เรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากseven days ใช่ไหมคะ
รู้สึกฉากมันคุ้นเยอะ
ขอตอบว่าใช่ค่ะ แต่เนื้อหาไม่เหมือนกัน อันนั้นเค้าใสน่ารัก อันนี้...555 DRAMA(?)
**************************************************************************************************
Short Story คนสุดท้ายของหัวใจ
ผมออกจากโรงพยาบาลหลังจากนอนพักฟื้นไปสองคืนเต็มๆ ทีแรกว่าจะกลับตั้งแต่เช้า เพราะว่าคุณหมอสั่งให้ตรวจสภาพร่างกายอีกครั้งจึงกินเวลาไปพอสมควร พี่กานต์เองก็ดูแลผมตลอดทุกวันที่ผมอยู่โรงพยาบาล คอยหาเรื่องตลกมาเล่าให้ผมฟังทำให้ผมไม่เบื่อ บางครั้งพี่เขาก็เล่าเรื่องของพี่เอ็กซ์คนที่พี่เขารักมานาน แต่สุดท้ายก็อกหัก
พี่กานต์ไม่ได้เล่าเรื่องพี่เอ็กซ์ด้วยความเศร้า แต่กลับเล่าด้วยรอยยิ้มที่จริงใจ คล้ายกับว่าเขาทำใจได้แล้ว ถึงอย่างนั้นผมก็ยังชอบวิธีการเล่าเรื่องต่างๆของพี่กานต์ซึ่งบ่งบอกว่าเขาเป็นคนจริงจังกับทุกเรื่อง เป็นคนที่รักใครแล้วรักจริงไม่มีวันเปลี่ยนใจ จนบางทีผมก็แอบคิดอิจฉาพี่เอ็กซ์ที่มีคนแบบพี่กานต์มารัก
“เดล คิดอะไรอยู่หรือครับ” พี่กานต์ซึ่งขับรถมาส่งผมที่บ้านหันมาถามหลังเห็นผมเงียบไปพักใหญ่
“ผมคิดว่าพี่เอ็กซ์โชคดีที่มีคนอย่างพี่มารัก และคอยดูแล”
“แต่พี่ก็อกหักซ้ำซ้อนนะ เพราะเดลเองก็มีคนอื่นอยู่ในใจแล้วนี่นา” พี่กานต์ยิ้ม ผมรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นของเขาทั้งคำพูดและการกระทำ ถ้าเลือกได้ผมเองก็อยากรักเขาเหมือนกันกับที่เขารักผม
“คนสมัยนี้ชอบคนเลวครับ แบบพี่นี่เขาไม่นิยมหรอก” ผมสบายใจเวลาอยู่ข้างๆ กับพี่กานต์ สามารถพูดคุยหยอกล้อได้เหมือนชีวิตผมเป็นคนปกติเช่นคนอื่น
“ใจร้ายจังเลยนะ พูดตรงขนาดนั้นเดี๋ยวให้เลี้ยงข้าวพี่เลยนี่” พี่กานต์เอามือข้างที่จับเกียร์มายีหัวผมจนยุ่ง ช่วงเวลาสองวันที่พี่เขาดูแลผมทำให้ผมรู้สึกคุ้นเคยและวางใจมากขึ้น อาการสะดุ้งหรือหลบไม่ให้แตะตัวจึงน้อยลง
“ถ้าอย่างนั้นแวะร้านข้างทางนะพี่ ผมมีเงินไม่เยอะหรอก” ผมพูดพลางควักกระเป๋าสตางค์ออกมารื้อให้พี่กานต์ดู
“รู้สึกเหมือนพี่รังแกเด็กเลยแฮะ” พอเห็นเงินในกระเป๋าผมพี่กานต์ถึงกับหลุดหัวเราะออกมา
“ล้อเล่นน่า ไม่ได้มีแค่สองร้อยซะหน่อย ผมมีบัตรเครดิตนะพี่ อยากกินที่ไหนก็จอดเอาตามสะดวกเลยละกัน” วงเล็บในใจว่าท้องผมก็ร้อง
