ก็ ไม่มีอารายมากอ่าคับ แค่แวะมาแถม...ไม่รู้จาถูกใจคนอ่านหรือเปล่า ช่วงนี้โดนหาว่าใจร้ายเยอะเลย งุงิ ยังไงก็ขอยอมรับผิดเต็มๆอ่านะคร้าบ
เรื่องใหม่...คงยังไม่ลง แต่รับรองว่าสนุกมากๆๆ(<<<จะพยายามทำให้ดีที่สุดครับ!) คือจะออกแนวติงต๊องสักเล็กน้อย ตลกๆ(หรือเปล่า?) ติดตามดูกันนะครับ แต่คงอีกนาน...(เหอะๆ)
ตอนอวสานจะตามมาในอีกเร็ววันนี้นะครับ ถ้าหากไม่มีงานอะไร
ปล. ขอขอบพระคุณผู้อ่านทุกท่านที่แวะเข้ามาเยี่ยมเยียนนิยายของผม บางคนทิ้งเม้นท์ไว้ก็เป็นปลื้มมากๆเลยครับ เห็นเเล้วชื่นใจ ที่ผมมีวันนี้ได้ต้องขอบคุณทุกคน หวังว่าทุกคนจะมีความสุข ทั้งที่มีรักและยังไม่มี...ขอให้ทุกๆคนสมหวังทุกประการนะครับ
บาย
บทส่งท้าย
ท่ามกลางถนนที่แน่นขนัด ผมเดินโอบกอดก้าวเดินไปพร้อมๆกับร่างสูง มองท้องฟ้ายามค่ำคืนของนคร
นิวยอร์ก รู้สึกเศร้าๆยังไงไม่รู้
“แดน อย่าทำหน้าเศร้าซิ”
ชิพกระชับเอวของผมแน่นขึ้น ไออุ่นแผ่ซ่านออกมาปกคลุมร่างกายของผม ทว่า...พรุ่งนี้แล้วซินะที่เขาจะต้อง
เข้าโรงพยาบาลเพื่อรับการผ่าตัด ผมอดไม่ได้ที่จะปลดปล่อยความเศร้าโศกที่เก็บไว้ลึกๆข้างในนี้...
ตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ชิพบอกให้ผมพยายามร่าเริงเพื่อเขา...แต่รู้อะไรมั้ยว่ามันยาก...มันยากที่
จะยิ้มให้เขาทั้งๆที่ รู้...รู้ว่าอาจจะไม่ได้เห็นรอยยิ้มนี้อีก ทุกๆเช้าผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับความเจ็บปวด ทำไม...ทำไมมันต้องเป็นแบบนี้
ผมพยายามดูแลเขาสุดความสามารถ ทำเหมือนทุกอย่างเป็นปกติ แต่ต้องยอมรับว่าช่วงเวลาเพียงหนึ่งเดือน
สั้นๆจะเต็มไปด้วยความสุขและความหมายล้ำค่าต่อผมมากมายแค่ไหน
เราได้ทำในสิ่งที่อยากทำมากมาย ผมพยายามไม่โกหกตัวเอง แต่ปกปิดความรู้สึกเอาไว้ข้างในลึกๆ...ทุกๆบ่าย
เราจะออกไปนั่งๆนอนๆรับลมเย็นในCentral park มีเขานอนหนุนตักผมในขณะที่กำลังอ่านหนังสือให้เขาฟัง เราเข้านอนพร้อมๆกัน
บนเตียงอุ่นทุกคืน และไม่มีแม้แต่วันเดียวที่เราอยู่แยกจากกัน
มันเป็นหนึ่งเดือน...หนึ่งเดือนที่คุ้มค่าจริงๆ เพียงแค่คืนนี้...คืนนี้ผมอดทนทำเป็นร่าเริงเหมือนไม่มีอะไรเกิด
ขึ้นไม่ได้...
