู้ว่ามึงรักน้องกวางมากแน่นอนว่าพี่เขาเองก็รักน้องกวางไม่แพ้กัน ไม่อย่างนั้นคงไม่มีเหตุการณ์แบบวันนี้เกิดขึ้น”   



จากคำบอกเล่าของพี่แก้ม เธอบอกว่าในตอนนั้นก่อนที่จะรู้ตัวเองว่าท้อง เธอเผลอไปมีวันไนท์แสตนด์กับใครคนหนึ่งเข้า ด้วยความเผอเรอเธอดันลืมป้องกัน ไม่ว่าจะทางไหนเธอก็ลืมไปหมด


ช่วงนั้นที่เธอเที่ยวหนักก็เพราะว่าไอ้เสือมันไม่มีเวลาให้ ทะเลาะกันบ้างงอนกันบ้าง ตามประสาผู้หญิงเลยออกไปเที่ยวกับเพื่อนเพื่อประชดแฟน แต่ใครจะรู้ว่าการประชดครั้งนั้นจะเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตเธอในอีกสามเดือนต่อมา


เธอจะกลับบ้านทั้งที่ท้องโย้ก็ไม่กล้า ครั้นจะไปหาผู้ชายคืนเดียวของเธอคนนั้นก็ยาก เพราะไม่รู้ว่าเขาเป็นใครมาจากไหน แม้จะจำหน้าได้ในตอนเช้าหลังจากที่ได้สติ แต่เธอก็ไร้หนทางจริงๆที่จะตามหา


พี่แก้มบอกว่าในตอนนั้นเธออาจจะผิด แต่มันก็เป็นหนทางเดียวที่จะทำได้จริงๆ นั่นคือการบอกไอ้เสือว่าท้อง ระหว่างที่ตั้งท้องเธอตระหนักได้ว่าทำให้ชีวิตคนคนหนึ่งยากมากขึ้นกว่าเดิม  ในตอนนั้นที่คลอดน้องกวางแล้ว เธอทั้งรู้สึกผิดและสับสนมากกว่าเดิมเป็นล้านเท่า ไม่รู้ว่าจะเอายังไงต่อดีกับชีวิต และสุดท้ายท้างที่เลือกเดินคือการเดินหนีออกมาจากชีวิตของทั้งคู่ แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าน้องกวางไม่ใช่ลูกของไอ้เสือ แต่เธอก็ยังคงทิ้งลูกไว้กับคนอื่น 

เธอเห็นแก่ตัวมากเธอรู้ดี  แต่ตอนนั้นที่หนทางมันมืดมนมากกว่าตอนนี้ ด้านมืดในความคิดเลยสั่งให้เธอทำเรื่องเห็นแก่ตัวอย่างไม่น่าให้อภัย



ผมเองก็ไม่รู้จะปลอบเธอยังไง ในเรื่องนี้ปฏิเสธไม่ได้หรอกนะว่าผมเข้าข้างไอ้เสือ อาจจะเพราะผมรักมัน แต่ในเรื่องของความเห็นใจ ผมเองก็เห็นใจทุกคน มันช่างเป็นอะไรที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก




     “ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำยังไง…”  มันตอบเสียงแผ่ว แต่หยดน้ำตาที่กำลังไหลไม่ได้แผ่วลงเหมือนน้ำเสียงเลยแม้แต่น้อย



     “ไม่เคยกลัวอะไรมากขนาดนี้มาก่อนเลย”  ไอ้เสือว่าอย่างนั้น



     “ถ้าไม่รู้ว่าจะทำยังไง กูว่าตอนนี้มึงนอนก่อนดีกว่ามั้ย?…” ไอ้เสือส่ายหน้าปฏิเสธอีกครั้ง



     “อีกไม่กี่ชั่วโมงก็เป็นวันใหม่แล้ว”    ว่าอย่างนั้นก็ลูบศีรษะมันไปมา อ้อมแขนนั้นก็กออดกระชับรอบเอวผมมากยิ่งขึ้น เหมือนกลัวว่าผมจะหายไปไหน



     แต่ผมไม่หายหรอกนะ… จะอยู่ตรงนี้ข้างๆมันเสมอ

     และไม่ว่าจะอยู่ตรงส่วนไหนของชีวิตมันผมก็จะอยู่

     ทุกครั้งที่มองหา ไอ้เสือจะได้เจอผมเป็นคนแรก



     จนในที่สุดคนที่ปฏิเสธการพักผ่อนก็หลับใหลเข้าสู่ห้วงนิทราในที่สุด 





     TBC...




     เห้อออออ โล่งมากกกก ในที่สุดก็มีเวลามาต่อสักที  ไม่มีอะไรจะพูดเลยค่ะ เพราะมันเยอะมากจนจะกลายเป็นนิยายอีกหนึ่งเรื่องไปแล้ววว งื้ออออ

เอาเป็นว่าขอบคุณนักอ่านทุกคนมากเลยนะคะ ที่ยังคงติดตามกัน ฮืออออ ขอโทษมากๆที่เหลวไหลไม่ยอมมาต่อนิยาย
แต่ก้ใจหายเหมือนกันนะคะ เพราะว่าตอนหน้าก็จบแล้ว ตอนแรกคิดว่าจะเขียนสัก ยี่สิบสี่ตอนแต่คิดว่ามันยืดเยื้อไป  ตอนที่ว่านั้นเลยว่าจะเอาไปไว้ในตอนพิเศษ

เจอกันตอนหน้านะคะ

รัก

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
ห๊ะ!!!จะจบแล้ว คู่นี้สถานะยังอึนๆอยู่เลย :ling1:

ออฟไลน์ Destiny

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 108
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
แล้วก็เป็นไปตามที่คาด น้องกวางเป็นลูกของหมาก บอกตรงๆผิดหวังมาก ชีวิตของเสือมันเหี้ยมาตลอดตั้งแต่ต้นเรื่อง แม่ตาย พ่อมีเมียน้อย เมียท้องทั้งที่ยังเรียนไม่จบ ถูกไล่ออกจากบ้าน เมียหนี ทำงานเลี้ยงลูกคนเดียว ไม่มีเงินแม้แต่จะกินข้าว เกือบจะฆ่าตัวตาย มีความรักครั้งใหม่ก็ต้องทำใจว่าจะไม่สมหวังเพราะเป็นผู้ชายเหมือนกัน สุดท้ายเหมือนกับว่าทั้งหมดทั้งมวลนั้นยังไม่สาแก่ใจคนแต่ง ต้องเหยียบซ้ำให้จมดิน ด้วยความจริงที่ว่าลูกก็ไม่ใช่ลูกตัวเองอีก แปลกใจจริงๆว่าตอนหน้าจะตัดจบไปได้อีท่าไหน ชีวิตคงไม่ง่ายแบบนั้น ให้เสือฆ่าตัวตายประชดชีวิตไปเลยรึเปล่า อ่านแล้วหดหู่จริงๆ ถ้านี่เป็นความตั้งใจของคนเขียน ที่จะทำให้เป็นนิยายสายดาร์ค ก็ถือว่าคุณประสบความสำเร็จนะคะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด