《 CONTACT LOVE 》สัมผัสร้าย สัมผัสรัก >> สัมผัสที่ไหวหวั่น15 (UP-10/07/2017) END.
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: 《 CONTACT LOVE 》สัมผัสร้าย สัมผัสรัก >> สัมผัสที่ไหวหวั่น15 (UP-10/07/2017) END.  (อ่าน 60126 ครั้ง)

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
จบจริงอะ  :a5: ไม่ทันได้ตั้งตัว มัวแต่กังวลเรื่องดราม่าครอบครัว

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8

ออฟไลน์ oilzaza001

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
Fin แล้วก็จบลงด้วยดี
เทพทัต คิสตัล  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
แด๊ดดี้ แกล้งแรงไปหรือเปล่า เสียเลือดเสียเนื้อเลย
อู้ย......เรียกที่รัก ที่รักกัน แล้วก็เขินหูแดงหน้าแดง
แต่ทัต นี่ไม่แดงแต่หูนี่สิ ครงอื่นมัันมาทิ่มขาคริสเลย
แล้วก็เสร็จโรงเรียนทัต ไปอย่างที่เคยเป็น   :ling1: :ling1: :ling1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ catka12

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 578
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-0
ขอแบบหวานพิเศษใส่ไข่สองนะค่ะ  :call:

ออฟไลน์ mooping-7

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2527
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-5
หวานหยดจ้าาาา

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ MyMinT1990

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-1
สัมผัสพิเศษ♡




วันแรกของการเปิดภาคเรียนได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว คริสตัลมามหาวิทยาลัยด้วยรถหรูของเทพทัตตามเดิมแต่ที่เพิ่มเติมคือบรรดาสายตาของผู้สงสัยทั้งหลายแหล่ จริงๆแล้วเค้าก็ลืมไปว่าเรื่องราวต่างๆมากมายที่เกิดขึ้นนั้นมันเป็นช่วงปิดเทอมซึ่งบรรดานักศึกษาในมหาวิทยาลัยไม่รู้ไม่เห็นจึงไม่แปลกที่จะมองเค้าด้วยสายตาฉงนทันทีที่เค้าก้าวลงจากรถพร้อมๆกับผู้เป็นเจ้าของ

“วันนี้เลิกบ่ายสามใช่ไหม?”

ถามพร้อมยกมือขึ้นยีหัวคนน้องเบาๆแต่ก็โดนคนน้องปัดทิ้งในเวลาต่อมา

“คนเยอะแยะ อายบ้างเหอะทัต”

“อายทำไม แค่แสดงความเอ็นดู”

คริสจิ๊ปากใส่คนพี่ไปทีจนทั้งคู่เดินมาถึงโต๊ะประจำที่คริสชอบนั่งกับเพื่อนๆ ทว่าจนบัดนี้เค้าก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเพื่อนเลยสักคน

“เอาไง ให้อยู่เป็นเพื่อนไหม?”

คริสตัลส่ายหน้าปฏิเสธ ตัวเองมีเรียนเก้าโมงส่วนทัตมีเรียนแปดโมง ใช่เรื่องไหมที่จะให้เสียการเรียนมานั่งเฝ้ากันอยู่แบบนี้

“เดี๋ยวโทรตามพวกมันเอา ยูไปเรียนเหอะ”

“มั่นใจนะ?”

“โว๊ะ นี่มันมหาลัยนะทัต ใช่ว่าจะมีใครมาฉุดเอาซะหน่อย”

“ก็ไม่แน่ ไม่รู้ตัวเลยรึไงว่าตัวเองน่าฉุดยิ่งกว่าเมื่อก่อนอีก”

ถ้าพูดให้ถูกก็คือออร่าความเป็นเมียได้ถูกกระตุ้นจนมันเอ่อล้นแทบจะกลายเป็นฟีโรโมนให้เหล่าตัวผู้ทั้งหลายได้จับจ้องกันตาเป็นมัน ทัตเองก็รู้ในข้อนี้จึงได้แต่เทียวจ้องคนที่จ้องน้องตอบแบบข่มขู่ทางสายตา ถ้าใครกล้าคือรนหาที่ตายชัดๆ

“พูดบ้าอะไรวะ ไอก็ผู้ชายไหม มีมือมีตีนเหมือนกันไหม”

“หึ ตัวแค่นี้จะไปสู้อะไรใครได้”

ว่าแล้วก็ล็อคคอคนน้องเข้ามาแนบอก คริสพอตั้งตัวได้เลยพยายามดันทั้งผลักทั้งเตะแต่ก็ไม่เป็นผล

“เห็นไหมละ แรงอย่างกันมด”

“นั้นเพราะยูตัวใหญ่เกินไปต่างหากทัต คนอื่นเค้าไม่ได้เป็นยักษ์เหมือนยูทุกคนนะ”

“โอเคๆ งั้นโทรหาใครสักคนก่อน พอใกล้เวลาเดี๋ยวพี่ค่อยเข้าก็ได้”

คริสพยักหน้ารับแล้วควานหาโทรศัพท์ทันทีที่ทัตปล่อยแขนออกจากตัว ทั้งสองคนนั่งอยู่ที่ม้านั่งในฝั่งเดียวกันทั้งที่มีที่ว่างอีกตั้งสามที่ ก็แล้วไง คนหวงเมียจะประกาศศักดาใครจะทำไม

“ฮัลโหล มึงอยู่ไหนวะ?”

/พึ่งออกเว้ย เหลือเวลาอีกเป็นชั่วโมงมึงจะรีบไปไหนไม่ทราบ?/

“สัส กูมากับทัต ทัตมีเรียนเช้าไง”

/อ้อ ที่แท้ก็มากับผัว/

“เชี่ยมิกส์!”

/หรือจะเถียงกู ปิดทงปิดเทอมอุสานัดเที่ยวกันเสือกติดต่อไม่ได้แล้วเปิดเทอมมาเพื่อนกูมีผัวเป็นตัวเป็นตนเลย/

“มึงรีบมาให้กูเตะปากดิ๊”

/ฮ่าๆๆๆ ไม่เอาสิตัวเอง ไม่เขินน๊า/

คริสตัลได้แค่ขนเคี้ยวเขี้ยวฟันอยู่อย่างนั้นในขณะที่คนปลายสายหัวเราะรวน

/ไอ้นายก็อีกคน เงียบไปเลยสัส มึงรู้ไหมว่ามันหายไปไหน?/

“ไม่รู้”

/เอ๊า ปกติมันตัวติดกับมึงจะตาย เป็นไปได้เหรอที่พวกมึงจะไม่รู้ตารางชีวิตกัน/

“กูไม่ใช่เจ้าของชีวิตมันจะได้รู้ไปซะทุกเรื่อง”

/เอาจริงนะคริส นี่มึงไม่รู้อะไรจริงๆเหรอ?/

คริสตัลถึงกับหมุนหัวคิ้ว

“รู้อะไรวะ?”

/เออ ช่างแม่งเหอะ แค่นี้นะไฟเขียวแล้วกูจะขับรถ/

“เออๆ”

ว่าจบก็ตัดสายฉับไปซะไวว่อง คริสยังคงตีคิ้วมุ้ยจนคนพี่นึกสงสัย

“มีอะไร?”

“ไอ้มิกซ์มันพูดให้งงอะ นี่ยังไม่รู้เรื่องกันดีก็ชิ้งตัดสายหนีไปซะงั้น”

“หึ งั้นเพื่อนมาถึงก็ค่อยคุยกันใหม่สิ สรุปเพื่อนอยู่ไหนแล้ว?”

“พึ่งออกมา คอนโดไอ้มิกซ์อยู่ไม่ไกลหรอก เดี๋ยวก็มาถึง”

“โอเค”

ตอบรับแล้วก็ล้วงเอาโทรศัพท์ตัวเองมาเล่นหน้าตาเฉย คริสมองตามตาปริบๆอุสาบอกว่าเดี๋ยวก็ถึงกะให้มันคลายใจแล้วขึ้นตึกไปเรียนแต่มันกลับนั่งต่อซะงั้น เอาเถอะ หัวสมองระดับมันการเข้าเรียนก็คงเหมือนไปนั่งฟังนิทานนั่นแหละนะ

คริสยกมือเท้าคางเมียนมองไปรอบด้านสายตาเนืองๆ เป็นปกติที่พอเปิดเทอมแล้วทุกคนจะทำสีหน้าแบบนี้ มีใครบ้างที่ไม่รู้สึกขี้เกียจหรือเบื่อหน่ายกับการต้องตื่นแต่เข้ามาเข้าเรียนหลังจากที่หยุดเป็นเวลานานๆ

“คริส”

มีเสียงแรกจากอีกด้านพอคริสหันไปมองก็ยิ้มแป้นตอบเพื่อน นายเข้ามานั่งฝั่งตรงข้ามด้วยสีหน้าโทรมจนคริสอดสงสัยไม่ได้

“ไปทำไรมาวะ โคตรโทรมเลย”

“แค่นอนไม่พอนะ แล้วนี่กินไรมายัง?”

“อืม เรียบร้อยแล้ว มึงยังไม่กินเหรอ?”

“เออ ไปโรงอาหารเป็นเพื่อนหน่อยดิ”

“ได้ๆ แต่รอไอ้มิกซ์แป๊บ มันกำลังมา”

นายพยักหน้ารับก่อนจะเสมองไปยังใครอีกคนที่ยังคงนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่นิ่งเหมือนพยายามไม่มีตัวตนให้ใครเห็น

“ทัต”

เป็นคริสที่หันไปสะกิดเรียก

“หืม?”

“ไอ้นายมาแล้ว ยูขึ้นตึกไปได้ละ เดี๋ยวพวกไอจะไปโรงอาหารต่ออีก”

“โอเค ดูแลตัวเองละ”

“ก็บอกไปแล้วไง”

“รู้ครับ แต่พี่ก็ห่วงอยู่ดี”

“คราวหน้าเอาโซ่มาล่ามไว้เลยไหม”

“ทำได้เหรอ?”

“กวนตีนละทัต ไอประชด”

“หึหึ”

ทัตหัวเราะเสียงต่ำก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แต่พอมองสบตากับหลายๆคนที่คอยจับจ้องมาทางพวกเค้าทัตเลยนิ่งคิดอะไรนิดหน่อย

“เป็นอะไรนะทัต?”

คนพี่ไม่ตอบแต่หันไปสบตาคนน้องนิ่งๆสักพักก็เอื้อมมือไปรั้งท้ายทอยแล้วก้มลงจุ๊บปากบางไปทีท่ามกลางสายตาและเสียงกรี๊ดกร๊าดจากผู้คนรอบด้าน คริสถึงกับเบิกตากว้าง ถึงแม้จะไม่ใช่ดีพคิสแต่มันก็ประเจิดประเจ้ออยู่ดีนั้นแหละ

“ไปละ”

“จะไปไหนก็ไปเลย!”

อดที่จะเกรี้ยวกร๊าดไม่ได้จริงๆเหมือนอย่างที่อดใจเต้นจนหน้าเห่อแดงไม่ได้เช่นกัน ให้ตายสิ นี่มันในมหาวิทยาลัยเลยนะเว้ย

“พวกมึงนี่หวานกันดีเนอะ”

เสียงแข็งๆในแนวประชดดังมาจากอีกคนให้คริสได้สติ

“ก็…ไม่นะ”

“จะปฏิเสธอะไรช่วยดูสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ด้วยครับคุณชายคริสตัล ต่อหน้าต่อตาสักขีพยานเป็นร้อย ไม่เกินเที่ยงมึงได้กลายเป็นหัวข้อข่าวในเพจนั้นอีกแน่”

“จะว่าไปก็ลืมไปเลยแฮะ เรื่องไอ้เพจอะไรนั้น”

นายยกยิ้มขำเพื่อนพอดีกับที่หันไปเจอมิกซ์กำลังถอยรถเข้าซองไม่ใกล้ไม่ไกลเลยพยักพเยิดหน้าให้คริสตัลหันไปมอง

“คิดไงเอารถจอดริมฟุตบาทวะ?”

คริสท้วงทันทีที่เพื่อนอีกคนเดินมาถึงโต๊ะ

“ขี้เกียจวนหาที่จอดไง หิววะ ไปกินข้าวกันเหอะ แล้วไอ้แวนกะไอ้คมละ?”

“มึงเอาทีละคำถามดิมิกซ์”

เป็นนายที่ท้วงเพื่อน คริสตัลหัวเราะเสียงต่ำก่อนจะเป็นคนตอบ

“พวกกูว่าจะไปโรงอาหารอยู่พอดี ส่วนไอ้แวนกับไอ้คมยังไม่ได้โทรหา มึงโทรเลยมิกซ์”

คนถูกโยนภาระเหยียดปากก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดไม่กี่ทีก็เอาแนบหู คริสกับนายลุกขึ้นยืนแล้วพากันเดินนำไปยังโรงอาหารของคณะที่อยู่เยื้องจากตึกเรียนไปนิดหน่อย ทันทีที่คริสโผล่หน้าเข้าไปด้านในแทบทุกสายตาก็หันควับมามองเค้าเป็นตาเดียวก่อนจะหันหลบตาไปแต่ก็ยังมีมองมาอยู่ประปราย

“เอาแล้วไงไอ้คริส มึงไปทำเรื่องอะไรไว้อีกวะ?”

มิกซ์วางสายแล้วเอ่ยท้วง คริสตัลไหวไหล่บอกไม่รู้เหมือนกันแต่ก็ไม่อยากสนใจนัก พวกเค้ามองหาโต๊ะว่างสำหรับห้าที่ไม่นานก็เจอเพราะคนยังน้อย

“พวกมันบอกว่ากำลังมา ให้สั่งเผื่อด้วย”

มิกซ์บอกขณะที่ปรายตามองไล่ตามร้านอาหารต่างๆ

“กูกินมาแล้ว พวกมึงไปซื้อเหอะ เดี๋ยวกูเฝ้าโต๊ะเอง”

ทั้งสองพยักหน้ารับแล้วจึงเดินหายไปสั่งซื้อของที่ตนอยากกิน คริสอยู่ว่างๆเลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น จริงๆพวกโซเชียลต่างๆตนปิดแต้งเตือนไปตั้งแต่ก่อนปิดเทอมแล้วเพราะนึกรำคาญในช่วงสอบ แตาพอมาเปิดดูวันนี้เท่านั้นแหละ โทรศัพท์เกือบค้าง อะไรมันจะเยอะปานนั้น

“เฮลโหลมายเฟรน!”

“อยู่เฝ้าโต๊ะคนเดียวเหรอมึง”

คริสเงยหน้ามองผู้มาใหม่ทั้งสองก่อนจะพยักหน้ารับ

“ทำไมทำหน้างั้นวะ?”

แวนถาม

“ป่าว”

แต่สายตาเพื่อนต่างก็มองตรงไปยังโทรศัพท์ในมือคนตอบโดยตัวเลขในวงสีแดงๆเหนือไอคอนโซเชียลยอดนิยมกำลังพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว

“เชดดดดด นี่มึงฮอตไปป่ะเพื่อน”

“จริงวะ หรือมึงไปสร้างเรื่องอะไรไว้อีก”

คริสๆได้แต่ส่ายหน้าในขณะที่เพื่อนทั้งสองนั่งลงฝั่งตรงข้ามแล้วจ้องมองเค้าเขม่ง

“เอามาดูดิ๊”

ว่าแล้วก็แย่งเอาโทรศัพท์ในมือคริสมากดเปิดดูในทันควัน ระหว่างที่สองคนนี้สุ่มหัวดูสิ่งที่เกิดขึ้นในโทรศัพท์อีกสองที่หายไปซื้อของกินก็กลับมาพร้อมจานอาหารสี่จาน

“อ้าวไอ้สัส นั้นที่นั่งกู”

“อย่าพึ่งกวนครับ มึงนั่งข้างไอ้คริสไปดิ”

มิกซ์จิ๊ปากวางจานข้าวลงตรงหน้าเพื่อนแรงๆแล้วเดินอ้อมไปนั่งอีกฝั่ง นายเองก็วางอีกจานให้เพื่อนแล้วนั่งลงข้างคริสเช่นกัน

“พวกมึงทำเชี่ยไรอยู่วะ?”

“เสือก”

แวนเป็นคนตอบและมิกซ์วางช้อนแทบจะทันที

“ด่ากู?”

“ป่าว กูบอก กูกำลังเสือกเรื่องไอ้คริสอยู่ แล้วนี่มึงไม่กินไรเหรอวะไอ้คริส?”

มองเห็นตรงหน้าคริสตัลไม่มีจานข้าวเหมือนคนอื่นเลยอดท้วงไม่ได้ คริสส่ายหัวอีกรอบแล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะ

“เชี่ย สกปรกไหมนั้น มึงเอาเป้กูไปหนุนเลยไป”

คมพูดแล้วหยิบเอาเป้ลายพลางของตัวเองไปให้เพื่อนหนุน คริสรับมาวางก่อนจะฟุบลงอีกครั้ง ง่วงเหี้ยๆเมื่อคืนกว่าจะได้นอนแถมยังต้องตื่นแต่เช้าเป็นเพื่อนไอ้ยักษ์อีก

“ทำไมมีอะไรยาวๆด้วยวะ?”

คริสสะกิดเพราะไปหนุนโดนอะไรบางอย่างเข้า คมขมวดคิ้วไม่รู้เหมือนกันคริสเลยเปิดเป้ล้วงเข้าไปหยิบออกมาปรากฎว่าเป็นกล้วยหอมของเซเว่นและนมข้นแบบหลอดบีบ

“มึงพกพวกนี้เป็นด้วย?”

มิกซ์แซวขำๆ

“เคยเห็นกูพกหรือเปล่าละ ไอนี่น่าจะเป็นของน้องกูมั้ง เมื่อวานมันยืมไป”

“อ้อออออ~”

“งั้นกูขอนะ”

“เอาดิ มึงชอบกินกล้วยนี่เนอะ”

คริสแยกเขี้ยวใส่เพื่อนไปทีแต่ก็ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด เค้าแกะห่อถุงพลาสติกแล้วปอกกล้วยหอมลูกใหญ่ยาวสมราคา แต่พอจะงับมิกซ์ก็ร้องขัดขึ้นซะก่อน

“อย่าพึ่งกัดนะเว้ย!”

“อะไรของมึง ข้าวก็มีอย่ามาแย่งกูนะเว้ย”

“ไม่แย่งๆ แค่คิดว่ามันอาจจะไม่หวานอร่อย ไหนๆก็มีนมข้นติดมาด้วยมึงไม่ใส่สักหน่อยละวะ”

คนิสถึงกับขมวดคิ้วมุ้ย

“กล้วยกะนมข้นเนี้ยนะ?”

“เออ ลองดูมึง อร่อยแน่กูรับประกัน”

แล้วก็ยกยิ้มเจ้าเล่ห์ไปให้แวนกับคมที่ยังคงถือโทรศัพท์อยู่ในมือ คมไหวไหล่แล้วหันไปสนใจโทรศัพท์ต่อแต่ครั้งนี้เค้าตั้งศอกกับโต๊ะเพื่อดูให้ชิดกับสายตามากขึ้นส่วนแวนก็เข้ามาเปิดหลอดนมข้นจ้อรอไว้เลย คริสถึงจะงงๆแต่ก็ยอมทำตามที่เพื่อนแนะ แวนบีบนมข้นสีข้าวขุ่นใส่ตรงส่วนปลายจนมันค่อยๆไหลเยิ้มลงจนเกือบเลอะมือคนถือ

“สัส เลอะเลยไหมละ”

บ่นให้เพื่อนที่บีบมากจนเกินไปแล้วรีบเอาไปเลียในส่วนที่ไหลเยิ้มก่อนมันจะเลอะมากไปกว่านี้ ความหวานแผ่ซ่านไปทั่วทั้งปากทำให้คริสชักจะชอบใจ ไม่กินมันละกล้วยให้ไอ้พวกนี้บีบนมจนหมดไปเลยดีไหมน๊า คริสละเมียดไล่เลียนมด้วยความชอบใจ จากขอบๆก็ลากลิ้นชมพูอมแดงขึ้นไปจนถึงสุดปลายก่อนจะวกกลับมาใหม่ เมื่อด้านข้างหมดจึงอมเอาทั้งหมดเลียจนหยดสุดท้าย พอจะบีบเอาอีกก็เหลือบไปเห็นใบหน้าของเพื่อนแต่ละคนที่ออกจะแดงๆแถมนิ่งค้างไอ้มิกซ์นี่อ้าปากเหวอไปเลยด้วยซ้ำ

“พวกมึงเป็นไรเนี้ย?”

พอคริสถามก็เหมือนเวลาได้กลับมาเดินอีกครั้ง แต่ละคนกระแอมไอแล้วหลบหน้าหลบตาไม่มีใครให้คำตอบเค้าสักคน คริสเลยเอื้อมมือมาแย่งเอาหลอดนมข้นอีกแต่แวนแย่งหนีไปซะงั้น

“เห้ย ไรว๊า เอามาเลยไอ้แวน”

“มึงไม่ต้องกินแล้วเชี่ยคริส แค่นี้กูก็หายใจไม่ทั่วท้องแล้วแม่ง”

“ห่ะ?”

“เออ กูขอโทษที่เสนอให้มึงกินแบบนี้ แม่งเอ๊ย หัวใจจะวาย”

“หือ??”

“แล้วไอ้ที่ไลฟ์สดไปแล้วนี่ทำไงอะ?”

“เห้ย!?!”

“โพสไปแล้วด้วย”

“เชี่ยคม!!!”

คริสยังคงทำหน้างุนงงในขณะที่เพื่อนๆต่างตื่นตระหนกจนแทบไม่มีคนตักข้าวใส่ปากอีกต่อไป

“พวกมึงเป็นเชี่ยอะไรกันเนี้ย??”

“คริสตัล”

เสียงเข้มเอ่ยเรียกดังพอประมาณจนคนทั้งโต๊ะสะดุ้งโหย่ง คริสหันไปมองยังที่มาของเสียงซึ่งก็ไม่ใช่ใคร

“ทัต นี่ยังไม่เข้าเรียนอีกเหรอ?”

จากที่ดูเวลามันน่าจะเรียนไปได้ครึ่งชั่วโมงแล้วด้วยซ้ำ เทพทัตไม่ตอบคำถามคนน้องแต่ปรายตามองไปยังโทรศัพท์ที่ยังคงอยู่ในมือของคม

“เข้าแล้วแต่ออกมาใหม่”

“แล้วจะออกมาทำไม?”

“แล้วเราทำอะไรไว้ละ?”

คริสชักฉุน อารมณ์เสียอะไรมาไม่รู้ด้วยหรอกนะแต่จะมาลงที่เค้าแบบนี้ไม่ได้นะเฮ้ย

ในขณะที่คริสตัลกำลังขนเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่นั้นทัตก็ตรงเข้ามาแย่งกล้วยในมือคนน้องแล้วโยนทิ้งถังขณะเล็กที่อยู่ใกล้ๆก่อนจะแย่งเอามือถือคนน้องมาจากเพื่อนแล้วกดไม่กี่จึ๊กก่อนจะเอาเก็บลงในกระเป๋าของตัวเอง

“เห้ย! นั้นของไอนะ!!”

“แลกกันใช้ แล้วตอนเที่ยงจะมากินข้าวด้วย เลือกเรียนไม่ต้องไปไหนอยู่รอใต้ตึกเดี๋ยวจะพากลับเอง”

“แต่ยูเลิกหลังไอเป็นชั่วโมงเลยนะ”

“ช่างมันสิ เอาตามนี้ห้ามขัด กินเสร็จก็พากันขึ้นห้องเรียนไปเลย หวังว่าคงเข้าใจกันนะ”

นอกจากจะสั่งคริสแล้วยังเผื่อแผ่ไปถึงบรรดาเพื่อนๆที่เป็นต้นเหตุความคิดอุตริแบบนี้ ทัตรู้ว่ามันไม่สมควรแต่ตนอารมณ์เสียเกินกว่าที่จะหยุดยั้งมันได้ ตั้งแต่เพื่อนตนสะกิดให้ดูคนน้องไลฟ์สดทั้งที่ไม่คิดว่าจะเล่นแถมยังเป็นแนวติดเรตชวนให้คิดลึกแบบนั้นด้วยอีก ทัตถึงกับลุกพรวดก้าวไวๆออกจากห้องและก็เป็นอย่างที่เค้าคิด เวลาเดินผ่านแต่ละคนนี่มีแต่คนกำลังดูและพูดถึงไลฟ์ตัวนั้นกันให้แซ๊ด นี่มันหายนะชัดๆ จากนี้คงมีคนเข้ามาวอแวกับคนรักของเค้าอีกเพียบแน่ๆถ้าไม่ประกาศความเป็นเจ้าของอย่างจริงจังไว้ก่อน       







​“เป็นบ้าอะไรวะทัต!?!”

ทันทีที่กลับมาถึงห้องในคอนโดของทัตคริสตัลก็เริ่มโวยวายในทันที ทัตถอนหายใจแรงๆแล้วดึงแขนคนน้องให้ไปนั่งลงที่โซฟาก่อนจะหยิบโทรศัพท์แล้วเปิดวีดีโอที่ตนบันทึกไว้ให้ตัวการดู ถึงแม้วีดีโอที่ไลฟ์ลงโซเชียลจะไม่มีอยู่แล้วแต่ในเครื่องของเค้ายังคงมีเพราะตนได้บันทึกไว้นั่นเอง คริสเห็นแล้วก็ตาเบิกกว้าง ตอนนั้นมันไม่คิดอะไร แต่ไอ้ที่ดูอยู่ยี่มันชวนให้คิดลึกเหี้ยๆ

“เหี้ย!”

“ใช่ โคตรเหี้ย”

ว่าแล้วทัตก็ล้มตัวลงนั่งข้างๆคริส มือหนาเลื่อนไปดึงคนน้องให้เข้ามาใกล้ก่อนจะประกบปากจูบหนักๆให้สมกับที่ต้องข่มอารมณ์หึงหวงมาทั้งวัน

“อือออ พอแล้ว”

“ลงโทษไง”

“มาลงโทษอะไรละ ไอไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย”

“ยังจะกล้าพูดเนอะคนเรา”

“ไอ้คมมันถ่าย ไอแค่กิน”

“กินได้แต่ไม่จำเป็นต้องกินแบบนั้นไหม คนอื่นเห็นเค้าคิดไปต่างๆนานาแล้วใครกันละที่จะเดือดร้อนถ้าไม่ใช่เรานะ”

“ก็…”

“หึ”

ทัตหัวเราะเสียงต่ำก่อนจะจ้องหน้าคนรักที่เอาแต่เม้มปากอยู่ข้างๆ

“อย่ากัดปาก”

“…..”

“มานี่สิ”

คริสเงยหน้าขึ้นมองคนเรียกที่ตบตักตัวเองแป๊ะ เค้านิ่งคิดอยู่ครู่เดียวก่อนจะลุกขึ้นไปนั่งหันหน้าเข้าหาคนพี่ตามที่เคยทำ ก็เคยทำอยู่หรอกเวลาอยากอ้อน แต่ก็ไม่บ่อยนะ มันเขินอะ

“พูดตรงๆเลยว่าพี่หวง ไม่อยากให้ใครได้เห็นสีหน้าแบบนั้น แล้วก็หึง ไม่อยากให้ใครใช้เราเป็นภาพในจินตนาการ”

“เวอร์”

“ความจริงครับ”

ทัตกระชับอ้อมแขนที่โอบรอบตัวน้องให้คนบนตักเข้ามาแนบชิดกับอก คริสเกยคางกับไหล่กว้างโอบกอดคนพี่ตอบในเชิงอ้อนอยู่กลายๆ

“ไม่ได้ตั้งใจอะ”

“รู้ แต่มันก็อดไม่ได้ไง จะล่ามโซ่ไว้ในห้องก็ไม่ได้ เข้าใจว่าเราก็มีชีวิตเป็นของตัวเอง พี่แค่อยากให้เราระวังตัวมากกว่านี้”

“อืม”

“อืมคือ?”

“ก็ เข้าใจแล้วไง”

ทัตยิ้มกว้างแล้วฉกหอมแก้มคนน้องไปฟอดใหญ่ๆ

“คนเก่ง”

คนถูกชมหน้าแดงระเรื่อขึ้นเรื่อยๆจนต้องหลบโดยการซบลงที่บ่าคนตรงหน้า ทัตเอนตัวพิงพนักพิงและแน่นอนว่าคริสต้องโถมตัวลงไปนอนทันเค้าไปด้วย อ้อมกอดนี้มันยังคงอบอุ่น ไม่ใช่แค่กายแต่มันอุ่นไปถึงด้านในของจิตใจเลยทีเดียว

“คริสตัล”

“หืม?”

