บทนำ : แรกพบ
“ชั้นยี่สิบสามนะลุง “เสียงแผ่วเบาออกจากปากของเพิง ชายหนุ่มยืนอยู่หน้าลิฟต์ในอาคารสำนักงานแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ในย่านธุรกิจ ใจกลางเมือง เขาใช้เวลาระหว่างรอลิฟต์มองไปรอบๆ โถงทางเข้าอาคารโอ่อ่า ได้รับการออกแบบและตกแต่งอย่างสวยงามและทันสมัย และนั่นทำให้เขากังวลขึ้นมา
“บริษัทใหญ่แบบนี้เขาจะให้ผมเข้าพบเหรอ” ชายหนุ่มยังคงพูดด้วยเสียงแผ่วเบา หลังจากสังเกตแล้วว่าไม่มีใครยืนอยู่ใกล้พอที่จะได้ยิน โชคดีที่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาพักเที่ยงหรือเข้างาน คนรอลิฟท์จึงไม่มากนัก
ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ ก่อนเดินเข้าไปในลิฟต์ ระหว่างที่ลิฟท์เลื่อนขึ้นแต่ละชั้นใจก็เต้นโครมคราม มันดังขึ้นเรื่อยๆ ราวกับจะทะลุออกมาจากอก ให้ทำมาแล้วกี่ครั้งเขาก็ยังไม่ชินกับมันเสียที
เพิงลืมตาขึ้นเมื่อลิฟต์หยุดที่ชั้นยี่สิบสาม เขาก้าวเท้าออกจากลิฟต์แล้วหยุดนิ่งโดยไม่ก้าวต่อไปไหน
“รอก่อนใช่ไหม” เพิงพูดแล้วเงียบเสียงลง ผ่านไปราวสิบห้านาทีเขาจึงเดินผ่านประตูกระจกขนาดใหญ่เข้าไป เดินผ่านเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ที่ตอนนี้พนักงานสาวคนหนึ่งกำลังก้มตัวลงไปทำอะไรบางอย่าง เขาเดินผ่านเธอไปเงียบๆ
เพิงเดินตรงไปเรื่อยๆ ก่อนหยุดอยู่หน้าประตูกระจกบาน เขาเปิดประตูเข้าไป กวาดตามองรอบๆ มีโซฟาและโต๊ะรับแขกตั้งอยู่ด้านหนึ่ง อีกด้านมีโต๊ะทำงานตั้งอยู่ติดกับประตูบานใหญ่ เขาเดาว่าน่าจะเป็นโต๊ะทำงานของเลขาเจ้าของห้องด้านใน แต่ขณะนี้ไม่มีใครนั่งอยู่
“ไปห้องน้ำ?” ชายหนุ่มทวนคำแล้วนิ่ง คล้ายกำลังฟังบางอย่าง
“ต้องเข้าไปเลยใช่ไหม” เพิงพูดจบแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เขาเคาะประตูสองสามครั้งเพื่อขออนุญาตคนด้านใน
“เข้ามาได้” เสียงดุดังออกมา เพิงพยายามคาดเดาคนที่จะได้พบจากเสียงที่ได้ยิน เขาเปิดประตูเข้าไป พยายามเดินให้เงียบที่สุดไปหยุดอยู่หน้าโต๊ะทำงานตัวใหญ่ มองตรงไปยังชายหนุ่มที่กำลังก้มหน้าเซ็นเอกสาร
อืม..เหมือนจะยังหนุ่มอยู่เลย ผิดกับที่เขาคาดเดาไว้ ว่าคนทำตำแหน่งนี้น่าจะแก่กว่านี้สักนิด ถึงจะได้รับข้อมูลมาแล้วก็เถอะ ว่าคนที่ต้องมาพบเป็นลูกชายเจ้าของบริษัท จึงขึ้นมาบริหารงานตั้งแต่อายุยังน้อย แต่น้อยที่เขาคิดไว้คือสี่สิบปีขึ้นไป
เพราะมัวแต่คิดอะไรเพลินๆ จึงเผลอสะดุ้งเมื่อคนที่นั่งอยู่เงยหน้าขึ้นมา สายตาคู่นั้นดูแปลกใจที่เห็นเขา ก่อนเปลี่ยนเป็นสายตาดุดันในพริบตา มันทำให้ชายหนุ่มรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวราวกับคนทำความผิดมา
“มีธุระอะไรครับ” คำพูดแม้จะสุภาพแต่น้ำเสียงกลับให้ความรู้สึกเย็นยะเยือก เหมือนน้ำแข็งขั้วโลกเหนือ ไหนจะสายตาดุที่เหมือนมีไฟโหมไหม้อยู่ในนั้น
“คือ....” เพิงชะงัก เริ่มต้นประโยคไม่ถูกเอาเสียแล้ว ได้แต่คิดว่าหมอนี่น่ากลัวชะมัดยาด
“สวัสดีครับ” เมื่อคิดอะไรไม่ออกเขาจึงเริ่มด้วยการทักทาย
“ครับ” เสียงตอบกลับยังคงระดับความเย็นไว้ได้ดีเยี่ยม
“ผมจำได้ว่าผมไม่มีนัดกับใครหรือบริษัทใดในเวลานี้ และเลขาผมก็ไม่ได้แจ้งว่าจะมีใครขอเข้าพบ”
เพิงกลืนน้ำลายลงคอ รู้ชะตากรรมตัวเองทันที หมอนี่พูดด้วยไม่ง่ายแน่นอน
“คือ..เลขาของคุณน่าจะไปเข้าห้องน้ำครับ ไม่ได้นั่งอยู่ที่โต๊ะ” เพิงพูดออกไปแล้วก็นึกอยากจตบปากตัวเอง รู้ทั้งรู้ว่าความหมายที่ชายหนุ่มพูดหมายถึงอะไร ก็ยังจะเถรตรงตอบไปแบบนั้น
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็แจ้งธุระมาได้เลยครับ ว่าต้องการพบผมเรื่องอะไร” เสียงถอนหายใจดังราวกับต้องการให้เขาได้ยิน ไหนจะสายตาที่มองมาแบบไม่ไว้วางใจนั่นอีก ชายหนุ่มนึกอยากหันหลังกลับมันเสียดื้อๆ ไม่อยากเสียเวลาอยู่ในห้องนี้อีกแล้ว
“ผมชื่อพรรษาครับ ผมไม่ได้มาติดต่อธุระเรื่องงาน เอ..หรือว่าเกี่ยว” เพิงพูดเองค้านเอง ยิ่งทำให้ภามชนหงุดหงิดยิ่งขึ้น ชายหนุ่มมองสำราจคนตรงหน้า รูปร่างหน้าตาธรรมดา แต่งตัวแปลกๆ ไม่ได้ดูแย่แค่รู้สึกแปลกตา
“เอ่อ.. ผมอยากถามว่าคุณขับรถเองหรือใช้คนขับรถครับ”
!!
นั่นไง!เขากะแล้วเชียว สายตาที่มองมาบอกให้รู้ว่าคนตรงหน้าไม่ไว้วางใจเขาถึงขีดสุดแล้ว ทำอย่างไรได้เล่า จะให้เขาพูดเข้าเรื่องเลยมันก็ฟังพิลึกเกินไป แต่จะว่าไปประโยคแรกของเขาก็ห่วยพอกัน ที่คิดเตรียมไว้ว่าจะพูดประมาณไหนดันลืมหมด เพราะถูกจ้องเขม็งด้วยสายตาลุกเป็นไฟแต่เย็นเป็นน้ำแข็งของหมอนี่
“ผมว่าคุณกลับไปก่อนดีกว่า ถ้ามีธุระอะไรติดต่อกับเลขาผมเข้ามาใหม่ เขาจะรับเรื่องและทำนัดหมายให้เอง” ภามชนยังพูดด้วยความสุภาพ แต่ต่างฝ่ายต่างรู้ว่านี่คือการไล่ทางอ้อม
“ขอเวลาผมเดี๋ยวเดียวครับ ผมมีเรื่องจะพูดกับคุณไม่มาก ไม่เกินสามนาทีครับ” เพิงพยายามส่งสายตาขอร้องไปยังชายหนุ่มร่างสูง รีบพูดต่อก่อนที่อีกฝ่ายจะขัดขึ้นมา
“คือ..มันอาจฟังไม่เข้าทีแต่ผมอยากให้คุณเชื่อผมครับ พักนี้ผมอยากให้คุณระวังเรื่องรถราไว้บ้าง ไปไหนมาไหนให้ระวังด้วย” เอาล่ะในที่สุดก็พูดออกไปแล้ว
“คุณพูดว่าอะไรนะ” เสียงที่เข้มขึ้นไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนพูดเชื่อเขาแค่ไหน
“ผมบอกว่าให้คุณน่ะ...” เพิงชี้มือไปที่ชายหนุ่มประกอบคำพูด
“ระวังเรื่องรถรา เรื่องอุบัติเหตุทางรถไว้บ้าง อาจมีเหตุไม่คาด..” เพิงยังพูดไม่จบประโยค ชายหนุ่มตรงหน้าก็คว้าโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา
“คุณกาญจนาเรียกรปภ.เข้ามาในห้องทำงานผมด้วย”
“เฮ้ยยคุณ!! “เพิงเรียกเสียงหลง “ไม่ต้องขนาดนี้ก็ได้มั้ง ผมมาพูดด้วยดีๆ นะ”
“ผมว่าคุณกลับออกไปจะดีกว่า ไปตอนที่ผมยังยอมให้ออกไปโดยดี ไม่เอาเรื่องที่คุณบุกรุกเข้ามา”
“ผมมาช่วยคุณนะ มาเตือนด้วยความหวังดี ว่าให้ระวังตัว ระวังคุณจะเจออุบัตเหตุเอาชีวิตไม่รอด” เพิงพลั้งปาก รัวคำพูดแบบไม่ทันได้กลั่นกรองให้ออกมาดีเสียก่อน ช่วยไม่ได้เขาเองก็โมโหเป็นเหมือนกัน หมอนี่นิสัยแย่มาก ถึงจะไม่เชื่ออย่างน้อยก็ควรซักถามกันก่อนไม่ใช่เหรอ
“ทีแรกผมนึกว่าคุณเป็นพวกหมอดูหลอกเอาเงิน ตกลงเป็นพวกข่มขู่เหรอ” ร่างสูงลุกขึ้นยืน ก้าวออกจากโต๊ะ ย่างสามขุมตรงมาหาเขา
เพิงเงยหน้าขึ้น พอเห็นแบบนี้ถึงรู้ว่านายน้ำแข็งไฟสูงชะมัด น่าจะเกินร้อยแปดสิบเซนติเมตร หน้าตาแบบนี้เรียกว่าหล่อบาดใจ หล่อจนน่าอิจฉา
เดี๋ยว!เพิงรีบสะบัดศีรษะ หน้าสิ่วหน้าขวานเขายังคิดเรื่องพวกนี้ออกอีกนะ
“ผมไม่ได้ข่มขู่คณ ผมมาด้วยความหวังดี”
“ใครให้คุณมาขู่ผม ต้องการอะไร” ภามชนจับแขนอีกฝ่ายไว้ เพิงพยายามสะบัดออก แต่มือแข็งแรงบีบแน่นเสียจนไม่อาจทำได้ หมอนี่แรงเยอะเป็นบ้า
“เอาเถอะคุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจ ผมถือว่าผมบอกคุณแล้ว” เพิงพยายามจ้องกลับ ถึงใจจะสั่นแต่ก็ต้องทำเป็นมั่นใจเข้าไว้
“บอกมา ใครให้คุณมาพูด ใครจ้างคุณมา” มือที่จับยิ่งบีบแน่นขึ้น จนเพิงรู้สึกเจ็บขึ้นมาจริงๆ
“ไม่มีใครจ้างทั้งนั้น มีคนเป็นห่วงคุณ เขาอยากให้ผมมาเตือนคุณ ผมก็เลยมา มันก็แค่นั้น” เพิงพูดไปก็พยายามสะบัดแขนตัวเองไป มันเจ็บนะเว้ยไอ้หมอนี่ไม่รู้หรือไง
“ใคร!บอกมาสิว่าใครให้คุณมาพูด”
“บอกไม่ได้” เพิงใช้เสียงดังเข้าข่ม พอยืนเทียบกันแบบนี้ จากที่เขาตัวสูงกลายเป็นเตี้ยไปเลย
เสียงประตูห้องทำงานเปิดออก รปภ.สองนายวิ่งเข้ามาพร้อมผู้หญิงคนนึง เพิงเดาว่าคงเป็นเลขาของชายหนุ่ม
“คุณภามเกิดอะไรขึ้นคะ เป็นอะไรหรือเปล่าคะ” ผู้หญิงคนนั้นถามขึ้น แต่หมอนี่ไม่คิดจะหันไปมอง สายตายังจ้องประสานกับสายตาของเขา
“คุณกาญจนาเรียกตำรวจให้ผมที”
“คะ?”
“เฮ้ย...” เสียงร้องของคนสองคนดังขึ้นพร้อมกัน คนนึงแปลกใจ อีกคนตกใจจนแทบเป็นลม
“นี่คุณ มันจะเกินไปแล้วนะ”
รอยยิ้มเหยียดที่มุมปากของชายหนุ่มทำเอาเขานึกคันไม้คันมือ นี่ถ้าไม่อยู่ในสถานการณ์ตกเป็นรอง เขาจะต่อยให้ยิ้มไม่ออกเลยคอยดู
“งั้นก็บอกมา ถ้ายอมบอกความจริงผมอาจจะยอมปล่อยคุณไปก็ได้”
“ผมไม่มีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรทั้งนั้น ที่มาบอกก็เพราะเป็นห่วง ไม่ใช่การข่มขู่” เพิงยังยืนยันคำเดิมอย่างมุ่งมั่น
“คุณก็คิดเสียว่าเหมือนจิ้งจกร้องทักสิ มีคนทักคุณก็ระวังตัวไว้หน่อย มันก็แค่นั้นเอง ผมก็ไม่ได้เรียกร้องเงินทองคุณไม่ใช่เหรอ” เพิงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลง ลองเอาน้ำเย็นเข้าลูบเผื่อชายหนุ่มร่างสูงจะเย็นลงบ้าง
“เราเคยรู้จักกันไหม”
เสียงจะเย็นไปถึงไหนวะ เสียงเย็นแต่ทำไมใจไม่เย็นบ้างนะ เอาแต่ข่มขู่เขาอยู่ได้
“ไม่เคยครับ” เพิงตอบไปตามความจริง “เอาอย่างนี้” ชายหนุ่มพูดอย่างใจป้ำ
“คุณคิดเสียว่าผมเป็นคนไม่เต็มก็ได้ คิดเสียว่าเจอคนบ้า ผมไปละปล่อยมือได้แล้ว” เพิงออกแรงสะบัดมือข้างนั้นอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่หลุดอยู่ดี สายตาที่มองมาเหมือนประเมินเขาอยู่ สุดท้ายก็ยอมปล่อยมือ
เพิงรีบหันหลังเตรียมเดินออกไปจากห้อง แต่เสียงที่ลอยตามมาทำเอาเขาอยากบ้าขึ้นมาจริงๆ
“คุณกาญจนาให้รปภ.ตามออกไปส่งผู้ชายคนนี้ถึงหน้าตึกด้วย และสั่งห้ามอย่าให้เข้ามาในตึกได้อีก”
