บทที่ 1 โอกาสครั้งที่สอง
บริษัทยูเนียนประเทศไทย สำรวจและผลิตปิโตรเลียม เปิดรับสมัครวิศวกร 1 อัตรา (แผนก Grease Production)
คุณสมบัติ
1. เพศชาย
2. เกิดปี พ.ศ. 25xx
3. จบการศึกษาในระดับปริญญาตรี สาขาวิศวกรรมอุตสาหการ
4. ส่วนสูงอยู่ระหว่าง 175-180 ซม.
สถานที่ปฎิบัติงาน
กรุงเทพมหานคร
เงินเดือน
30,000-50,000 บาท
รายละเอียดงาน
1. ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง
2. ตรวจสอบความเรียบร้อยของการบำรุงรักษาเครื่องมือและอุปกรณ์ในแผนก
3. ร่วมกับผู้บังคับบัญชาในการวิเคราะห์ปัญหาต่างๆในการทำงาน
4. ควบคุมงบประมาณการซ่อมบำรุง
5. ตรวจสอบและอนุมัติการเบิกวัสดุอุปกรณ์ในแผนก
6. วางแผนการผลิต
พี่กรีน
LINE AUDIO…
ผมละความสนใจจากเอกสารบนหน้าจอคอมพิวเตอร์มามองไอโฟนตกรุ่นที่กำลังส่งเสียงร้อง และพบว่าบุคคลที่โทรเข้ามาคือพี่รหัสของผมที่จบการศึกษามาจากคณะและมหาวิทยาลัยเดียวกัน
ผมเลื่อนปลายนิ้วแตะหน้าจอเพื่อกดรับสายก่อนจะยกไอโฟนมาแนบหู ไม่ต้องมีญาณทิพย์ผมก็รู้ว่าสาเหตุที่ไอ้พี่กรีนโทรมาต้องเป็นเรื่องของประกาศรับสมัครงานที่เจ้าตัวส่งมาให้ทางอีเมลแน่ๆ
“ไงพี่เขียว”
ไอ้พี่กรีน หรือชื่อในวงการว่า ‘ไอ้เขียว’ ‘น้องเขียว’ ‘อีเขียว’ ‘พี่เขียว’ และอื่นๆอีกมากมาย ฉายาพวกนี้ล้วนแต่ได้มาจากเพื่อนพี่น้องที่เคารพรักขนานนามให้ และไม่ใช่เพราะพี่มันผิวดำคล้ำเข้าขั้นเขียว แต่เป็นเพราะอีพี่ชอบย้อมผมสีเขียวแบบไม่ไว้หน้าอาจารย์ในคณะกับสโลแกนประจำใจว่า
‘ผมสีเขียวไม่มีผลต่อคะแนนสอบ’
ครับ ตามนั้นเลย ตามแต่ความพอใจของพี่ท่านเลย
ถ้าไม่ใช่เพราะพี่กรีนเป็นคนจันที่เกรดดีมาก อาจารย์คงไม่ปล่อยให้มันโดดเด่นเป็นสง่าพร้อมกับหัวเขียวๆมาถึงสี่ปี แต่ล่าสุดที่ผมได้เจอ พี่มันย้อมผมสีดำทำให้ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นเยอะเลย ก็ลองอีพี่เอาสโลแกน ‘ผมสีเขียวไม่มีผลต่อการทำงาน’ ไปใช้ในบริษัท ผมว่าคงถูกเตะโด่งออกไปตั้งแต่วันแรกแล้วล่ะครับ
“อ่านรายละเอียดงานที่กูส่งให้หรือยัง”
“กำลังอ่านอยู่พี่”
ผมชื่อ ‘วิน’ ภาษาอังกฤษสะกดว่า W-I-N แม่บอกว่าย่อมาจาก WINNER ที่แปลว่า ‘ผู้ชนะ’ ซึ่งในชีวิตจริงกูแม่งไม่เคยชนะเชี่ยไรเลยครับ
เริ่มจากคนที่ผมชอบ ไม่ดิ เรียกว่ารักเลยดีกว่า มันไม่เคยรู้เลยว่าผมแอบรักมันมากกกกมาตั้งแต่ปีหนึ่งแล้ว ที่เจ็บสุดคือมันเสือกคบกับเพื่อนสนิทกูเฉยเลย ต่อมาผมมีแฟนเป็นตัวเป็นตนแถมรักกันปานจะแดกหัวกลับต้องเลิกราเพราะคุณแม่ขอร้อง
ยังครับ ยังไม่หมด ชีวิตน้องวินกำลังบัดซบถึงขีดสุดก็ตอนนี้แหละ ขณะนี้เลยครับ
ผมทำงานเป็นวิศวกรที่บริษัท X มา 5 ปีแล้ว ทำตั้งแต่เป็นเด็กจบใหม่ไม่มีประสบการณ์ เงินเดือนสตาร์ทที่ 16,000 บาท สำหรับเด็กต่างจังหวัดที่ต้องหาห้องเช่าซุกหัวนอนในกรุงเทพกับเงิน 16,000 บาท นี่กูพอใช้แต่ไม่พอเลี้ยงครอบครัวเลยครับ โชคดีที่บ้านผมมีธุรกิจขายยาเล็กๆ ยาสามัญประจำบ้านนะครับ ไม่ขายยาไอซ์ ยาอี ยาบ้า พ่อแม่และยายของผมจึงมีเงินกินเงินใช้ไม่ลำบาก
ที่ชีวิตผมมันแย่และตกต่ำเพราะเจอหัวหน้างานเชี่ยๆที่ชอบขโมยผลงานของลูกน้องเอาดีเข้าตัวเอาเรื่องชั่วๆมาโยนให้วินตลอดเลยครับ เพื่อนร่วมงานเก่งๆต่างก็พากันย้ายงานไปอยู่บริษัทดีๆเลิศๆ มีแต่คนเกรดน้อยอย่างผมที่ยังหางานใหม่ไม่ได้ ต้องทนทำงานเงินเดือน 18,000 บาท ทั้งที่อยู่คู่บริษัทมานานถึง 5 ปี ตอบแทนกูด้วยการขึ้นเงินเดือน 2,000 บาทเนี่ยนะ พ่อมึงตายเหรอฮะ
“แล้วเป็นไง สนใจเปล่า”
“ไอ้สนมันก็สนอยู่นะ โดยเฉพาะเงินเดือนแม่งดีชิบหาย”
เงินเดือนสตาร์ทที่ 30,000 บาท มีที่ไหน วินเพิ่งเคยเห็นครับแม่ แถมไม่เอาประสบการณ์การทำงานหรือกำหนดเกรดขั้นต่ำ หรือบางบริษัทหนักหน่อยก็จะระบุ มหาวิทยาลัยชื่อดังที่ต้องการ มหาวิทยาลัยโนเนมมึงหมดสิทธิ์นะครับ
“แล้วมึงจะมัวลังเลทำส้นตีนอะไรวะ รีบๆส่งใบสมัครมาได้แล้ว”
ไอ้พี่เขียวส่งเสียงเร่ง พี่มันทำงานที่ยูเนียนมาได้สองปีแล้ว ยูเนียนเป็นบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ระดับแนวหน้าของประเทศไทยที่ทำการบุกเบิกการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 25xx
“คุณสมบัติง่ายๆ แถมเงินเดือนระดับนี้มึงคิดว่าจะหาได้จากที่ไหนอีก นี่กูบอกเลยนะว่าคนมาสมัครเป็นร้อย แต่ตกสัมภาษณ์หมดเลย ตอนนี้ตำแหน่งเลยยังว่าง”
กูก็อาจเป็นหนึ่งในคนที่ตกสัมภาษณ์ไงพี่!