“ครับๆ เดี๋ยวพี่พาไปร้านอร่อยๆให้เราเลี้ยงพี่จนกระเป๋าฉีกไปเลย” พี่กานต์พูดจบก็เร่งเครื่องให้เร็วขึ้นก่อนจะพาผมไปยังร้านที่ผมคิดว่าไม่ว่ากินเท่าไหร่ผมก็ไม่มีวันกระเป๋าฉีกแน่
“พี่ครับ...ถ้าพี่ทำผมกระเป๋าฉีกได้ผมจะแปลกใจพี่มากเลยล่ะ”
ร้านที่พี่กานต์พามาเป็นร้านบุฟเฟต์ จ่ายแค่ค่าหัวแรกเข้าไม่จำกัดเวลา อยากทานอะไรทานเท่าไหร่ก็ไม่ว่ากัน แถมร้านนี้ยังเป็นร้านอาหารที่มีอาหารหลากหลายให้เลือก ไทย จีน ฝรั่ง หรืออะไรมีหมด บรรยากาศของร้านก็ดูสบายๆเป็นกันเอง ไม่ได้หรูหราอะไร แต่ก็ไม่ได้ธรรมดาจนเกินไป การตกแต่งร้านก็เน้นพวกเฟอร์นิเจอร์จำพวกไม้ ประกอบกับแสงไฟสีอ่อน
“ก็กลัวว่าจะกินไม่อิ่มเลยพามาที่นี่ยังไงล่ะ เราเองก็ทานเยอะๆร่างกายจะได้แข็งแรง” พี่กานต์เลือกนั่งมุมติดกับน้ำตก มีเสียงดนตรีคลาสสิกเบาๆคลอมา ร้านนี้จะถูกแบ่งออกเป็นโซนต่างๆ เพื่อแบ่งอาหารหลากหลายชนิดออกจากกันอย่างชัดเจน ถ้าอยากทานอะไรก็แค่เลือกเดินไปตักมาทานเท่านั้น
พี่กานต์เดินไปตักอาหารมาบริการผมทุกอย่าง ทั้งน้ำทั้งอาหารถูกทยอยลำเลียงด้วยฝีมือของพี่กานต์เพียงคนเดียว โดยให้เหตุผลว่างานนี้เจ้ามือไม่ต้อง ส่วนผมมีหน้าที่ทานไปอย่างเดียวก็พอ
ผมกับพี่กานต์ทานอาหารเข้าไปเยอะมากทีเดียว ทานบนโต๊ะถูกทยอยไปเก็บหลายรอบ กระเพาะของผมกับพี่กานต์รวมกันแล้วก็คงหลุมดำดีๆนี่เอง อิ่มจังตังค์ต้องจ่าย(ไปแล้ว)
“อยากไปไหนอีกหรือเปล่า? ค้างบ้านพี่ก่อนไหม?” พี่กานต์ถามด้วยความเป็นห่วงหลังจากได้ฟังสองเพื่อนสนิทของผมเล่าเรื่องราวคร่าวๆของบ้านผมให้ฟัง ยกเว้นเรื่องที่ผมถูกขายให้กับพวกยากูซ่า
“ไม่เป็นไรครับ ผมกลับบ้านดีกว่า ถ้าหายไปนานกว่านี้คงจะมีปัญหาเกิดขึ้นอีก” ใจจริงอยากจะหนีไปให้ไกล อยากจะไปให้พ้นจากที่นั่น แต่ยังไงก็หนีไปไม่พ้นอยู่ดี
“เข้าใจล่ะ อย่างนั้นพี่พาไปส่งที่บ้านแล้วกัน”
กว่าจะถึงบ้านก็ใกล้ค่ำท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้ม พระจันทร์เองก็เริ่มออกมาฉายแสงถัดจากพระอาทิตย์ พี่กานต์ลงมาส่งผมที่หน้าบ้าน เราคุยอะไรกันหลายๆอย่าง เนื้อความก็วนอยู่ที่เดิมว่าอยากให้ผมไปอยู่กับเขา ทั้งๆที่ผมกับพี่เขาเพิ่งรู้จักกันเพียงไม่กี่วัน แถมผมยังปฏิเสธความรักของพี่กานต์อีก แล้วแบบนี้จะให้ผมรับน้ำใจของเขาเอาไว้ได้ยังไงกัน
“พี่ว่าเดลน่าจะย้ายออกนะ มาอยู่กับพี่ก็ได้บ้านพี่มีพี่เป็นลูกคนเดียว คุณพ่อกับคุณแม่พี่เองวันนั้นที่เห็นหน้าเดลยังบอกเลยว่าอยากให้มาเป็นลูกชาย” พ่อกับแม่ของพี่กานต์แวะมาเยี่ยมผม ท่านทั้งสองคนเป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใจไม่ถือตัว ผมไม่แปลกใจเลยว่าพี่กานต์ได้แบบอย่างที่ดีมาจากใคร