“รักนะครับ”

“อืม”

“ขี้โกงจัง พี่บอกแล้วทำไมไม่บอกพี่บ้างละ”

“ไอไม่ได้บอกให้พูดนี่”

“ร้ายนักนะ”

ว่าแล้วก็ฟัดแก้มไซ้ลงไปถึงซอกคอสูดดมเอากลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ของคนน้องด้วยความชอบใจ

“ฮ่าๆๆๆ ทัต หยุด มันจักกะจี้”

มือก็ยุกยิกอยู่ไม่สุข จากที่โอบกอดอยู่ดีๆตอนนี้กลับล้วงเข้าไปใต้ร่มผ้าซะงั้น

“ทัต!”

“หืม?”

“หยุดเลย ตะวันยังไม่ตกดินด้วยซ้ำจะรีบหื่นไปไหนไม่ทราบ”

“จะทำสัญลักษณ์แสดงความเป็นเจ้าของไว้ไง”

“เยอะละ”

“หึหึ หิวยัง?”

“ยัง”

“งั้นไปอาบน้ำเปลี่ยนชุด จะได้สบายตัว”

“วันนี้ไม่ออกไปไหนเหรอ?”

ปกติคนพี่มักจะพาเข้าบริษัทในช่วงเลิกเรียน

“พี่นะไป แต่อยากให้คริสพักผ่อนอยู่ห้อง”

“ทำไมละ ปกติก็ให้ไปด้วยนี่”

“ใครเค้าจะชอบเห็นแฟนตัวเองนั่งเบื่อนั่งเซ็งกันละ อย่าปฏิเสธนะว่าไม่เบื่อนะหืม”

ถึงแม้น้องจะไม่เคยอิดออดที่จะไปกับเค้าแต่ทุกครั้งที่แอบมองและลอบสังเกตุอยู่เป็นระยะ คริสตัลมักจะแสดงสีหน้าเบื่อหน่อยออกมาแทบจะตลอดเลยก็ว่าได้ ถ้าเค้าแกล้งเรียกออกไปสีหน้านั้นก็จะเปลี่ยนมาเป็นเรียบนิ่งหรือยิ้มอ่อนๆ

คริสได้แต่เม้มปากแน่นเถียงไม่ออกสักคำ มันก็น่าเบื่อจริงๆแหละ แต่มันก็ยังดีที่ได้อยู่ด้วยกันหรือจะเรียกให้ถูกคือสบายใจที่อยู่ในสายตาอะไรประมาณนั้น ทัตยิ้มจางให้คนน้องที่เหมือนจะงอลนิดหน่อยแต่ก็ไม่ดื้อเหมือนเมื่อก่อน เค้าก้มลงไปจูบหนักๆทิ้งทวนก่อนจะไล่คนน้องให้ไปอาบน้ำส่วนตัวเองก็ผละออกมาเข้าครัวเตรียมอาหารเย็นและผลไม้ไว้เป็นของว่างแก้เหงาปาก เมื่อคริสอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จทัตก็เตรียมเสร็จเรียบร้อยเช่นกัน มื้อนี้เค้าทำออมเล็ตกับข้าวผัดอเมริกัน คริสชอบกินหวานเพราะงั้นมื้อนี้คนน้องชอบชัวร์100%

“พี่ไปแล้วนะ มื้อเย็นอยู่นี่กำลังร้อนๆในตู้เย็นมีผลไม้พี่หั่นไว้ให้แล้วกินใหม่หมดแล้วก็นมไม่ก็น้ำผลไม้อีกแก้วก่อนนอนด้วย”

สั่งซะยาวเหยียด ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงหงุดหงิดแต่ปัจจุบันนี้รู้ดีแก่ใจแล้วว่าที่สั่นนะก็เพราะห่วง ทุกสิ่งที่พูดล้วนเป็นสิ่งดีๆสำหรับเค้าทั้งสิ้น

“จะกลับดึกมากเลยเหรอ?”

“น่าจะเกินเที่ยงคืนนะ”

“ทำไมถึงดึกนักละ ปกติสี่ทุ่มกว่าๆก็กลับแล้วนี่?”

“ค่ำพรุ่งนี้ต้องไปงานเลี้ยงวันเกิดของพ่อพี่ไง ลืมแล้วเหรอ?”

“เออ จริงด้วย นี่ยังไม่ได้ซื้อของขวัญให้ท่านเลยอะ”

“ไม่เป็นไร พี่ซื้อไว้แล้ว”

“นั้นมันของยูไง”

“ของเราครับ”

“...เออ…”

เขินเลยไง

“หึหึ ยังไม่ชินอีกเหรอ?”

“ก็นะ”

“ค่อยๆปรับตัวไป พี่ไม่รีบ ถึงยังไงเราก็อยู่ด้วยกันไปจนตายนั้นแหละ”

คริสพยักหน้ารับพอส่งๆก่อนจะก้มหน้าก้มตาหลบรอยยิ้มของผู้เป็นพี่ ทัตเองก็รู้ว่าทำให้น้องเขินเลยเข้าไปหอมแก้มน้องอีกทีก่อนจะออกจากห้องไปในที่สุด คริสตัลไม่เคยมีปัญหากับการทานข้าวคนเดียวแต่ตั้งแต่มีเทพทัตเข้ามาในชีวิตสิ่งนี้ก็เริ่มแปรเปลี่ยนไปอย่างไม่ทันตั้งตัว เค้าค่อยๆตักข้าวผัดเข้าปากเคี้ยวช้าๆพลางเสมองไปรอบๆห้องเหมือนไม่มีจุดโพกัสที่แน่นอน ในใจรู้สึกโหว่งแปลกๆเหมือน...

/มึงเหงาละสิ/

เสียงจากปลายสายทำให้คริสจิ๊ปากใส่อย่างอดไม่ได้ ไอ้นี่ก็รู้ทันไปซะหมดทุกเรื่องที่ไม่ใช่ของตัวเองจริงๆ

/เพื่อนกูกลายเป็นคนติดผออัวไปตั้งแต่เมื่อไหร่วะ หึหึ/

“หุบปากไปเลยเชี่ยมิกซ์”

/ทำมาเป็นด่ากู ถ้าไม่มีกูว่างคุยด้วยมึงจะรู้สึก ว่าแต่...ปกติมึงต้องโทรหาไอ้นายก่อนนี่หว่า/

“กูโทรหามันไม่ติด”

/อย่างมันนะเหรอจะปล่อยให้โทรศัพท์ติดต่อไม่ได้/

“กูก็ว่างั้น”

/สรุปที่โทรหากูคือเหงา?/

“ก็...ส่วนหนึ่ง”

/เหรอครับท่าน/

“เออดิ มีอีกส่วนก็จะปรึกษาด้วย...”

/เรื่อง?/

คริสตัลนิ่งไปอึดใจหนึ่งก่อนจะค่อยๆเล่าถึงความขุ่นหมองในใจไปเรื่อยๆจนจบผู้ที่อยู่ปลายสายก็ระเบิดหัวเราะออกมาเสียยกใหญ่เล่นเอาคริสตัลถึงกันล้มตัวลงนอนราบกับโซฟาแล้วเอาหมอนขึ้นมากดหน้าแก้อาการเขินอายไปพลางๆ

/เป็นหนักกว่าที่กูคิดอีกเว้ยเพื่อนกู ฮ่าๆๆๆ/

“อย่าหัวเราะสิวะ”

/แหมๆ ทำตัวอย่างกับสาวน้อยผู้พึ่งคนพบความรักที่แท้ทรู เอางี้ ถ้ามึงจะนอยด์แดรกขนาดนั้นมึงก็ไปทำงานกับที่รักมึงซะเลยสิ จะได้ไม่เบื่อแถมยังได้ใกล้ชิดกันอีก/

“มึงก็รู้ว่ากูไม่ชอบงานบริหาร”

/แต่เสือกเรียนเศรษฐศาสตร์ แม่งยอกย้อนสัส/

“กูพอใจ”

/งั้นมึงก็ต้องเปลี่ยนมาเป็นศรีภรรยาที่ดีทำกับข้าวกับปลาอยู่รอสามีกลับบ้านอะไรแบบนั้น/

“กูทำเป็นที่ไหน”

/อันนู้นก็ไม่ชอบ อันนี้ก็ไม่เป็น งั้นมึงก็จงนอยด์ต่อไปนั้นแหละสัส!/

“เพื่อนเลว”

/มึงต้องหัดเปลี่ยนแปลงตัวเองสักหน่อยเว้ย ไม่ใช่ให้พี่เค้าเปลี่ยนอยู่ฝ่ายเดียว มันต้องค่อยๆจูบ เอ๊ย จูนเข้าหากันจะได้ไม่เกิดปัญหาในภายหลัง อันเดอร์แสต๊น?/

คริสตัลอดทึ่งไม่ได้ที่เห็นมุมมีสาระของเพื่อนที่ค่อนข้างจะไร้สาระที่สุดในกลุ่มแก๊งส์

“มึงนี่พูดดีกับเค้าก็เป็นนี่หว่า”

/เอ๊าไอ้ห่า กูอุสาแนะนะ มึงรู้ไหมว่ากูนี่กูรูเรื่องความรักเลยนะมึง/

“กูรูเรื่องความรักหรือความเสือกกับคู่รักของคนอื่นกันแน่ครับคุณมิกซ์”

/แหมะ ไม่น่าถามนะครับคุณคริสตัล หึหึ/

“เออ กูว่ากูจะซื้อของขวัญอะไรสักอย่างให้มันวะ มึงคิดว่าไง?”

/เนื่องในโอกาสอะไรวะ?/

“โอกาสอยากจะให้”

/ถุ้ย!/

“ฮ่าๆๆ ก็อยากจะให้จริงๆ เหมือนแทนคำขอบคุณนะ”

/อื้อหือ พอบอกให้เปลี่ยนปุ๊บมึงก็จัดปั๊บเลยนะครัชคุณชาย/

“แน่นอน อย่างกูมันคนไวไฟ”

/เออ! เอาที่มึงคิดว่าดีเลย/

คริสตัลคุยกับเพื่อนยาวไปจนสี่ทุ่มโดยประมาณจึงวางสายแล้วเข้าห้องนอน เค้ายังไม่ง่วงเท่าไหร่เพราะปกติก็นอนช่วงเที่ยงคืนเป็นประจำร่างกายเลยเหมือนถูกตั้งเวลาโดยอัตโนมัติ คริสตัลเลือกที่จะหยิบไอแพดของคนพี่ที่ทิ้งไว้ให้เล่นมาล็อคอินเข้าโซเชี่ยลของตัวเอง พอเห็นจำนวนตัวเลขการแจ้งเตือนแล้วก็ต้องถอนหายใจรัวๆ แค่เห็นก็เหนื่อยที่จะเปิดดูแล้ว คริสเลือกกดให้มันโชว์แล้วก็ปิดไปเพื่อให้ตัวเลขมันหายไปก่อนจะเลื่อนดูเรื่องราวของคนอื่นไปเรื่อยๆ เจอสเตตัสของเพื่อนอยู่ประปรายแต่ที่สะกิดคือข่าวที่มีรูปพี่ชายของเค้ายืนยิ้มอยู่ข้างผู้หญิงชาวต่างชาติคนหนึ่ง คนนี้คริสจำได้ว่าชื่อมิเกลล่า เบรน บุตรสาวคนโตของตระกูลเบรน ตระกูลมั่งคั่งมหาอำนาจผู้เป็นเจ้าของธนาคารระดับบิ๊กของอเมริกา ที่เค้ารู้จักเพราะพ่อของเค้าค่อนข้างจะสนิทกับตระกูลนี้แต่คริสไม่เคยไปเจอตัวจริงมีเพียงรูปตามหน้าข่าวสังคมเท่านั้นที่ทำให้รู้จักหน้าคร่าตากัน จะว่าไปช่วงนี้พี่ครอสก็เงียบหายไปเลยด้วย ทั้งที่ก่อนหน้าก็วอแวกับเค้าออกจะบ่อย เรียกได้ว่ามาตามขัดขวางเค้ากับทัตในทุกทางเท่าที่คุณท่านจะพอใจนั้นแหละ คริสเปิดโปรแกรมแชตขึ้นมาแล้วกดทักพี่ชายไปแต่ทีครอสไม่แม้แต่จะอ่าน คริสเลยเลิกสนแล้วเปลี่ยนเป็นเปิดดูหนังจนพล็อตหลับไปในที่สุด       






ต่อด้านล่างจ้ะ


ออฟไลน์ MyMinT1990

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-1


“เฮ้ย~”

สายตาสี่คู่เหลียวมองมายังเสียงถอนหายใจเป็นครั้งที่สิบโดยคนๆเดียวนั้นก็คือคริสตัล ทุกคนมองหน้ากันไปมา

“มีอะไรหนักใจนักหนาวะ?”

แวนเอ่ยถามขึ้นในที่สุด

“อย่าบอกนะว่าเรื่องที่คุยกันเมื่อวาน?”

ทุกสายตาเปลี่ยนเป้าหมายไปยังคนที่ถามต่อทันที มิกซ์สะดุ้งเฮือกแต่คริสตัลส่ายหน้าปฏิเสธซะก่อน

“ป่าว แค่คิดหาของขวัญไม่ได้”

“เอ๊า มันก็เรื่องเมื่อวานนั้นแหละไอ้เด๋อ”

“อ้อเหรอ”

“หนักแล้วมึงอะ ไปหาหมอไหม?”

“เชี่ยมิกซ์ก็ว่ามัน มันแค่ประสาทอ่อนๆแต่จิตเยอะมาก”

“ฮ่าๆๆ เชี่ยแวนก็กล้านะมึง”

“พวกมึงนี่หุบปากแล้วดูหน้าเพื่อนมึงด้วย มันขำกับมึงไหม?”

เป็นนายที่ปรามคนทั้งคู่ก่อนจะหันไปจ้องหน้าคริสอีกครั้ง

“เล่ามาดิ”

คริสถอนหายใจไปอีกทีแล้วจึงเล่าเรื่องของขวัญที่ตนหนักใจนักหนาว่าจะให้อะไรดี เมื่อคืนก็หลับไปโดยไม่รู้ตัวเมื่อเช้าก็คุยแต่เรื่องงานเลี้ยงเย็นวันนี้เลยไม่ได้ถามไถ่ความชอบส่วนตัวอะไรเลยสักอย่าง จะว่าไป...แม้แต่การสังเกตุก็ยังไม่เคยเลยสักครั้ง...คิดแล้วก็แอบเศร้า นี่เราเป็นแฟนประสาอะไรวะ

“คิดมากวะมึง กะอีแค่ของขวัญมันจะไปยากอะไร”

ทุกคนเบ้ปากให้คนพูดอย่างนายคมสัน

“บ่ายนี่อาจารย์สาวิตรียกเลิกคลาส งั้นเราไปบุกห้างกันเหอะวะ ไปช่วยไอ้คริสเลือกของกัน”

มิกซ์เป็นคนเสนอและทุกคนก็พยักหน้าเห็นด้วย บ่ายวันนั้นทั้งห้าหนุ่มจึงยกโขย่งกันไปให้ห้างได้สั่นสะเทือนด้วยเสียงกรี๊ดกร๊าดและผู้คนที่รายล้อมอย่างกับรอพบศิลปินโอปป้าก็ไม่ปาน

“ขนาดนานๆทีมากันยกทีมนะเนี้ย ดูดิเรตติ้งยังไม่ลดเลยสักนิด”

มิกซ์พูดแล้วฉีกยิ้มกว้างไปให้สาวๆที่จ่อกล้องมาทางพวกเค้า

“ช่างเค้าเหอะน่า”

“แล้วตกลงเราจะซื้ออะไรกันวะ?”

สิ้นเสียงคำถามของชายแวนเหล่าสี่หนุ่มก็เงียบกริบกันเป็นแถบ คริสกำลังถอนหายใจอีกรอบพอดีกับที่เสียงโทรศัพท์ของเค้าดังเค้าจึงคว้ามารับสาย คนโทรมาก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเป็นฝาละมีของเค้านั้นแหละ

/ไปห้างเหรอ?/

แหมะ หูตาไวตลอด

“รู้แล้วยังจะถาม”

/หึหึ ก็ไม่เห็นบอกพี่เลยไง นี่ถ้าพี่ไม่เห็นเขาโพสกันในเฟสก็ไม่รู้นะเนี้ย ดังใหญ่แล้วนะเรา/

คริสหลุดยิ้มกับคำแซวของคนที่ปลายสาย จนโดยเพื่อนแซวตามมาอีกระลอก

“แหมะ ทีอยู่กับเพื่อนกับฝูงมาทำเป็นหน้านิ่วคิ้วขมวด พอผออัวโทรมาปุ๊บนี่ยิ้มหน้าระรื่นชิปหาย”

คริสหันไปแยกเขี้ยวใส่มิกซ์ที่เป็นคนแซว

/หึหึ แล้วตกลงจะเข้ามหาลัยมาอีกรอบไหมหรือให้พี่ไปรับที่นั้น?/

“เดี๋ยวให้พวกนี้ไปส่งที่คอนโดเอง ยูจะเข้าบริษัทก่อนก็ได้นะ งานเริ่มสองทุ่มใช่ไหม?”

/ใช่ งั้นพี่จะกลับถึงห้องสักหกโมงไม่เกินทุ่มหนึ่งแล้วกัน แต่งตัวรอเลยนะครับ/

“รู้แล้วน่า ไม่ใช่เด็ก”

/แก่ว่างั้น?/

“ทัต”

ถึงจะไม่ชอบให้พูดว่าเด็กแต่คำว่าแก่ก็ไม่ชอบเหมือนกันเว้ย

/หึหึ ถึงจะแก่แต่พี่ก็รักนะ/

“เทพทัต!”

เสียงเข้มมาเต็มจนคนปลายสายชิ้งตัดสัญญาณไปก่อน คริสเลยได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่อย่างนั้นก่อนจะเสมองไปยังบรรดาผู้ติดตามที่พากันเดินนำหน้าไปเรื่อยๆอย่างไม่มีจุดหมาย

“ตกลงมึงคิดได้ยังวะว่าจะซื้ออะไร?”

คมที่หันมาเห็นคริสวางสายพอดีเลยเอ่ยถามขึ้น คริสส่ายหน้าก่อนจะมองไปรอบด้าน ผ่านช็อปของแบรนด์เนมมาเยอะแต่ก็ไม่ยักกะถูกใจ ก็ทัตนะมันมีหมดแล้วไงเลยทำให้หาของที่จะให้ยากเสียยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก

“น้ำหอมไหม?”

นายเสนอ

“มีเยอะแล้ว”

“เสื้อเชิต?”

แวนถามบ้างพลางชี้ไปที่ช๊อปใกล้ๆ

“เต็มตู้”

“นาฬิกา?”

มิกซ์พูดแล้วถลาไปเกาะกระจกหน้าช็อปจนเพื่อนได้แต่ส่ายหน้า

“รุ่นที่มึงจ้องนะ มันพึ่งซื้อเมื่อสัปดาห์ก่อน”

“เห้ย! อะไรจะมีครบครันขนาดนั้นวะ?”

“เข้าใจรึยังว่าทำไมกูถึงคิดหนัก”

“เออวะ ก็ถูกของมึง”

ต่างคนต่างเริ่มเครียดไปตามๆกัน จนกระทั่งนายได้คิดอะไรบางอย่างออก

“ถ้าของตามตลาดทั่วไปใช้ไม่ได้ งั้นก็ต้องเอาพวกของแทนใจที่สั่งทำดิ”

“เสียเวลาไปไหมวะ?”

“ก็เอาพวกพวงกุญแจ แหวนหรือกำไลข้อมือที่สลักชื่อได้ไรงี้ดิ ง่ายๆแล้วก็เร็วด้วย”

คริสแย้มยิ้มในทันที 





กริ๊ก

คริสเหลียวมองไปยังต้นทางของเสียงแล้วก็เจอทัตที่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าอ่อนเปรี้ยเพลียแรงจนเค้าอดห่วงไม่ได้

“ไหวไหมเนี้ย?”

ถามพร้อมกับเดินไปรินน้ำเย็นใส่แก้วให้คนพึ่งกลับ ทัตเดินไปล้มตัวนั่งลงที่โซฟายื่นมือไปรับน้ำจากคนน้องมาดื่มแล้วไล่มองคนรักตั้งแต่หัวจรดเท้า

“ทำไมยังไม่แต่งตัว?”

คริสตัลก้มลงมองดูตัวเองที่ยังคงใส่ชุดเสื้อกล้ามกางเกงบ๊อคเซอร์

“ไปงี้ไม่ได้เหรอ?”

“ตลกละครับ”

คริสยิ้มขำแล้วลงไปนั่งอยู่ข้างๆตามแรงดึงของคนพี่ เมื่อได้ที่ทัตเลยล้มตัวลงนอนหนุนตักเอามือน้องมาหอมมาจูบอย่างอ้อดอ้อน

“ทัต”

“หืม?”

ตอบรับคนเรียกเสียงเนืองแต่ก็ยังคงหลับตาอยู่อย่างนั้น

“นอนก่อนแล้วค่อยไปตอนดึกๆไหม?”

เผลอยิ้มให้กับน้ำเสียงที่ฟังดูเป็นห่วงเป็นใยผิดกับเวลาปกติที่เอาแต่ปากแข็งแก้อาการเขินอายของตัวเอง

“ไม่เป็นไร พี่ไหว”

“แน่ใจนะ?”

“ครับ”

“เปิดห้องที่โรงแรมไหม เผื่อไม่ไหวจะได้ค้างที่นั้นเลย”

ทัตลืมตามองสบกับคนด้านบนที่มองเค้าอยู่ก่อนแล้ว ดวงตาสีฟ้าใสนั้นแลดูเป็นห่วงเค้าจากใจจริงจนต้องเอื้อมมือไปรั้งท้ายทอยคนน้องให้ก้มลงมารับจูบอันแสนหวาน เรียวลิ้นของทั่งคู่เกี้ยวกระหวันกันนัวเนียเหมือนถูกดูดกลืนไปด้วยความโหยหาของกันและกัน ก็ใช่ว่าจะขาดจากเรื่องแบบนั้นซะเมื่อไหร่ออกจะมีบ่อยซะด้วยซ้ำแต่ทำไมถึงไม่รู้จักพอก็ไม่รู้สิ

“อื้อออ พอแล้วทัต”

คนพี่ผละถอยแล้วจุ๊บส่งท้ายไปอีกทีก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินเข้าห้องไปอาบน้ำอาบท่า คริสเองก็เดินเข้าห้องแต่งตัวไปเปลี่ยนชุดเป็นสูททัดซิโด้สีขาวผ่องรับกับผิวขาวเนียนหน้าหวานและผมสีบรอนด์ทองเปร่งประกาย คริสพรมน้ำหอมเบาๆพอดีกับที่ทัตเข้ามาในห้องแต่งตัวแล้วจ้องเค้าตาปริบๆ

“มองอะไร แปลกเหรอ?”

ทัตส่ายหัว จริงๆแล้วก็เป็นเค้านั้นแหละที่เลือกชุดนี้ให้คนน้องแต่คิดไม่ถึงว่าคริสจะใส่เหมาะถึงขนาดนี้

“งั้นก็มารีบแต่งตัวดิ จะโป๊ไปถึงไหน”

ทัตหัวเราะหึ เค้าไม่ได้โป๊สักหน่อย ยังมีผ้าตั้งผืนหนึ่งพันหมิ่นๆอยู่ที่เอวปกปิดส่วนนั้นอยู่อย่างมิดชิด ถ้าจะไม่มิดชิดก็คงต้องทำให้ผ้าหลุดนั้นแหละนะ ทัตเข้าไปหอมแก้มคนรักด้วยความหมั่นเขี้ยวก่อนจะหันไปแต่งตัวในส่วนของตัวเองซึ่งก็เป็นทัดซิโด้ขาวเหมือนกันจะแตกต่างก็ตรงที่ของเค้าเป็นกางเกงสีดำและโบว์ก็สีดำเช่นกัน แลดูเหมือนชุดคู่อยู่กลายๆนั้นแหละนะ





“โห คนเยอะโคตร”

คริสตัลท้วงขึ้นทันทีที่ลิฟท์เปิดและเห็นผู้คนออกันอยู่ที่หน้าห้องบอลลูมของโรงแรมใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงฉองวันเกิดของเจ้าของบริษัทอสังหาฯรายใหญ่ ที่หน้าแปลกใจไปกว่านั้นคือนอกจากแขกเหรื่อที่มากมายแล้วยังมีกองทัพนักข่าวขนาดย่อมให้คริสได้เหยียดปากเล่นๆไปอีกด้วย

“หึ”

ทัตหัวเราะขำกิริยาของคนรักก่อนจะกุมมือเรียวแล้วพาเดินไปยังบริเวณด้านหน้าของงาน คนแรกที่เห็นการมาของพวกเค้านั้นก็คือนักข่าวนั้นเอง แสงแฟลชถูกกระหน่ำสาดมาทันทีที่พวกเค้าเข้าไปถึงเฟรมฉากหน้างาน ทัตยืนตีหน้ายิ้มการค้าเป็นปกติตามความเคยชินในขณะที่คริสแทบจะลืมตาไม่ขึ้นเพราะแสงที่ถูกสาดเข้าตา

“รบกวนช่วยปิดแฟรชด้วยครับ”

ทัตเอ่ยเพราะรู้ปฎิกิริยาของคนรัก เกิดเสียงอื้ออึงเล็กน้อยแต่เหล่านักข่าวก็พร้อมใจกันทำตามอย่างว่าง่าย มือเล็กกระชับเข้าหาคนกุมจนทัตเหลียวกลับไปมอง คริสยิ้มหวานส่งให้คนรักแทนคำขอบคุณ ทัตยิ้มตอบ

“ไม่ทราบว่า ที่กุมมือกันมาแบบนี้จะประกาศเป็นนัยยะอะไรหรือเปล่าค่ะ?”

นักข่าวสาวคนหนึ่งถามขึ้นและก็เรียกเสียงฮือฮาไปได้มากโข คริสก้มหน้าหลบเลี่ยงเลนส์กล้องเพราะรู้ว่าตนเองเริ่มจะหน้าแดงขึ้นมาแล้วแน่ๆ ทัตหัวเราะเสียงแผ่วเบี่ยงตัวเล็กน้อยให้คนน้องได้หลบแล้วจึงตอบ

“เรื่องนั้นต้องรอประกาศอย่างเป็นทางการนะครับ”

“แล้วเมื่อไหร่จะประกาศละครับ?”

“เร็วๆนี่ครับ”

ทัตพูดทิ้งทวนไว้แค่นั้นก่อนจะพาคนน้องเข้าไปยังด้านในของงาน ทัตยิ้มรับการทักทายจากผู้คนมากหน้าหลายตาที่เข้ามาหาด้วยความคุ้นชินผิดกับคริสตัลที่เอาแต่ยิ้มรับตามคนพี่เพราะเค้าไม่รู้จักใครเลย ที่มานี่ก็เพราะเป็นงานวันเกิดของพ่อเทพทัตเฉยๆหรอก ไม่งั้นอย่าหวังเลยว่าจะเจอหน้าคนอย่างคริสตัล

“เบื่อไหม?”

คนพี่หันมาถาม

“นิดหน่อย แล้วพ่อกับแม่ละ ตั้งแต่มายังไม่เห็นเลย”

“อยู่ตรงหน้าเวที กำลังโดนรุมอยู่เลยยังไม่พาเข้าไปหา”

“ไปหาเถอะ จะได้อวยพรแล้วให้ของขวัญเลย”

“จะรีบไปไหนครับ”

“รีบพาคนเพลียไปพักผ่อนไงครับ คิดว่าไหวจนจบงานไหมละ”

“เอาน่า พี่อึดอยู่แล้ว เราก็น่าจะรู้ดี”

“อะ ไอ้บ้า”

ทัตยิ้มกว้างก่อนจะหันไปยิ้มรับและทักทายกับผู้มาเยือนรายใหม่ ทั้งคู่พูดคุยกันไม่นานแสงไฟและเสียงเพลงที่คลอเบาๆก็ก็ถูกหรี่ลงเหลือเพียงแสงไฟจากเวทีและพิธีกรคนสวย

การกล่าวต้อนรับเริ่มต้นขึ้นด้วยความครื้นเครงและสดใสไม่นานเจ้าของงานก็ถูกเชิญให้ขึ้นไปยังด้านบนเพื่อพูดคุยทักทายและของคุณการอวยพรและเริ่มต้นการเฉลิมฉลองอย่าเป็นทางการ แต่ทว่า...

“ขอเชิญคุณเทพทัต ลูกชายคนโตและคุณคริสตัลขึ้นมายังด้านบนด้วยค่ะ”

ห่ะ?

คริสหันไปมองคนพี่ที่ยังคงยิ้มอยู่

“ป่ะ”

“เดี๋ยวๆ ไอไม่ขึ้นได้ไหมอะ”

“ไม่ได้ครับ เข้าเรียกทั้งคู่ไม่ได้ยินเหรอ”

คริสได้แต่กรอกตาเพราะคนพี่ได้จูบมือพาขึ้นไปยังด้านบนเป็นที่เรียบร้อย เสียงปรบมือดังเกรียวกราวจนกระทั่งทัตรับไมค์มาถือและกล่าวอวยพรให้ผู้เป็นพ่อ คริสสบโอกาสตอนทัตกล่าวจบเดินเอาห่อของขวัญที่เป็นไวน์ดังราคาแพงไปให้พ่อที่ยืนอยู่ข้างภรรยาอย่างนาตาลี

“อย่างที่ทุกคนได้ทราบกันดีว่าลูกชายผมคนนี้จะกลายมาเป็นประธานบริษัทในภายภาคหน้า แต่นั้นก็เป็นเรื่องในอนาคต ส่วนเรื่องปัจจุบันผมอยากแนะนำให้รู้จักกับ...”

ทรงพลเดินเข้ามาหาคริสตัลก่อนจะโอบเอวหลวมๆเรียกสายตาฉุนกึกของลูกชายไปแว๊บก่อนจะหันหนีแบบโนแยแสใดๆทั้งสิ้น

“คริสตัล เฟรงเบิร์ค ลูกชายคนเล็กของตระกูลเฟรงเบิร์คเจ้าของกิจการในเครือXXX และเป็นคู่หมั้นของลูกชายผมครับ”

คริสตัลตีหน้าเหลอหลาทันทีเพราะไม่คาดคิดถึงการประกาศสถานะอะไรแบบนี้ เสียงฮือฮาและปรบมือจากด้านล่างดังแซงแซ่จนกลบเสียงดนตรีไปหมด คริสหันไปมองทัตที่เดินเข้ามายืนอยู่ข้างๆแล้วกุมมือเค้าไว้เหมือนเดิม

“ค่ำคืนนี้จะพิเศษยิ่งกว่าเก่าเมื่อมันไม่ได้เป็นแค่ค่ำคืนแห่งการเฉลิมฉลองให้ผมเพียงคนเดียวแต่เป็นการฉลองให้กับลูกชายและว่าที่ลูกสะใภ้ อืม...พ่อพูดถูกใช่ไหมทัต?”

ทัตพยักหน้าให้คนพ่อไปที

“อ่า..ก็ตามนั้นแหละครับ ขอฉลองให้กับคนทั้งคู่จนกว่าเราจะได้ร่อนการ์ดแต่งงานกันในอีกสี่ปีข้างหน้า ไม่ต้องสงสัยนะครับว่าทำไมนานจัง ผมอยากให้ลูกผมใช้ชีวิตให้คุ้มก่อนนะพอแต่งไปจะได้ไม่เสียใจที่หมดสิ้นอิสระภาพ ฮ่าๆๆๆ”

เสียงฮาครืนดังตามมาเมื่อสิ้นเสียงพูดของเจ้าของงานพร้อมๆกับคุณนายนาตาลีที่เข้ามาฟาดแขนสามีไปทีในเชิงปราม

“อ้อ คงหมดเวลาของผมแล้วสิ ขอยกเวลาต่อไปนี้ให้กับลูกชายสุดที่รักของผมดีกว่า”

ทัตรับไมค์มาจากพ่อก่อนที่ทรงพลและนาตาลีจะเลี่ยงออกไปยืนอยู่ขอบเวที คริสตัลมองคนพี่ตาปริบๆ จะขยับหนีไปยืนกับพ่อแม่ก็ไม่ได้เพราะคนพี่ยังไม่ยอมปล่อยมือไปอีก

“ขอบคุณสำหรับการต้อนรับพวกเราครับ ผมรักพ่อนะแต่บางทีท่านก็ทำให้ผมอยากจะกลั้นใจตายวันละหลายรอบอยู่เหมือนกัน...”

คริสหลุดหัวเราะไปพร้อมๆกับกลุ่มคนด้านล่าง

“ผมเชื่อว่าพวกท่านทั้งหลายรู้จักตระกูลเฟรงเบิร์คแต่...พวกท่านไม่เคยเจอคนรักของผมคนนี้แน่นอน”

เป็นจริงอย่างที่ทัตพูด คริสตัลแทบไม่เคยออกงานในนามคนของตระกูลแถมไม่หยิบจับงานหรือไม่เข้าไปยุ่งกับบริษัทมีแต่ทีครอสที่รับหน้าจนหลายๆคนคิดว่าตระกูลนี้มีลูกชายเพียงคนเดียวไปแล้วด้วยซ้ำ

“เค้าเป็นคนไม่ชอบความวุ่นวายและเกลียดการเป็นจุดสนใจครับ เพราะฉนั้นการมางานแบบนี้จึงเป็นสิ่งที่เค้าเกลียดด้วยเช่นกัน....แต่วันนี้เค้ากลับยอมที่จะมา ยอมที่จะอดทนเพื่อให้ผมได้ทำหน้าที่ในส่วนของลูกชายและว่าที่ประธานคนต่อไป...”

ทุกคนเริ่มเงียบที่จะฟังเช่นเดียวกับคริสตัลที่เริ่มใจเต้นแรงขึ้นในทุกขณะ

“จริงๆแล้วเค้าเป็นเด็กดื้อมากๆคนหนึ่งเลยนะ แต่วันนี้เค้ากลับว่าง่ายและน่ารักจนผมอดที่จะภูมิใจไม่ได้...อ๊ะ ผมแอบหึงอยู่นะครับที่จุดโฟกัสของกล้องมักจะเป็นเค้าแทนที่จะเป็นผมหรือเจ้าของงาน”

คราวนี้เหล่าบรรดาตากล้องและนักข่าวต่างก็หัวเราะกันระงม

“ที่กล่าวมาทั้งหมดทั้งมวลนั้น ผมแค่อยากจะแนะนำคนที่ผมรักให้ทุกท่านได้รู้จักและอยากจะบอกว่า…ผมรักเค้า ผมรักคริสตัล เฟรงเบิร์คคนนี้อย่างสุดหัวใจ อยากจะขอบคุณที่ยังอยู่เคียงข้างกันและพี่ขอสัญญา...ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นพี่ก็จะรักเราตลอดไปครับ”

ประโยคบอกรักที่แสนหวานนั้นทัตได้หันไปพูดกับคนรักที่ยืนนิ่งอยู่ข้างๆ ดวงตาสบประสานเหมือนจะสื่อถึงสิ่งที่มากกว่าคำพูดออกไป มันคือความรู้สึกจากใจมันคือสายใยที่ทักทอเราเข้าหากัน คริสเม้มปากพยายามข่มใจไม่ให้น้ำตาไหลรินลงมา มันคงหน้าอายที่ผู้ชายจะมาร้องไห้ง่ายๆกะอีแค่ได้ยินคำบอกรักที่หนักแน่นในอกแต่ซึ้งกินใจจากคนที่ตนรัก ทัตหัวเราะเสียงต่ำแล้วดึงน้องเข้ามาสู่อ้อมแขนช่วยในการบังสีหน้าของน้องจากสาธารณะชนได้เป็นอย่างดีแต่ก็เรียกเสียงวี๊ดวิ๊วได้ดีเช่นกัน

“พอดีเค้าขี้อายนะครับ ต้องขอโทษด้วย”

คริสทุบอกคนพี่ไปทีด้วยความหมั่นไส้จนทัตหัวเราะร่วน

“ทัต”

“หืม?”

คริสผละจากอ้อมแขนคนพี่แล้วล้วงหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋า ทัตตีหน้างงเหมือนหลายๆคนที่ยังลุ้นกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นตรงหน้า คริสตัลเม้มปากแน่นรอบตาแดงนิดหน่อยจากการกลั่นน้ำตาแต่ก็ไม่ถึงกับหน้ากลัว คริสหยิบกล่องกำมะหยี่สีดำที่มีชื่อแบรนด์เครื่องเพชรชื่อดังออกมายื่นให้คนพี่ เมื่อทัตรับไปตัวเองเลยต้องเอามือขึ้นมาปิดหน้าปิดอาการอายที่แดงไปทั่วทั้งอณูรูขุมขน

“นี่มัน...อะไรครับ?”

ยังจะพูดใส่ไมค์ไม่เลิก แต่เสียงดูอึ้งจริงจนคริสต้องทนเงยหน้าขึ้นมาสบตา

“เปิดดูดิ”

พูดบอกก่อนจะหลบสายตา รอยยิ้มฝุดขึ้นมาบนใบหน้าเข้มอีกครั้งจนกลายเป็นฉีกยิ้มกว้างเมื่อเค้าเปิดเข้าไปดูสิ่งที่อยู่ภายใน มันคือแหวนทองคำขาวที่คริสตัลสั่งสลักชื่อพวกเขาทั้งคู่ไว้ภายในตัววงส่วนด้านนอกเกลี้ยงเกลาเงาวับตามสไตล์ผู้ชายโมเดิร์นไลฟ์

“นี้ขอพี่แต่งงานเหรอ?”

พูดมาได้ไม่อายปาก แล้วที่สำคัญ…จะพูดใส่ไมค์ทำไมวะ!!!

“ไม่ใช่! แค่ของขวัญ”

“หืม? เนื่องในโอกาสอะไรครับ?”

“ก็…”

คริสเหลียวมองไปยังผู้คนรอบข้างที่จ้องมายังพวกเขาเขม่ง ไม่รู้จะลุ้นอะไรกันนักหนานี่มันไม่ใช่การแข่งขันมวยปล้ำซะหน่อย

“ก็?”

“ก็เนื่องในโอกาสที่เรารักกันไง”

“เฮ!!!!”

เป็นเสียงเฮจากผู้เป็นพ่อพร้อมกับเสียงปรบมือจากผู้คนที่อยู่ด้านล่าง คริสตัลซบหน้าลงกับฝ่ามือเค้ารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะมอดไหม้ไปทั้งตัวแต่ทัตกลับหัวเราะชอบใจซะงั้น บ้าจริง ไม่น่าเลือกเป็นแหวนมาเล๊ย

“คริสตัล”

“อืม”

“เงยหน้าขึ้นมาก่อน”

คนน้องทำตามในทันทีจนกระทั่ง…

จุ๊บ♡

“ขอบคุณนะครับ”

เชี่ย!!!

หน้าจะระเบิดแล้วอะ

“ผมคิดว่าเราคงไม่ต้องร่อนการ์ดกันแล้วละครับ จับแต่งมันตอนนี้เลยแล้วกัน ไหนๆก็ได้แหวนแถมยังมีจูบสาบานแล้วด้วย บาทหลวงอยู่ไหนใครช่วยไปรับมาให้ผมที”

ทรงพลเอ่ยทีเล่นจนเรียกเสียงฮาไปได้มากโข เค้าเดินเข้ามาโอบไหล่ลูกชายทั้งสองก่อนจะให้หันไปประจันหน้ากันอีกครั้ง

“เอางี้ เดี๋ยวพ่อเปลี่ยนงานจากฉลองวันคล้ายวันเกิดเป็นวันมงคลสมรสของพวกลูกๆไปเลยแล้วกัน เอาละ แลกแหวนกันได้ เดี๋ยวพ่อเป็นบาทหลวงให้ สักขีพยานก็มีเยอะแยะ แล้วก็…ยินดีต้อนรับครอบครัวเฟรงเบิร์คด้วยนะครับ”

คริสอ้าปากเหวอในทันทีที่พ่อปม่และพี่ชายของตนค่อยๆเผยตัวขึ้นมาบนเวที มาได้ยังไงแล้วมาตั้งแต่เมื่อไหร่วะเนี่ย???

“มิสเตอร์คาร์เตอร์ เฟรงเบิร์ค มิสซิสสิริกิต เฟรงเบิร์ค และ มิสเตอร์ทีครอส เฟรงเบิร์คครับ”

“นี่มันอะไรกันนะทัต!?!”

คริสเอ่ยถามเสียงเบาแต่สีหน้ากลับเล่นใหญ่จนคนพี่หยุดยิ้มด้วยความเอ็นดูไม่ได้

“เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังทีหลัง ส่วนตอนนี้…ขอแหวนของเราหน่อยสิครับ?”

คริสหันกลับมาจ้องคนพี่แป๊บก่อนจะหลบตาแล้วควักเอาแหวนอีกวงซึ่งเป็นวงในส่วนของตัวเองไปให้คนพี่ ทัตรับมาเปิดดูเห็นว่าเป็นแบบเดียวกันแต่วงเล็กกว่าก็ระบายยิ้มอ่อนโยนออกมาอีกครั้ง เค้าหยิบเอาแหวนมาไว้ในมือเก็บกล่องใส่กระเป๋าแล้วคว้ามือคนน้องมาจับไว้ก่อนจะคุกเข้าชันขาเงยหน้ามองสบตาคนรักที่หน้าแดงจัดอยู่ตรงหน้า

“I promise this love will never change…”(พี่สัญญาว่าความรักนี้จะไม่มีวันเปลี่ยน…)

คริสตัลเริ่มหายใจติดขัดเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของจังหวะการเต้นของหัวใจ

“I promise I will love and take care of you from now and forever…”(พี่สัญญาว่าจะรักและดูแลเราตั้งแต่นี้และตลอดไป…)

“It's not just you, but it's us.”(ไม่ใช่แค่ยู แต่ต้องเป็นเรา)

ทัตยิ้มรับคำพูดของคนรัก

“Of course we will do that and…”(แน่นอนครับ เราจะทำอย่างนั้นและ…)

“Will i marry you? Why ask, I love and stay with you only one.”(ไอจะแต่งงานกับยูไหมนะเหรอ? ถามมาได้ ไอรักและอยู่กับยูได้แค่คนเดียวเท่านั้นแหละ)

เสียงหัวเราะดังขึ้นแซงแซ่ในขณะที่คนพูดเอาแต่ก้มหน้า ทัตรู้ว่าน้องร้องไห้แต่ยังใจเย็นสวมแหวนให้มือเรียวก่อนจะลุกไปโอบกอดด้วยใจที่รักมั่น เค้าเองก็น้ำตาซึม มันปริมในใจจนแทบล้น ไม่เคยรู้สึกเต็มตื้นในใจมากมายถึงขนาดนี้มาก่อน ไม่สิ ต้องบอกว่าไม่คิดว่ามันจะมีอยู่จริงเลยต่างหาก คริสเองก็โอบกอดคยพี่แน่นหน้าซบบ่าปล่อยน้ำตาให้ไหลรินอย่างเงียบๆพลางเอียงหน้านิดหน่อยรับสัมผัสจากริมฝีปากของคนรักที่กดจูบลงมาตรงขมับในเชิงปลอบ

ไม่ว่าจะมีอะไรถาโถมเข้ามาหลังจากนี้ เค้าก็จะไม่ปล่อยอ้อมกอดของกันและกันอย่างแน่นอน มันจะยังคงให้ความรักความอบอุ่นแก่กันและกันด้วยความแนบแน่นไม่มีเปลี่ยนแปลง



~ ♡ FIN ♡~


Thank you for Following  See you to next story. Jub

ออฟไลน์ MyMinT1990

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-1
สปอยเรื่องราวต่อไป~



สัมผัสที่ไหวหวั่น





สี่ปีต่อมาหลังจากงานรับปริญญาของคริสตัลในช่วงกลางวันจบลงงานสังสรรค์ในช่วงค่ำก็เริ่มต้นขึ้น

“ขอแสดงความยินดีให้กับบัณฑิตจบใหม่ทุกๆคนด้วยคร้าบบบบบ!!!!”

เสียงดีเจประกาศผ่านไมค์หลังจากลดระดับเพลงที่บรรเลงความมันส์ดังขึ้นเรียกเสียงเฮและชูแก้วเครื่องดื่มมึนเมาเฉลิมฉลองด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ วันนี้เจ้าภาพใหญ่อย่างเทพทัตได้เหมาร้านให้ภรรยาสุดที่รักได้ฉลองกับเพื่อนอย่างเต็มที่ ทุกอย่างไม่อั้นไม่ว่าจะเครื่องดื่มหรือของกิน ทุกคนที่มาร่วมจึงสนุกเต็มเหนี่ยวร่วมกินกันอย่างไม่เกรงใจแต่ก็นะ ใครๆก็รู้ว่าหลังจากที่เทพทัตจบเมื่อสองปีก่อนและได้เข้ารับตำแหน่งประธานจริงๆจังๆกิจการก็พุ่งทยานขึ้นมาก เงินทองมีมาไม่ขาดแค่เหมาร้านเลี้ยงแค่นี้ ขนหน้าแข้งไม่กระดิกเลยด้วยซ้ำ

“เพลาๆหน่อยไอ้เกิล มึงยังต้องเจอกูอีกนานเว้ย”

แวนกอดคอนายที่เอาเหล้ากรอกปากซ้ำแล้วซ้ำเล่า พักหลังมานี่นายเปลี่ยนไปเยอะ เหมือนมีอะไรในใจแต่ก็ไม่มีปริปากบอกเพื่อนสักนิด

“มึงดื่มเยอะไปแล้วนะเว้ย”

คริสตัลปรามพลางยื้อแก้วมาจากเพื่อน

“แค่นี่เอง จิ๊บๆน่า”

“หน้าแดงสัส มึงไปนั่งรับลมข้างนอกหน่อยไหมวะ?”

คมเป็นคนถาม นายส่ายหัวจะคว้าแก้วกลับแต่คริสไม่ยอมให้แล้วเปลี่ยนไปคุยกับคมจนคมหันมาพยุงนายออกไปยังระเบียงด้านนอกที่มีเก้าอี้ไว้ให้นั่งรับลมเย็นๆ

“อยากอ้วกไหมมึง?”

“กูไม่อ่อนขนาดนั้นไอ้สัส”

“เออๆ จะให้กูอยู่เป็นเพื่อนไหมวะ?”

นายส่ายหน้าอีกครั้งก่อนจะเอนตัวพิงไปกับพนักพิงหลังยกมือขึ้นกดที่หัวตาเบาๆเป็นการคลายความเคลียดของเจ้าตัว แต่คมยังไม่กลับเข้าไป เขานั่งลงข้างๆเพื่อนรอคนเพื่อนพ้นลมหายใจจนโอเคดีแล้วจึงเอ่ยปากถาม

“มึงเครียดเรื่องอะไรวะ? บอกพวกกูบ้างก็ได้ เล่นเก็บไว้คนเดียวไม่ปรึกษาใครแบบนี้จะมีพวกกูเป็นเพื่อนไว้ทำแป๊ะอะไร”

นายหลุดหัวเราะออกมาจนได้

“ก็มีไว้เป็นเพื่อนเหมือนเดิมนั้นแหละ”

“สัส ยังจะมากวนตีน”

“หึ”

“อย่าบอกนะว่ายังตัดใจจากเชี่ยคริสไม่ได้”

เรื่องที่นายแอบชอบคริสตัลเพื่อนทุกคนรู้กันหมดแล้วจะมีก็แต่เจ้าตัวนั้นแหละที่ยังโง่ดักดานอยู่เช่นเดิม

“ป่าว”

“แล้วมันเรื่องอะไร งานการก็มีรองรับ เรียนต่อโทก็ไหนบอกว่ารออีกสักปีสองปี?”

“ไม่เกี่ยวสักเรื่อง”

“หรือเรื่องครอบครัว บ้านมึงก็ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรนี่ หรือ โรงแรมที่บ้านจะมีปัญหาวะ?”

“นี่มึงกลายเป็นคุณหนูจำไมไปตั้งแต่เมื่อไหร่วะไอ้คม”

ถึงฟังดูด่าแต่ปากกลับยิ้มขำให้คนเป็นเพื่อน

“เอ๊า ก็กูอยากเสือก”

“ให้ตาย พากันติดเชื้อเสือกมาจากไอ้มิกซ์ไปซะหมด”

“หรือมึงไม่ติด?”

“ติด”

“บัฟฟาโล่ครับคุณณรงค์”

“มาชื่อเต็มเลยเหรอครับคุณคมสัน”

“หึหึหึ”

ระหว่างที่คนทั้งคู่กำลังคุยกันอย่างออกรสแสงไฟจากเบื้องล่างที่เป็นลานจอดรถก็เรียกความสนใจของนายจนต้องหันไปมอง

“ว้าว รถใครวะ อย่างสวยเลยแม่ง”

คมเองก็อดที่จะชมไม่ได้ มันคือรถAudi R8 V10 สีดำด้านที่ถูกขัดจนขึ้นเงาไหนจะล้อแม็กสีดำลายเล็กเข้าชุดนั้นอีก เสียงเครื่องยนต์ที่ทุ้มต่ำเป็นเอกลักษณ์ทำให้ยิ่งน่าหลงไหล ทั้งคู่จับจ้องไม่วางตาจนกระทั่งรถถอยเข้าซองจอดนิ่งสนิดและบานประตูเปิดออกเฉยโฉมผู้เป็นเจ้าของอย่าง ทีครอส เฟรงเบิร์ค

“เชี่ย! พี่ไอ้คริสออกรถใหม่เหรอวะ!?”

นายเองก็ได้แต่นิ่งอึ้ง

“กูไม่รู้”

เค้าไม่เจอคนๆนี้ตัวเป็นๆมาร่วมสามปีเห็นจะได้ ตั้งแต่น้องชายอย่างคริสตัลได้ถูกประกาศตัวเป็นคู่หมั้นกับเทพทัต ทีครอสก็ประกาศหมั้นกับมิเกลล่า สาวสังคมผู้ดีจากฝั่งอเมริกาในเวลาต่อมาไม่นานนัก แถมยังไปๆมาๆอเมริกา-ไทยจนเหมือนมันอยู่ใกล้กันเสียนักหนา

“แต่เห็นไอ้คริสมันเปรยๆมาอยู่นะ ว่าพี่มันจะแต่งงาน”

“ห่ะ!?!”

นายหันควับไปจ้องเพื่อนแทบทันที

“กูได้ยินกูก็ตกใจนะ ไม่เห็นจะมีข่าวออกมาเลยด้วย หรือมันตอแหลก็ไม่รู้”

นายเม้มปากแน่นอย่างเผลอตัวก่อนจะหันไปมองคนด้านล่างที่หายไปในบานประตูของร้านในเวลาต่อมา

“เข้าไปถามพี่แกเลยดีไหมวะ?”

“กูว่าอย่าเลย…ถ้าพี่แกอยากบอก ก็คงประกาศมาเองแหละ”

“เออ ก็จริงของมึง”

“เข้าข้างในกันเหอะวะ กูอยากเข้าห้องน้ำ”

“เอาดิ”

ว่าแล้วคนทั้งคู่ก็พากันเข้าไปยังด้านในร้านโดยที่คมเดินกลับไปที่โต๊ะแต่นายแยกไปยังห้องน้ำซึ่งอยู่คนละฝั่งกัน จริงๆแล้วนายไม่ได้อยากเข้ามาทำธุระอย่างที่สมควรทำแต่เค้าแค่เข้ามาวิดน้ำล้างหน้าให้ตื่นจากภวังค์อะไรบางอย่างที่เผลอตกหลุมลงไประหว่างทางแต่ยังไม่ทันจะเตรียมตัวเตรียมใจเค้าก็พาตัวเองขึ้นมาจากภวังค์นั้นไม่ได้ซะแล้ว แต่ทุกอย่างก็พังทลายลงในเวลาอันรวดเร็วเช่นกัน เมื่อเค้าได้ยินคำๆนั้นหลุดออกมาจากปากของเขาคนนั้น

/มันเป็นไปไม่ได้ กูไม่ได้เป็นเกย์และกูไม่เคยพิศวาสเพศผู้ที่มีจู๋เหมือนกันด้วย/

มันเป็นเพียงคำพูดที่ตอบโต้ทางโทรศัพท์ดับใครสักคน แต่นั้นก็ไม่สำคัญเท่าความเป็นจริงที่เค้าได้รับรู้ หลังจากที่ได้ยินเขาก็ค่อยๆตีตัวออกห่างทั้งที่ก่อนหน้ามักจะมาวุ่นวายจนน่ารำคาญใจ มักจะโทรหาทั้งที่ไม่มีเรื่องจะคุย มักจะ…ทำให้ใจสั่นทั้งที่ไม่สมควร นายสะบัดหัวอีกครั้งก่อนจะหันไปดึงทิชชู่สำหรับเช็ดมือมาซับหยาดน้ำบนใบหน้าแต่กลับมีคนนำผ้าเช็ดหน้ามายัดใส่มือเค้าซะก่อน เมื่อมองไปยังผ้าเช็ดหน้าสีครามมีตราประทับยี่ห้อบอกชื่อแบรนด์ดังก็ต้องเหลียวไปมองคนให้ที่อยู่ไม่ไกล

“พี่ครอส”

ทีครอสยิ้มอ่อนให้เพื่อนน้องชาย

“กระดาษมันสกปรก ใช้ไปเถอะ พี่พึ่งซื้อยังไม่เคยใช้เลยรับรองสะอาด”

“เออ…”

“หรือรังเกียจ?”

“เปล่า”

“งั้นก็ดี”

พูดจบก็หันหลังแล้วเดินหนีออกจากห้องน้ำไปในทันที เขาเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วมาทำไมไม่เห็นเข้าห้องน้ำหรือทำธุระอะไรเลยละ หรือที่เข้ามาเพราะเห็นเค้าเข้ามากันนะ นั้นไงละ ชอบคิดเข้าข้างตัวเองอยู่เรื่อย

“ไอ้นาย หายไปนานนะสัส ขี้แตกไงวะ”

มิกซ์แซวทันทีที่เห็นเพื่อนเข้ามานั่งที่เดิม ไอ้คมเองก็กลับมาตั้งนานบอกว่าไอ้นายเข้าห้องน้ำ เพื่อนๆเลยรอชนแก้วกันอีกครั้งอยู่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา

“เสือกวะ”

“ชิ๊ เอานี่ๆ ยกเว้ย แด่มิตรภาพและความชิปหายที่ฝ่าฟันกันมา เชียส!!!!”

นายรับแก้วมาชนก่อนจะยกกรอกปากทีเดียวหมดแก้ว คนอื่นๆเองก็เช่นกัน นายพึ่งเห็นว่าที่นั่งข้างคริสตัลมีใครอีกคนนั่งอยู่ด้วย เค้าพยักหน้าในเชิงทักทายให้เทพทัตที่ตามมาทีหลังอย่างเป็นกันเอง ทัตเองก็ยกแก้วใหม่รับคำทักเช่นกัน ถึงแม้พวกเค้าจะอายุน้อยกว่าเทพทัตตั้งสองปีแต่เทพทัตไม่ถือตัวถึงขนาดว่าต้องไหว้ทุกครั้งที่เจอ

“คริส”

คริสตัลที่กำลังคุยอะไรงุ้งงิ้งกับทัตหันมามองพลางเลิกคิ้วในเชิงถาม

“หืม?”

“ฝากนี่ไปให้พี่มึงด้วย”

พูดพร้อมยื่นผ้าเช็ดหน้าไปให้ เค้าไม่ได้ใช้มันหรอก

“ทำไมมึงถึงมี…”

“กูเจอพี่มึงในห้องน้ำ เค้าเลยให้ยืมมาเช็ดหน้าแต่กูไม่ได้ใช้”

“งั้นมึงก็ไว้คืนเองก็ได้ อีกเดี๋ยวก็กลับเข้ามามั้ง เห็นว่าจะออกไปสูบบุหรี่”

“ไม่อะ เดี๋ยวกูจะกลับแล้ว”

“อ้าว ไหงงั้นละคุณเพื่อน”

เป็นมิกซ์ที่แทรกเข้ามาด้วยความตกใจ

“กูต้องกลับไปเตรียมตัวนะ”

“เตรียมตัวไรวะ?”

“กูตัดสินใจแล้ว กูจะไปเรียนต่อโทที่เมืองนอกสักสองสามปี”

“ห่ะ!?!”

สี่เสียงสอดประสานแต่นายก็ไม่ได้แปลกใจอะไร ก็สิ่งที่เค้าพูดออกไป เค้าเองก็พึ่งตัดสินใจได้เมื่อไม่กี่นาทีก่อนนี่เอง สงสัยต้องหายไปจากรัศมีพี่น้องตระกูลเฟรงเบิร์คสักพักใหญ่ๆ ไม่งั้นคงได้อกแตกตายเข้าสักวัน





Keep up with the story soon.

เราเอามาล่อค่ะ รอติดตามต่อได้ เร็วๆนี้

:katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ pearlypear

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 71
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ MyMinT1990

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-1
ไหวหวั่นครั้งที่ 1





กริ๊ก!