ยูเนียนเป็นบริษัทที่วิศวกรทุกคนใฝ่ฝันจะได้ก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งแต่ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถเข้ามาทำงานได้ ต่อมาเกิดวิกฤติภายในบริษัททำให้มีการเปลี่ยนตัวผู้ถือหุ้นรายใหญ่หรือเรียกง่ายๆว่าเปลี่ยนเจ้าของกิจการนั่นเอง ซึ่งส่งผลต่อภาพลักษณ์ของบริษัท แต่ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนในการฟื้นฟูความมั่นคงกลับมาอีกครั้ง
“ก็มันแปลกอะ พี่ไม่รู้สึกเหรอ” เหตุผลที่ทำให้ผมลังเลก็เป็นเพราะคุณสมบัติการรับสมัครงานนั่นแหละโว้ย
“ทำไมต้องระบุคนที่เกิดปี 25xx เท่านั้น ถ้าต้องการคนอายุน้อยก็ระบุว่า 20-30 ปีแบบนี้ไม่ดีกว่าเหรอ เรื่องส่วนสูงก็อีก กูไปสมัครเป็นวิศวกรนะไม่ใช่สจ๊วต จะเอาส่วนสูงไปทำเชี่ยอะไรฮะ”
“เออมันก็แปลกจริงๆนั่นแหละ แต่คุณสมบัติพวกนี้บอสเป็นคนกำหนดมาเองเว้ย ฝ่ายรับสมัครงานก็พูดไรไม่ได้มาก”
“พี่หมายถึง CEO คนใหม่ที่เข้ามาเทคโอเวอร์บริษัทอะเหรอ”
ผมได้ข่าวว่าบริษัทที่เทคโอเวอร์ยูเนียน เป็นญาติกับเจ้าของคนเก่านั่นแหละ เรียกว่าศึกสายเลือดก็คงได้ เรื่องเงินๆทองๆยิ่งไม่เข้าใครออกใครอยู่ด้วย
“เออ กูเคยเจอสองครั้ง แม่งเป็นคนที่แปลกมาก ตอนกูเห็นคุณสมบัติรับสมัครงาน กูเลยเฉยๆ”
อ้าว ตายห่า
“แปลกไงวะ แล้วพี่ก็จะชวนผมไปทำงานกับเจ้านายแปลกๆเนี่ยนะ”
อยู่บริษัท X กูเจอเจ้าของกิจการโง่ ชอบลูกน้องประจบประแจง แล้วถ้ากูย้ายไปเจอเจ้านายแปลกๆ บ้าๆ บอๆ อีก จะไม่เป็นการหนีเสือปะจระเข้หรือไงวะ
วินต้องการชีวิตใหม่ที่ดีขึ้นครับแม่ เข้าใจมั้ย ไม่ใช่ตกต่ำลงทุกวันแบบเน้!
“แค่แปลก แต่กูไม่ได้บอกว่าบอสไม่ดีนี่หว่า”
“แล้วแปลกยังไงของพี่วะ”
พี่เขียวเงียบไปครู่หนึ่งเหมือนกับกำลังคิดคำจำกัดความของเจ้านายคนใหม่
“บอสแม่งตาแข็งมากเลยมึง”
ผมเผลอเลิกคิ้ว ตาแข็งเนี่ยนะ?
“ตาแข็งแบบไหน แบบแดกกาแฟแล้วไม่ได้นอนงี้เหรอ”
“ไม่เว้ย ตอนแรกกูคิดว่าบอสตาบอด”
ผมว่าคนตาบอดไม่น่าเข้ามาบริหารบริษัทยักษ์ใหญ่ให้กลับมามั่นคงได้ภายในเวลาไม่กี่เดือนนะ
“เค้าถือไม้เท้าแล้วใส่แว่นดำเหรอ” ผมถาม
“ไม่ เค้ามองอะไรแบบไม่โฟกัส”
พี่กรีนมันหมายถึง บอสเป็นคนที่ชอบมองไปเรื่อยๆใช่มั้ย?