“ไม่เป็นไรครับ พี่กานต์กลับเถอะมืดค่ำแล้ว เดี๋ยวจะขับรถถึงบ้านดึกนะครับ”
“เฮ้อ...ก็ได้ครับ ถ้ามีอะไรโทรหาพี่นะ อย่าลืมว่าเราติดค้างพี่อยู่” ประโยคหลังพี่กานต์แกล้งแหย่ผมเรื่องค่ารักษาพยาบาล
“อย่างนั้นไว้ผมไปจ่ายนะครับ เลี้ยงข้าวพี่แบบวันนี้แล้วกัน คราวหน้าอยากทานอะไรก็อย่าลืมมาชวนผมนะครับ” ผมเดินเข้าไปกอดพี่กานต์อย่างไม่รู้สึกเขินแม้แต่น้อย พี่กานต์เหมือนคุณพ่อของผมมากจริงๆ เสียดายที่ท่านไม่สามารถมายืนกอดผมแบบนี้ได้อีกแล้ว
“ถ้าลืมเขาได้แล้วพี่จะรอนะครับ” พี่กานต์โอบกอดผมแน่น ผมเองก็เผลอร้องไห้ไปกับคำพูดนั้น ถ้าผมลืมได้ต่อให้ผมไม่ลืมผมก็ไม่มีสิทธิ์รักเขาอยู่ดี ชีวิตมันไม่ใช่ของผมอีกต่อไปแล้ว
“เดล!!” เสียงตะโกนเรียกชื่อผมดังมาจากมุมหนึ่งของความมืด ใบหน้าของฮิโรกิตอนนี้ดูน่ากลัวกว่าปกติ ไม่มีรอยยิ้มแบบเมื่อหลายวันก่อนให้เห็น หลงเหลือเพียงดวงตาซึ่งจ้องมาทางผมกับพี่กานต์ด้วยความขุ่นเคือง มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่นจนผมอดกลัวว่าพี่กานต์จะโดนลูกหลงด้วยไม่ได้
“พี่กานต์กลับไปก่อนนะครับ!” ผมรีบผลักพี่กานต์ให้ขึ้นรถ แต่พี่กานต์เองก็ดูจะไม่เข้าใจในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นจึงฝืนตัวไว้ไม่ให้ผมทำอะไรได้โดยง่าย
“เกิดอะไรขึ้นน่ะเดล หรือคนนี้ที่ไนท์กับปาล์มเล่าให้พี่ฟัง” พี่กานต์หันกลับเอาตัวมาบังผมไว้แทน
“ไปเถอะครับพี่ ทางนี้ผมขอจัดการเองนะครับ รีบไปเถอะนะ” ผมใช้แรงที่มีหันไปเปิดประตูรถ แต่ไม่ว่ายังไงก็ไม่สามารถดันพี่กานต์ให้เข้าไปข้างในรถได้ ฮิโรกิเองก็เริ่มก้าวเท้าเข้ามาใกล้เต็มที แววตาแบบนั้นทำให้ผมรู้สึกหวาดกลัวเมื่อนึกถึงอดีตตอนที่ถูกทำร้าย
“ห่วงมันนักหรือไง!! ลืมไปหรือเปล่าว่าพี่เป็นแฟนผมอยู่!!” ผมก้าวเท้าถอยหลังตามพี่กานต์ซึ่งพยายามกันผมเอาไว้ ผมไม่รู้ว่าอะไรทำให้ฮิโรกิโกรธได้ขนาดนั้นแต่ผมไม่ชอบแววตานั้นเอาเสียเลย มันทำให้ผมรู้สึกขยะแขยง
“อย่ามายุ่งกับเดล!! นายไม่มีสิทธิ์ไปบังคับใครต่อใคร” พี่กานต์โต้กลับมือเกร็งกำหมัดแน่นพร้อมสู้ทุกเมื่อ
“มีสิ!! เพราะผมซื้อเดลต่อจากพวกยากูซ่าแล้วยังไงล่ะ!” ผมอึ้งไปกับคำพูดที่ได้ยิน... นี่ผมถูกซื้อขายต่ออีกแล้วใช่ไหม? ผมก็แค่สิ่งของอย่างนั้นสินะ
“หมายความว่ายังไง!! เดลเป็นคนนายไม่มีสิทธิ์มาซื้อขายแบบนั้น”
น้ำตาของผมไหลอีกแล้ว นี่เพราะผมอ่อนแอหรือเพราะเรื่องที่มันเกิดขึ้นกับผมมันหนักเกินกว่าผมจะแบกรับมันไหวกันแน่ ผมคือใคร? ผมเป็นอะไร? ผมต้องทำอะไร? ไม่รู้เลย... ผมไม่รู้ว่าควรต้องรับรู้แล้วรู้สึกอะไรอีกหรือเปล่า? ทำไมกันนะ? ทำไมผมไม่ตายไปซักที... ตายไปจะได้ไม่ต้องมาทนรับอะไรบ้าๆพวกนี้
“หึ! มานี่เดี๋ยวนี้เดล!!” ฮิโรกิตรงเข้ามากระชากผมให้ตามไป ร่างกายของผมหมดแรงตั้งแต่รับรู้เรื่องราวจากปากนั่น ทั้งๆที่ผมอุตส่าห์คิดว่าฮิโรกิจะไม่เหมือนคนอื่น ทั้งๆที่เป็นแบบนั้น...แต่ทำไมตอนนี้ผมเจ็บเหลือเกิน
“ปล่อยเดลนะโว้ย!” เสียงของพี่กานต์ร้องโวยวายแต่ถูกล้อมกรอบด้วยลูกน้องของฮิโรกิ ผมได้ยินเสียงการต่อสู่แต่แค่แรงจะหันกลับไปมองผมยังหมดไปแล้ว ยังเหลืออะไรที่ผมต้องทำนอกจากตาย...
ผมถูกพามายังบ้านของฮิโรกิด้วยสภาพไร้วิญญาณ ความจริงที่ผมรับรู้ทำให้ผมเหมือนคนสูญเสียทุกอย่างไป ศักดิ์ศรียังไม่มี จะมีชีวิตต่อไปได้ยังไง? อย่างน้อยผมก็ได้ทดแทนบุญคุณของพ่อ เพราะเงินที่ได้จากการขายผมนั้นจะนำไปยื้อชีวิตของคุณพ่อได้อีกนานพอสมควร
“ฮิโระนายพาใครมาน่ะ สวยดีนี่นา...” ผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาทางผมซึ่งถูกฮิโรกิประคองเข้ามาภายในบ้าน
“เมียผม! อย่าแตะต้องเขาเด็ดขาด!”
“หึ! แล้วอย่ามาร้องไห้ขอความรักจากฉันอีกล่ะ”
“ไม่มีวันนั้น! คุณมันก็แค่งูพิษโมเดล...คนแบบคุณสักวันพี่ต้องรู้ความจริง” ชื่อนั้นทำให้ผมต้องหลุดจากห้วงความคิด ผมสบสายตากับผู้หญิงคนนั้น คนที่ฮิโรกิคุยกับเธอตอนนั้น
“ไม่มีวันนั้นหรอก ฮิคารุน่ะเขาเองก็มีหลายคนจะตาย เธอเองก็ด้วยนะต่อไปฮิโระเองก็คงทิ้งเธอไปเหมือนกับฉันที่ถูกฮิคารุเก็บสะสมเป็นของเล่น ฉันเตือนด้วยความหวังดี...” ผมมองตามร่างของเธอคนนั้นไปด้วยความสงสัย ไม่เข้าใจในเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่ไม่ว่าตอนนี้หรือตอนไหนผมคงเป็นได้แค่ของเล่นฆ่าเวลาอยู่ดี
ฮิโรกิดูจะหงุดหงิดมากเขาแบกผมไว้บนบ่าก่อนจะพาผมไปยังห้องนอนของเขา พอเปิดประตูได้ร่างของผมก็ถูกเหวี่ยงลงบนเตียงอย่างรุนแรง ผมรู้สึกปวดร้าวตามตัวซึ่งเกิดจากแรงกระแทก ถึงแม้เตียงจะไม่ได้แข็งแต่การถูกโยนลงมาแรงๆก็ทำให้จุกได้เหมือนกัน
“บอกผมมาว่าไอ้หมอนั่นเป็นใคร?!” ผมคิดว่าฮิโรกิคงหมายถึงกานต์แต่ผมไม่สนใจจะตอบคำถามนั้น มันไม่จำเป็นอะไรที่เขาต้องรับรู้เรื่องราวของของเล่นอยู่ดี
“..................”