“เฮ้ยๆ!!! ไอ้นายมาแล้วโว้ยยยยย”

ผมยิ้มกว้างทันทีที่เปิดประตูบ้านคอนโดแล้วเจอเหล่าบรรดาเพื่อนซี้ดราหน้ามาต้อนรับกันอย่างครบองค์ประชุมสุดๆ การที่ไอ้พวกนี้สามารถเข้ามาในห้องผมได้เพราะผมปล่อยคอนโดให้ไอ้มิกซ์มันมาอยู่ระหว่างที่ผมไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ

จะว่าไป...เวลามันผ่านไปเร็วชะมัด แป๊บๆผมก็จบปริญญาโทจนต้องกลับมาสืบต่อกิจการโรงแรมของที่บ้านตามที่สัญญาไว้กับผู้เป็นพ่อ

“ยินดีต้อนรับกลับ”

ผมพยักหน้ารับคริสตัลที่เดินเข้ามาสวมกอดพร้อมเอ่ยต้อนรับ เล่นเอาผมน้ำตาคลอไปเลยทีเดียว

“ขอบใจ”

“คิดถึงกูมากเหรอ ถึงขนาดน้ำตงน้ำตาซึม”

“อย่าพูดให้ผัวมึงได้ยินนะ เดี๋ยวกูโดนฆ่า”

“ฮ่าๆๆ มันไม่อยู่พูดได้สบาย”

“หึ”

ผมหัวเราะขำพลางกอดคอมันเดินตามคนอื่นที่พูดแซวกับไปมาตามประสา แต่ละคนดูท่าจะกรึมๆกันพอสมควรแล้วแถมยังทิ้งหลักฐานอย่างบรรดาขวดเหล้าเบียร์ที่ว่างเปล่าไปซะเกือบครึ่งโหล ก็พอรู้จากไอ้มิกซ์อยู่หรอกว่าจะเลี้ยงฉลองต้อนรับที่ผมกลับแต่ดูจากรูปการณ์แล้วมันน่าจะอยากเลี้ยงกินเองซะมากกว่านะ

“แก้วนี่ของมึง ยกเลยครับเพื่อน”

ไอ้แวนยื่นแก้วเหล้าสีเหลืองทองส่องประกายมาให้ 

“กูยังไม่เก็บกระเป๋าเลยนะเฮ้ย”

“ช่างแม่ง ยังไงมึงก็นอนอยู่นี่นิ จะรีบเก็บไปทำไมวะ เอายกๆๆ”

ผมส่ายหัวให้เพื่อนไปทีก่อนจะยกตามแรงยุ ไปๆมาๆก็นั่งลงดื่มไปยาวๆจนไอ้คริสขอตัวกลับเพราะพ่อ(ทูนหัว)มันมารับ ไอ้แวนกับไอ้คมเองก็ขอไปต่อที่บาร์แต่ผมโบกมือลาเพราะเหนื่อยจากการเดินทางอยู่

“มึงไม่ไปกับพวกมันวะมิกซ์?”

อันนี้ผมแปลกใจจริงที่คนอย่างเชี่ยมิกซ์จะไม่ไปม้อสาวกับพวกสองคนนั้น

“กูเหนื่อย”

“เหนื่อย?”

“วันนี้กูพึ่งกลับมาจากโคราช แม่งเหนื่อยสัส กว่าจะเจรจารู้เรื่องเหยดแม่ม”

หยาบโล่นมาขนาดนี้แสดงว่ามันต้องหงุดหงิดจริงๆ วันนี้เป็นวันศุกร์ครับ ตอนกลางวันพวกมันก็ยังคงทำงานเป็นปกติแถมพรุ่งนี้บางคนก็ยังต้องทำงานต่ออีกด้วยซ้ำ     

“ลูกเจ้าของบริษัทอย่างมึงต้องลงพื้นที่เองเลยเหรอวะ?”

ผมถามขำๆพลางเก็บพวกแก้วพลาสติกใส่ถุงขยะไปด้วย พวกเรามักสังสรรค์กันด้วยแก้วและจานพลาสติกนะครับ ก็รู้ว่าอาจส่งผลเสียต่อร่างกายแต่ด้วยความขี้เกียจล้างตามวิสัยชายโฉดถึงได้ยังคงทำอยู่จวบจนทุกวันนี้

“มึงก็รู้ว่ากูฝึกหัดอยู่”

“ครับๆ มึงรีบมาช่วยกูเก็บเลยครับ ดึกละไอ้สัส ง่วงชิปหาย”

ไอ้มิกซ์พยักหน้ารับแล้วจึงลุกขึ้นมาช่วยผมโกยทุกสิ่งอย่างใส่ถุงขยะไม่นานก็เสร็จผมเลยเข้าห้องนอนไปจัดการกับเสื้อผ้าพอคร่าวๆแล้วเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดเตรียมตัวนอน

“อ้าว”

ผมอุทานเมื่อเห็นไอ้มิกซ์มานั่งแหมะอยู่ที่ปลายเตียง

“มีไรวะ?”

“กูจะไปนอนห้องเล็ก”

“เห้ย ไม่เป็นไร นอนด้วยกันได้”

“กูติดนิสัยนอนคนเดียววะ ถ้าจะมีคนเคียงข้างต้องเป็นสาวๆอกตูมๆเท่านั้น”

“ไอ้ชั่ว งั้นมึงนอนนี่ไปกูจะไปห้องเล็กเอง”

“เอ๊า ก็นี่ห้องมึงอะ มึงก็นอนไปดิ๊”

“สัส จะมาเถียงเหี้ยไรตอนตีหนึ่งแบบนี้วะ”

“มึงสิเถียงกู”

“เอ๊าไอ้นี่”

“หรือจะเอาไอ้สัส”

ผมกับมันจ้องหน้ากันเขม่งเลยครับ แต่ไม่นานต่างฝ่ายต่างก็เผยยิ้มร้ายก่อนจะหัวเราะเสียงต่ำแล้วโผเข้าไปกอดคอตบไหล่

“คิดถึงมึงวะ”

“เออ กูก็คิดถึง มึงแม่งใจร้ายวะ ไปเรียนตั้งไกลไม่มีกลับมาหากันบ้าน ปิดเทอมก็มีไหมไอ้สัส”

“เออๆ กูขอโทษ กูก็ยุ่งๆ”

“ยุ่งไร งานพาร์ทไทม์มึงอะนะ รวยชิปหายเสือกทำเป็นงกนะมึง”

ผมหัวเราะขำกับคำบ่นของเพื่อน ไอ้มิ๊กซ์ชกไหล่ผมมาอีกทีแรงๆตามประสา

“กูก็แค่อยากลองใช้ชีวิตในรูปแบบอื่นดู”

เอาเข้าจริงผมแค่พยายามทำให้ตัวเองไม่ว่างก็แค่นั้นแหละครับ เวลาว่างแล้วมันมักจะฟุ้งซ่านไปคิดถึงใครบางคนจนน่าโมโห

“เออๆ กูไปนอนดีกว่า มึนสัส มึงนอนนี่ไปเลยห้ามเถียง”

ผมพยักหน้ายอมให้มันแล้วจึงล้มตัวลงกลางเตียงใหญ่ที่เคยคุ้น ไอ้เพื่อนรักมันก็บริการดีถึงขั้นปิดไฟให้พร้อมกับปิดประตูจนเหลือเพียงผมท่ามกลางความเย็นของแอร์คอนดิชันเนอร์ ผมค่อยๆหลับตาลงอย่างช้าๆ ภาพการอำลาของเพื่อนทางนู้นคือภาพสุดท้ายที่ทำให้ผมยิ้มได้ก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทราในที่สุด







Rrrrr

เสียงโทรศัพท์ที่ดังขัดจังหวะการนอนทำให้ผมต้องขมวดคิ้วมุ้ย ความรู้สึกเพลียยังคงไม่จางหายเลยแม้แต่น้อย

“ไฮ”

ผมกดรับสายทั้งที่ไม่แม้แต่จะลืมตาขึ้นมอง แต่เสียงที่ดังสะท้อนตอบกลับมานั้นก็ทำให้ผมตระหนักได้ว่าตอนนี้ผมได้กลับสู่บ้านเกิดแล้ว

/จะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงไหน?/

“พ่อเหรอ?”

/แล้วจะเป็นใครไปได้อีก รีบลุกแล้วเข้ามาหาพ่อที่ออฟฟิศด้วย/

“ผมยังไม่พร้อมทำงานนะพ่อ”

/ไม่ได้ให้มาทำงาน แค่ให้เข้ามาให้เห็นหน้า ตอนนี้เริ่มจะจำหน้าแกไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ/

ผมยิ้มให้กับคำบ่นปนแซวของผู้เป็นพ่อ ถึงแม้น้ำเสียงจะนิ่งปกติเหมือนหน้าตาแต่เชื่อเถอะว่าพ่อคงกำลังงอลผมอยู่ไม่มากก็น้อย

“ครับๆ เดี๋ยวผมจะรีบเอาเป้าหน้าหล่อๆไปให้ยลโฉม”

/มันก็ต้องหล่ออยู่แล้วสิ ในเมื่อได้ดีเอ็นเอฉันไปถึงขนาดนั้น/

“จะชมตัวเองว่างั้น?”

/แน่นอน รีบๆลุกไปอาบน้ำได้แล้วเดี๋ยวพ่อจะโทรจองโต๊ะมื้อเที่ยงไว้ด้วยเลย/

ผมผุดลุกขึ้นมองนาฬิกาดิจิตอลบนหัวเตียงในทันที อื้อหือ อีกสามสิบนาทีก็จะเที่ยงแล้วครับ นี่กูนอนหรือซ้อมตาย

“โอเคครับ เดี๋ยวผมรีบทำเวลาเลย”

/อย่าให้เกินเที่ยงครึ่ง เข้าใจนะ?/

พูดจบก็วางสายไปแบบไร้เยื้อใย ผมนี่เลยต้องรีบลุกแล้ววิ่งเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่ด้วยความไวแสง ก็อย่างที่รู้ๆนะครับว่าการจราจรในเมืองกรุงมันเอาแน่เอานอนได้ซะที่ไหน และเนื่องจากผมพึ่งมาถึงเมื่อคืนจึงยังไม่ได้เข้าไปเอารถที่บ้านใหญ่เลยต้องโบกแท๊กซี่และกว่าจะมีรถว่างก็นานพอตัว

“ไป####ครับพี่ ซิ่งได้ยิ่งดี เดี๋ยวผมเพิ่มค่าเร่งเวลาให้”

“จัดให้ครับน้อง”

ผมนี่โคตรชอบพี่แท๊กซี่คนนี้เลยวะ ด้วยความเร็วและแรงปานฟาสแปดพี่แกก็พาผมมาถึงจุดหมายแบบทันเวลาอย่างฉิวเฉียด ที่ๆผมมาคือโรงแรมใหญ่ซึ่งเป็นโรงแรมแม่ของบรรดากิจการโรงแรมที่มีอยู่ทุกเมืองใหญ่และเมืองท่องเที่ยว นั่นยังไม่รวมกิจการรีสอร์ทที่เริ่มฝุดขึ้นมาเรื่อยๆและกำลังเป็นที่นิยมเพราะการกำกับดูแลของพี่นิด ลูกพี่ลูกน้องผู้มากอายุและประสบการณ์(ถ้าพูดให้เจ้แกได้ยินมีหวังโดนตบฉากใหญ่แน่วะ)

“ช้าไปห้านาที”

วิ่งมาถึงโต๊ะปุ๊บผู้เป็นพ่อก็พูดปั๊บนี่ผมยังหอบแฮกๆอยู่เลยนะครับ

“โถ่พ่อ ผมเร่งสุดๆแล้วน่า”

“มานั่งดีๆ แล้วนี่แต่งตัวอย่างกับอยู่บ้านไปได้ น่าขายหน้าจริงๆ”

ผมกรอกตาให้บิดาก่อนที่จะเดินมานั่งลงฝั่งตรงข้ามจนพนักงานนำผ้าคลุมมาให้พร้อมรินน้ำเปล่าที่เย็นฉ่ำ อ้อ ทุกคนอย่าไปซีเรียสกับคำพูดของคุณท่านให้มากนะครับ พ่อผมชอบพูดจิกกัดกับผมแบบนี้เป็นประจำ ไม่รู้หมั่นเขี้ยวหรือหมั่นไส้อะไรนักหนา อย่างชุดที่ผมใส่วันนี้ก็เป็นเสื้อยืดสีเข้มกับกางเกงยีนส์พอดีตัวแค่นั้นอะ

“พ่อสั่งอะไรไปรึยัง?”

“รอแกคงได้กินหรอก”

“แต่ก็เห็นว่ารออยู่นี่ครับ”

ผู้เป็นพ่อถลึงตามองแต่ผมกลับยิ้มน้อยๆตอบ ไม่นานออเดิร์ฟแรกก็มาเสิร์ฟซึ่งเป็นซุปครีมเห็ดของโปรดของคุณท่านเขาละ ผมพอจะเดาอาหารจานต่อไปได้ลางๆแล้วว่าจะเป็นอะไร ก็คงหนีไม่พ้นสเต็กเนื้อลูกวัวของโปรดของพ่ออีกเช่นเคย

เราทานกันไปคุยกันไปตามประสาพ่อลูกจนอาหารมาเสิร์ฟหมดทุกอย่าง เชื่อไหมครับว่าสิ่งที่ผมเดาไว้นั้นมันผิดหมด พ่อไม่ได้สั่งของโปรดตัวเองแต่กลับสั่งของโปรดผมที่เป็นอาหารไทยแต่พ่อครัวจัดทำแบบพิเศษให้เป็นมื้ออาหารแนวอเมริกันสไตล์

“นาย”

ผมเงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นพ่อก่อนจะเลิกคิ้วในเชิงถาม

“พร้อมเข้ารับตำแหน่งรึยัง?”

ผมนิ่งไปนิดก่อนจะเอ่ยปากตอบ

“ถ้าตามสภาพการณ์ก็คงต้องพร้อม แต่ถ้าเอาตามใจผมก็…ยังครับ”

“ทำไมละ?”

“ผมรู้สึกเหมือนตัวเองยังอ่อนเรื่องงานบริหารอยู่”

“นี่เรียนจนถึงเมืองนอกเมืองนาแกจะมาบอกว่าอ่อนอีกงั้นเหรอ?”

“โถ่พ่อ มันไม่ใช่แบบนั้น”

“แล้วมันแบบไหน?”

“เออ…ก็แบบ…”

เอาไงดีหว่า พูดไม่ออกบอกไม่ถูกกันเลยทีเดียว

“เฮ้ย~ งั้นเอางี้ แก่เข้ามาฝึกงานก่อนก็แล้วกัน”

“อ่า ก็ได้ครับ แต่ยังไม่ใช่พรุ่งนี้นะ”

“เออๆ งั้นเริ่มวันจันทร์ เจอกันที่ห้องพ่อตอนเจ็ดโมงเช้า ห้ามเลทห้ามสาย เข้าใจนะ?”

ผมพยักหน้ารับก่อนจะเอ่ยปากรับคำผู้เป็นพ่อ เราคุยกันอีกนิดหน่อยก็แยกย้ายเพราะพ่อมีประชุมต่อส่วนผทก็กะจะเข้าบ้านไปหาแม่และเอารถของตัวเองมาขับเหมือนอย่างเคย บ้านใหญ่ของผผมอยู่ห้างจากโรงแรมไม่มากครับ เป็นบ้านหลังใหญ่สมชื่อแถมยังกินอาณาบริเวณกว้างขวางอย่างที่คุณแม่ชอบ แม่ผมชอบให้บ้านมีสวนสวยๆไว้นั่งจิบชาผ่อนคลายจิตใจไรงี้นะครับ เมื่อนั่งแท๊กซี่ไปจนถึงบ้านกดออดไม่นานก็มีเด็กมาเปิดประตูให้ วินาทีแรกที่เจ้าหล่อนเห็นผมนี่เธอร้องลั่นหน้าบ้านเลยครับ ไม่รู้จะดีใจอะไรนักหนา ผมเลยได้แต่ยิ้มรับหน้าบานเดินนำเข้าบ้านไปหาแม่ที่คุณเธอบอกมาง่ากำลังนั่งเล่นอยู่ที่ห้องนั่งเล่น

“แม่ครับ ผมกลับมาแล้ว”

ผมเอ่ยทักเมื่อโผล่เข้าไปในห้องนั่งเล่นก่อนจะโผเข้าไปกอดผู้เป็นแม่ที่หันมายิ้มกว้างรับ อ่า คิดถึงอ้อมกอดนี่จังเลย

“ว่าไงเจ้าแสบ สบายดีใช่ไหมครับ?”

“สบายดีครับ แต่ไม่สบายเท่าอยู่บ้านเรา”

“งั้นจะดื้อไปไกลๆทำไม แค่เรียนต่อโทที่เรียนในเมืองไทยก็มีเยอะแยะ”

ผมได้แต่ยิ้มแหย่แล้วล้มตัวลงนอนหนุนตักมารดา

“แล้วนี่ทานอะไรมารึยังครับ?”

“เรียบร้อยแล้วครับ ผมพึ่งไปทานกับพ่อมาเลย”

“อ้าว พ่อไม่ได้มีนัดทานข้าวกับคุณสรยุทธหรอกเหรอ?”

ผมนี่ขมวดคิ้วเลย

“อ้าว”

“หึหึ สงสัยแคนเซิลเพื่อมากินกับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนละสิ”

“ก็พูดเวอร์ไปแม่ นั้นมันผู้กำกับเลยน่า”

“ก็แล้วไง พ่อเราเคยสนที่ไหนละ”

“ก็จริงแฮะ”

เห็นไหมละครับว่าพ่อผมโอเวอร์แอคติ้งถึงขนาดไหน

“แม่ละครับ ทานอะไรรึยัง?”

“เรียบร้อยแล้วจ้ะ จริงสิ แม่พึ่งได้องุ่นมาจากไร่ของเพื่อน ทานหน่อยไหมลูก?”

“ไม่เอาอ่า ผมอยากนอนกอดแม่แบบนี้มากกว่า”

“เจ้าเด็กขี้อ้อน”

ผมหลับตาพริ้มซุกหน้าเข้าหาแม่แล้วจึงปิดโสตประสาทและหลับไปอย่างง่ายดาย ผมว่าที่ผมยังคงเพลียและหลับบ่อยอาจเป็นอาการเจ็ทแลคก็ได้ พอตื่นขึ้นมาอีกทีผมกลับนอนหนุนหมอนอิงอยู่ที่โซฟาปราศจากผู้คนรวมถึงแม่ที่น่าจะอยู่ให้ผมหนุนตัก ผมยกมือลูบหน้าก่อนจะยันตัวขึ้นนั่ง พอมองไปที่นาฬิกาก็เห็นมันบ่ายแก่ๆแล้วเลยคิดว่าคงได้เวลากลับไปเก็บของที่คอนโดสักที

ผมเดินไปบอกลาแม่และเหล่าแม่บ้านอีกนิดหน่อยแล้วจึงเอาบีเอ็มของตัวเองกลับพร้อมกับของกินเต็มสองไม้สองมือ จะว่าไปไอ้มิกซ์จะกลับมากินด้วยไหมละเนี้ย พอคิดได้มือก็คว้าโทรศัพท์มากดโทรหามันในทันที

/ว่าไงวะ?/

“มึงอยู่ไหน?”

/ชะอำ/

“ห่ะ มึงไปทำเป๊ะอะไรที่ชะอำ?”

/มาดูที่ คงกลับพรุ่งนี้เย็น มึงมีอะไร?/

“ก็ไม่มีอะไร แค่กูกลับบ้านแล้วที่บ้านให้กับข้าวมาเพียบเลย”

/อ้อ ไม่มีเพื่อนแดรก งั้นมึงก็แวะไปกินกับไอ้คริสมันดิ มันโทรมาบ่นกับกูเมื่อตอนเที่ยงว่าเบื่ออยู่หยกๆ/

“มันอยู่ที่เดิมป่าววะ?”

/เออ คอนโดผัวมันนั้นแหละ/

“โอเค กูต้องผ่านเส้นนั้นพอดี งั้นแค่นี้แหละ”

/เออๆ บาย/

พอวางสายจากไอ้มิกซ์ได้ผมก็เปลี่ยนเส้นทางแล้วมุ่งหน้าสู่คอนโดใหญ่อันเป็นเรือนหอของเพื่อนซี้อย่างคริสตัล

ไม่ถึงสิบนาทีผมก็มายืนอยู่หน้าเคาร์เตอร์ของทางคอนโดแล้วครับ สองมือผมเต็มไปด้วยกับข้าวที่ปรุงเสร็จใหม่ๆร้อนๆเต็มสองไม้สองมือ ผมกำลังยืนรอให้ไอ้เพื่อนยากมารับเพราะที่นี่ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้านอกเสียจากมีคนในพาเข้าไปก่อน

“เฮ! ไอ้นาย”

ผมยิ้มก่อนจะพยักหน้าให้คริสตัลที่เดินเข้ามาหา

“มาไม่บอกกล่าวล่วงหน้าเลยนะมึง แล้วนี่หอบอะไรมาเยอะแยะ”

“กับข้าวของที่บ้านกูทำ พอดีแวะไปเอารถที่บ้านแล้วโดนยัดมาเพียบ ไอ้มิกซ์ก็เสือกไม่อยู่แล้วกูคนเดียวจะแดรกยังไงหมดวะ”

“เลยเอามาให้กูแดรกเป็นเพื่อนงั้นสิ เออๆ ก็ดี ขึ้นไปบนห้องก่อนเหอะวะ”

พูดจบมันก็เข้ามาแย่งถุงไปถือบอกว่าอยากช่วยแล้วพาไปยังด้านในก่อนจะกดลิฟท์ ผมพึ่งรู้ว่ามันเปลี่ยนจากห้องเดิมที่เป็นเหมือนห้องของคอนโดทั่วไปเป็นเพ้นเฮาส์ชั้นบนสุดก็ตอนจะกลับมาไทยนี่แหละครับ ด้วยคำบอกเล่าของไอ้มิกซ์ที่เมาส์มอยว่าไอ้คริสใจง่ายอยากอยู่ก่อนแต่งไรงี้ ผมว่าถ้าไอ้คริสได้ยินนะมีไล่เตะกันไม่หยุดแน่วะ

“ห้องนี้แหละ”

มันพูดพลางหยิบคีร์การ์ดมาเสียบแล้วกดรหัสอีกที ระบบรักษาความปลอดภัยดีเวอร์ แถมทั้งชั้นยังมีประตูอยู่แค่สองบานซึ่งอยู่ตรงข้ามกันด้วย

“เข้ามาๆ”

ผมเข้าไปยังด้านในแล้วยืนมองสำรวจรังรักใหม่ของเพื่อนระหว่างที่ไอ้คริสปิดประตูและเอารองเท้าสลิปเปอร์มาให้ใส่

“หรูได้อีกนะมึง”

“ใส่ๆไปเหอะน่า”

ผมหัวเราะนิดหน่อยแล้วถอดรองเท้าไปใส่ ไอ้คริสแม่งเปลี่ยนไปเยอะวะครับ มันกลายเป็นคนใจเย็นขึ้นแถมยังมีออร่าความเป็นแม่บ้านอย่างไม่น่าเชื่อ ดูอย่างตอนนี้ที่มันเอาถุงอาหารไปเก็บที่เคาร์เตอร์ครัวแล้วหันไปหยิบแก้วรินน้ำเย็นๆมาให้ผมนี่สิ ถ้าผมเป็นสามีมันที่ทำงานเหนื่อยๆกลับมาบ้านเจอมันทำแบบนี้ให้คือกูคงโคตรหลงมันหนักกว่าเก่าแน่ๆ ไม่แปลกใจเลยที่พี่ทัตจะหนีไปไหนไม่พ้น

“แล้วผัวมึงอะ?”

“อยู่ห้องนั่งเล่นข้างในนั่นแหละ”

“อ้อ”

ผมรับน้ำมาดื่มแล้วจึงเดินตามมันเข้าไปยังด้านใน เพ้นเฮาส์นี้ไม่ได้ถูกแบ่งเป็นห้องๆเหมือนพวกห้องทั่วไปแต่มันเปิดโล่งจะมีขั้นมีตู้โชว์ตู้หนังสือมาตกแต่งคั่นไว้อย่างลงตัวแต่ไม่เกะกะ ผมชอบความโปร่งโล่งนี้นะครับ และดูเหมือนมันจะมีสองชั้นซะด้วย โคตรหรูเลยวะ

“กลับมาแล้วครับ”

คริสเอ่ยทักเมื่อไปจนถึงห้องที่เจ้าตัวบอกว่าเป็นห้องนั่งเล่น ผมที่เดินตามไปถึงกับชะงักค้างกับภาพที่เห็น มันเป็นภาพของแฟนเพื่อนที่นั่งอยู่กับพื้นพรมด้านหน้าเต็มไปด้วยตุ๊กตาและมีเด็กตัวเล็กแก้มป่องตาแป๊วนั่งเล่นเจ้าโดเรม่อนขนาดจิ๋วอยู่ เด็กคนนั้นหันมามองที่คริสตัลก่อนจะยิ้มกว้างแล้วยืนมือน้อยๆมาหาเหมือนอยากให้อุ้มซึ่งคริสตัลก็เข้าไปอุ้มมากอดมาหอมไปซะหลายฟอด

“ยืนทำไรอยู่วะ มานั่งนี่ดิ หรือจะไปนั่งที่โซฟาก็ได้นะ”

โซฟาที่มันว่าคือโซฟาที่อยู่ทางด้านหลังออกไปอีก ผมคิดว่าปกติตรงนี้ต้องเป็นที่ตั้งโซฟานั้นแหละแต่เพราะมีเด็กเลยต้องเคลียร์พื้นที่ออกให้โล่งและกว้างพอ

“เออ…นั่งกับมึงก็ได้ พี่ทัตหวัดดีครับ”

“สวัสดี เมื่อคืนแฮงค์ไหมละ?”

“ไม่นะ ผมคอแข็ง”

“หึ อยู่นู้นคงจัดบ่อยจนชินละสิ”

“แหมะ รู้ทันผมอีก”

“พี่โตมาจากเมืองนอก พี่รู้ดีว่าที่นั้นเป็นยังไง”

“ก็ตามนั้น ว่าแต่ไอ้คริส มึงไปแอบคลอดลูกตั้งแต่เมื่อไหร่วะ?”

“ไอ้เชี่ย! นี่หลานกูเว้ย ถ้ากูท้องได้มึงก็ท้องได้เหมือนกันละวะ”

“จะไปรู้ละ ก็เห็นหน้าคล้ายๆกัน”

ผมพูดจริงนะครับ โดยเฉพาะตาสีฟ้าสดใสและผมสีอ่อนนั้นอีก แต่คำพูดต่อมานั้นกลับทำให้ผมชาไปทั้งตัวและหัวใจ…

“นี่แองเจลล่า เฟรงเบิร์ค เป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของทีครอส เฟรงเบิร์คเชียวนะเว้ย แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เหมือนกูได้ยังไงละ”

ลูกของพี่ทีครอสอย่างนั้นเหรอ

งั้นพี่เขาก็แต่งงานไปแล้วสินะ

“แอ่ๆ”

เด็กน้อยหันมามองผมก่อนจะยื่นมือเล็กๆมาหา ท่าทีใสซื่อไร้เดียงสานั้นไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด

“แปลกแฮะ ทั้งที่ปกติออกจะไม่ชอบให้คนแปลกหน้าอุ้มนะเนี้ยแต่ทำไมกับมึงนี่ถึงขั้นจะไปหาเองซะงั้น”

“……”

“นาย เฮ้ มึงได้ยินที่กูพูดอยู่ไหมวะ?”

“……”

“ไอ้นาย?”

“……”

“ฮึก ฮึก งะ แง~”

“อ้าว ร้องทำไมครับแองจี้ ดอทครายเบบี้ ชู่~”

“ฮึก ฮึก อุแว๊~”

“มายแองเจิล ดอทครายพรีส วอทดูยูว้อนเบบี้?”

“แง~”

ผมเอาแต่ยืนมองเด็กน้อยที่ร้องไห้โยเยอยู่ในอ้อมกอดของอาอย่างคริสตัล ดวงตาสีฟ้าชื้นไปด้วยคราบน้ำตาแต่กลับจ้องเป้งมายังผม ไม่รู้ผมคิดอะไรอยู่ในนาทีนั้นแต่มือผมกลับยื่นออกไปหาจนคริสตัลมองมือผมสลับกับมองหน้าไปมา

“อะไร จะอุ้มเหรอ?”