“แค่นี้พี่ก็บอกว่าเค้าแปลกแล้วเหรอวะ”
เท่าที่รู้จักกันมา กูว่าพี่มึงแปลกกว่าอีก
“มีอีก บอสเค้าดูเป็นคนที่โลกส่วนตัวสูง แบบหล่อเหี้ยๆแต่น่ากลัวมาก”
ผมส่ายหน้าอย่างเอือมระอา
“มันคือออร่าของคนระดับผู้บริหารต่างหาก”
“เออ เอาไว้มึงมาเห็นเองดีกว่า กูอธิบายไม่ถูกแต่เขาก็ดีกับพนักงาน ทั้งเก่าทั้งใหม่นะ ถ้ามึงตั้งใจทำงานรับรองว่าไม่มีปัญหาไรหรอก มาเถอะเชื่อกู”
“เออ ไว้จะส่งใบสมัครออนไลน์ไปก่อนละกัน”
“โอเค ขอให้มึงโชคดีได้งานนี้นะเว้ย”
ผมตัดสินใจว่าจะส่งใบสมัครไปที่ยูเนียนถ้าผ่านก็ถือว่าเป็นโชคดี แต่ถ้าไม่ผ่านก็แค่หางานใหม่ ไหนๆชีวิตมันก็เฮงซวยอยู่แล้ว คงไม่มีอะไรแย่ไปมากกว่านี้แล้วแหละ
“ขอบคุณครับพี่”
สัปดาห์ต่อมา ผมได้รับจดหมายเชิญทางอีเมลให้ไปสัมภาษณ์งานที่สำนักงานใหญ่ของบริษัทยูเนียน ผมโคตรตื่นเต้นเลย วันนี้ผมตื่นนอนตั้งแต่หกโมงเช้ามาท่องสคริปท์ที่เตรียมไว้ เป็นพวกคำถามยากๆที่บริษัทยักษ์ใหญ่ชอบใช้ แล้วก็ซ้อมแนะนำตัวเองที่หน้ากระจกอีกเป็นสิบรอบ ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ แต่ไอ้ภาษาอินเตอร์นี่ผมให้ไอ้พี่เขียวช่วยเขียนโพยให้ เพราะถ้าผมเขียนเองอาจจะแสดงความกากของบุคคลผู้อนุรักษ์และอยากสืบสานการใช้ภาษาไทย
ตอนนี้เป็นเวลาแปดโมงเช้า ผมกำลังยืนหมุนตัวอยู่หน้ากระจกเป็นรอบที่ร้อยเพื่อพยายามมองหารอยยับบนชุดสูทที่ดูเป็นทางการที่สุดของผม
ส่องซ้าย…อ๊ากกกก หล่อเหลา!!
ส่องขวา…อ๊ากกกก แลดูเป็นคนฉลาดมากกกก!!
มองรวมๆแล้วมีเสน่ห์เหลือเกิน ไม่ต้องให้ใครมาชม ผมก็ชมตัวเองได้ ผมเชื่อว่าการทำให้กรรมการที่มาสอบสัมภาษณ์ประทับใจตั้งแต่แรกพบสบตาเป็นเรื่องสำคัญ แล้วผมก็คาดหวังกับงานนี้ไว้มาก
สาบานเลยนะว่าวันที่เข้าประชุมงานที่บริษัท X ผมยังไม่เคยรีดเสื้อด้วยซ้ำ คิดดูว่าผมทุ่มเทให้ยูเนียนมากแค่ไหน
วันนี้เป็นวันดี ผมเลือกที่จะโบกแท็กซี่ไปยูเนียนแทนการขึ้นรถไฟฟ้า ไม่ใช่ไรหรอก วินกลัวสูทยับครับ ผมอุตส่าห์ตั้งใจรีดอยู่เป็นชั่วโมง ผมจะดูหม่นหมองเพราะคราบเหงื่อไม่ด้ายยยย
ผมต้องเด่นที่สุดในบรรดาผู้สมัคร!!
ผมลงจากแท็กซี่ในเวลา 08.40 น. ผมมาก่อนเวลานัด 20 นาทีตามที่คาดไว้เพื่อแสดงให้เห็นว่าผมเป็นมืออาชีพ ผมมีความรับผิดชอบ ผมตรงต่อเวลา บลาๆๆๆๆ อา…พอก่อน
“สวัสดีครับ”
ผมเดินตรงเข้าไปทักทายประชาสัมพันธ์สาวคนสวยที่นั่งอยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์สีดำสุดหรู ตอนที่เดินเข้ามาด้านในสำนักงาน ผมสังเกตเห็นว่าอาคารทั้งหลังถูกตกแต่งแบบร่วมสมัยโดยคุมโทนดำเทา ซึ่งการตกแต่งและการเล่นสีไม่ได้ทำให้ดูมืดมนเลยแต่กลับดูคลาสสิคไปอีก ไม่ต้องเห็นหน้าเจ้าของกิจการก็รู้ว่าต้องรวยและมีระดับแค่ไหน
เฮ้อออออ ขอไว้อาลัยให้ตัวเองสิบวิ ทำไมพระเจ้าไม่ยุติธรรม ทำไมไม่ให้มนุษย์ทุกคนเกิดมามีเงินเท่ากันล่ะครับท่าน
“ผมมาตามนัดสัมภาษณ์งานครับ แผนก Grease Production” ผมเอ่ยพร้อมกับยื่นเอกสารการนัดสัมภาษณ์งานให้คุณประชาสัมพันธ์
“สักครู่นะคะ”
เธอเหลือบตามามองเอกสารของผมครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปเช็คข้อมูลจากคอมพิวเตอร์
“ชั้น 14 ห้อง U1409 ค่ะ” เธอยื่นคีย์การ์ดสำหรับกดลิฟท์ให้ผมก่อนจะยกมือไหว้งามๆตามมารยาท
“ขอบคุณครับ”
ผมรู้สึกแปลกใจเมื่อพบว่าชั้นที่ 14 เป็นส่วนของแผนกบุคคล ไม่ใช่ส่วนของห้องประชุม หรือห้องว่างขนาดใหญ่ที่มักจะใช้ในการสัมภาษณ์งาน แล้วนอกจากผมก็ไม่มีผู้สมัครคนอื่นอีกเลย…ไม่มีคนยื่นใบสมัครแล้วจริงดิ งั้นผมก็มีโอกาสมากขึ้นใช่มั้ยวะ
“คุณปัฐวี เชิญค่ะ”
หลังจากที่ผมถูกขอให้นั่งรอประมาณสิบห้านาที ก็มีพนักงานสาวคนหนึ่งเดินมาเชิญให้ผมเข้าไปในห้อง U1409 เธอเคาะประตูเบาๆสามครั้งก่อนจะขอตัวกลับไปทำงาน
ผมผลักประตูกระจกที่ติดม่านบังตาให้เปิดออกแล้วก้าวเท้าเข้าไปในห้อง กวาดสายตามองผ่านๆอย่างรวดเร็วและพบว่าภายในถูกตกแต่งเรียบง่ายด้วยข้าวของน้อยชิ้น ส่วนคนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานกลางห้องคือผู้หญิงวัยกลางคนที่แต่งตัวทันสมัยแต่ดูเป็นทางการ
“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้เธอแล้วกล่าวอย่างสุภาพ
“เชิญนั่งค่ะ”
เธอยกมือขึ้นมารับไหว้ผมแล้วผายมือมาทางเก้าอี้ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับโต๊ะทำงาน
“ขอบคุณครับ”
ผมเหลือบมองป้ายหินอ่อนสีดำที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงาน ระบุว่าเธอชื่อ อชิรญา จันทร์งาม Personal Manager ซึ่งมีตำแหน่งเป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคล
“พี่ชื่อเอ้ค่ะ ยินดีที่ได้พบ”
“ผมชื่อปัฐวีครับ เรียกผมว่าวินก็ได้”
ผมรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเพราะไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้พบกับทางท่าสบายๆของกรรมการสัมภาษณ์งาน
“ค่ะน้องวิน พี่ว่าเรามาคุยแบบกันเองดีกว่าเนอะ วันนี้มีอะไรมาให้พี่ดูบ้างคะ”
ผมรู้สึกว่าบริษัทนี้มันแปลก…แปลกทั้งเจ้านายทั้งลูกน้องเลยก็ว่าได้ บรรยากาศทุกอย่างไม่เหมือนกับที่ผมเคยพบตอนสัมภาษณ์งานกับบริษัทอื่นๆเลย
ไม่ทางการ…ไม่มีความกดดัน…ไม่มีการแข่งขัน…แล้วก็ดูไม่ได้ใส่ใจผู้สมัครเท่าที่ควร เหมือนกับมาเปิดรับสมัครแบบพอเป็นพิธีน่ะครับ โดยเฉพาะสายตาของพี่เอ้ที่มองลอดแว่นสายตากรอบสีแดงมาที่ผม มันดูเหมือนเจ๊แกกำลังประเมินสินค้าตัวอย่างชนิดหนึ่ง แล้วนอกจากเธอแล้วก็ไม่มีกรรมการคนอื่นเลย คืออย่างน้อยหัวหน้าแผนก Grease Production น่าจะโผล่มาเลือกลูกน้องสักหน่อยนะครับ
พี่เอ้ให้ผมแนะนำตัวเองคร่าวๆ ว่าเรียนจบจากที่ไหน มีผลงานอะไรมานำเสนอตัวเอง ซึ่งการพรีเซนต์ของผมใช้เวลาประมาณสิบนาที ซึ่งในสิบนาทีนี้เธอไม่ได้สนใจจะฟังเลย
ทำไมผมแน่ใจใช่ปะ?
ก็พี่ท่านเล่นไอโฟนตลอดเวลาเลยนี่ครับ สายตามองจอ นิ้วกดพิมพ์ยิกๆ เอกสารการสมัครของผมที่วางอยู่ตรงหน้าเธอก็ไม่ได้แลเลยแม้แต่น้อย
เมื่อผมพูดจบ ผมก็เริ่มทำใจแล้วว่าคงไม่ผ่านการสัมภาษณ์แน่ๆ ไหนจะเกรดอันน้อยนิด จบจากมหาวิทยาลัยต่างจังหวัดอันไกลโพ้น แล้วผลงานที่มีก็ไม่ได้โดดเด่นไปกว่าคนอื่นเลย
“จบแล้วเหรอคะ”
พี่เอ้เงยหน้าขึ้นมามองผมเมื่อรู้สึกว่าทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ คือกูพูดจบไปตั้งแต่สองนาทีที่แล้ว เจ๊เพิ่งรู้สึกตัวเหรอฮะ ให้ตายสิ ถ้าประวัติของผมมันไม่น่าสนใจขนาดนั้น พวกคุณจะเรียกผมมาสัมภาษณ์งานทำไมครับ ปล่อยกูไปตามยถากรรมเลยสิ
“จบแล้วครับ”
ผมพยายามควบคุมอารมณ์ให้คงที่แล้วตอบอย่างสงบ
“รอสักครู่นะคะ”
ผมไม่รู้ว่าคุณพี่เอ้ต้องการให้ผมรออะไร ถ้าพี่ไม่ว่างทำไมไม่บอกให้ผมกลับไปก่อนแล้วค่อยติดต่อกลับไปใหม่ในกรณีที่ตกลงจ้างงานล่ะโว้ย คนที่นี่เขาทำงานกันยังไงฮะ
ผมนั่งสงบปากสงบคำรอบนเก้าอี้ตัวเดิม ทั้งที่ในสมองตอนนี้กำลังคิดถึงเมนูอาหาร หิวชิบหายเลย เมื่อเช้ากินแค่ขนมปังรองท้องมาเท่านั้น แล้วนี่จะให้กูนั่งรออย่างไร้จุดหมายไปอีกนานแค่ไหนวะ
ผมแอบเหลือบมองพี่เอ้ เธอหยุดเล่นไอโฟนแล้วกลับไปทำงาน ส่วนเอกสารการสมัครของผมก็นอนนิ่งอยู่บนโต๊ะเหมือนเดิมและไม่ถูกแตะต้อง ในตอนที่ผมกำลังตัดสินใจว่าจะขอตัวกลับแบบไม่ต้องไว้หน้าบริษัท ก็พอดีกับที่มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
บานประตูกระจกถูกผลักเข้ามาโดยผู้ชายวัยสามสิบต้นๆในชุดสูทราคาแพง เขามีผิวขาวสะอาดอย่างคนที่มักจะทำงานในร่ม ดวงหน้าหล่อเหลาสุภาพ แต่ในขณะเดียวกันก็มีบุคลิกท่าทางที่น่าเกรงขาม
“เชิญค่ะคุณภีม”
เมื่อพี่เอ้เงยหน้าขึ้นมาเห็นผู้ชายที่เข้ามาใหม่ เธอก็รีบลุกจากเก้าอี้แล้วเข้าไปเชื้อเชิญอย่างกระตือรือร้น ไม่ต้องบอกผมก็รู้ว่าเขาต้องมีตำแหน่งที่ใหญ่พอสมควร ไม่อย่างนั้นผู้จัดการฝ่ายวัยกลางคน คงจะไม่แสดงท่าทางนอบน้อมต่อคนอายุน้อยกว่าแบบนี้หรอกครับ
“ผู้สมัครคนล่าสุดค่ะ เป็นไงคะ?”