มันน่าต่อยให้ตายไหม จบประโยคนี้ รปภ.เดินเข้ามาประกบหลังเขาทันที ยังดีที่ไม่ได้ลงมือลากเขาออกไป แต่ก็ให้ความรู้สึกไม่ต่างกันเท่าไหร่
ก่อนจะพ้นห้อง เพิงหันกลับไปมองชายหนุ่มที่ตอนนี้ก็ยังคงมองมาที่เขา ได้แต่จดจำเอาไว้ในใจ
ฉันจะจำนายไว้ นายน้ำแข็งไฟ
ด้วยการอันเชิญของสองรปภ. ตอนนี้เพิงกระเด็นออกมายืนนอกตัวตึกเป็นที่เรียบร้อย ให้ตายเถอะ เขาโกรธจนลมออกหู มันต้องได้ด่าใครสักคนเพื่อระบายอารมณ์ ว่าแล้วชายหนุ่มก็หยิบโทรศัพท์ออกมา ในกระเป๋าของเขามีโทรศัพท์อยู่สองเครื่อง เพิงเลือกหยิบเครื่องหนึ่งขึ้นมาโดยไม่ได้กดหมายเลขใดๆ
“สมใจแล้วใช่ไหมลุง” ไม่ต้องสวัสดีไม่ต้องทักทาย ชายในวัยห้าสิบกว่าๆ นั่งลงข้างเขาพร้อมกับส่งยิ้มปลอบใจมาให้
“เห็นใจคุณภามหน่อยเถอะนะ เรื่องมันก็ชวนเข้าใจยากอยู่”
“รู้ทั้งรู้ว่างมันเข้าใจยาก ลุงก็ยังให้ผมไปบอกอีก” เพิงค่อนขอดคนพูด เขายังถือโทรศัพท์เหมือนเดิม สายตามองตรงไปข้างหน้า ไม่ได้มองไปยังคุณลุงที่นั่งอยู่ด้านข้าง เรื่องนี้ชายหนุ่มชำนาญมาก เพราะทำมาตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็ก
“เฮ้อ ผมไม่น่าสบตาลุงเลย ไม่น่ามีธุระแถวตึกนี้เลย” ชายหนุ่มเริ่มออกอาการพาลเพราะยังไม่หายโมโห
“แต่ถ้าเราไม่มาลุงคงกลุ้มใจ นอนตายตาไม่หลับแน่” ลุงในวัยห้าสิบทำเสียงประจบ
เพิงถอนหายใจยาว หนึ่งเพื่อไล่ความหงุดหงิดออกไป สองเพราะคำพูดเมื่อครู่ของลุง
“ลุง ลุงตายไปแล้ว ไม่ต้องกลัวนอนตายตาไม่หลับหรอก”
ใช่แล้ว เพิงสามารถมองเห็นและสื่อสารกับคนที่ตายไปแล้วได้ หรือเรียกง่ายๆ ก็คือเขามองเห็นผีและคุยกับผีได้
“ลุงตายแล้วก็จริงแต่ลุงยังห่วงอยู่หลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องคุณภาม ยังไงก็ช่วยลุงหน่อยนะ ลองดูอีกที ลุงขอร้อง”
เพิงถอนหายใจยาว รู้สึกได้ว่าเขาสลัดเรื่องนี้ไม่พ้นแน่
“เอาอย่างนี้ลุงตามผมไปบ้านได้ไหม จะได้คุยกันสะดวกๆ ผมขี้เกียจถือโทรศัพท์”
“ลุงเข้าได้เหรอ” เสียงถามกลับบ่งบอกความไม่มั่นใจ
“ได้ เดี๋ยวผมบอกท่านเจ้าที่ให้ ลุงจะไปไหม”
คนนั่งข้างๆ พยักหน้ารับทันที
“งั้นไปกันเถอะ” เพิงเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าก่อนลุกขึ้นยืน เป็นอีกครั้งที่เขาถอนหายใจยาว ได้แต่บอกตัวเองว่า ช่างเถอะ ถึงยังไงนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรก การช่วยคนก็ถือว่าเป็นความดีอย่างนึก แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อนึกถึงหน้าคนที่ต้องช่วย เขาก็อดเบะปากไม่ได้ หล่อเสียเปล่าคนอะไรวะ