“อืม ลองดู”

คริสพยักหน้ารับแล้วจึงส่งเด็กน้อยเข้าสู่วงแขนและอ้อมกอดของผม ถึงไม่อยากจะเชื่อก็ต้องเชื่อแล้วละครับ ก็ทันทีที่ผมรับเด็กน้อยเข้าสู่อ้อมกอดเขาก็หยุดร้องไห้ในทันทีแถมยังยื่นมือมาแป๊ะๆที่หน้าผมแล้วหัวเราะคิกคักไปด้วยอีก

“โห ไม่ค่อยจะออกอาการเลยหลานกู เจอคนหล่อเป็นไม่ได้เลยแฮะ”

ผมยิ้มรับคำแต่ตายังมองจ้องไปที่เด็ก ถึงแม้จะเจ็บในอกแต่เด็กคนนี้ก็ไม่เกี่ยวกันสักหน่อย เขาก็แค่มาเกิด จากคนที่ผมแอบรักกับใครอีกคน

ก็แค่นั้น…


Tbc

​มาแล้วววววว ~
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-05-2017 22:05:26 โดย MyMinT1990 »

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
โธ่นาย...

ปล. คริสต้องเป็นอา (น้องของพ่อ) ไม่ใช่น้าชายจ้า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-05-2017 15:50:36 โดย sirin_chadada »

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
เริ่มก็น้ำตาซึมให้กับคนแอบรักเขาข้างเดียวแล้วอ่ะ  :hao5:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ ป้ากิ่งkingkarn

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 308
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
เฮ้อออออออ
สงสารนายไปยาวๆเลย

ออฟไลน์ MyMinT1990

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-1
โธ่นาย...

ปล. คริสต้องเป็นอา (น้องของพ่อ) ไม่ใช่น้าชายจ้า

ขอบคุณที่ท้วงนะค่ะ ไรท์มีความเบลอแรง ฮ่าๆๆๆ เดี๋ยวไปแก้แพร๊บ

ออฟไลน์ MyMinT1990

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-1
ไหวหวั่นครั้งที่ 2

 

แองเจลล่าเป็นเด็กฉลาดแถมยังดูท่าทางคงเป็นวันเดอร์เกิร์ลในภายภาคหน้าแน่ๆ สังเกตุจากที่เล่นอยู่คนเดียวได้พอหิวก็มองซ้ายแลขวาเมื่อเจอขวดนมตั้งอยู่ก็เดินเตาะแตะไปหยิบมานั่งแหมะแล้วล้มตัวลงนอนหนุนหมอนดูดนมจ๊วบๆอย่างไม่รีรอ เข้าใจแล้วว่าทำไมไอ้คริสกับพี่ทัตถึงได้กล้าที่จะปล่อยให้ผมผู้ซึ่งไม่เคยสุงสิงกับเด็กอ่อนได้เป็นคนดูแลแบบไม่มีห่วงใดๆ

“อ้าว หลับไปแล้วเหรอ?”

คริสตัลเอ่ยปากท้วงเมื่อเดินกลับมาแล้วเห็นหลานสาวนอนหลับอุตุทั้งที่ปากยังคาบขวดนมอยู่อย่างนั้น คริสเดินเข้ามาดึงขวดออกจากปากหลานแล้วจึงเข้ามาจัดท่านอนให้ดีๆเอาผ้าห่มมาคลุมให้อีกชั้นก่อนจะหันไปหลี่แอร์ลงอีกหน่อย ผมระบายยิ้มเมื่อเห็นความอ่อนโยนของเพื่อนซี้คนสนิท ไม่บ่อยนะครับที่จะได้เห็นด้านนี้ของคริสตัลผู้เอาแต่ใจ

“ยิ้มเชี่ยไร กูขนลุก”

“มองคุณแม่มือใหม่ เดี๋ยวนี้มีดงมีเด็กละอ่อนโยนเชียวนะมึง”

“กับเด็กนะต้องเอาใจใส่แต่กับมึงนี่ต้องเอาค้อนให้อย่างเดียวเลย”

“โห โคตรลำเอียง”

คริสตัลกระตุกยิ้มร้ายแล้วจึงเดินไปขยับชั้นหนังสือขนาดเล็กที่มีล้อสำหรับเคลื่อนย้ายได้อย่างสะดวก

“ให้ช่วยไหมวะ?”

“ไม่ต้องๆ แค่นี้ก็เรียบร้อยแล้ว”

ผมมองดูรอบๆเมื่อคริสเคลื่อนย้ายเสร็จก็เข้าใจ เมื่อเคลื่อนตู้ออกห้องนี้จึงเชื่อมต่อกับโซนครัวในทันที

“ทำอย่างนี้จะได้มองเห็นเด็กในระหว่างที่กินข้าวไปด้วย”

ผมพยักหน้ารับรู้ก่อนเดินตามมันไปยังโต๊ะอาหาร

“แล้วพี่ทัตละ”

“คุยโทรศัพท์อยู่ในห้องนอน เรื่องงานนะ”

“อ้อ ก็คิดอยู่ว่าพี่แกจะว่างมานั่งเลี้ยงเด็กกับมึงได้ไง”

“ก็ไม่ว่างแต่มันไม่ไปออฟฟิศเอง”

“ทำไมวะ?”

“ก็พอกูบอกว่าเบื่อเลยจะไปเล่นกับไอ้มิกซ์ที่ชะอำ พูดยังไม่ทันขาดคำ พี่แกก็เปลี่ยนเสื้อเป็นชุดอยู่บ้านแล้วพากูไปรับหลานมาซะงั้น ดีนะที่แม่กูไม่ว่าอะไร”

“แม่มึง? แล้วแม่เด็กละวะ?”

“กลับประเทศไปตั้งแต่คลอดได้สามเดือนแรก”

“ห่ะ!”

“ก็นะ มันค่อนข้างจะซับซ้อนวะ กูก็ไม่เข้าใจกับพี่กูเท่าไหร่ด้วย”

“.......”

“เออๆ ช่างแม่งเหอะเรื่องของพ่อแม่ลูกเขา มึงมานั่งได้แล้ว เดี๋ยวกูไปตามไอ้ยักษ์ก่อน”

ผมเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะซึ่งมีอาหารคาวหวานที่ผมนำมาวางอยู่เต็มอาณาบริเวณ ที่ไอ้คริสหายไปนานก็เพราะมาจัดแจงอุ่นร้อนพร้อมรับประทาน ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลาจนเห็นว่าพึ่งจะสิบหกนาฬิกาเลยชัดงงว่ามันจะรีบกินไปไหน

“โทษที รอนานไหม?”

พี่ทัตเดินนำคริสตัลมานั่งฝั่งตรงข้ามก่อนจะเอ่ยปากถาม

“ไม่ครับ ว่าแต่พี่หิวแล้วเหรอ?”

“อืม ทำไม?”

“พึ่งสี่โมงเย็นนี่นะ”

“อ้อ พี่ยังไม่ได้กินมื้อเที่ยงนะ แต่คริสกินแล้ว”

“อ้าว”

ไอ้คริสไหวไหล่

“กูก็แค่มาจัดให้แล้วจะไปนอนเล่นกับแองจี้ พวกมึงก็กินกันไปสองคนนะ”

“ไหงงั้นวะ มึงมานั่งนี่เลยไอ้คริส”

“กูกินข้าวเที่ยงแล้วนะเว้ย”

“ก็แล้วไง ผ่านมาตั้งหลายชั่วโมงแล้วมันย่อยหมดแล้วแหละน่า”

“ชิ เออๆ กินด้วยก็ได้”

มื้ออาหารจึงผ่านไปด้วยดีพร้อมเสียงหัวเราะและการพูดคุยหลังจากที่ไม่เจอกันนาน จะมีก็เพียงเทพทัตที่กินอิ่มแล้วก็ขอแยกตัวไปนั่งทำงานต่อโดยที่คริสให้เอาโน๊ตบุ๊คไปนั่งทำใกล้ๆหลานส่วนตัวมันก็นั่งคุยไปกิน(แบบเล่นๆ)ไปอยู่กับผมที่โต๊ะเช่นเดิม

“กูก็คิดอยู่นะว่าที่มึงไม่กลับไทยแม้แต่วันหยุดต้องเป็นเพราะมึงไปติดแหม่มที่นู้นแหง่งๆ แต่ไอ้พวกสามตัวนั้นไม่เชื่อกูวะ”

“เพ้อเจ้อ กูทำงานเหอะ”

“อย่างมึงอะนะขยันทำงานตอนเรียน หึ อย่ามาพูดให้ขำ ถ้าขยันจริงกลับมาปุ๊บมึงต้องเข้าบริษัทไปนั่งโต๊ะผู้บริหารกับพ่อมึงแล้ว”

ผมส่ายหัวหน่อยๆพลางหัวเราะขำขันไปอีกจนสักพักก็มีเสียงอินเตอร์โฟนดังขึ้นคริสเลยต้องลุกไปรับสาย ยกหูโทรศัพท์ได้ไม่นานก็วางแล้วเดินไปกดอะไรสักอย่างที่หน้าประตู

“มีอะไรรึเปล่าวะ?”

“ป่าวๆ แค่พี่ครอสมารับแองจี้นะ”

ห่ะ!!!

ผมนี่เกร็งไปทั้งตัวเลยครับ กูยังไม่พร้อมเจอนะเฮ้ย แต่จะกลับตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วด้วย เอาไงดีวะ



ปิ๊งป๊อง!



เหยดดดดดด

“กะ กูขอเข้าห้องน้ำหน่อยนะ”

“เออๆ อยู่ทางด้านในอะ หาไม่เจอก็ถามทัตเลย”

ผมพยักหน้ารับไวๆแล้วรีบตรงดิ่งไปยังทิศทางที่เพื่อนบอก ดีหน่อยที่หาเจอง่ายเพราะเป็นประตูบานเดียวที่เป็นสีขาวเพียวๆ พอเข้ามาปุ๊บก็ยืนหอบแฮกอยู่ที่หน้าเคาร์เตอร์อ่างล้างหน้าอย่างหมดท่าเลยครับ หัวใจนี่เต้นตุบๆอย่างกับกลองรัวงานแต่ง พอเงยหน้าขึ้นมองดูตัวเองที่กระจกเงาแล้วก็ต้องขมวดคิ้ว

ทำไมกูหน้าแดงได้ถึงขนาดนี้วะ



ก๊อกๆๆ

“ไอ้นาย มึงโอเคไหมเนี้ย?”

เสียงไอ้คริสแทรกเข้ามาหลังจากที่ทำผมสะดุ้งด้วยเสียงเคาะประตู

“เออ…ไม่โอเคเท่าไหร่วะ”

“เออๆ ถ้าไม่ไหวก็บอกเดี๋ยวจะซ้ำเติมให้”

ไอ้ฝรั่งกวนตีน กวนตีนไม่มีเปลี่ยน ผมพ้นลมหายใจหนักๆก่อนจะพยายามตั้งสติตัวเองให้ดี อยู่ข้างในนี้อีกหน่อยเดี๋ยวพี่ครอสมารับลูกกลับแล้วค่อยออกไปก็ได้ ว่าแล้วก็ปีนขึ้นไปนั่งที่เคาร์เตอร์อ่าง ดีหน่อยที่มันทำมาจากปูนตั้งฉากเหมือนโต๊ะเลยทำให้มีเนื้อที่เยอะพอที่จะนั่งได้ พอจัดแจงตัวเองเรียบร้อยก็คว้าเอาโทรศัพท์ขึ้นมากดเล่นส่งข้อความหาเพื่อนทางนู้นว่าถึงโดยสวัสดิภาพ ผมอยู่ที่นี้ก็มีเพื่อนเยอะพอตัวเลยนะครับ เรียกได้ว่าป๊อบระดับต้นๆเลยแหละไม่อยากจะอวย



ก๊อกๆๆ

“เชี่ยนาย นี่มึงขี้แตกรึตกส้วมตายวะ!?”

ผมสะดุ้งโหย่งพอมองดูเวลาเห็นว่าผ่านมาร่วมสิบนาทีแล้วเลยโดดลงมาเปิดประตูออกไป

“โทษๆ”

“มึงนี่นะ ตกลงเป็นอะไร?”

“ก็ท้องเสียหน่อยๆ สงสัยไม่คุ้นกับสภาพอากาศ”

“มั่วละมึง สภาพอากาศไปเกี่ยวอะไรกับกระเพาะลำไส้”

“อ้าวเหรอ”

“ความเอ๋ย”

“หึ”

ผมชะงักเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของบุคคลที่สามแทรกเข้ามา ใจนี่ภาวนาขอให้เป็นพี่ทัตแต่พอหันไปมองแล้วใจผมนี่วิ่งวุ่นอยู่ในอกจนแทบจุก

“ขำไรพี่ครอส?”

“พวกมึงนี่สนิทกันไม่เปลี่ยนเลยเนอะ”

“แน่นอน”

คริสตอบพี่ชายก่อนจะเข้ามาโอบคอกอดไหล่จนโดนพี่ทัตที่ยืนคุยโทรศัพท์อยู่ไม่ไกลส่งสายตาดุๆมานั้นแหละมันถึงได้หดมือกลับ

“สะ สวัสดีครับพี่ครอส”

“อืม หวัดดี ไม่เจอกันนานเลยแฮะ แต่ไม่เห็นจะมีอะไรเปลี่ยนไปเลย”

ผมกระพริบตาปริบๆให้ความสนิทที่เป็นกันเองเหมือนเดิมของคนตรงหน้า พี่ครอสตอนนี้ดูภูมิฐานขึ้นมากไม่รู้เพราะหนวดเคราที่เริ่มยาวหรือเพราะชุดสูทที่ใส่มาในวันนี้ก็ไม่รู้ ดูดิบแต่ไม่เถื่อนออกแนวสมาร์ทและเต็มไปด้วยกลิ่นอายของชายชาตรี

“ใครบอกว่ามันไม่เปลี่ยน นี่มันดูผอมดูโทรมกว่าเมื่อก่อนตั้งเยอะ อยู่เมืองนอกมันต้องเจ้าเนื้อเหมือนเจ้าของพื้นที่ดิวะ ทางนั้นเค้ากินแต่เนื้อแต่แป้ง แต่ไหงมึงไม่อ้วนขึ้นเลยวะ”

ไอ้คริสบ่นไปเรื่อยแต่ผมกลับไม่สนใจจะต่อปากต่อคำกับมันเหมือนอย่างเคย

“ใครจะไปอ้วนท้วนสมบูรณ์ได้อย่างมึงละคริสตัล”

“อยากปากแตกเหรอพี่ครอส?”

“กูพี่มึงนะ”

“รู้ เบ้าหน้าเลวๆแบบนี้มีแค่พี่ผมคนเดียวนี่แหละ”

“ปากดี”

“ขอบคุณที่ชม”

ผมอมยิ้มน้อยๆให้การปะทะฝีปากของสองพี่น้องจนหันไปสบตากับพี่ครอสเข้านั้นแหละถึงกับหุบปากฉับแทบไม่ทัน พี่ครอสก็ไม่ได้จ้องแบบเขม่งหรือทำท่าน่ากลัวอะไรนะครับ เขาก็มองยิ้มๆเหมือนตอนมองคริสตัล แต่ใครจะไปรู้ละว่าสายตาอ่อนโยนแบบนั้นมันจะทำให้ผมเจ็บแปร๊บในอกถึงขนาดนี้

“ไอ้คริส กูว่ากูกลั…”

“แอ่”

ทุกสายตาหันไปมองเสียงร้องของเด็กน้อยเพียงคนเดียว พี่ครอสที่นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ขยับลงมานั่งข้างๆลูกสาวก่อนจะอุ้มเจ้าตัวน้อยที่พึ่งตื่นขึ้นมากอดแนบอก

ผมยืนมองดูภาพเด็กน้อยไร้เดียงสากำลังยิ้มร่าเหมือนดีใจเสียเต็มประดาที่ได้อยู่กับผู้เป็นพ่อ ดวงตาที่เคยกลมบ๊อกหรี่ลงเพราะรอยยิ้มกว้าง ใบหน้าดูมีความสุขไม่แพ้ผู้เป็นพ่อที่ก้มหน้าลงต่ำให้ลูกได้สัมผัส

“พี่ครอสห้ามหอมแองจี้นะ”

คริสท้วงเมื่อเห็นพี่ชายก้มลงจนเกือบโดนแก้มตุ้ยของเจ้าตัวน้อย พี่ครอสพึงกับเงยหน้าขึ้นมาหรี่ตามอง

“พี่ผิดเองที่ไม่โกนหนวดก่อน เดี๋ยวก็ทิ่มหลานผมจนระคายเคืองผิว เอาแองจี้มาให้ผมเลย”

“แกนี่มันยิ่งกว่าแม่อีกแฮะ”

“ก็แล้วไง นี่หลานผมอะ”

“ลูกกูไหม?”

“ให้เป็นลูกผมก็ได้นะ ผมยินดี”

“ตีนไหมครับ?”

“หยาบคายจริงๆ นี่ขนาดอยู่ต่อหน้าลูกนะเนี้ย”

“แอ่ๆ”

ทุกสิ่งอย่างหยุดชะงักเมื่อเด็กน้อยเพียงคนเดียวเอ่ยปาก แองเจลล่าหันมามองยังผมพร้อมชูมือน้อยๆนั้นมาหาเหมือนกำลังเรียกผมอยู่กลายๆ พี่ครอสถึงขนาดขมวดคิ้วมุ้ยแต่คริสตัลหัวเราะขำขันอยู่คนเดียว

“ท่าทางแองจี้จะติดใจไอ้นายเข้าให้แล้วสิ”

“จริงดิ?”

“พี่ก็ลองให้ไอ้นายมันอุ้มแองจี้ดูสิ”

ผมส่ายหัวหวืดเลยครับตอนที่พี่ครอสหันมามอง

“อย่าดีกว่าครับ ผมไม่คุ้นกับเด็กอ่อน”

“แองจี้ไม่อ่อนแล้วนะ นี่ขวบกว่าๆแล้วด้วย”

“แต่ว่า...”

“กลัวอะไรวะไอ้นาย ก่อนหน้านี่มึงยังดูหลานแทนกูอยู่เลย”

“ก็ตอนนั้นน้องเล่นเองอยู่กับพื้นอะ กูไม่ได้อุ้มซะหน่อย”

“เอาน่า ทุกสิ่งมันต้องมีครั้งแรกเสมอ”

ฟังดูเหมือนจะดีนะครับ แต่ที่ผมกลัวนั้นไม่ใช่การอุ้มเด็กหรอกเพราะแองเจลล่าดูจะไม่ได้เป็นเด็กอ่อนแอบอกบางอย่างนั้นจริงๆ แต่ผมเกรงใจผู้เป็นพ่อนั้นต่างหากครับ ผมรู้สิ ผมกลัวสายตาที่เหมือนจะมองผมได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนสายตาของคนๆนี้ก็น่ากลัวไม่เคยเปลี่ยน

ผมมองเด็กสลับกับพี่ครอสไปมาจนคนเป็นพ่อกดยิ้มที่มุมปาก

“แองจี้กลับบ้านกันดีกว่าครับ”

“อ้าว จะกลับเลยเหรอ?”

“อืม จริงๆก็แค่แวะมารับแล้วมีนัดต่อตอนสองทุ่ม”

“ให้แองจี้อยู่นี่ก่อนก็ได้ เดี๋ยวผมไปส่งที่บ้านให้เอง”

“ไม่เป็นไร พี่ต้องกลับบ้านไปเปลี่ยนชุดอยู่แล้ว”

“โอเคๆ แล้วพี่มายังไง?”

“ขับรถมาดิวะ”

“โว๊ะ ผมหมายถึงขับมาเองหรือมากับไค?”

“ไคเคลียร์งานแทนอยู่ที่ออฟฟิศ”

“ดีเนอะ เจ้านายอู้แล้วให้ลูกน้องอยู่ทำงานงกๆแทน”

“ปากดีนะคริสตัล อ๊ะ!”

พี่ครอสอุทานในทันทีที่ลูกสาวตัวน้อยแกะตัวเองออกจากอ้อมกอดพ่อจนกลิ้งลงเบาะ ดีนะที่พี่ครอสไม่ได้อุ้มสูงสักเท่าไหร่ไม่งั้นคงมีเจ็บ คริสตัลเปิดปากว่าพี่ชายทันทีที่เห็นว่าหลานปลอดภัยจนลุกขึ้นยืนเตาะแตะมาเกาะที่ขาผม

“แอ่ๆ”

มือเล็กกำขากางเกงแน่นจนผมก้มลงไปอุ้มขึ้นมาเด็กน้องก็หัวเราะเอิ้กอ้ากเพราะผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูงไงครับ

หืม...ชอบความสูงซะด้วย

“อย่างที่บอกไหมละว่าแองจี้ชอบไอ้นาย”

คริสตัลเอ่ยสัมทับพร้อมหยักคิ้วหลิ่วตาใส่พี่ชายไปอีกที พี่ครอสนี่ถึงกับมองตาปริบๆ

“จริงเว้ยเห้ย”

“หึหึ ท่าทางพี่คงได้ลูกเขยแล้วละมั้งเนี้ย”

ผมอ้าปากเหวอเลยครับ ใครมันจะไปคิดอกุศลแบบนั้นกับเด็กอายุขวบกว่าๆวะ

“เดี๋ยวกูถีบเลยไอ้น้องเวร”

“หยาบชิปหาย พี่ใครวะ”

“คริสตัล”

เสียงเข้มๆของพี่ทัตเรียกคนรักพร้อมกับพยักหน้าน้อยๆให้เดินไปหา คริสเองก็ว่าง่าย มันผละจากพี่ชายแล้วเดินไปที่ห้องๆหนึ่งซึ่งพี่ทัตพึ่งจะหายตัวไปในนั้น ผมเดินไปนั่งลงตรงกลางระหว่างของเล่นมากมายแล้ววางเด็กลงแต่ทว่าหนูน้อยกลับเกาะผมแน่นพร้อมทำหน้าเบ้ไปด้วยอีก

“ท่าจะติดนายจริงๆแฮะ”

ผมเงยหน้ามองคนพูด พี่ครอสยังคงยิ้มขำแต่สายตากลับจ้องมองลูกสาวสุดที่รักอย่างไม่วางตา

“จะมาเป็นลูกเขยกูเหรอ?”

“ก็บ้าแล้วพี่”

ผมอุ้มเด็กขึ้นอีกทีทำท่าพาดบ่าตบลูบหลังน้องเบาๆจนได้ยินเสียงเล็กหัวเราะเอิ๊กอ๊ากจึงเผลอยิ้มไปด้วย แองเจลล่าเป็นเด็กร่าเริงและเป็นเด็กที่นำพาความสว่างสดใสมาสู่คนรอบข้างเหมือนอย่างชื่อของเธอ

เธอเปรียบเหมือนนางฟ้าตัวน้อยของทุกคน

“แองจี้ คัมทูแด๊ดดี๊”

หนูน้องหันไปมองคนเรียกแต่กลับไม่ปล่อยมือจากคอเสื้อของผม

“วี แฮพ ทู รีเทิร์น มาย โฮม พรีส คัม ทู มี”

เด็กน้อยยังคงมุดหน้าอยู่กับไหล่ผมจนคนเรียกได้แต่ถอนหายใจ

“เอาไงดีละทีนี้”

พี่ครอสบ่น แต่ถึงจะบ่นผมก็เห็นความตามใจชนิดที่แทบไม่กล้าขัดลูกสาวของพี่ครอสได้เป็นอย่างดี ถ้าจะตามใจกันขนาดนี้อนาคตจะไม่แย่เอาเรอะ

“แองเจลล่า ไปหาคุณพ่อนะครับ”

ผมลองบอกเด็กน้อยในอ้อมแขนบ้าง แองจี้เงยหน้าหันมามองผมแล้วก็เบ้ปากน้ำตาเริ่มคลอเบ้าแล้วด้วยซ้ำ

“ฮึก”

“อ้าว ร้องไห้ทำไมครับ?”

“แง~”

เป็นงั้นไป

“ชู่ๆ ไม่ร้องนะครับ เงียบนะคนเก่ง”

“ฮึก ฮึก”

“โอ้โห แด๊ดดี๊กลายเป็นหมาหัวเน่าเลย”

ผมหลุดหัวเราะหึกับคำพูดแสดงอาการน้อยอกน้อยใจลูกสาวทั้งที่หน้าตาไม่ให้เลยสักนิด ผมอุ้มแองจี้ขึ้นมาโอ้อีกทีพอให้เด็กน้อยคลายสะอื้น

“หลังจากนี้มีธุระอะไรต่อไหม?”

“ห่ะ?”

“กูถาม”

ผมส่ายหัว ก็ไม่มีอะไรนอกจากกลับคอนโดไปเก็บข้าวของจัดเข้าที่ก็แค่นั้น

“งั้นไปด้วยกันหน่อย”

“ห่ะ!!?!!”

“จะตกใจอะไรนักหนาวะ ก็แค่ให้พาแองจี้ไปส่งที่บ้าน ปกติแองจี้ก็ไม่ค่อยไปกับกูอยู่แล้วแต่ถ้าเจอย่าเขาจะโผเข้าหาเหมือนมึงนี่แหละ”

ผมมองจ้องเขาตาปริบๆสักพักก็หลุดขำจนพี่ครอสถึงกับหรี่ตามองจ้องหน้าแบบหาเรื่องโคตรๆ

“กล้าหัวเราะเยาะกูเหรอ?”

“ผมป่าว ก็แค่...หึหึ...ก็แค่แปลกใจ ทั้งที่เป็นลูกพี่แล้วทำไมไม่ติดคนเป็นพ่ออะไรแบบนั้น”

“ก็กูไม่ค่อยอยู่บ้านนี่หว่า”

“อ้อ งั้นก็สมควร”

“อะไรนะ!?”

“ป่าวคร้าบ”

“หึ”

“......”

“สรุปคือตกลงนะ”

“อย่างนี้เขาเรียกว่ามัดมือชกครับ”

“ก็กูชอบของกู”

“ห่ะ?”

อื้อหือ หัวใจหยุดเต้นไปสามวิถ้วนเลยวะ

“เอ๋อเหรอมึง เรียนเยอะจนมึนเลยรึไง?”

“ปะ ป่าว”

“งั้นก็พาแองจี้ไปนั่งอยู่ตรงนู้นไป เดี๋ยวกูเก็บของใส่กระเป๋าก่อนจะได้กลับกันเลย”

“แต่ผมขับรถมาเหมือนกันนะพี่”

“ทิ้งไว้นี่ก่อน หรือมึงมีเหตุต้องใช้รถด่วน?”

“ก็ไม่เท่าไหร่”

“งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้กูพามาเอา”

ผมอ้าปากเตรียมแย้งเต็มที่ว่าแค่รถผมมาเอาเองได้ไม่ต้องให้ผู้บริการระดับสูงอย่างเขาเจียดเวลามารับผมเพื่อมาเอารถเพียงแค่นี้หรอก แต่ดูเหมือนใครอีกคนจะรู้ทันความคิดผมไปเสียจนหมด

“ห้ามแย้ง กูอยากหาเวลาพักอยู่ขอกูใช้เป็นข้ออ้างในการอู้หน่อยเหอะ”

ถึงกับอ้าปากค้างก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมาจนคนพูดถึงกับผงะ

อย่างนี้ก็ได้เหรอวะ

“ฮ่าๆๆๆ”

“.....”

“โอ้ย จุกเลยอะ หึหึหึ”

“หัวเราะเข้าไปอีกสิ เอาให้ขาดอากาศหายใจไปเลยไหม?”

“ไม่ดีกว่า เดี๋ยวพี่ตรอมใจตาม”

“ทำไมกูต้องตรอมใจตามมึงด้วย”

จึก

โดนไปหนึ่งดอกเต็มๆ จุกดีชิปหาย

“หงอเลยวะ ฮ่าๆๆๆ”

“พี่แม่ง”

“หึหึ ใครใช้ให้มึงน่าแกล้งเอง ไปๆ ไปนั่งตรงนู้นเลยกูจะเก็บของ”



Tbc....

แองจี้คือคิวปิดตัวน้อยๆ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ MyMinT1990

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-1
ไหวหวั่นครั้งที่ 3


ผมได้แต่ยืนนิ่งมองใครบางคนที่ยืนพิงรถกดโทรศัพท์อยู่ด้านหน้าของคอนโด การแต่งตัวที่แตกต่างจากเมื่อวานอย่างลิบลับนั้นทำให้ผมแทบก้าวขาไม่ออก สาบานได้ว่าเขาบอกว่าวันนี้ยังคงต้องทำงานแล้วจะแวะมารับผมไปเอารถของตัวเองในช่วงพักกลางวัน แต่นี่คุณท่านไปทำงานด้วยเสื้อโปโลสีขาวกางเกงขาสั้นเหนือเข่าสีส้มเข้มและรองเท้าหนังสีน้ำตาลเหรอ ไหนจะแว่นกันแดดที่เป็นพล็อบนั้นอีก

ไม่แปลกใจเลยสักนิดว่าทำไมผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาถึงได้มองจนเหลียวหลัง

Rrrrrrr

ผมหยิบโทรศัพท์ที่มีสายเข้าขึ้นมาดูเมื่อเห็นเป็นชื่อคนตรงหน้าเลยเลือกที่จะกดตัดสายแล้วเดินออกไปหาแทน พี่ครอสขมวดคิ้วเล็กน้อยที่โดนตัดสายแต่เมื่อหันมาเจอผมก็คลายปมที่หัวคิ้วออกทันที

“หิวไหม?”