ผมสะดุ้งเมื่อได้ยินประโยคที่พี่เอ้เอ่ยกับผู้ชายนั้น ให้ตายสิ ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แล้วก็ไม่รู้จะทำตัวอย่างไรดี ได้แต่รีบผลุดลุกจากเก้าอี้แล้วยกมือไหว้เขาตามมารยาท ผู้ชายคนนั้นชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติอย่างรวดเร็ว
“ดีครับ ดีมากเลย”
ผมเผลอขมวดคิ้ว ทำไมวันนี้มีแต่คนมองหน้าวินแปลกๆครับแม่ ยัยพี่เอ้ก็คนหนึ่งแล้วนะ แล้วไอ้หมอนี่มันเป็นใคร ทำไมจ้องหน้าผมแบบ เอ่อ เหมือนเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานาน แล้วก็กูตามหามึงอยู่นะรู้มั้ย ประมาณนี้เลยครับ แต่ผมสาบานว่าไม่เคยรู้จักเจ้าคนนี้ แล้วผมก็ไม่เคยประสบอุบัติเหตุทำให้สมองเสื่อม รับรองว่าสมองยังใช้การได้ดีและแน่ใจมากว่าเราไม่รู้จักกัน
“ดิฉันขอตัวก่อนนะคะ เชิญตามสบาย” พี่เอ้กล่าวแล้วรีบก้าวเท้าออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว
เฮ้ย! เดี๋ยวดิเจ๊ สรุปจะทิ้งกูไว้กับใครก็ไม่รู้เนี่ยนะ ขณะที่ผมกำลังกังวลว่าควรจะวางตัวกับคนๆนี้อย่างไรดี หรือควรจะพูดอะไร…เขาก็เป็นฝ่ายเอ่ยแนะนำตัวเองซะก่อน
“ผมขอแนะนำตัวนะครับ ผมชื่อภุมราเป็นเลขาของท่านประธาน”
“ผมชื่อปัฐวีครับ”
“ยินดีที่ได้พบครับ”
คุณภุมรายื่นมือมาให้ผม ซึ่งผมก็รีบยื่นมือไปเขย่าอย่างนอบน้อม ห่าเอ๊ย! จะไม่ให้นอบน้อมได้ยังไงล่ะ เขาเป็นถึงเลขาของท่านประธานเชียวนะโว้ย ประธานที่แปลว่าเจ้าของบริษัทอ่ะครับ
คุณภุมราเดินไปนั่งบนเก้าอี้ของพี่เอ้ แล้วผายมือมาที่เก้าอี้ตัวเดิมที่ผมเคยนั่ง ซึ่งผมก็รีบนั่งลงอย่างสงบเสงี่ยม ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่าในมือของเขามีแฟ้มเอกสารสีดำ เขาวางมันลงบนโต๊ะก่อนจะหมุนมาไว้เบื้องหน้าผม
“นี่คือสัญญาการจ้างงานของคุณ กรุณาอ่านรายละเอียดให้ครบทุกข้อนะครับ ถ้าคุณพอใจกับข้อเสนอของเรา สามารถเซ็นสัญญากันวันนี้ได้เลย”
สัญญาจ้างงาน!! เฮียแกบอกว่าสัญญาจ้างงาน!!
แม่ครับ วินฟังไม่ผิดใช่มั้ย…
นี่แปลว่าบริษัทแม่งเลือกมาก เลือกจนไม่มีใครกล้ามาสมัครงาน แล้วพอผมมากลับได้เฉยเลย แบบนี้เหรอ โห้ ชาติที่แล้วทำบุญด้วยอะไรมานะ เดี๋ยวชาตินี้ผมต้องทำบุญเพิ่มแล้วครับ
ผมที่แทบจะเก็บอาการตื่นเต้นไว้ไม่อยู่ เอื้อมมือไปคว้าแฟ้มสีดำมาเปิดอ่านเอกสารที่อยู่ภายใน และแม่งทำให้กูช็อคตาตั้งมากกว่าเดิมอีก
“ผมไม่ต้องทดลองงานก่อนเหรอครับ ในสัญญานี้ให้ผมเป็น…เป็นพนักงานประจำเลย”
ผมเบิกตาโต เงยหน้าขึ้นไปถามคุณภุมราที่พยักหน้าช้าๆด้วยรอยยิ้มมิตรภาพ
“ถูกต้องครับ”
ผมเผลออ้าปากหวอเมื่อเห็นสวัสดิการแสนจะเพียบพร้อมของพนักงานประจำ ทั้งประกันสังคม ชุดยูนิฟอร์ม ค่าล่วงเวลา(OT) โบนัสประจำปี ค่าเดินทางและค่าที่พักสำหรับงานที่จำเป็นต้องออกนอกสถานที่ ค่ารักษาพยาบาลรายปี และวันหยุดพักร้อน
ที่กล่าวมาทั้งหมดล้วนแต่ดีกว่าบริษัท X ของผมโคตรๆเลยครับ นอกจากค่าประกันสังคม วันหยุดพักร้อน กับค่า OT อันน้อยนิด ผมก็ไม่ได้รับอะไรที่สมควรจะได้อีกแล้ว ไม่ต้องใช้สมองผมก็รู้ว่าต้องรีบเซ็นสัญญาเดี๋ยวนี้เลย ใครไม่เอาก็โง่เต็มทีแล้ว เงินเดือนก็ดี โบนัสประจำปีก็เลิศ
ให้ตายสิ ชีวิตของวินกำลังขาขึ้นแล้วครับแม่
“คือจะไม่สัมภาษณ์งานผมก่อนสักนิดนึงเหรอครับ จะรับผมจริงๆเหรอ”
ผมถามย้ำอีกครั้ง คือไม่ได้ล้อเล่นแน่นะ เดี๋ยวเซ็นสัญญาไปแล้วจะมาบอกว่ารับผิดคนเพราะชื่อเหมือนกันอะไรเถือกนั้นไม่ได้นะเฮีย
“คุณอยากถูกสัมภาษณ์งานหรือครับ”
คุณภุมราเลิกคิ้วน้อยๆด้วยความประหลาดใจ คือไม่เว้ย ไม่มีใครชอบการถูกสัมภาษณ์งานหรอก กดดันจะตาย แต่ไหนๆจะรับกันแล้วก็ควรสัมภาษณ์งานบ้างเล็กๆน้อยๆปะล่ะ
“ก็ควรทำไม่ใช่เหรอครับ”
ไอ้คุณภุมราหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติเมื่อเห็นว่าผมเผลอไปถลึงตาใส่เขา
“อา ผมก็ไม่เคยสัมภาษณ์งานใครมาก่อนด้วย งั้นเอาเป็นว่า…”
เขาเอนหลังพิงเก้าอี้ด้วยท่าทางสบายๆ แล้วกรอกตามองเพดาน ผมเชื่อแล้วว่าหมอนี่ไม่เคยสัมภาษณ์งานใครจริงๆ ดูจากตำแหน่งเลขาของเขา ผมว่าคงจะทำเป็นแต่การดูแลงานให้เจ้านายแน่ๆเลย…คือถ้ามันลำบากมากนัก เฮียก็เรียกเจ๊เอ้กลับมาสัมภาษณ์ผมแทนดีมั้ยล่ะครับ?
“คุณมีเป้าหมายอะไรในชีวิตครับ”
นับว่าหมอนี่เริ่มต้นได้ไม่เลว เพราะมันเป็นคำถามทั่วไปที่บริษัทส่วนใหญ่มักจะใช้สัมภาษณ์พนักงาน ดีครับ หัดไว้นะ เผื่ออนาคตจะได้ใช้อีก
“ผมอยากประสบความสำเร็จในการทำงานครับ”
ผมตอบตามสคริปท์ที่เตรียมมาแบบเป๊ะๆเลย เป็นไงล่า ดูเป็นคนหนุ่มที่มีไฟในการทำงานใช่มั้ยครับ แต่ถ้าให้ตอบความจริงจากใจ วินขอสั้นๆง่ายๆได้ใจความเลยนะ…อยากรวยครับ
“แล้วอย่างไรจึงเรียกว่าประสบความสำเร็จในการทำงานครับ”
มีการยิงคำถามต่อเนื่องด้วยครับ เริ่มรู้งานแล้วนะเฮีย
“มีความสุขกับงานที่ทำ ก้าวหน้าในงานที่ทำ แล้วก็บรรลุจุดมุ่งหมายที่บริษัทต้องการให้ผมทำ”
คุณภุมราขยับยิ้มมุมปาก แต่ผมไม่แน่ใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ เขาดูพอใจ แต่ในขณะเดียวกันผมคิดว่าเขากำลังสนุก
“ผมไม่มีอะไรจะถามแล้วครับ เชิญคุณวินเซ็นเอกสารตรงนี้”
ผมก้มมองสัญญาจ้างงานอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าชีวิตของผมต้องก้าวต่อไปในเส้นทางที่ดีกว่า ผมหยิบปากกาสีน้ำเงินขึ้นมาเซ็นชื่อโดยไม่รู้เลยว่า…พรหมลิขิตได้ให้โอกาสผมเป็นครั้งที่สองแล้ว
โปรดติดตามตอนต่อไป...