เหตุการณ์ที่ทำให้ชิพต้องเข้ารับการผ่าตัดเร็วขึ้นกว่าเดิมสองอาทิตย์นั่นเป็นเพราะครั้งหนึ่ง เขาเคยหน้ามืด
ล้มลงบนพื้น ดีที่ผมคว้าร่างของเขาไว้ได้ทัน...หมอบอกว่าก้อนเนื้อขนาดเท่าลูกมะนาวในสมองส่วนท้ายของชิพกำลังขยายตัวขึ้น
อย่างรวดเร็ว ทว่ายังไม่น่าเป็นห่วงเท่ากับการเปลี่ยนตัวเป็นก้อนเนื้อร้าย...ทุกคนจึงลงความเห็นให้ชิพรีบผ่าตัดซะ
แต่มันเท่ากับว่า...เวลาที่ใกล้จะหมดลง...คืบคลานเข้ามาทุกวินาที
ผมพยายามทำให้ทั้งเขาและตัวเองมีความสุข คอยอยู่เป็นเพื่อนเขา คอยมอบสิ่งดีๆให้เขายิ้มและเป็นกำลังใจ
ให้กันและกัน...ผมสาบานกับตัวเองว่าผมจะคอยอยู่เคียงข้างเขาจนวินาทีสุดท้าย หากเกิดอะไรขึ้นจริงๆ...ผมจะไม่มีวันทอดทิ้งเขาไป
ไหนอีก
คืนนี้แม่ของผมจะบินจากแอล.เอ.มาอยู่เป็นเพื่อน ระหว่างที่ชิพไม่อยู่...ท่านทราบเรื่องหมดแล้วหลังจากผม
โทรฯไปบอก และยินดีจะมาช่วยอยู่เป็นเพื่อนผม ท่านบอกว่าจะช่วยดูแลชิพตอนพักฟื้นด้วย เพราะยังไงเสีย...ท่านก็นับชิพเป็นลูก
ชายอีกคนหนึ่งไปเรียบร้อยแล้ว
ส่วนแอลกับคุณอรเลขาส่วนตัวของชิพ และหนูน้ำผึ้งจะบินตามมาสมทบทีหลัง ไอ้แอลต้องเคลียล์งานที่
บริษัทก่อน เนื่องจากมันจะหยุดยาวเพื่อมาอยู่เป็นเพื่อนชิพเช่นกัน
“แดน...มองผมซิ”
เสียงเรียกของเขาดังปลุกสติผม รอบข้างเต็มไปด้วยบรรยากาศที่วุ่นวาย ผู้คนพูดจอกแจกจอแจ ผมกลับได้
ยินแต่เสียงหัวใจเต้นตึกตัก...เต้นอย่างปวดเร้า น้ำตาพลันจะไหล
“แดน ยิ้มเพื่อผมนะ...อย่างน้อยวันนี้”
ผมฝืน...บอกตามตรงว่าฝืนยิ้มเช่นนั้นออกไปจริงๆ ข้างในผมมันแหลกละเอียดไม่มีชิ้นดี เชื่อมั้ยว่าตอนนี้ชิ
พดูผอมลงแล้วก็ดูแก่ลงมาก ตอนกลางคืนเขานอนกำผ้าปูที่นอนต่อสู้กับความเจ็บปวดในสมอง...ถ้าผมสามารถแบ่งความเจ็บปวด
เหล่านั้นมาได้ แม้ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม ผมก็ยอม
เพียงเศษเสี้ยวของความเจ็บในหัวใจ มันเทียบไม่เท่าความเจ็บปวดกายใดๆในโลกนี้เลย
“เรากลับกันเถอะ วันนี้ผมสูดอากาศเต็มที่แล้ว”
เรากลับเข้ามาในอพาร์ตเม้นท์ ผมเกลียดตัวเอง และเกลียดทั้งเขา...ที่เรายังแสร้งทำเป็นว่าทุกอย่างยังคงปกติ
ไม่มีความคิดสิ้นหวังหรือความเสียใจ ชิพยิ้มเสมอกับโรคร้ายนั้น รอยยิ้มของเขาทำให้ผมละอาย...เขาซะอีกที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง
แต่ผมอดกลั้นต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว ขอเพียงแค่วันนี้...วันนี้เท่านั้นที่ผมจะยอมแสดงความรู้สึกอ่อนแอออกมา
ชิพต้มน้ำร้อนเพื่อชงชา เรานั่งกอดกันอยู่บนโซฟาหน้าทีวีฯ เวลาผ่านไป ผมเฝ้ามองนาฬิกา แทบจะฟังอะไร
ในกล่องสี่เหลี่ยมนั่นไม่รู้เรื่องเลย และแล้วน้ำตามันก็ไหลพรากลงมา เงียบๆ...
“ชิพ...”