คำแรกที่ทักทายมันควรเป็นคำนี้เหรอวะ แต่ก็ช่างมันเถอะ ผมส่ายหัวแทนคำตอบแต่ดูเหมือนคนตรงหน้าจะไม่รับรู้ถึงมัน

“แต่กูหิว ไปหาอะไรกินกัน”

นั้นปะไร

ผมพ้นลมออกมาอย่างนึกปลงก่อนจะพยักหน้ารับแล้วเดินไปยังรถ เจ้าของเลยขยับออกแล้วเปิดประตูต้อนรับพร้อมรอยยิ้มจนผมชะงักกึก

“หยุดทำไม ขึ้นไปสิ”

“พี่มาเปิดประตูให้ผมแบบนี้มันออกจะ…”

น่าอายไปไหม ผมก็ผู้ชายคนหนึ่งนะครับ

“อะไร?”

นี่ไม่รู้จริงๆหรือแกล้งโง่วะ

“ผมเป็นผู้ชาย”

“รู้”

ถ้าเป็นพวกไอ้มิกซ์ผมคงสาดคำด่าใส่หน้ามันไปแล้ว นี่แกล้งโง่หน้าตายใช่ไหมวะไอ้พี่ครอส พูด!

“ผมหมายถึงผมก็ผู้ชายเหมือนพี่ เพราะงั้นไม่ต้องมาทำเหมือนพวกผู้หญิงที่พี่ม้อหรอกนะ”

“ก็กูอยากทำ”

ผมคิ้วกระตุกเลยครับ

“พี่แม่งกวนตีน”

“หึหึ มึงก็สนิทกับคริสตัล มึงน่าจะชินได้แล้วนะ”

“นั้นมันเพื่อน แต่นี่พี่ ผมกวนตีนกลับได้ที่ไหนละ”

“ได้ดิ”

“จริงเหรอ?”

“แต่มึงจะเจอดีแทนไง”

“ฟวย”

หลุดไปซะแล้ว

“หยาบมาแล้วไง”

“สมควร หิวไม่ใช่เหรอ ขึ้นรถสิครับ”

“บอกตัวเองก่อนเถอะ จะยืนขวางให้ยุงเข้ารถกันทั้งฝูงเลยไหม?”

“มียุงที่ไหนเล่า!”

“หึหึ”

เจอคนน้องที่ว่ากวนแล้ว เชื่อเถอะครับว่าถ้ามาเจอคนพี่เหมือนอย่างที่ผมกำลังเจออยู่ตอนนี้ แม่งหนักกว่าคนน้องเยอะ ความกวนตีนมันมาตามสายเลือดป่าววะครับ

“นี่”

“ห่ะ ครับ?”

“เหม่ออะไรอยู่ได้ กูถามตั้งนานแม่งก็ยังเฉย”

“ถามไรอะ?”

“ถามว่าเย็นนี้ว่างไหม?”

“ว่าง…มั้ง”

“เอ๊า สมองเบลอหรือประสาทกลับวะนั้น ตอบดีๆดิ”

“คงว่างแหละ ทำไมอะ?”

“กูจะชวนไปดริ้งส์”

“เอาดิ ไอ้คริสไปด้วยป่าว?”

“ถามหาแต่น้องกูจังนะ ก็เห็นๆอยู่ว่ามันมีสามีเป็นตัวเป็นตนแล้ว”

ผมถึงกับหันควับไปมองคนพูด พี่ครอสมันยังคงขับรถหน้านิ่งๆและผมก็ไม่รู้ด้วยว่าตอนนี้เขาแสดงแววตาแบบไหนออกมา แต่ก็ไม่แปลกที่พี่แกจะพูดแบบนั้นเพราะเขารู้ในเรื่องที่ผมเคยชอบคริสตัลไงครับ

“มันเป็นเพื่อนผม”

“หึ”

หลังจากนั้นคือต่างคนต่างเงียบไปจนกระทั่งถึงร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไกลจากคอนโดผมพอสมควร พอก้าวลงมาจากรถได้ผมก็เอาแต่มองไปรอบๆร้านด้วยความสนใจ ร้านนี้เป็นร้านปูนเปลือยสไตล์ลอฟท์แต่เล่นโทนสีสว่างพร้อมกับต้นไม้ที่เต็มพื้นที่รอบข้างจนดูร่มรื่นเหมือนไม่ได้ตั้งอยู่ในกรุงเทพ

“ชอบเหรอ?”

ผมพยักหน้า พี่ครอสหัวเราะนิดหน่อยแล้วจึงเดินนำผมเข้าไปยังด้านในร้าน เสียงกรุ๊งกริ๊งของกระดิ่งดังขึ้นเมื่อพี่ครอสเปิดประตูไม้เข้าไป

“ยินดีต้อนรับค่ะ อ้าว ทีครอส”

พนักงานที่พึ่งเสิร์ฟกาแฟให้ลูกค้าโต๊ะใกล้ๆประตูเอ่ยต้อนรับอย่างคุ้นเคยกับแขกผู้มาใหม่ ผมลอบมองคนที่ถูกทักชื่อสลับกับน้องพนักงานไปมาอย่างนึกสงสัยแต่ก็ไม่อยากจะถาม

“สวัสดีอ้อม สบายดีนะ?”

“ก็อย่างที่เห็นแหละค่ะ คิดไงมาถึงนี่ได้เนี้ย?”

“คิดถึงไง”

“ปากหวาน อ้าว มาสองคนเหรอคะ? นั่งที่เดิมไหม?”

“อืม”

“งั้นเชิญเลยค่ะ”

พนักงานสาวยิ้มหวานให้คนตรงหน้าแล้วเผื่อแผ่มาถึงผมก่อนจะเดินนำเข้าไปยังทางด้านในที่เป็นโซนโซฟา แอร์ที่เย็นฉ่ำกับกระจกบานใหญ่ที่มองออกไปเห็นสวนเขียวขจีนั้นทำให้ผมรู้สึกดีจนลืมเรื่องขุนหมองข้องใจเมื่อครู่ไปชั่วขณะ

“เมนูค่ะ”

ผมยิ้มพร้อมเอ่ยขอบคุณแล้วจึงรับรูปเล่มเมนูมาเปิดดู

“ของพี่เอาเหมือนเดิมนะ”

“ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคนรักเดียวใจเดียวได้ถึงขนาดนี้”

“ก็อย่างที่เห็นแล้วมึงเลือกอะไรนานจังวะ”

โอ้โห โทนเสียงเปลี่ยนอย่างกับหน้ามือเป็นหลังตีนเลย ผมนี่เงยหน้าหรี่ตาจ้องคนถามที่เอาแต่ยิ้มกวนจนน่าหมั่นไส้

“งั้นผมเอาเหมือนเขาก็ได้ครับ”

“หืม...มั่นใจเหรอคะ?”

“เขาบอกว่าจะเอาก็เอาไปเถอะน่าอ้อม”

“เออ โอเคค่ะ”

สาวเจ้าเข้ามาหยิบเล่มเมนูกลับไปก่อนที่จะเดินหายเข้าไปยังโซนพนักงานจนลับสายตา ผมเหลียวกลับมาเผชิญหน้ากับบุคคลกวนประสาทอีกครั้งส่วนพี่ครอสก็ยังตีหน้ากวนเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน

“ยิ้มอะไร?”

“เอ๊า หน้ากู กูพอใจจะยิ้มกูก็ยิ้มสิวะ”

“ชิ๊”

“ว่าแต่มึงเหอะ”

“ผมทำไม?”

“จะตีหน้านิ่วคิ้วขมวดไปถึงเมื่อไหร่? ทำอย่างกับงอลอะไรกู”

ห่ะ

ไอ้หน้านิ่วคิ้วขมวดนะเข้าใจเพราะเจอความกวนจากไอ้พี่ครอสนั้นแหละแต่ไอ้ประโยคหลังนี่สิ...

“ผมจะไปงอลอะไรพี่”

“ก็จะไปรู้ละ เผื่อหึงกูกับน้องอ้อมไรงี้”

จึ๊ก

โอ้โห จุกเลยงานนี้

“ทำไมผมต้องหึง พี่อย่ามามัว”

“เออๆ กูมัวเองเลิกทำหน้าเหมือนจะร้องไห้สักที”

เห้ย!

“กูล้อเล่น หึหึหึ”

“เลว!”

“หึหึ”

อยากจะกลับตัวกลับใจจากผู้ชายคนนี้ชะมัด ทั้งที่ว่าจะห่างไปไกลๆแบบนานๆเพื่อทำใจแต่พอกลับมาเจอทำไมมันเหมือนยิ่งลึกซึ้งจนผมชักจะกลัวใจตัวเอง

Rrrrr

ไม่ใช่เสียงโทรศัพท์ของผมครับแต่เป็นของคนตรงหน้า พี่ครอสหยิบเครื่องมือสื่อสารที่กำลังแฝดเสียงดังลั่นออกมากดรับแล้วคุยเป็นภาษาสากล ผมฟังพอคร่าวๆว่าเป็นเรื่องงานเลยเลิกสนใจแล้วหันไปเหม่อมองด้านนอกจนอาหารถูกนำมาเสิร์ฟตรงหน้า ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นอาหาร มันก็แค่ผักโขมอบชีสและสปาเก็ตตี้ผัดขี้เมาไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมพนักงานถึงถามกลับเหมือนค่อยอยากจะให้ผมสั่งไปด้วยละ

“ขอบคุณครับ”

ผมเอ่ยเมื่อสิ่งสุดท้ายได้ถูกนำมาเสิร์ฟ มันคือน้ำสีฟ้าในแก้วทรงสูงที่ถูกตกแต่งด้วยสับปะรดร่มคันเล็กๆ ของผมเป็นบลูฮาวายอย่างนั้นเหรอ แล้วทำไมของพี่ครอสถึงเป็นแก้วน้ำเปล่าไปซะละทั้งที่ตอนสั่งก็บอกว่าเหมือนกันแท้ๆ

“กินสิ”

คนพึ่งวางสายพูดท้วงเมื่อเห็นว่าผมไม่ลงมือสักที

“ทำไมพี่ได้น้ำเปล่าแล้วผมได้บลูฮาวายละ?”

“ก็กูสั่ง”

“ผมก็สั่งเหมือนพี่นะ”

“กูหมายถึงกูสั่งไอ้นี่ให้มึงแยกต่างหาก”

“ตอนไหนอะ?”

“ตอนที่มึงเหม่อไง ให้ตายสิ มึงอยู่รอดที่เมืองนอกได้ยังไงวะเนี้ย”

“อ้าว”

“พอๆ เลยพูดแล้วแดรกไป”

พูดอย่างเดียวไม่พอยังมีการจิ้มไอ้ลูกบอลกลมๆในชามสปาเก็ตตี้ของตัวเองยื่นมาจ่อปากผมไปอีก ผมนี่ถึงกับผงะ

“แดรก”

มีขู่ ผมจิ๊ปากใส่ไปทีก่อนจะยื่นมือไปจับส้อมแต่เจ้าตัวกลับไม่ยอมให้ผมถือซะงั้น

“อ้าปาก”

“เรื่อง อุ๊บ!”

“แค่นี้ก็จบ”

จบกับผีมึงนะสิไอ้พี่ครอส ช่วยดูสายตาพวกแขกคนอื่นที่อยู่ภายในร้านด้วย ปกติที่ว่าเด่นอยู่แล้วยิ่งเด่นขึ้นไปอีกสองเท่ากับไอ้การกระทำเมื่อกี้นี่อะ ผมขออนุญาตลาตายสักวันจะได้ไหมครับ โคตรอยากหายไปจากตรงนี้เลยวะ กูอาย

“หน้าแดงฉิบหาย เผ็ดรึไง?”

อยากบอกมากว่ากูไม่รู้รสเลยครับพี่ แต่สิ่งที่ทำคือพยักหน้ารัวๆ

“หึ เป็นไงละ อยากสั่งเหมือนกูดีนัก”

ผมไหวไหล่แล้วม้วนๆเส้นในชามต่อ

“เห้ยๆ ถ้าเผ็ดก็ไม่ต้องกินแล้วสั่งเอาใหม่”

“ไม่เป็นไร”

“อย่าดื้อน่า”

“พี่นั้นแหละยุ่งไร หิวไม่ใช่ไง กินไปดิไอ้ที่อยู่ตรงหน้านะ”

“ปากดีนะมึง อยากแดรกนักก็แดรกไป ปากพองแสบท้องแล้วอย่ามาบ่นให้กูได้ยินนะ”

ผมแยกเขี้ยวใส่ไอ้คนเจ้าอำนาจก่อนจะหันไปกินของตัวเองไปเงียบๆ ที่เงียบไม่ใช่เพราะกลัวอะไรมันนะครับ แค่บ่นไม่ได้อย่างที่มันบอกนั้นแหละ ไอ้ห่า จะเผ็ดอะไรขนาดนั้นวะ ขนาดผักโขมอบชีสยังเผ็ดอะ เหมือนเป็นเมนูพิเศษที่มีเฉพาะร้านนี้หรือมีแค่มันที่กินแบบนี้อยู่คนเดียวกันแน่วะ ผมไม่เคยเจอ

“ห้องน้ำอยู่ไหนอะ?”

“ทางนั้น”

ผมพยักหน้ารับแล้วเดินไปตามทางที่ไอ้พี่ครอสชี้บอกจนเจอ กว่าจะกินหมดล่อซะแทบพ้นไฟได้เลยต้องออกมาบ้วนปากระงับความเผ็ดร้อนกันสักหน่อย ผมไม่ใช่พวกกินเผ็ดไม่ได้นะครับแต่ไปอยู่เมืองนอกซะนานเลยชินกับอาหารรสชาติจืดๆไง ใครหาว่ากูสำออยกูถีบอะ

“คิกคิก”

ผมชะงักเท้าที่กำลังเดินไปยังโต๊ะเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะและภาพตรงหน้าที่เป็นใบหน้ายิ้มแย้มของคนทั้งสองคน คนหนึ่งคือคนที่พาผมมาและอีกคนก็เป็นพนักงานหญิงคนสนิท บรรยากาศรอบข้างดูละมุนเข้ากับแบร็คกราวด์ที่เป็นสวนสวยเขียวขจี รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสาวนเกินก็คราวนี้แหละนะ

“อ้าว คุณลูกค้า อยากได้อะไรเพิ่มเหรอคะ?”

ผมหันไปมองพนักงานอีกคนที่ยืนยิ้มอยู่ทางด้านหลัง ตรงที่เรายืนมันมีแนวกั้นฉากบดบังทำให้คนทางฝั่งนั้นไม่สามารถมองมาทางนี้ได้ไงครับ แต่ที่ผมเห็นนั้นก็เป็นเพราะมองลอดช่องเล็กๆของราวฉาก ตาหาเรื่องจริงๆให้ตายสิ

“ไม่เป็นไรครับ”

“อ้อ ค่ะ”

“เออ ผมขอถามอะไรนิดหน่อยจะได้ไหมครับ?”

“ได้สิค่ะ”

“คือสองคนนั้นเขาเป็นแฟนกันเหรอครับ?”

ผมพูดพร้อมกับชี้ไปที่โต๊ะจนพนักงานที่โดนถามต้องชะเง้อไปมองก่อนจะร้องอ้อ

“คิดว่าใช่ค่ะ ถึงคุณอ้อมแกจะไม่เคยเปิดตัวอย่างเป็นทางการแต่ฉันก็เห็นเขาสนิทกันแบบนี้มานานแล้วนะค่ะ และที่สำคัญ คุณอ้อมไม่เคยสนิทกับผู้ชายคนไหนจนเกินหน้าที่มากเท่าคนนี้เลยค่ะ”

“........”

“อุ๊ย ขอโทษนะค่ะ เผลอเม้ามากไปหน่อย”

“ไม่เป็นไรครับ”

แต่ข้างในนี่เจ็บจนจุกเลยวะ

“ช่วยเช็คบิลโต๊ะนั้นให้ผมทีครับ”

“เอ๋”

“แบบด่วนเลยนะครับ ไม่สิ เอาไปสองพันเลยแล้วกันถ้ามีทอนถือว่าผมให้ทริป”

“จริงเหรอค่ะ ของคุณมากเลยค่ะ”

ผมยิ้มรับแล้วควักเงินออกมาให้เจ้าตัวตามที่พูด ดีนะที่ของๆผมอยู่กับตัวหมดเลยไม่ต้องวกไปเอาที่โต๊ะให้เสียเวลา

“ว่าแต่คุณเป็นน้องของคุณคนนั้นเหรอค่ะ?”

ผมนิ่งไปนิดก่อนจะพยักหน้า

“แต่ทำไมหน้าตาไม่เห็นเหมือนกันเลย”

“ไม่ใช่น้องแท้ๆนะครับ แค่น้องที่รู้จักกัน”

“อ้อ ค่ะ”

“งั้นผมขอออกทางนี้ได้ไหมครับ?”

ผมถามพลางชี้ไปที่ทางห้องน้ำซึ่งถ้าจำไม่ผิดรู้สึกเหมือนจะมีประตูเปิดไปยังด้านนอกได้ด้วย

“ได้ค่ะ มันจะโผล่ที่สวนหลังร้านแล้วอ้อมมาทางด้านหน้าได้”

“ขอบคุณครับ”

“เออ แล้วไม่บอกคุณคนนั้นเหรอคะ?”

ผมหันไปมองยังคนทั้งคู่ที่ยังคงคุยกันอยู่เช่นเดิม

“อย่าดีกว่า ผมไม่อยากไปเป็นก้างเขานะครับ”

“คริคริ เข้าใจค่ะเข้าใจ พวกเขาน่ารักดีนะค่ะ”

“ผมก็ว่างั้น”

พูดจบผมก็หันไปมองอีกทีก่อนจะหันหนีแล้วเดินออกจากร้านไปในที่สุด ความหน่วงในอกทำให้ผมต้องรีบจ้ำอ้าวไปเรียกแท๊กซี่ให้ไวที่สุดก่อนที่มันจะบีบให้น้ำตาผมไหลต่อหน้าต่อตาคนอื่น



เกิดมาเป็นผู้ชายทั้งทีอย่าไปเสียน้ำตาให้ความรักบ้าบอแบบนี้บ่อยนักสิวะ



คำว่าตัดใจนะ มึงต้องสะกดให้เป็น!







“เฮ้ย~”

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ทันทีที่ล้มตัวลงไปนอนแผ่หลาที่โซฟากลางห้อง หลังจากที่ผมหนีออกมาจากร้านผมก็ขึ้นแท๊กซี่ไปเอารถแล้วก็กลับมายังคอนโดในทันที พี่ครอสมันก็โทรตามผมสนั่นเลยนะครับ แต่ผมไม่รับไม่ตอบข้อความมันทั้งหมดแถมยังปิดเครื่องหนีไปเลยด้วย

“อ้าว มึงกลับมาตอนไหนวะ?”

ไอ้มิกซ์โผล่ออกมาจากห้องนอนเล็กพร้อมยีหัวฟูๆของมันมาถามข้างๆผม

“กูสิที่ควรจะถามมึง”

“กูกลับมาตอนที่พี่ครอสมารับมึงนั้นแหละ”

“มึงเห็น?”

“เออดิ ก็ขับสวนกันพอดี”

ผมพยักหน้ารับแล้วก็เลิกสนใจมันหันไปเปิดทีวีดูไปเรื่อยๆอย่างไม่มีจุดหมาย

“ทำไมทำหน้าอย่างกับจะร้องไห้?”

นี่ผมโดนท้วงเรื่องนี้เป็นรอบที่สองแล้วนะเว้ย

“ยุ่ง”

“เอ๊าไอ้สัส กูก็ห่วงเพื่อนกูไหม?”

“รู้น่า แต่กูขอจัดการกับตัวเองก่อน”

“มึงอยากว่างั้น”

“ไอ้เชี่ย! จัดการกับความรู้สึกตัวเองเว้ยไม่ใช่ช่วยตัวเอง!”

“อ้าวเหรอ โทษๆ ก็นึกว่าอยากหลี่หญิง กูก็ว่าจะไปหาดริ้งส์อยู่พอดี”

“คืนนี้อ่อวะ”

“เออดิ”

“งั้นไปกัน”

“โอเค โทรหาพวกเหี้ยนั้นด้วย ใครไม่ว่างก็ช่างหัวมันมึงกับกูสองคนก็ใช่ว่าจะไปไม่ได้ จัดโลด!”



Tbc....

จัดโลดดดดด
 :hao7:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
จัดโลด คงไม่ใช่เมาปลิ้นแล้วไปนอนกับพี่ครอสนะ

ออฟไลน์ MyMinT1990

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-1
ไหวหวั่นครั้งที่ 4





“ไอ้นายๆ คนนั้นแม่งแจ่มสัส มึงดูๆ”

ผมหันไปมองที่เป้าหมายสายตาของไอ้เพื่อนตัวดี เออวะ แม่งแจ่มจริงอะไรจริง ร่างอรชรสูงยาวเข่าดีผิวขาวหน้าใสแต่งแต้มเครื่องสำอางพองามเข้าชุดกับเดรสสั้นสีชมพูหวาน คุณเธอยกแก้วขึ้นจิบสลับกับหัวเราะร่ากับบรรดาเพื่อนร่วมโต๊ะของเธอจนหันมาสบตาเข้ากับผมโดยบังเอิญ

“อื้อหือ มีส่งซิกกันด้วยเว้ย อย่างนี้กูก็ชวดดิวะ”

“ชวดอะไร กูยังไม่ได้ว่าจะจีบเขาสักหน่อย”

“งั้นกูเดินหน้าแทนแล้วกัน”

ว่าแล้วก็ยกแก้วขึ้นดื่มพรวดๆจนหมดแล้วก็หันไปชงใหม่ด้วยตัวเอง ผมส่ายหัวเอนตัวพิงเบาะรอดูลีลาการจีบของเพื่อนที่ไม่ได้เห็นมานาน ไอ้มิกซ์มันมักจีบด้วยวาจาครับ อย่างที่รู้ๆว่ามันจ้อเก่งและแน่นอนว่าต้องปากเก่งปากหวานด้วยอย่างแน่นอน คิดๆไปแล้วก็แทบขั้นพี่ครอสเลยละมั่ง

…อ่า เผลอคิดถึงเขาไปซะงั้น…

พอๆไอ้นาย มึงต้องตัดใจเว้ย



“ขอโทษครับ”

ผมที่กำลังยกแก้วขึ้นดื่มอย่างนึกเซ็งอยู่ดีๆก็ต้องชะงักแล้วหันไปมองตามเสียงเรียกที่ดังอยู่ข้างๆหู พอหันไปแล้วก็ถึงกับผงะ ไอ้ห่า จะยื่นหน้ามาใกล้กูเพื่อ!

“เชี่ยเต้! โผล่มาจากไหววะมึง!?”

ไอ้เต้ยิ้มรับ มันเป็นเพื่อนสมัยมัธยมของผมเองครับ จริงๆไอ้นี่มันอยู่กับอีกกลุ่มแต่บังเอิญทางบ้านเราทำธุรกิจเหมือนกันมันก็เลยลิ้งค์กันโดยอัตโนมัติ

“มาจากที่เดียวกับมึงอะ คิดถึงสัส มาให้กอดทีดิ๊”

มันพูดแล้วก้มลงมากอดผมเองแบบไม่รีรอ แล้วจะถามกูหาพระแสงอะไรวะ ผมหัวเราะขำให้ท่าทีที่ไม่เปลี่ยนไปของมันพร้อมกับกอดตอบไปหลวมๆตบไหลไปเบาๆ

“มากับใครวะ นั่งด้วยได้ป่ะ?”

“มากับไอ้มิกซ์ มึงละ?”

“กูมาคนเดียว พวกไอ้ฟาโรแม่งติดงาน กูพึ่งแลนดิ้งเลยเจ๊ทเลคอยากแดรกแอลกอฮอร์”

“แถไปเรื่อย เจ็ทเลคเกี่ยวไรกับแอลกอฮอร์วะ”

“ก็กูเปรี้ยวปาก”

“ไอ้บ้า นั่งๆๆ”

ผมบอกพร้อมดึงให้มันมานั่งข้างๆส่วนตัวผมก็ขยับเข้าไปด้านในอีกจนคิดว่าพื้นที่นั่งพอสบายแล้วจึงหันไปเรียกพนักงานเพื่อขอแก้วมาเพิ่มอีกใบ

“ดื่มไรกันวะ?”

“วิสกี้”

“กูขอเพียวนะ”

ผมนี่แทบสำลัก

“มึงคอแข็งขนาดนั้น?”

“โถ่ไอ้นาย มึงอย่าคิดว่ากูไก่อ่อนเหมือนแต่ก่อนดิว๊า อย่างกูกรอกปากทีเดียวหมดขวดนี้ยังได้”

“โม้สัส”

“ความจริงเว้ย”

ผมส่ายหัวขำๆพอดีกับที่พนักงานมาเลยสั่งน้ำแข็งก้อนกลมมาใว้สำหรับเหล้าเพียวของไอ้เพื่อนเก่า เมื่อหันกลับมาก็เจอเข้ากับกระแสสายตาที่จ้องมองผมไม่วางตาแถมยังยิ้มแป้นแล้นจนน่าสงสัย

“มีไรวะ จ้องกูอยู่ได้?”

“นี่มึงเมารึยัง?”

“เมาห่าไร เหล้าพร่องไปไม่ถึงครึ่ง”

“เอ งั้นเป็นกูสิที่เมา”

“มึงกินมาก่อนหน้านี่เหรอ?”

“ป่าว”

“อะไรของมึงวะ?”

“ก็กูมองมึงแล้วมันแบบว่า…เหมือนมึงน่ารักขึ้นไรงี้ ถ้ามึงไม่เมาจนน่าเอาก็กูเมาจนน่าแปลกใจ”

“น่ารักน่าเอาพ่องมึงสิไอ้สัส”

“ฮ่าๆๆๆๆ อย่าโมโหน่า”

“เป็นมึงมีคนมาพูดแบบนี้ด้วยจะดีใจรึไงวะ”

“เออๆ กูขอโทษก็ได้ แต่กูพูดจริงนะเห้ย”

“มึงเอาแอลกอฮอล์กรอกปากมึงไปเลยสัส!”

มันยังคงหัวเราะร่วนในขณะที่ผมได้แต่หงุดหงิด ก็รู้แหละครับว่ามันคงจะพูดแหย่ไปงั้นแต่ใครมันก็ต้องหงุดหงิดป่าววะ

“เฮ้ย! กูหายไปแป๊บเดี๋ยวแม่งพาใครมาพลอดรักวะเชี่ยนาย?”

ผมละเพลียจิตกับเพื่อนแต่ละคน

“เดี๋ยวกูถีบ”

“โวๆ ใจเย็นครับเพื่อน อย่าพึ่งเขินตอนนี้กูอยากรู้มากว่ามันนี่คือใคร”

“เขินพ่อง แล้วนี่มึงจำมันไม่ได้?”

ไอ้มิกซ์ถึงกับขมวดคิ้วก่อนจะเข้ามาจ้องหน้าไอ้เต้ใกล้ๆจนผมนึกขำ โอเวอร์แอคติ่งได้ตลอดสิน่า

“เหี้ย!”

“กูคนไม่ใช่ตัวเงินตัวทองไอ้ห่ามิกซ์”

“เชี่ยเต้!!”

“ก็เออสิวะ กูหล่อขึ้นจนมึงจำไม่ได้เลยสินะ”

“โห แก่ขึ้นจมเลยมึง”

“สัส!”

“ฮ่าๆๆๆ เออๆหล่อๆ แต่น้อยว่ากูวะ”

“มึงไปเอาความเชื่อผิดๆนี่มาจากไหนวะมิกซ์”

“จากเบ้าหน้ามึงไงเต้ เอาชนเว้ย!”

แกร๊ง!!!

ความที่เราไม่ได้เจอกันนานเลยทำให้มีเรื่องให้คุยกันไม่ขาดปาก แกนนำก็ไม่ใช่ใครเป็นไอ้มิกซ์ไปตามระเบียบ ไอ้เต้เองก็ใช่ย่อย ผมก็มีพูดตอบโต้บ้างบางโอกาสแต่เพราะการพูดที่น้อยกว่าชาวบ้านจึงทำให้ดื่มเยอะกว่าชาวบ้านไปด้วยเช่นกัน จากขวดแรกก็กลายเป็นสองและตอนนี้ก็เปลี่ยนเป็นขวดที่สามมาครึ่งขวดแล้วด้วย

เมาไหมให้ทาย…ตอบให้ก็ได้ว่า จะเหลือเหรอครับ!