“ดี....เดี๋ยวมาดูกันว่าที่ไม่ยอมพูดกับผมแล้วจะครางเสียงดังแค่ไหน!!” ฮิโรกิตวาดลั่นก่อนกระชากเสื้อของผมออกเป็นชิ้นๆ นำไปผูกมัดแขนผมเอาไว้กับหัวเตียง ผมนิ่งเงียบแต่ก็ดิ้นรนขัดขืน แรงของผมสู้แรงของฮิโรกิในเวลาที่โกรธตอนนี้ไม่ได้เลยสักนิด แขนทั้งสองข้างของผมจึงถูกมัดอย่างง่ายดาย
ฮิโรกิก้มลงซุกไซ้ซอกคอของผมอย่างรุนแรง ผมไม่รู้สึกถึงความรักมีเพียงแรงโกรธเท่านั้นที่สัมผัสได้ในเวลานี้ ผมเจ็บใจและตอนนี้คงไม่พ้นต้องเจ็บตัวเพราะคนตรงหน้า
มือของฮิโรกิเลื่อนลงไปบีบแก่นกายของผมจากด้านนอกอย่างรุนแรง ผมเจ็บแต่ก็ฝืนกัดริมฝีปากเอาไว้ แต่นั่นยิ่งดูเป็นการยั่วโมโหฮิโรกิทำให้เขาก้มลงไปกระชากกางเกงผมออกเหลือแค่ชั้นในปกปิดความเป็นชายของผมเอาไว้ ใบหน้านั่นเลื่อนลงไปใช้ลิ้มโลมเลียแก่นกายของผมจากภายนอก ผมรู้สึกเสียวไปหมดกับการใช้ลิ้นของฮิโรกิ แต่เพียงไม่นานแก่นกายของผมก็ถูกฮิโรกิขบกัด ผมกัดริมฝีปากให้แน่นขึ้นไปอีกเมื่อรู้สึกถึงความเจ็บแปลบด้านล่าง มือของฮืโรกิกระชากสิ่งปกปิดชิ้นสุดท้ายของผมให้หลุดไป แก่นกายของผมถูกกลืนกินเข้าไปภายในโพรงปากของฮิโรกิ ผมปฏิเสธไม่ได้ว่ารู้สึกดีกับการกระทำแบบนั้น จนเผลอยกสะโพกขึ้นตามปากของฮิโรกิ
ฮิโรกิหยุดการกระทำนั้นทันที ถอนปากออกจากแก่นกายของผมก่อนจะยิ้มอย่างผู้มีชัยเหนือกว่า ผมเจ็บใจที่ทำอะไรไม่ได้ มือของผมก็ถูกมัดอยู่แบบนี้ ขาของผมก็ถูกฮิโรกินั่งกดทับเอาไว้ทำให้ขยับไม่ได้
“ผมไม่ปล่อยพี่ไปแน่ๆ ของของผมยังไงก็ต้องเป็นของของผม” ฮิโรกิก้มลงมากระซิบประโยคที่ทำให้ผมยิ่งดิ้รนขัดขืนมากขึ้น ไม่อยากต้องเป็นแบบนี้ ไม่อยากต้องมีอะไรกันทั้งๆที่อยู่ในสถานะแบบนี้ ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วย...ผมไม่เข้าใจ...
******************************************************************************************************
ขอบคุณทุก comment ค่ะ ตอนหน้าได้ความช่วยเหลือจากการให้คำปรึกษาของน้อง kyoya11
อะแฮ่มๆ รับกระทิชชู่กับเลือดเพิ่มไหมคะ? ตอนนี้(คง)เรียกเลือด(มั้ง?)คะ ฮ่าๆๆๆ
ฝากด้วยคะคะ ตอนหน้าเป็นตอนจบแล้ว ทีแรกจะลงเลยแต่ว่ายังปั่นไม่จบ ติดไว้ก่อนเนอะ~~