ผมกัดฟันแน่น ขบกรามจนปวด เพื่อกลั้นเสียงสะอื้นเหล่านั้นไว้ หูตาพร่ามัว...ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรได้ มัน...ว่าง
เปล่าไปหมด เพียงความคิดที่ว่าผม ‘อาจ’ จะสูญเสียชิพไปตลอดกาล มันก็ทำผมถึงจุดสติแตกได้ง่ายๆ
“อย่าร้องไห้เลยนะครับแดน”
น้ำเสียงของเขาปลอบประโลม ผมไม่ใช่เหรอที่ต้องเป็นกำลังใจให้เขา?...
แย่จัง
ชิพเบาเสียงทีวี เขากุมมือผมไว้แล้วกอด...อ้อมกอดที่อบอุ่น น้ำตาอุ่นร้อนไหลลงมา ผมมั่นใจว่าจะไม่มีใคร
ในโลกนี้ที่เข้าใจความรู้สึกของผมได้อีกแล้วในตอนนั้น...มันเคว้งคว้าง หวาดกลัว และสับสน
“ชิพ...ผมกลัว กลัวว่า...”
“ชู่ว์~~~”
ชิพจูบหน้าผากผมเบาๆ ผมก็ยังไม่หยุดร้อง มันแปลกนะ ความเจ็บหน่วงลึกในโพรงอก ที่ไม่เคยเป็นรุนแรง
มากเท่านี้มาก่อน เหมือนจะตายจริงๆเลย...ที่แน่ๆคือผมไม่เคยเจ็บมากขนาดนี้มาก่อนเลย
“คุณต้องเข้มแข็งนะแดน คุณต้องเข้มแข็งเพื่อตัวเอง เพื่อแม่ของคุณ เพื่อนๆของคุณ และที่สำคัญคุณต้อง
เข้มแข็งเพื่อผม...”
ผมยกมือขึ้นลูบซีกหน้าหล่อเหล่าของเขา หลับตา...จดจำสัมผัสเหล่านั้นไว้ ลืมตา...ชิพเริ่มมีหยาดน้ำใสเอ่อ
คลอ...มือของเขาสั่น ผิวเย็นเชียบ ผมจ้องลึกลงไปในดวงตาคู่นั้น จดจำไว้...จดจำลมหายใจอบอุ่นนี้ไว้ จำทุกอย่างให้ลึกสู่ห้วงหัวใจ
และสาบานกับตัวเองในวินาทีนั้น...
ผมขอมอบหัวใจทั้งดวงให้เขาครอบครอง
“ผมรู้ว่าคุณเสียใจ...แต่คุณต้องเชื่อ คุณต้องเชื่อว่าผมจะหาย”
ผมพยักหน้า แล้วเราก็สวมกอดกัน จูบลึกซึ้ง...แทนคำกล่าวลาหรือเปล่าไม่รู้ได้...ผมได้มอบทั้งความรัก
ความห่วงใย ความรู้สึกนึกคิดทั้งหมดทั้งมวลและจิตวิญญาณ...ผ่านจูบนั้นให้เขาไปหมดแล้ว
“ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง...ขอบคุณนะครับแดน”
เขาก้มลงจูบมือผม หยาดน้ำตาร่วงหล่นลงมา ความรวดร้าวตีกระพืออยู่ข้างใน เขากุมมือผมไว้ขณะจ้องกลับ
มาด้วยดวงตาแดงร้อนผะผ่าว...
“คุณคือสิ่งที่ดีที่สุด ที่ฟ้าส่งมาให้ผมจริงๆ…”
“คุณไม่รู้หรอก ว่าหากผมขาดคุณ...ชีวิตผมมันจะมุ่งไปทางไหน…”
“คุณไม่รู้หรอก ว่าหากผมไม่ได้รักคุณ...ผมจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร…”
ชิพเอามือผมขึ้นแนบหน้า เขาหลับตาลงและทำท่าเหมือนจะจดจำช่วงเวลานี้ไว้เช่นกัน เราต่างพยายาม...
พยายามใช้เวลาให้คุ้มค่า คุ้มกับทุกวินาทีที่มันผ่านพ้นไปในค่ำคืนนี้ แล้วพรุ่งนี้ต่อไป...คงต้องให้โชคชะตากำหนดเอาเอง...
“อ้อ ใช่ซิ ผมมีอะไรอยากให้คุณดู...”
จู่ๆเขาก็ลุกพรวดออกไป ผมนั่งนิ่งงันอยู่ตรงนั้น ครู่หนึ่งเข้าก็กลับมาพร้อมกับลังกระดาษใบใหญ่...ค่อยๆวาง
ลงบนตักผม ชิพคะยั้นคะยอ
“เอาซิ เปิดเลย”
ผมปาดน้ำตาให้มองเห็นชัดๆ ฝากล่องค่อยๆถูกเปิดออก ข้างในเป็นกองผ้ากำมะยี บนนั้นมีเจ้าลูกหมาพันธุ์ลา
บาดอร์สีน้ำตาลตัวเล็กน่ารักนอนขดตัวอยู่ ผมอ้าปากค้าง ชิพยิ้มร่า...รอยยิ้มของเขาทำให้ผมพอคลี่ยิ้มบางๆได้บ้างเหมือนกัน
“ฮือ? นี่มันอะไรกันครับเนี้ย?”
ชิพช้อนเอาร่างเจ้าตูบขึ้นมาอย่างเบามือ ตัวที่นอนหลับปุ๋ยอยู่ส่ายหัวไปมา สักพักก่อนจะอ้าปากหาววอด...เปิด
เปลือกตาขึ้นมามองผมสลับกับทำท่าจะหลับต่อ =_=”
“ก็เจ้าหนูนี่เป็นลูกของเราไง เขาชื่อดิฟ พ่อแดนทักทายเขาหน่อยซิครับ”
ชิพดัดเสียงเป็นเด็กน้อยแทนเจ้าหนูนี่ แล้วก็ทำท่าเอามือมาแตะๆผมประมาณว่าขอให้อุ้มที แต่ขนาดนี้แล้ว
เจ้าดิฟก็ยังไม่ลืมตาตื่นกับเขาซักที ผมได้แต่หัวเราะแล้วรับมันมาวางไว้บนอก ในอ้อมกอดอุ่นๆ...เจ้าดิฟซุกตัวเข้ามาแล้วหลับปุ๋ย
อย่างสบายอารมณ์
ผมหันไปทางชิพ
“นี่คุณแอบเอามันมาตั้งแต่เมื่อไร?!”
เขาดูพึงพอใจที่ผมตื่นเต้นไปกับ ‘ลูกชาย’ คนใหม่ของเรา...นิ้วเรียวลูบหัวนุ่มสีน้ำตาลนั้นอย่างทะนุถนอมเบา
มือ
“เมื่อเช้านี้ ผมแอบเอาเขาเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้า แล้วก็แอบให้นมตอนคุณเผลอน่ะซิ...โชคดีที่เขาไม่ร้องส่งเสียงเลย
คุณเลยเซอร์ไพรส์ได้ ฮ่าๆๆ เก่งมากลูกพ่อ!”
เจ้าดิฟน่ารักมากกกกกก >.< น่ารักจนผมหลงรักตั้งแต่แรกพบ(เฮอะๆ) ทำให้ลืมคิดถึงเรื่องพรุ่งนี้ไปได้บ้าง
“ชื่อดิฟ...ชื่อแปลกๆยังไงไม่รู้นะ”
“เอ้า~~~ก็เขาเป็นลูกของคุณ ลูกของผม ไม่ให้ชื่อดิฟแล้วจะชื่ออะไรล่ะคร้าบคุณพ่อแดน”
อ่ะจ้าๆ คุณพ่อชิพ
“เวลาที่ผมไม่อยู่...คุณกอดเขานะ จะได้เหมือนกอดผม คุณคุยกับเขา จะได้เหมือนคุยกับผม”
เอาแล้ว...อารมณ์ตื้อๆรื้นขึ้นมาอีกแล้ว =_=”
“คุณช่วยดูแลเขาเหมือนลูกของเรา แล้วผมจะนอนฝันถึงคุณกับเขาทุกคืน...คุณอย่าลืมเอาเขาเข้านอนด้วยล่ะ
เจ้าหมอนี่ดูท่าจะนอนได้ทุกทีทุกเวลา เดี๋ยวหนาวตายพอดี”
พูดถึงเรื่องความตาย...ผมสะดุ้ง
“อ่ะ...ผมขอโทษครับ เผลอไป”
ผมรับปากเขาว่าจะกอดมันแล้วคิดถึงคุณทุกคืนเช่นกัน แล้วเราก็พาดิฟเข้านอน ส่วนชิพกับตัวผมค่อยๆล้ม
ตัวลงนอนบนเตียงด้วยกัน ห่มผ้าพร้อมกับกอดแบ่งปันไออุ่น...รู้สึกโล่งอกเล็กน้อยและไม่กลัวเท่าที่เคย เพราะอ้อมกอดนี้ช่างแข็ง
แรง...แข็งแรงและอบอุ่นเหลือเกิน
“ผมรักคุณครับแดน...”
เสียงทุ้ม...เสียงที่จะดังก้องอยู่ในโสตประสาทตลอดไป
“ครับ ผมก็รักคุณเหมือนกัน...”
......................................................
.......................................
..........................
……………..
หน้าห้องพักเตรียมคนไข้เข้าสู่ห้องผ่าตัด แม่ แอล และคุณอรเดินออกมาหลังจากพูดคุยให้กำลังใจกับชิพเสร็จ
แม่เดินเข้ามากอดผม...นัยน์ตาท่านแดงๆ
“พวกเราคุยเสร็จแล้ว ตาแดนแล้วล่ะ”
ทุกคนเดินหลบออกไป เหลือแต่ผม...ขาหนักอึ้งสั่งให้ก้าวไปข้างหน้าเอง ผมหยุดยืนอยู่ในห้องครื้มๆ มีร่าง
ของชิพนอนเหยียดยาวอยู่เงียบๆ เขาหันหน้ามามองผม ยากำลังออกฤทธิ์...เสียงเครื่องวัดชีพจรทั้งหลายแหล่ดังต่อเนื่อง
ก้าวไปข้างหน้า พร้อมเผชิญกับความเจ็บปวดใจอันแสนยากลำบาก เป็นครั้งสุดท้าย...
“ไง...”
ผมนั่งลง กุมมือเขาที่ยื่นรอรับอยู่...น้ำตาพลันไหลริน ใบหน้าที่ชิพมองมาเต็มไปด้วยความสุข เขายิ้มกว้างให้
ผม หยาดน้ำใสหยดหนึ่งไหลลงมาจากหางตา
“เราไม่จำเป็นต้องทุกข์หรอกนะ เพียงแค่เรามีความสุขทุกวัน มันก็เพียงพอแล้วไม่ใช่เหรอ?”
เขาจับมือผม จับมือของเขา ทาบไปไว้บนหน้าอกของเราสองคน จ้องตากัน
“เราจะมีกันและกันอยู่ตรงนี้ ในนี้...ตลอดไป”
เขาปิดเปลือกตาลง นางพยาบาลมายืนรอเข็นเขาเข้าห้องผ่าตัดแล้ว ผมลูบหัวเรียบเนียนที่เกิดจากการโกนผม
ออกอย่างทะนุทนอม ในที่สุด...ผมก็ได้อยู่กับเขาจนถึงวินาทีสุดท้ายที่สามารถอยู่ได้แล้ว ผมดีใจที่รักษาคำสัญญาไว้ได้ ตอนนั้นต้อง
กัดฟันตัวเองไม่ให้ปล่อยโฮออกมา
ผมกลัวครับชิพ...ผมกลัว
...‘เราจะมีกันและกันอยู่ตรงนี้ ในนี้...ตลอดไป’…
นึกถึงคำพูดของชิพที่จู่ๆก็ดังขึ้นในหู จริงซินะ...ผมมีเขาอยู่ในนี้แล้ว ถึงเกิดอะไรขึ้น ผมก็จะไม่กลัวอีกต่อไป
“ขอบคุณนะครับชิพ ที่เลือกผม”
จูบเขาอย่างแผ่วเบา กระชิบว่า ”แล้วเจอกันนะ...”
ผมปล่อยให้นางพยาบาลเข็นเตียงออกไป ตามทางเดินสีขาวในโรงพยาบาล วันนี้ท้องฟ้าในนิวยอร์คมืดครึ้ม
เป็นพิเศษ ทำให้เวลาสิบโมงเช้าแบบนี้ดูเหมือนเวลาใกล้โพล้เพล้เสียมากกว่า ซึ่งเป็นเรื่องปกติมากแต่ทว่าทำให้ผมยิ่งรู้สึกหดหู่เข้าไป
อีก...
แสงจ้าจากทางเดินทำให้ถึงกับต้องยี้ตา ผมนั่งลง ปล่อยให้น้ำตาไหลพรั่งพรูต่อไป ได้แต่เพียงภาวนาว่า
ทุกอย่างจะราบรื่น...ทุกอย่างจะออกมาดี
... ‘เราจะมีกันและกันอยู่ตรงนี้ ในนี้...ตลอดไป’...
โปรดติดตามตอนต่อไป