“เชี่ยนายแม่งเมาแล้วชัวร์ คออ่อนสัส”

“ที่มึงพูดเสียงยานๆนี่ไม่เมาเลยเนอะเชี่ยมิกซ์”

“ปากดีชิปหาย แล้วทำไมปากมึงแดงๆวะไอ้นาย?”

“เสือกไรกับปากกู”

“มึงนี่มัน”

“พอกันทั้งคู่นั้นแหละไอ้พวกคออ่อนเอ๊ย”

“มึงหุบปากไปเลยไอ้เต้ วันนี้กูจะสั่งสอนไอ้นี่ให้หายซ่าส์กับกู”

“คิดว่ากูกลัว?”

“พอๆๆ กัดกันอย่างกับหมา มาด้วยกันไม่ใช่รึไง”

“เออ/เออ”

เสือกตอบพร้อมกันไปอีก ผมเอนตัวฟุบกับเบาะแล้วหลับตาก่อนจะยกมือมาคลึงหน่วยตาไปมาให้หายมึน

“น้ำเว้ยนาย”

“ขอบใจวะ”

“ไหวไหมวะ กลับกันเลยไหม?”

“ก็ดี แล้วมึงอะมิกซ์?”

“กูมีนัดต่อยอดกับน้องนิ่มวะ”

ผมขมวดคิ้วเลย มึงเอาเวลาไหนไปจีบหญิงวะ หรือมันนัดกันตั้งแต่ตอนแยกไปช่วงแรกๆ โห ความหน้าม้อป้อขั้นเทพนี้

“โอเค แต่กูมากับมึงนี่”

“มึงก็ให้ไอ้เต้ไปส่งดิ๊ โง่อีก”

“อ้าว”

“พอเลยพวกมึง คุยกันดีๆได้ไม่กี่คำก็จะกัดกันอีกละ เดี๋ยวกูไปส่งมึงเองไอ้นาย”

ผมพยักหน้าให้เพื่อนแล้วจึงหันไปเรียกพนักงานมาเคลียร์บิลจนเรียบร้อยเราเลยเดินออกจากร้านโดยไอ้มิกซ์แยกไปหาสาวส่วนผมไปกับไอ้เต้

“โอ้โห มึงเล่นถอยแลมโบฯมาขับเลยเหรอวะ”

พอเห็นรถมันเท่านั้นแหละ กูนี่แทบสร่าง ก็เจอรถหรูราคาหลักสิบล้านจอดอยู่ต่อหน้าต่อตานี่ครับ

“ป๊ากูถอยให้เป็นของขวัญตอนจบป.โท ขึ้นรถได้ละ ยุงเยอะ”

คำพูดสุดท้ายของไอ้เต้ทำให้ผมชะงักกึกเพราะเคยได้ยินคำพูดประมาณนี้จากใครบางคนมารอบแล้วไง

“ไอ้นาย?”

“อ๊ะ เออๆ ขึ้นแล้วๆ”

ไอ้เต้มองผมตาปริบๆในระหว่างที่ผมกำลังจะก้าวขึ้นรถจู่ๆก็โดนดึงแขนอย่างแรงจนเซถลาไปปะทะเข้ากับใครบางคนเข้า

“เห้ย! ทำไรวะ!?”

ไอ้เต้ตะคอกถามเสียงดัง ผมเองพอตั้งตัวได้เลยหันไปมองบุคคลที่เป็นคนดึงจนต้องเบิกตากว้างอ้าปากค้างในทันที

เหี้ย!

ไอ้พี่ครอส!!

มันมาอยู่นี่ได้ไงวะ แถมยังตีหน้าโหดแผ่รังสีสังหารออกมาจนบรรยากาศกดดันไปหมด ผมนี่ถึงกับกลืนน้ำลายหนืดๆลงคอทั้งที่ก็ไม่ได้ไปทำผิดอะไรมานะครับ

“ปล่อยมันนะเว้ย!”

มึงช่างมีความกล้าสูงมากที่มาขึ้นเสียงใส่คนๆนี้ ผมหันไปมองเพื่อนกำลังจะขยับปากแต่เสียงยังไม่ทันจะหลุดออกมาผมก็โดนดึงอีกครั้งจนต้องเดินตามไอ้พี่ครสไปยังรถของมันที่สตาร์ทรถรออยู่ไม่ไกลพร้อมกับลูกน้องที่ชื่อไค

“ไอ้เหี้ย! มึงจะพามันไปไม่ได้นะเว้ย!!”

“ถ้าไม่อยากตาย ก็อย่าเสือก”

เสียงเข้มพูดขู่จนผมยังเสียวสันหลังแทน ไอ้เต้มันชะงักเท้าทันทีเหมือนเริ่มรู้ถึงภัยที่กำลังจะเกิดกับมันถ้ายังไม่สงบปากสงบคำไว้ ผมพยักหน้าให้มันในเชิงไม่เป็นไรจนสุดท้ายก็โดนลากตัวขึ้นรถไปในที่สุด ผมนั่งนิ่งๆกอดอกมองเพื่อนที่ยังไม่เดินกลับไปขึ้นรถของตัวเองจนไอ้พี่ครอสเข้ามานั่งข้างๆและรถก็เคลื่อนตัวออกไปในที่สุด

ไร้ซึ่งคำพูดใดๆจากบุคคลที่อยู่ภายใน ไร้ซึ่งเสียงเครื่องยนต์หรือแม้กระทั่งเสียงลมหายใจก็ยังไม่มี นี่มันบรรยากาศบ้าอะไรกันวะ!

“ไปที่คอนโด###แถว###”

ในที่สุดไอ้บ้าอำนาจมันก็เอ่ยปากสั่งลูกน้องที่ขับรถอยู่ทางด้านหน้า ไครับคำแล้วตีไฟเลี้ยวในทันที ที่ๆมันสั่งให้ไปนั้นคือคอนโดของผมเองครับ ยังดีที่มีกะจิตกะใจจะส่งกูดีๆอยู่แหละนะ

ผมนั่งนิ่งจ้องมองออกนอกหน้าต่างตลอดทางจนมาถึงผมก็เปิดประตูลงไปอย่างไวชนิดที่ไม่แม้แต่จะเหลียวไปขอบคุณตามมารยาทอะไรทั้งสิ้น ก็ผมไม่ได้ขอฝห้เขามาส่งนะ แถมยังโดนลากตัวขึ้นรถอีกด้วยซ้ำ

“นาย”

เสียงเข้มเอ่ยเรียกค่อนข้างดังจนทำให้ผมชะงักเท้าแล้วหันไปมอง คนเรียกกำลังเดินตามผมมาด้วยใบหน้าบอกบุญไม่รับจนผมชักหวั่น

“มะ มีอะไรอีก?”

“ขึ้นไป”

เอ๊า แล้วจะเรียกกูทำเตี่ย

ผมเม้มปากแล้วหันไปกดลิฟท์ไม่นานบานประตูก็เปิดออกผมเลยก้าวเข้าไปด้านในและมันก็ตามเข้ามาด้วย

“พี่เข้ามาทำไม?”

ไอ้พี่ครอสไม่ตอบแต่เข้าไปยืนพิงพนังด้านในแล้วกอดอกตีหน้านิ่งเหมือนไม่รู้จักกันยังไงยังงั้น

“ถ้าจะไปส่งผมถึงหน้าห้องก็ไม่ต้องหรอกครับ ขอบคุณมาก”

“กดชั้นซะ”

“........”

“เดี๋ยวนี้”

เหี้ยสุดอะไรสุด

ผมเม้มปากกัดฟันก่อนจะหันไปกดชั้นของตัวเอง พยายามอย่างยิ่งยวนที่จะไม่เหลียวหลังหันกลับไปมองใครอีกคนแต่ก็ลืมไปว่าลิฟท์ของที่นี่เป็นกระจกเงาทั้งสี่ด้าน ไม่ต้องเหลียวแม่งก็ยังเห็นอะ เมื่อมาถึงชั้นผมก็เดินจ้ำอ้าวออกมาตรงดิ่งไปยังห้องล้วงหยิบกุญแจแล้วเปิดประตูในทันที ใจนะอยากจะรีบเข้าห้องแล้วปิดประตูใส่หน้าแม่งแต่เอาเข้าจริงคือไอ้พี่ครอสมันโคตรไววะครับ ผมยังไม่ทันได้ปิดประตูมันก็ผลักผมจนเซแล้วเบียดตัวเข้ามาข้างในอย่างถือวิสาสะ

“เฮ้ยพี่!”

“หุบปาก”

“เชี่ยไรวะ ออกไปจากห้องผมเดี๋ยวนี้เลย”

“กูบอกให้หุบปาก”

“ผมไม่ใช่ลูกน้องแล้วก็ไม่ใช่น้องชายของพี่ด้วย ไม่ต้องมาสั่ง โอ้ย! อืออออ...”

ความเจ็บจากการโดนบีบที่แก้มทั้งสองข้างยังไม่เท่าการถูกจูบที่รุนแรงจนใจเต้นรัว วินาทีนี้ผมควรดีใจที่ได้จูบกับคนที่แอบชอบแต่มันกลับไม่ใช่ ผมโคตรเสียใจกับจูบในครั้งนี้ เสียใจมากจนน้ำตาไหลอย่างไม่รู้ตัว

“หึ ถึงกับร้องไห้เลยเหรอ?”

มันผละออกแล้วยิ้มเยาะ ผมเห็นอย่างนั้นแล้วก็ยิ่งเจ็บใจ ถึงจะเหี้ยขนาดไหนแต่ก็ไม่สมควรมาทำกับกูแบบนี้ป่าววะ

ผว๊ะ!

โครม!!


ผมลุกขึ้นยืนพลางกำหมัดที่กำแน่นและเจ็บแปร๊บจากการกระแทกใส่หน้าหล่อๆที่ผมตกหลุมรัก พี่ครอสยกมือขึ้นเช็ดเลือดที่ไหลลงมาจากมุมปากแต่ก็ยังไม่ได้เงยขึ้นมามองผมแต่อย่างใด

“พี่แม่งโคตรเหี้ย!”

“หึ”

“ออกไปจากชีวิตผมซะ!!”

“กูไม่ออก”

“สารเลว!”

“แต่มึงก็ชอบผู้ชายเลวๆอย่างกูไม่ใช่รึไง?”

“........”

ถึงกับอึ้ง

มัน...มันรู้...

“หึ”

“ออกไป!!!”

“กูบอกว่าไม่ไงวะ!”

พูดจบมันก็ลุกพรวดมาผลักผมใส่ผนังเสียงดังปึกก่อนจะเข้ามาปิดปากอีกรอบ คราวนี้เหมือนจะโดนกัดปากไปด้วยเพราะผมรู้สึกได้ถึงความเจ็บที่ทวีคูณขึ้นยิ่งกว่าเดิม มือทั้งสองข้างของผมถูกล็อคไว้ด้วยมือแกร่ง เหลือเพียวขาที่พอจะขยับได้แต่จะเตะแม่งก็ไม่สะดวกเพราะมันแทรกอยู่ตรงกลางระหว่างขาของผมอยู่

เฮือก!

ผมสะดุ้งโหย่งเมื่อรู้สึกได้ถึงมือหนาที่ปลดซิปกางเกงแล้วล้วงเข้ามายังด้านใน

“อืออื้ออออ”

ยิ่งร้องผมยิ่งโดนมันบดขยี้จนได้รสเลือดคละคลุ้งไปทั่วทั้งปาก เมื่อมองสบตาก็เห็นว่าดวงตามันนั้นแข็งกร่าวเหมือนที่ทำอยู่นี่แค่เป็นไปตามอารมณ์โกรธไม่ใช่ความต้องการจริงๆจากใจเลยแม้แต่น้อย

ให้ตายสิ

ผมอยากตายจริงๆก็คราวนี้แหละ

“อึ๊ก”

ผมสะดุ้งอีกทีเมื่อมือหนากำรอบส่วนสงวนไว้จนแน่น ความปวดเริ่มรุกล้ำจนทำให้ผมถึงกับนิ่วหน้า มันหัวเราะในลำคอน้อยๆก่อนจะขยับมือจนทำให้ผมเผลอหลุดเสียงครางออกมา จากที่ไม่ได้สัมผัสมันมานานไม่น่าเชื่อว่ามันจะตื่นมือได้ถึงขนาดนี้ เมื่อมันเห็นปฎิกิริยาของผมแล้วเหมือนมันจะยิ่งชอบใจเลยยิ่งเพิ่มแรงขยับจนขาผมสั่น เรี่ยวแรงเริ่มถดถอยจนต้องเกาะไหล่หนาไว้อย่างช่วยไม่ได้

“หึ”

ผมเกลียดเสียงหัวเราะของมันชะมัด

ไอ้พี่ครอสถอนริมฝีปากออกก่อนจะไล่ต่ำลงมากัดที่ต้นคอให้ผมได้สะดุ้งเล่น ความเสียวจากส่วนล่างทำให้ผมไร้ซึ่งเรี่ยวแรงในการขัดขืนไปมากโข ตั้งแต่เกิดมาเคยฟันหญิงอยู่นะครับแต่ไม่เคยถูกทำให้อ่อนระทวยแบบนี้มาก่อน โคตรรุนแรงต่อใจเลยวะ

“ปะ ปล่อย”

เสียงสั่นชิปหาย มือที่กะจะผลักมันออกกลับทำได้เพียงแตะเพราะไม่มีแรง

“หึ จะเสร็จแล้วรึไง”

เฮือก!

ว่าแล้วก็ตัวกระตุกสั่นไม่หยุดพร้อมกับส่งเสียงน่าอายออกมาจนไร้ซึ่งหนทางกักกั้น น้ำรักสีขาวพุ่งพรวดออกมาจนเลอะมือใหญ่ที่จับไว้จนหมดแหมะลงกันพื้น ผมหอบหายใจจนแทบบ้า แต่คนตรงหน้ากลับยิ้มเยาะพลางหัวเราะเสียงต่ำเหมือนสะใจที่ทำผมคลั่งได้สำเร็จ เมื่อผมนิ่งพักจนมีแรงขึ้นมาอีกนิดผมเลยผลักมันออกแรงๆก่อนทรุดลงนั่งกับพื้นฟุบหน้าลงกับเข่าอย่างหมดสิ้นแล้วทุกสิ่ง ผมไม่รู้ว่าน้ำตามันไหลออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ที่ผมรู้คือผมโคตรเสียใจ หัวใจมันแหลกเป็นผุยผงด้วยน้ำมือของคนที่ผมไปตกหลุมรักเองแล้วก็เจ็บเอง

“นาย”

เสียงที่ฟังดูซอฟลงกว่าในตอนแรกเอ่ยขึ้นไม่ไกลแต่ผมกลับรู้สึกเหมือนมันอยู่ไกลเสียยิ่งกว่าไกล

“กลับไปซะ”

“ร้องไห้?”

“ผมบอกให้ออกไปไง ผมอยากอยู่คนเดียว”

“..........”

“ผมขอร้อง”

“.........”



Tbc....

มันก็จะหน่วงหน่อยๆ(เหรอออออ)

ไรท์เคยเตือนไว้ที่เพจแล้วนะว่าเรื่องนี้ได้โซ้ยมาม่าชามโตแน่ๆ หึหึ

ออฟไลน์ MyMinT1990

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-1
ไหวหวั่นครั้งที่ 5




แกร๊ก

เสียงเปิดประตูดังขึ้นเมื่อเพื่อนร่วมห้องอีกคนกลับมาจากการไปสรรหาความบันเทิงใส่ตัว แต่ผมไม่คิดจะสนใจมันเลยสักนิด ไม่แม้แต่ขยับร่างกายหรือหลับนอน ผมยังคงนั่งกอดเข่าอยู่ที่โซฟาหน้าซบแขนอยู่อย่างนั้นตลอดทั้งคืน

“เชี่ย! ไอ้ห่านาย กูตกใจหมดเลยแม่ง”

“……”

“ทำไมไม่เปิดฟืนเปิดไฟวะ จะว่าไปมึงตื่นเช้าขนาดนี้ได้ด้วย?”

“……”

“ไอ้นาย”

“……”

“มึงเป็นอะไร?”

แรงยุบที่เบาะข้างๆและกลิ่นน้ำหอมของผู้หญิงทำให้ผมรู้ว่าเพื่อนได้เข้ามานั่งอยู่ข้างๆแล้วผมเลยเอนตัวไปซบไหล่มันอย่างเหนื่อยล้าแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรมันออกไป ไอ้มิกซ์จากนิสัยเดิมที่พูดจ้อไม่หยุดพอมาเจออาการผมเข้ามันก็ถึงกับใบ้แดรกไปเลย มือสากน้อยๆของเพื่อนสนิทขยี้โคร่งหัวผมไปมา คือกูรู้ว่ามึงอยากปลอบแต่ช่วยอ่อนโยนกว่านี้จะได้ไหมวะ

“ไอ้นาย”

“อื้อ”

“มึงมีเรื่องอะไรกับไอ้เต้วะ?”

“ห่ะ?”

งงไปสิครับ

“ก็เนี้ย มันโทรหากูสิบกว่าสายหลังจากที่กูแยกกับพวกมึงแต่กูปิดเสียงไว้ไงเลยไม่ได้รับ พอโทรกลับระหว่างทางมานี่มันก็เสือกไม่รับสายกูอีก ไหนจะกลับมาห้องแล้วเจอมึงในสภาพนี้อีก มึงมีเรื่องอะไรกับมันบอกกูมาตรงๆ?”

เออวะ สมเหตุสมผลในแง่ของมันดี แต่ขอโทษทีที่มันไม่ใช่

“ป่าว ไม่ใช่กับไอ้เต้”

“แล้วกับใคร?”

ผมถอนหายใจยาวๆแล้วหยัดตัวขึ้นมานั่งหลังตรงแล้วเงยหน้าไปสบตาเพื่อน คงถึงเวลาที่ผมต้องชัดเจนกับการตัดสายใยทุกสิ่งอย่างกับคนๆนั้นอย่างจริงจังและผมต้องการเพื่อนที่จะอยู่ข้างๆคอยให้กำลังใจแรงหนุนหรือแม้กระทั่งคำปรึกษา

“กับพี่ครอส”

ไอ้มิกซ์ถึงกับมีเควชั่นมาร์คปรากฎหราอยู่บนหน้า

“พี่ไอ้คริสอะนะ?”

“เออ”

“เกี่ยวอะไรกันวะ?”

ผมพ้นลมหายใจออกอีกรอบก่อนจะตั้งต้นเล่าความเป็นมาเป็นไปให้มันฟังตั้งแต่ต้น ไอ้มิกซ์มันอึ้งแล้วอึ้งอีก อุทานจนขนมาหมดทั้งสวนสัตว์แล้วมั้ง พอจบผมก็เริ่มจะซึมอีกรอบ แน่ละ การได้เล่าคือเราต้องรำลึกถึงใช่ไหมละครับ มันก็ยิ่งเหมือนตอกย้ำตัวเองไปอีกครั้งจนแทบจะทรุดซะให้ได้

“จริงเหรอวะเนี้ย”

ผมไม่ตอบแต่ยกมือขึ้นลูบหน้าไล่อาการต่อมน้ำตาตื้นของตัวเอง

“มีใครรู้เรื่องนี้บ้างวะ?”

“ไม่แน่ใจ แต่ไม่น่าจะมี”

“กูว่าไม่มีซึ่งก็ดีแล้ว โดยเฉพาะไอ้คริส”

ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับมัน

“แล้วมึงจะเอาไงต่อไป ตอนนี้กูโคตรอยากตั๊งหน้าไอ้พี่ครอสเลยวะ แม่งเลวสัส ทำทีให้ความหวังทั้งที่ตัวเองก็มีครอบครัว”

“ไอ้คริสบอกว่าเขาแยกกับเมียแล้วนะ”

“ก็แล้วไง”

ผมยกยิ้มน้อยๆให้ความเป็นเดือดเป็นร้อนแทนผมของไอ้เพื่อนซี้  พวกเราทั้งกลุ่มเป็นด่ากันปาวๆแบบนั้นแต่จริงๆแล้าเรารักกันมากนะครับ ผมเชื่อว่าถึงไม่ใช่ไอ้มิกซ์แล้วเปลี่ยนเป็นไอ้คมหรือไอ้แวนมันก็คงเป็นแบบนี้ทุกคน แต่ยกเว้นคริสตัลนะครับ รายนั้นคนหนึ่งก็พี่ชายคนหนึ่งก็เพื่อน ผมว่ามันต้องเครียดมากทีเดียวที่ต้องเลือกอยู่ฝั่งใดฝั่งหนึ่ง

“กูอยากหายไปจากชีวิตเขาวะ อยากไปไกลๆ”

“มึงพึ่งกลับมานะไอ้นาย กูว่าพ่อมึงไม่ยอมส่งตัวมึงไปไหนอีกแน่นอกจากเข้าทำงานแล้วไปประจำที่สาขาต่างจังหวัด”

คำพูดของไอ้มิกซ์ทำให้ผมฉุกคิด ไปทำงานต่างจังหวัดเหรอ ถึงแม้จะไม่ไกลมากแต่อัตราการเจอกันก็น้อยจนเกือบเป็นศูนย์ในบางที

“มิกซ์”

“อะไร?”

“ขอบใจมากเพื่อน”

“ห่ะ?”

“กูจะทำอย่างที่มึงพูด”

“อย่าบอกนะว่า…”

“ใช่ กูจะไปประจำที่ภูเก็ต ถึงไม่ไกลมากแต่ไม่มีแววที่จะได้เจอกันอีกแน่นอน”

“มึงไม่คิดว่าเขาจะตามไปบ้างเหรอวะ?”

ผมชะงัก รอยยิ้มกว้างเมื่อครู่หุบฉับจนแทบจะเบะคว้ำ

“แต่พี่ไอ้คริสมันก็ยุ่งๆแหละนะ ถ้าไปคงอยู่ไม่นานแล้วเวลาส่วนตัวก็ไม่น่าจะมีเยอะจนไประรานมึงถึงนั้นได้นานๆหรอก”

ผมพยักหน้ารับคำแก้ต่างของเพื่อน

“มึงจะไปจริงๆเหรอวะไอ้นาย?”

“ก็คงต้องเป็นงั้น”











“อืม ก็ฟังดูไม่เลวนี่”

ผมยิ้มกว้างให้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อบังเกิดเกล้า วันนี้เป็นวันจันทร์ซึ่งผมมีนัดกับคุณท่านไว้อยู่แล้วผมเลยรีบตรงดิ่งเข้ามาเปิดปากขอไปทำงานที่นู้นก่อนที่ท่านจะทันได้อ้าปากทักทายด้วยซ้ำ ผมเล่นใหญ่รัชดาลัยไหนจะชักแม่น้ำทั้งห้าหกเจ็ดแปดเก้าสิบสายมาสาธยายจนแทบหมดลม แต่ฟังดูคำตอบรับเมื่อครู่แล้วก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง

“พ่อให้ผมไปใช่ไหม?”

“ฉันแค่บอกว่าฟังดูไม่เลว ไม่ใช่อนุญาตให้ไป”

“อ้าว”

หุบยิ่มแทบไม่ทันเลยกู

“ที่นั้นมีลูกตาลดูไปแล้ว”

“ห่ะ พี่ลูกตาลไม่ได้อยู่หัวหินเหรอ?”

“ฉันพึ่งให้ย้ายไปเมื่อเดือนก่อน ที่หัวหินให้เจ้าเจี๊ยบดูแล”

ที่พูดมานั้นคือบรรดาลูกน้อยระดับท๊อปนะครับ บริษัทของเราดีอยู่อย่างคือถึงแม้คนตรงหน้าผมจะเป็นดั่งกฎแต่เราก็อยู่กันแบบครอบครัวที่มีกฎเป็นหลักยึด เราเน้นการบริหารแบบใช้ใจซื้อใจเพราะงั้นทุกคนถึงเลืกที่จะอยู่เพราะสายสัมพันธ์มากกว่าอะไรอื่น

“ส่วนแกฉันวางตำแหน่งไว้ให้แล้ว”

ผมถึงกับหงอแต่ก็ต้องพยักหน้าให้คุณท่านไป ถึงจะไม่ได้ไปไกลอย่างที่ใจคิดแต่อย่างน้อยเวลาทำงานก็ทำให้ไม่ฟุ้งซ่านแถมยังไม่มีเวลาว่างไปเจอกันได้ง่ายๆ…ละมั้ง

“ตำแหน่งอะไรครับ?”

“กรรมการผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาด ควบสองคงไหวนะ?”

โอ้โห ใครบอกว่าการเป็นลูกผู้บริหารแล้วสบายได้ทำงานง่ายๆนั่งเซ็นเอกสารอย่างเดียวผมขอค้านหัวชนฝาเลยครับ ใช่งานยิ่งกว่าลูกน้องอีกมั้งเนี้ย

“ถ้าผมบอกว่าไม่ไหวละ”

“ก็ต้องไหว”

ครับพ่อครับ ถ้าจะพูดแบบนั้นแล้วคุณท่านจะถามผมเพื่อ!?!

ผมเดินตีหน้าหงอไปยังห้องทำงานที่ผู้เป็นพ่อสั่งให้จัดแจงไว้ตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว ห้องนี้อยู่ชั้นล่างของชั้นผู้บริหารเพียงชั้นเดียวผมเลยเลือกที่จะเดินลงบันไดแทนการใช้ลิฟท์ เมื่อโผล่มาถึงชั้นก็โค้งรับการเอ่ยต้อนรับจากบรรดาพนักงานของทั้งฝ่ายขายและแผนกการตลาดซึ่งอยู่ร่วมกันในชั้นนี้โดยมีห้องทำงานของผมอยู่ด้านในสุดติดกับห้องประชุมเล็ก

“สวัสดีค่ะคุณณรงค์”

“สวัสดีครับพี่ใหม่ เรียกผมแบบปกติก็ได้”

“ยินดีต้อนรับนะค่ะน้องนาย รู้ไหมว่าบอสดีใจแค่ไหนที่รู้ว่าน้องนายจะเข้ามาทำงานที่บริษัทสักที”

ผมยิ้มแห้งๆส่งไปให้ก่อนที่เธอจะเปิดประตูออกกว้างเพื่อให้ผมเดินเข้าห้องอย่างสะดวก ห้องทำงานนี้ถูกจัดแจงทุกอย่างให้เหมือนห้องพ่อที่ด้านบนเลยครับ ตำแหน่งโต๊ะทำงานโซฟารับแขกหรือแม้กระทั่งตู้โชว์ใบประกาศและรูปภาพต่างๆของผม จะมีผิดแปลกหน่อยก็ตรงที่โทนสีที่เล่นโทนเทาเมลาทริคดูล่ำกว่าห้องพ่อที่เป็นโทนสีไม้ ผมยิ้มเมื่อเห็นว่าพ่อยังคงจำรายละเอียดเล็กๆเกี่ยวกับผมได้อย่างแม่นยำ ผมชอบสีเงินครับถ้าใครยังไม่รู้

“วันนี้มีอะไรให้ผมทำบ้างครับพี่ใหม่?”

ถึงจะอยู่ในตำแหน่งเจ้านายแต่ผมก็ยังเป็นผู้เริ่มต้นอยู่ดีนะครับ ถึงแม้จะเรียนมามากมายแต่ทุกสายที่เรียนมันย่อมไม่ตรงกับอาชีพที่ทำอย่างเป๊ะๆหรอก มันต้องมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ต่างๆเพื่อให้เข้ากับทิศทางของงานให้มากที่สุด

“วันนี้ไม่มีอะไรมากค่ะ บอสต้องการให้น้องนายศึกษางานไปก่อนเลยให้พี่เอาพวกเอกสารการตลาดและงานขายที่ผ่านๆมาของเราให้ไปอ่านศึกษาไปก่อน”

“แล้วมันอยู่ไหนละครับ?”

โต๊ะทำงานของผมโล่งเสียยิ่งกว่าโล่งขนาดนี้ แล้วไอ้เอกสารที่ว่ามันไปอยู่ซอกหลืบไหนกันละวะ

“นั้นไงค่ะ”

ผมหันไปมองตามนิ้วเรียวๆที่ชี้บอก

โอ้มายก๊อด!

มันเป็นเอกสารของอะไรทำไมเยอะอย่างนี้วะ

“หมดนั้นเลยเหรอครับ?”

“ใช่ค่ะ ถ้ามีอะไรก็ถามพี่ได้ตลอดเลยนะค่ะ”

ผมหันไปมองเอกสารที่กองเป็นตักๆอยู่ข้างๆโต๊ะแล้วก็ถึงกับกลืนน้ำลายเอือก พ่อเล่นกูแล้ว

“ขอบคุณมากครับพี่ใหม่”

“ยินดีค่ะ อ้อ จะรับชากาแฟสักแก้วไหมคะ? บอกตารางการกินกับพี่ได้พี่จะได้เตรียมเข้ามาให้ถูก”

“อ่า ผมขอมอคค่าช่วงสิบนาฬิกาแล้วกันครับ”

“รับทราบค่ะ”

พอรับคำคุณเธอก็เดินออกจากห้องไปปล่อยให้ผมอยู่กับเอกสารนับร้อยนับพันฉบับที่ต้องศึกษาทุกเม็ดทุกแผ่น จากตอนเรียนว่าเจอตัวหนังสือเยอะแล้วมาทำงานกูยังต้องเจออีกเหรอวะ ถ้าอ่านหมดนี่คงไม่อ้วกออกมาเป็นพารากราฟหรอกนะ เชี่ย!

ผมนั่งพลิกหน้ากระดาษแผ่นแล้วแผ่นเล่าจดจำและประมวลผลข้อมูลทุกสิ่งอย่างเข้าสู่สมองจนพี่ใหม่เอากาแฟพร้อมคุกกี้สามสี่ชิ้นเข้ามาให้นั้นแหละถึงได้หยุดพักสมองและสายตา พี่ใหม่ยิ้มขำเมื่อเห็นอาการบิดตัวไล่ความขบเมื่อยอย่างไม่ถือตัวของผมก่อนจะเดินกลับไปทำงานที่โต๊ะประจำตำแหน่งของเธอ ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลาปรากฎว่าพึ่งสิบโมงกว่าๆเพื่อนแต่ละคนคงกำลังขมักเขม้นกับการทำงานไม่ต่างกัน แต่คงต้องยกเว้นไอ้คริสไว้คน ว่าแล้วก็ชักจะคิดถึงมันแฮะ ผมยกกาแฟขึ้นจิบก้อนจะกดหาชื่อคริสตัลแต่ยังไม่ทันจะโทรออกก็มีใครบางคนโทรแทรกเข้ามาซะก่อน มันเป็นเบอร์แปลกที่ไม่ถูกเม้มชื่อไว้ ผมกดรับพร้อมความฉงน

“สวัสดีครับ”

/รับโทรศัพท์กูนี่พูดเพราะขนาดนี้เลยเหรอวะ/

เสียงนี้…

“ไอ้เต้?”

/เออ กูเอง/

“ไปเอาเบอร์กูมาจากไหนวะ?”

/ไอ้มิกซ์ไง จริงๆกูว่าจะโทรหามึงตั้งแต่เมื่อวานแล้วแหละแต่ติดธุระของทางบ้านวะ/

ผมเงียบพลางยกกาแฟขึ้นจิบพยักหน้ารับไปด้วยทั้งที่ปลายสายไม่มีทางเห็นแท้ๆ

/มึงโอเคไหมวะ? แล้วไอ้คนที่มาฉุดมึงมันเป็นใคร?/

“แค่กๆๆๆ”

ถึงกับสำลักกาแฟเลยกู

/เห้ย ใจเย็น ถามแค่นี้ทำเป็นไอ/

“โทษที แค่กๆ กูโอเค”

/โอเคเรื่องที่ไอเมื่อกี้หรือเรื่องที่กูถาม?/

“ทั้งสอง”

/แล้วอีกคำถามละ?/

ผมกรอกตาก่อนจะเอนตัวลงพิงพนักพิงเก้าอี้ที่ถูกสั่งมาพิเศษสำหรับการรองรับสรีระที่ถูกต้องตามหลักแถมยังมีระบบนวดในตัวอีกด้วย

“พี่ชายของเพื่อนนะ”

ไอ้เต้มันไม่รู้จักกับคริสตัลครับ

/พี่ชายของเพื่อนมันมีสิทธิ์ที่จะลากมึงไปไหนมาไหนได้แบบนั้นเลยเหรอวะ? แถมมึงยังดูเกรงๆเขาด้วย มึงบอกกูมาตรงๆดีกว่าว่าเขาคือใครกันแน่ แฟนมึง?/

คราวนี้ผมถึงกับถอนหายใจให้ความฉลาดที่ไม่เคยเปลี่ยนของเพื่อน

“ป่าว…กูแค่แอบชอบเขาฝ่ายเดียว”

/……/

“ตอนนี้กูกำลังพยายามตัดใจจากเขาอยู่ มึงอย่าชวนกูคุยในเรื่องเขาจะได้ไหม”

/กูขอโทษ/

“อืม”

/มึงมาทางสายนี้จริงๆสินะไอ้นาย/

ไอ้เต้รู้ว่าผมเองก็เที่ยวผู้หญิงนะครับ ผมแผงฤทธิ์มาตั้งแต่สมัยมัธยมแล้วไง แต่ก็มีหลายๆคนคิดว่าผมเป็นเกย์เพราะความสำอางทั้งที่ผมก็ปฎิเสธหัวชนฝ่า ไปๆมาๆก็มาตกม้าตายแบบนี้แหละนะ

“คงงั้น”

/หึ มึงบอกว่าอยากตัดใจใช่ไหม?/

“อืม”

/แต่ยังไม่มีแววว่าจะทำได้ใช่ไหม?/

“ทำไมมึงรู้วะ?”

/ถ้าคนที่ทำได้จริงกะอีกแค่ถามเรื่องของอีกคนแค่นี้มันก็ไม่มีผลอะไรหรอก แต่เพราะมันยังมีผลกับมึงไงมึงเลยไม่อยากรับรู้ กูพูดถูกไหม?/

“ถูก ทำไมมึงแสนรู้งี้วะ”

/เชี่ยนี่ กูอุสาเป็นการเป็นงาน/

“หึหึ ซอรี่ๆ”

/แล้วถ้ากูบอกว่ากูจะช่วยให้มึงลืมไวขึ้น มึงสนใจม่ะ?/

“สน!”

/หึหึ ไวเชียวนะมึง/

“แล้วต้องเริ่มจากไหน ต้องทำอะไรบ้างแล้วมึงจะช่วยกูยังไงวะ?”

/ใจเย็นๆแล้วนับหนึ่งถึงหนึ่งสิ/

“สัส ใช่เวลามาเล่นไหม”

/กูเห็นมึงของขึ้นเลยต้องยั้งไว้ก่อน/

“เออๆ แล้วไงต่อ?”

/เริ่มแรก เราต้องมาคุยกันจริงๆจังๆก่อน/

ผมขมวดคิ้วน้อยๆ

/เย็นนี้มาทานดินเนอร์กันสักหน่อยไหม?/



Tbc…


ออฟไลน์ NuNam

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-3

ออฟไลน์ minneemint

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1632
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-0
มาต่อเถอะ สุนกจัง อยากอ่านต่อแล้ว

ออฟไลน์ kunt

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-1
โฮ เริ่มจากมื้อค่ำ ต่อไปก็มื้อเที่ยง ต่อต่อไปก็มื้อเช้า เพื่อนเต้กะติวเข้มใช่มะ

ออฟไลน์ MyMinT1990

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-1
ไหวหวั่นครั้งที่ 6



เพราะเหตุนั้นผมจึงได้มานั่งแหมะอยู่ที่ภัตตาคารอาหารจีนอันเลืองชื่อแห่งหนึ่งแถวเยาวราช เอาจริงๆคือโคตรผิดคาดวะครับ ก็รู้อยู่แหละว่าไอ้เต้มันเป็นคนง่ายๆไม่ได้ติดหรูอะไรมาก(ในเรื่องกิน)แต่พอได้ยินมันบอกว่าดินเนอร์ไอ้เราก็คิดไปถึงมื้ออาหารสไตล์ฝรั่งไปแล้วไง ใครมันจะไปคิดละว่าจะพามาถอดสูทปลดไทแล้วมาเดินชิลๆท่ามกลางแสงสีของถนนเยาวราชที่เต็มไปด้วยของกินแบบนี้

“เป็นไรวะ จ้องหน้ากูอยู่ได้?”

ไอ้เต้มันถามหลังจากที่พึ่งสังเกตุได้ว่าผมจ้องมันแทบตาย คือจ้องแบบสงสัยอะครับไม่มีอะไรอื่นแอบแฝงเลยนะ

“กูผิดคาดกับมึงจริงๆ”

“ฮ่าๆๆๆ มึงคาดหวังอะไรไว้วะ คิดว่ากูจะพาไปดินเนอร์ใต้จันทร์ไรงี้รึไง?”

ผมจิ๊ปากซึ่งก็ทำให้มันหัวเราะชอบใจเข้าไปใหญ่

“พอได้แล้วมั่ง คนมองกันทั้งร้านแล้วมึง”

“หึหึหึ”

ผมยกแขนค้ำโต๊ะแล้วเท้าคางเหม่อมองออกไปยังด้านนอกรออาหารที่สั่ง เห็นแว๊บๆว่าไอ้คนที่นั่งตรงข้ามมันยกโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นแต่ก็ไม่ได้สนใจ สักพักใหญ่ๆก็รู้สึกถึงการสั่งไหวของโทรศัพท์ตัวเอง

“ไม่ดูโทรศัพท์หน่อยเหรอมึง?”

ผมเหล่ตามองมันก่อนที่จะล้วงโทรศัพท์ออกมาดูตามที่มันท้วง ขมวดคิ้วนิดหน่อยที่เห็นตัวเลขแจ้งเตือนจากโซเชี่ยวที่ไม่ได้แตะต้องมาสักพักใหญ่ๆ

TanakonK. ได้ส่งคำขอเป็นเพื่อนคุณ

ผมเลยหน้ามองคนตรงข้ามซึ่งมันก็ยักคิ้วหลิ่วตามาให้ไม่หยุด ผมกดเข้าไปยอมรับมันและนั้นก็ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวตรงหน้าฟีดเป็นครั้งแรกในรอบปี

NineNarong ได้รับ TanakonK. เป็นเพื่อนเมื่อสักครู่

CRYSTAL  เฮ้ย! ไอ้นายกลับมาเล่นเฟสแล้ววะ McMixer Vanko KomsanKittiwat

Vanko Who is he?

KomsanKittiwat ใครวะ?

CRYSTAL +1

McMixer เพื่อนสมัยมัธยมของกูกับไอ้นาย พวกมึงนี่ว่างกันมากใช่ไหมถึงได้โผล่หัวมาได้


ผมยิ้มขำให้คอมเม้นท์ที่หาสาระไม่ได้ของพวกตัวป่วน

TanakonK. ชื่อเต้นะครับ แนะนำสำหรับคนที่ยังไม่รู้จัก แต่สำหรับคนที่รู้จักแล้วก็ช่างหัวมันครับ McMinxer

McMixer เชี่ยเต้ ทำไมแท๊กแต่กูวะ ไอ้นี่ก็รู้จัก NineNarong

TanakonK. รายนั้นละไว้ในใจเก็บไว้ใกล้กายแตะต้องยังไม่ได้มันเป็นของล้ำค่า

McMixer OoO!!!

CRYSTAL OMG!!!

Vanko เชี่ยยยยย

KomsanKittiwat เหยดดดดดดด

ผมนี่เงยหน้ามองจิกไอ้คนตรงหน้าแทบไม่ทัน ไอ้เต้ไหวไหล่พอดีกับที่อาหารทยอยมาเสิร์ฟเลยทำให้รอดพ้นจากการโดนด่าไปชั่วขณะเพราะกูหิวมากกกกก

“โอ้โห กินระหว่างทางมาก็เยอะนี่มึงยังจะกินลงอีกเหรอวะ?”

“หุบปากไปเลย คดีเก่ายังไม่สะสางเลยนะมึงอะ”

มันหัวเราะขำไปเรื่อยส่วนผมก็กินไปเรื่อยไม่ได้สนใจอะไรมันอีกจนเกือบๆอิ่มนั้นแหละถึงได้มองเห็นแสงวิ๊บๆวั๊บๆของโทรศัพท์บ่งบอกถึงการเตือนที่ยังไม่ได้เปิดดู ดีนะที่ผมปิดเสียงปิดสั่นไว้ไม่งั้นคงรำคาญตาย

“อิ่มแล้วเหรอ?”

“ก็เกือบๆ”

ผมตอบโดยไม่ได้มองหน้าแต่หันไปคว้าโทรศัพท์มากดเปิดดู

“กินของหวานไหม?”

“ไม่อะ เดี๋ยวออกไปเดินซื้อกินข้างนอก”

ได้ยินเสียงหัวเราะดังแว่วมาแต่ก็ไม่ได้สนใจ นิ้วกำลังระวิงอยู่กับการเปิดโซเชี่ยวที่มีคนแท๊กชื่อผมไว้ไม่นานก็รู้ว่าเป็นใคร

“เชี่ยเต้”

“อะไรวะ?”

“ยังจะมาถามอีก”

มันมองผมสลับกับมือถือในมือแล้วก็ยิ้มขำ

“น่ารักดีออก”

“น่ารักพ่องมึงสิ ไอ้คอมเม้นต์นั้นยังไม่เคลียร์นี่มึงจะสร้างเรื่องใหม่อีกเหรอห่ะ”

เรื่องใหม่ที่ว่าคือมันแอบถ่ายรูปทีเผลอของผมตอนกำลังโซ้ยอาหารตรงหน้าแบบเต็มกำลังลงเฟสพร้อมแคปชั่น ‘ถึงจะกินเยอะขนาดไหนก็เลี้ยงไหวแล้วกัน’ แก้มผมนี่อูมอย่างกับแฮมสเตอร์อมเมล็ดทานตะวันยังไงยังงั้น

“ก็ดีแล้วนี่”

“ดีบ้านมึงสิ”

“มึงฟังกูนะ การที่มึงจะตัดใจจากใครได้มันต้องมีใครอีกคนมาแทรกหรือเป็นตัวแทน”

ผมขมวดคิ้ว

“แล้วไอ้สิ่งที่กูทำคือกำลังเข้าไปแทรกระหว่างมึงกับเขาซึ่งมันจะทำให้มึงหันเหความสนใจมาทางกูและจะทำให้ลืมเขาง่ายขึ้น มึงเข้าใจรึยัง?”

โห มันเล่นมาแนวจิตวิทยาเลยวะ

ผมพยักหน้ารับช้าๆ ไอ้เต้เลยส่งยิ้มกว้างมาให่พร้อมกับยื่นมือมายีหัวผมเบาๆไปอีก

“สัส เสียทรงหมด”

“กูว่ามึงปล่อยผมเหมือนวันก่อนจะดีกว่าเซ็ตแบบวันนี้นะ”

วันนี้ผมต้องเข้าบริษัทและใส่สูทอย่างเป็นทางการผมเลยเซ็ตผมให้ดูเป็นทางการไปด้วยไงครับแต่วันก่อนที่มันพูดนั้นคือผมไปกินเหล้าแน่นอนว่าแทบไม่ได้เซ็ตอะไรเพราะปกติก็ไม่ชอบให้ผมมันแข็งๆแบบนั้นอยู่แล้ว

“ไม่ดีเหรอวะ?”

“ก็ดี แต่มันเหมือนไม่ใช่มึง กูไม่ค่อยชอบ”

“เอ๊า แล้วเกี่ยวอะไรกับความชอบมึงวะ”

“ก็กูเป็นว่าที่แฟนในอนาคตมึงไง”

“สัสเหอะ”

“หึหึ”

ผมแยกเขี้ยวใส่มันไปทีก่อนจะหันมาสนใจโทรศัพท์ต่อเพราะมีสายเข้าจากบรรดาเพื่อนๆของผมจนสายแทบไหม้ จริงๆก็มีมาสักพักแล้วแหละนะแต่ผมไม่รับสายใครแล้วหันไปเปิดไลน์กลุ่มคุยแทน ดูเหมือนประเด็นไอ้เต้จะมาแรงมาครับ พวกมันถามใหญ่ว่าอะไรยังไงทำไมมันประกศตัวเหมือนจะจีบผมแบบนั้น ผมบอกได้แค่ว่าไม่รู้เพราะไอ้คริสก็อยู่ในกรุ๊ปนี่ด้วย

“ไปเหอะวะ”

“อ้าว เรียกคิดเงินแล้วเหรอ?”

“เรียบร้อยไปชาติเศษละ”

“โอ้โหปาก”

“น่าจูบดีไหมละ”

“น่าถีบนะสิไม่ว่า มึงเลี้ยงกูเลยข้อหาปากหมาใส่กู”

“ข้อหาส้นคิดชิปหาย แต่ก็ช่างมันเถอะ กูเลี้ยงไหว หึหึ”

ทำไมมันกะล่อนอย่างนี้วะครับ แต่ก่อนก็ไม่ยักกะเป็นอกจะเป็นคนเงียบๆซะด้วยซ้ำแต่อย่างมันนะเงียบร้อยครับ เห็นเงียบๆแต่ฟาดเรียบอะไรแบบนั้น

ผมใช้เวลาเดินเล่นเทียวซื้อนู้นซื้อนี่ชิมไปร่วมชั่วโมงแบบไม่รับรู้ถึงความเคลื่อนไหวของโทรศัพท์ตัวเองอีกเลย นานๆทีจะได้มาเดินเล่นชิลๆกินเพลินๆริมถนนแบบนี้ไงครับเลยเพลินไปหน่อย มารู้สึกตัวอีกทีก็ตกดึกเข้าไปแล้ว พุงป่องจนแทบกลิ่นได้แล้วด้วยซ้ำ

“กลับเหอะวะ”

ผมหันไปบอกไอ้เต้ซึ่งมันก็พยังหน้ารับอย่างว่าง่าย ไอ้นี่มันได้เกาลัดไปฝากที่บ้านสองถุงใหญ่ๆเลยครับ ส่วนผมได้ติ่มซำกับซาลาเปาไปฝากไอ้มิกซ์ มองดูเวลาในนาฬิกาแล้วรีบตรงดิ่งไปยังรถที่จอดไว้โคตรจะไกล จะไม่ให้ไกลได้ไงละก็เล่นเดินลัดเลาะไปซะทุกทิศกินไปทั่วเที่ยวเพลินจนลืมออมแรงไว้ขากลับซะด้วยซ้ำ

“แม่งโคตรเหนื่อย”

พอมาถึงรถได้ผมก็แทบทรุด ไอ้เต้ที่เดินตามหลังมาหัวเราะหึก่อนจะกดปลดล็อคแล้วเอาของไปไว้ท้ายคัน วันนี้ผมมาด้วยรถมันครับ มันมารับที่โรงแรมไงผมเลยต้องจอดรถตัวเองทิ้งไว้แต่ไปๆมาๆชักขี้เกียจวกกลับไปเอาแฮะ

“มึงไปส่งกูที่คอนโดเลยได้ป่ะ?”

“ได้ๆ คอนโดมึงอยู่ไหนละ?”

“ขึ้นรถเลยเดี๋ยวบอก”

ว่าแล้วก็รีบกระโดดโหย่งขึ้นรถแบบไม่รักษามาดอะไรทั้งสิ้น ไอ้เต้แม่งก็อเลิร์ตชิปหาย หัวเราะมันตลอดเวลา ผมเลิกสนใจมันปล่อยให้มันใช้สมาธิกับการจราจรตรงหน้าส่วนตัวเองก็คอยบอกทางเป็นระยะมืออีกข้างก็ล้วงไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู

โอ้โหเหี้ย!

เป็นร้อยๆสายไม่ได้รับแถมส่วนใหญ่ยังมาจากคนที่ชื่อทีครอส

อะไรของมันอีกวะแม่ง!

ครืน ครืน

นั้นไง ยังไม่ทันจะขาดคำมันก็โทรมาอีกแล้วครับ ผมอึกอักว่าจะไม่รับแต่กลับไม่กล้าวางโทรศัพท์ลงเช่นกัน

“ไม่รับสายละ”

“……”

“คนนั้นโทรมาเหรอ?”

“อืม”

“เปิดสปีคเกอร์ดิเดี๋ยวกูคุยเอง”

ผมหันไปมองหน้ามันด้วยความลังเล

“มึงอยากตัดใจไม่ใช่เหรอ มึงต้องเด็ดขาดได้แล้วเว้ย”

ผมหันกลับมามองโทรศัพท์ในมืออีกครั้งซึ่งมันได้ตัดสายและโทรเข้ามาใหม่อย่างต่อเนื่อง ได้ยินเหมือนเสียงถอนหายใจของคนข้างๆก่อนที่รถจะหยุดเพราะสัญญาณไฟเป็นสีแดงแล้วมันก็คว้าเอาโทรศัพท์ผมไปกดรับต่อหน้าต่อตา

“เห้ย!”

“สวัสดีครับ”

/……/

ปลายสายเงียบจนผมเริ่มรู้สึกเสียวสันหลังว๊าบ

“สวัสดีครับ”

/นั้นใคร?/

เสียงเข้มกดต่ำอย่างกับน้ำแข็งขั่วโลกเลยวะ

“ผมชื่อเต้ แล้วนี่ใครโทรมาครับ?”

/กูโทรหานายไม่ได้โทรหามึง/

นอกจากไม่ตอบแล้วยังกวนตีนกลับ สมกับที่เป็นไอ้พี่ครอสจริงๆ

“หึหึ พอดีนายไม่ว่างรับสายนะครับ มีอะไรบอกผมไว้ก็ได้ ผมกับมันก็เหมือนคนๆเดียวกัน”

ผมนี่อ้าปากเหวอเลยครับ

“ไอ้ อุ๊ป!”

เสียงที่กำลังจะด่ากลับกลืนหายไปโดยริมฝีปากของใครอีกคน ผมเบิกตากว้างสติชะงักค้างสมองมึนเบลอแทบทำอะไรไม่ถูก

นี่ผมถูกไอ้เต้มันจูบเอาเหรอวะ!?!

ไอ้เชี่ยเต้อะนะ!!?!!

ปิ๊ด

มันกดตัดสายแล้วเริ่มรุกล้ำผมมากขึ้นกว่าเก่า ทันทีที่ลิ้นชื้นพยายามจะแทรกตัวเข้ามาผมถึงได้สติ ทั้งตัวขนลุกเกรียวพร้อมๆกับแรงฮึดในการผลักมันออก ดีหน่อยที่มันไม่ได้ร่างควายเหมือนใครบางคนแรงของผมเลยค่อนข้างจะสูสี

“ไอ้เหี้ย!”

พอหลุดพ้นจากมันได้ผมก็ด่าแม่งทันที ไอ้เต้ทำได้แค่ยกยิ้มที่มุมปากพลางหัวเราะหึพร้อมแลบลิ้นเลียปากตัวเองไปอีก

“ทำเหี้ยอะไรของมึงวะ!!?!!”

นาทีนี้กูโคตรฉุน ยกมือมาเช็ดปากไปด่ามันไปจนเริ่มจะแสบ ไอ้นั้นก็จะเข้ามาจับแขนผมอีกแต่ผมรีบดันตัวหลบจนไปชิดประตูเจ็บไหล่ไปอีก

“ก็แค่จูบ คิดไรมากวะ”

“สัสเอ๊ย!”

“หึหึ แต่ปากมึงโคตรนุ่มเลยวะ ไหนมาลองอีกทีดิ๊”

“ไปไกลๆตีนกูเลยเชี่ย”

“ทำเป็นงก อยู่เมืองนอกมาไม่ใช่ไง ยังไม่ชินการทักทายแบบสกินชิปอีกเหรอวะ?”

“สกินชิปหรือจูบกูก็ไม่ชอบ ไม่ต้องมาทำกับกู!”

พูดจบผมก็หันหน้าหนีตีหน้าบึ้งนั่งกอดอกใส่แม่งไปเลย มันหัวเราะเบาๆแล้วหันไปขับรถต่อเพราะสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวพอดี บรรยากาศภายในรถเงียบกริบตลอดทางจนถึงคอนโดผมนั้นแหละครับ จากตอนแรกว่าจะให้มันขึ้นไปเจอไอ้มิกซ์สักหน่อยแต่ตอนนี้กูเปลี่ยนใจละ

“ขอบใจ”

พูดจบกูนี่ปิดประตูดังปึงหันหน้าหนีแล้วเดินเข้าไปในตึกแบบไม่เหลียวหลังไปมองมันสักนิดเลยครับ อย่าว่าแต่เหลียวหลังเลยแม้แต่รอบข้างกูก็ไม่มองอะ ผมไปทันช่วงที่มีคนขึ้นลิฟท์พอดีเลยไม่ต้องยืนรอให้เสียเวลา พอเข้ามาได้กูนี่กดฟันขบเขี้ยวอยู่คนเดียวแบบโคตรจะฉุน ฉุนจนอยากจะร้องไห้อะครับ ความรู้สึกแม่งยังหลงเหลือจนผมคิดว่าถ้าเข้าห้องได้กูจะรีบไปล้างหน้าบ้วนปากเอาน้ำยามากรอกแม่งให้หมดขวดไปเลย

ปิ๊ง!

อ้าว ถึงชั้นผมแล้วนี่หว่า

ผมแทรกคนด้านหน้าออกไปพลางล้วงหาคีย์การ์ดก่อนจะเสียบเปิดประตูจนแทรกตัวเข้าไปด้านใน มือกำลังผลักบานประตูใหญ่ให้ปิดแบบไม่ต้องไปสนใจอะไรนักเพราะมันเป็นระบบล็อคอัตโนมัติ แต่ทว่าตัวผมกลับถูกดึงอย่างแรงจนตัวกระแทกบานประตูก่อนจะโดนจู่โจมด้วยริมฝีปากอย่างรุนแรง

“อื้ออืออออ”

ผมทั้งทุบทั้งตีจนโดนรวบมือทั้งสองข้างขึ้นเหนือหัว พอเบิกตามองดูดีๆจึงเห็นว่าไอ้ตัวควายๆแรงช้างสารแบบนี้แม่งมีคนเดียว

ไอ้พี่ครอส!

มันมาอยู่ในห้องผมได้ยังไงวะ!?!

“อึก!”

ผมสะดุ้งเมื่อส่วนล่างโดนล้วงโดยมือหนาของคนตรงหน้า ความแรงในการจับและบีบนั้นไม่ปรานีปราศรัยกันเลยสักนิด เหมือนมันกำลังโกรธ เหมือนมันกำลังหงุดหงิด เหมือนมันกำลังจะเขมือบผมเข้าไปทั้งตัวซะเดี๋ยวนี้

“อึ๊ก อ๊า!”

พอละปากออกแม่งเสือกก้มไปกัดหัวนมผมอะครับ โคตรเจ็บ แต่มันกลับทำให้ข้างล่างผมแข็งโป้กขึ้นมาในทันที

เฮ้ๆๆ กูไม่ใช่คนสายเอ็มนะเว้ย ไม่ใช่อะ ต้องไม่ใช่สิ

“อ๊า!!!”

พอโดนกัดอีกทีกูนี่ร้องลั่นห้องเลยครับ ขออย่าให้ไอ้มิกซ์อยู่เลยไม่งั้นความหายนะคงมาเยือนแก่กูแน่

“หึ”

เสียงหัวเราะชอบใจนั้นดังแว่วมาให้ได้ยิน ผมเม้มปากแน่นพยายามกลืนเสียงตัวเองที่กำลังโดนปลุกเร้าอยู่หน้าห้องด้วยไฟแห่งความเกรี้ยวกราดของใครอีกคน ใครคนที่ทำให้ผมหลอมละลายได้โดยไม่นึกรังเกียจ ไม่เลยแม้แต่น้อย ตอนโดนไอ้เต้จูบแถมยังเป็นจูบแค่ภายนอกไม่ได้สอดลิ้นผมยังนึกรังเกียจแทบตายแต่นี่มันมากกว่านั้นไปตั้งหลายขุม…

…รู้แล้วว่าความรู้สึกรักมันมีอานุภาพถึงขนาดไหน

“อึก! ไม่…ไม่เอา…”

ผมพยายามร้องห้ามอยากจะผลักมันออกก็ทำไม่ได้เพราะมือโดนจับไว้เหนือหัวขาก็โดนแยกจนมันแทรกเข้ามาอยู่ตรงกลางพลางใช้ขาตัวเองเสียดสีที่ส่วนนั้นจนวูบวาบไปหมด

“ทั้งที่เป็นถึงขนาดนี้นะเหรอ?”

“ไม่เอา”

“หึ ต้องเป็นไอ้เหี้ยนั้นรึไงมึงถึงจะเอา”

“ไม่! อ๊าส์~”



Tbc …

น้องนายเป็นมาโซฯค่ะ หึหึ 

ปล.อยากจะถามเต้มากว่าจะเข้ามาแยกพวกเขาออกจากกันหรือจะเข้ามาเร่งความสัมพันธ์ของพวกเขากันแน่อะ? งง??


ออฟไลน์ NuNam

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-3
แม้ๆ ทีครอสสส หึงโหดนะยะ น้องนายไม่ใช่ของเล่นนะคะคุณณณณ ทำอะไรจริงจังได้แล้วค่ะ เดี๋ยวโดนแย่งไปจะหนาว นะจร้า  :hao7:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด